บทละครเรื่องพระสมุท

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

การปรับปรุง เมื่อ 16:00, 24 สิงหาคม 2553 โดย CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(ต่าง) ←รุ่นก่อนหน้า | รุ่นปัจจุบัน (ต่าง) | รุ่นถัดไป→ (ต่าง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

พระบวรราชนิพนธ์: กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ

บทประพันธ์

ช้าปี่
๏ เมื่อนั้นพระสมุทสิริย์วงศ์รังสรรค์
ยับยั้งอยู่ยังตำหนักจันทน์ในนันทอุทยานขุนยักษ์
สถิตเหนือแท่นสุวรรณบรรจงคำนึงองค์มเหสีมีศักดิ์
วิบากกรรมจำร้างนิราศรักเพราะอียักขินีกาลีไพร
      ฯ ๔ คำ ฯ
พญาโศก
๏ เอนองค์ลงกับบรรจถรณ์อาวรณ์เศร้าสร้อยละห้อยไห้
สะทึกสะท้อนถอนจิตเจ็บใจอาลัยถึงแก้วกัลยา
แต่บำราศคลาดมิ่งวิมลสมรร่านร้อนรันทดทุกขา
ทุกนาทีมีแต่กลืนชลนาอุราไม่วายคลายรำพึง
ยอกรเบื้องซ้ายขึ้นก่ายพักตร์ถวิลรักเทวษร้อนอาวรณ์ถึง
เวราใดไต่ตามตราตรึงฤๅหนึ่งเราพรากสัตว์พลัดคู่ไป
เคยไสยาสน์ร่วมอาสน์บรรจงมาเอองค์ต่างอาสน์ก็เป็นได้
ลมชวยรวยกลิ่นมาลัยเหมือนกลิ่นเนื้อเจือใจพี่ยา
ศศิส่องสีแสงฉันดั่งฉวีวรรณขนิษฐา
ครวญพลางทางทรงโศกาพระราชาก็ม่อยหลับไป
      ฯ ๑๐ คำ ฯ ตระ
ช้า
๏ เมื่อนั้นนางบุษบามาลีศรีใส
เนาในปรางค์รัตน์อำไพอรไทภิรมย์เปรมปรา
พญายักษ์ความรักดวงสมรดังเกิดในอุทรนาถา
ถนอมเลี้ยงมิได้ขัดอัธยาดังดวงเนตรซ้ายขวาอสุรี
วันเมื่อพระสมุทมาหยุดพักในตำหนักจันทน์สวนศรี
เทพไทดลจิตเทวีอยากประพาสสวนมาลีสำราญใจ
      ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ คิดแล้วย่างเยื้องยุรยาตรลงจากปราสาทอาศัย
พร้อมพี่เลี้ยงสาวสวรรค์กำนัลในคลาไคลขึ้นเฝ้าพระบิดา
      ฯ ๒ คำ ฯ เพลงช้า
สมิงทองมอญ
๏ เมื่อนั้นท้าวรณจักรยักษา
ทั้งนางวรรณสูรกัลยาเห็นราชธิดายาใจ
จึงโอภาปราศรัยเยาวลักษณ์เจ้าผู้เจริญพัตร์พิสมัย
มีกิจธุระสิ่งไรแถลงไขให้แจ้งกิจจา
      ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นองค์อัคเรศเสน่หา
ก้มเกล้าถวายวันทาจึงทูลพระบิดาไปพลัน
ย่ำรุ่งลูกจะลาภูวนาถไปประพาสมาลีสวนขวัญ
จะกลับบ่ายชายแสงสุริยันทรงธรรม์จงได้ปรานี
      ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระยิ่งยศมาราเรืองศรี
กับนางสรรณสูรอสุรีจึงตรัสปลอบบุตรีวิไลลักษณ์
เจ้าจะไปประพาสสวนมาลีบิดานี้มิได้หาญหัก
แต่อย่าเพลินให้เกินเวลานักพ่อจักคอยท่านับนาที
ตรัสพลางทางเผยบัญชรชัยเหวยเสนาในมานี่
จงจัดวอสุวรรณรูจีแต่ในราตรีให้พร้อมไว้
ลูกกูจะไปเล่นอุทยานทุกพนักงานอย่าขาดได้
ถ้าแม้นมีเหตุเภทภัยพวกมึงไม่พ้นชีวา
สั่งสรรพพระทับบัญชรชวนบังอรวรรณสูรเสน่หา
กับบุษบามาลีลีลาขึ้นมหาปราสาทรูจี
      ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
ยานี
๏ บัดนั้นเสนารับสั่งใส่เกศี
จึงบาดหมายเกณฑ์กันทันทีอย่างพระบุตรีลีลา
ให้เอาวอทองมาประทับคอยรับเสด็จที่ข้างหน้า
สนมตำรวจได้ตรวจตราตำรวจวังซ้ายขวาเกณฑ์กัน
หมอนวดหมอยามมหาดไทยกลาโหมนายไพร่แข็งขัน
สนมพลเรือนครบครันจัดกันพร้อมไว้ในราตรี
      ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ ฝ่ายเจ้าพนักงานข้างในสั่งกันวุ่นไปอึงมี่
เจ้าขรัวนายจ่าโขลนเลือกคนดีเฝ้าที่ทนายเรือนสั่งเตือนกัน
ฝ่ายพระพี่เลี้ยงทั้งสี่จัดนารีรูปร่างคมสัน
แต่งตัวโอ่อวดประกวดกันนุ่งยกสุวรรณห่มกรอง
นารีดีใจได้ไปสวนคร่ำครวญตรึกไตรอยู่ในห้อง
เมื่อไรหนอจะสว่างสร่างแสงทองอยากไปลองเที่ยวเล่นดูสักที
ลางนางวิตกอกจะครากต้องจากเพื่อนรักไปสวนศรี
บ้างว่าเราไปสวนมาลีจะสอยจำปีฝากเพื่อนให้พอใจ
บ้างว่าเราไปพร้อมเพื่อนจะชักเชือนพูดเล่นใต้ไม้ใหญ่
จะร้องลำนำสำราญฤทัยรื่นเริงบันเทิงไปทุกนารี
      ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนางบุษบามาลีโฉมศรี
ไสยาสน์เหนืออาสน์มณีเทวีสำราญวิญญาน์
ครั้นเวลาประจวบประจุสมัยอุทัยไขศรีสว่างหล้า
ก็ฟื้นตื่นจากนิทรากัลยามาสรงวาริน
      ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
ชมตลาด
๏ ชำระสระสนานอินทรีย์วารีอวลอบตรลบกลิ่น
พี่เลี้ยงช่วยขัดสีราคินมลทินสิ้นสุดกายา
ลูบไล้สุคนธ์ปนปรุงหอมฟุ้งอุหรับจับมังสา
ปรัดพักตร์ผ่องโสภาทรงภูษาสังเวียนทองธงข้าวบิณฑ์
สไบตาดคาดปักทองแล่งทองกรแก้วแดงประดับสิ้น
สังวาลเพชรเพชรแนมแกมนิลธำมรงค์นาคินทร์ลงยา
เข็มขัดประจำยามงามรับสร้อยนวมสวมทับอังสา
ตาบกุดั่นประดับบุษราทรงกาญจนามงกุฏบุตรี
      ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตรลงจากปราสาทมณีศรี
มาทรงวอสุวรรณรูจีจรลีด้วยเหล่าบริวาร
      ฯ ๒ คำ ฯ กลองโยน เชิด
๏ ครั้นถึงอุทยานสำราญใจที่ทางกว้างใหญ่รโหฐาน
ลงจากวอสุวรรณมิทันนานเยาวมาลย์ประพาสชมไป
      ฯ ๒ คำ ฯ
พระทอง
๏ สถานนั้นมีพรรณพฤกษาดอกดวงพวงผกาสดใส
บ้างตูมอ่อนซ้อนซับสลับใบที่แบ่งบานอำไพหลายพรรณ
เห็นสาวหยุดหยุดเก็บทัดกรรณพลางเล็บนางนางชี้ให้สาวสวรรค์
เห็นนางแย้มนางยิ้มเข้าเก็บพลันบ้างชิงกันแย่งสอยดอกประยงค์
บุนนาคมะลิซ้อนหงอนไก่ป่าเสาวรสจำปามหาหงส์
บ้างสอยลำดวนได้ใส่กระทงถวายองค์พระธิดาลาวัณย์
นางเสด็จลดเลี้ยวเที่ยวชมมีมโนภิรมย์หฤหรรษ์
จึงประดิษฐ์คิดขับเป็นกลอนพลันจำเรียงรับโอดพันบรรเลงครวญ
      ฯ ๘ คำ ฯ
สมิงทองมอญ
๏ วันนี้น้องสำราญวิญญาณ์พิศพรรณบุปผาที่ในสวน
เรณูตรลบอบอวลหอมหวนชวนชื่นชูใจ
มะลิจะร้อยเป็นระย้าถวายพระบิดาเป็นใหญ่
พิกุลจะกรองเป็นมาลัยถวายไทสมเด็จพระมารดา
กุหลาบกาหลงลำเจียกนั้นระคนกันเอาไว้ทำบุหงา
เสาวรสสุคนธ์มณฑาถวายเทวาข้านี้เอย
      ฯ ๖ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
ร่าย
๏ เมื่อนั้นพระสมุทผู้รุ่งรัศมี
ไสยาสน์เหนืออาสน์ห้องมณีได้ยินเสียงมารศรีขับครวญ
แว่ววับจับพระทัยสะดุ้งตื่นเสด็จยืนแย้มแกลแลรอบสวน
เห็นนารีใส่จริตผิดกระบวนบ้างเดินชวนเพื่อนพูดมาตามทาง
ล้วนดรุณรุ่นรุ่นกำดัดสวาทภูวนาทให้นึกอางขนาง
ธิดามาฤๅว่าจอมสุรางค์จะดูนางให้แน่ประจักษใจ
พอพระนุชบุตรีเธอลีลาศแสนสวาทประดิพัทธ์พิสมัย
พระลืมองค์หลงแลตะลึงไปเป็นครู่หนึ่งจึงได้สติมา
      ฯ ๖ คำ ฯ
กราวรำมอญ
๏ พระพินิจพิศโฉมเยาวราชยิ่งนาฏอัปสรเสนหา
ทรงศรีเสาวภาคย์โสภาพร้อมเบญจลัขณาลาวัณย์
กรเกศเนตรขนงวงพักตร์ต้องลักขณาทุกสิ่งสรรพ์
สุรเสียงขับครวญโอดพันสัมผัสกรรณเสียวซาบอินทรีย์
พระยิ่งประดิพัทธ์กำหนัดนางพระเนตรมิได้วางนางโฉมศรี
ทำไฉนจะได้เทวีมาแนบทรวงพี่ไสยา
      ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ อย่าเลยเราจะคิดอุบายแยบคายดังนี้ดีกว่า
จะไปคอยต้นทางนางลีลาแม้นได้ช่องก็จะพาเหาะไป
คิดแล้วลงจากตำหนักจันทน์ผายผันรีบมาหาช้าไม่
ลัดแลงแฝงบังพุ่มไม้คลาไคลสกัดทางนางจร
ครั้นถึงซึ่งพุ่มพฤกษาจึงเข้าแฝงกายาเร้นซ่อน
มิให้ใครเห็นภูธรคอยองค์บังอรยาตรา
      ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางบุษบามาลีเสนหา
ชมพรรณดอกพวงดวงผกากับพี่เลี้ยงกัลยากำนัล
เพลิดเพลินจำเริญหฤทัยจนไกลพี่เลี้ยงสาวสวรรค์
มาถึงพุ่มไม้สำคัญที่ทรงธรรม์พระสมุทหยุดคอย
นางแลลอดหาบุปผาชาติวรนาฏเข้าใกล้ยกไม้สอย
พอสบเนตรภูวนาถนางชม้อยทิ้งไม้สอยจะรีบจรลี
      ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสมุททรงลักษณ์เรืองศรี
แลเห็นนางบุษมาลีภูมีเข้ากั้นกางไว้
แล้วมีมธุรสพจนากัลยาจะหนีพี่ไปไหน
รักเจ้าเท่าเทียมดวงใจมิได้อาลัยแก่ชีวี
จะเชิญน้องไปครองจักรวาลเป็นปิ่นนงคราญมเหสี
ว่าพลางกุมกรนารีภูมียึดกระสันมั่นไว้
      ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางบุษบามาลีศรีใส
ความกลัวตัวสั่นเป็นพ้นไปอรไทมิได้จำนรรจา
จะสะบัดเท่าไรก็ไม่หลุดจนสุดกำลังหนักหนา
แล้วร้องดิ้นสิ้นเสียงกัลยาชายใดเข้ามายึดข้านี้
      ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นนางพี่เลี้ยงกำนัลสาวศรี
ได้ยินเสียงสำเนียงบุตรีร้องมี่อื้ออึงคะนึงไป
ต่างคนตระหนกตกประหม่าพระธิดาน่าจะมีเหตุใหญ่
ต่างคนต่างรีบตามไปเห็นหน่อไทกุมกรพระธิดา
งามดังสุริยันกับจันทรลอยอยู่อัมพรทั้งซ้ายขวา
พิศวงหลงแลไม่พริบตาที่โกรธาก็เหือดเดือดดาล
จึงว่าเจ้าหนุ่มน้อยนามใดทำไมสามารถอาจหาญ
มากุมกรพระธิดายุพาพาลไม่เกรงพระจอมมารโมลี
แม้นทราบถึงทรงศักดิ์จักพิโรธกริ้วโกรธประหารให้เป็นผี
เราด้วยก็จะม้วยชีวีจงวางองค์มารศรีอย่ายุดไว้
ว่าพลางทางเข้ายื้อแย่งทะมัดทะแมงกายามาใกล้
เห็นทรงคฑาวุฒิไกรหยุดอยู่มิให้ช่วงชิง
      ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสมุทตอบคำคณาหญิง
จะแถลงแจ้งความตามจริงเราก็ยิ่งยศควรกับธิดา
เป็นโอรสกาณุราชขุนยักษ์เจ้ากรุงจักรวาลนาถา
นามสมุทสุดกษัตริย์ขัตติยาจะเชิญโฉมวนิดาไปธานี
อภิเษกให้เป็นเอกอนงค์นาฏให้สมราชขัตติยามารศรี
แม้นกลับหลังยังนิเวศน์ภูมีช่วยทูลคดีให้ทราบบทมาลย์
ว่าพลางทางแกว่งคฑาวุธฤทธิรุทรมืดกลุ้มในสถาน
ตะกองกรช้อนองค์นงคราญเหาะทะยานไปในเมฆา
      ฯ ๘ คำ ฯ รัว เชิด
๏ บัดนั้นพี่เลี้ยงกำนัลถ้วนหน้า
เห็นมนุษย์อุ้มองค์พระธิดาเหาะขึ้นนภาก็ตกใจ
ลางนางบ้างร้องอึงมี่ลางนางบ้างก็ตีทรวงไห้
เสนาจึงร้องถามไปเกิดเหตุเภทภัยอะไรกัน
ลางนางบ้างก็แจ้งเหตุรหัสลางนารีกลุ้มกลัดอัดอั้น
ชุลมุนวุ่นไขว่ไปทั้งนั้นต่อเห็นแสงสุริยันจึงหยุดอึง
      ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นได้สติคืนมาถ้วนหน้ากลัวราชทัณฑ์ถึง
ต่างคิดประหวั่นพรั่นพรึงแล้วจึงกลับหลังเข้าวังใน
      ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงปราสาทอันโอฬารเข้าเฝ้าพญามารแล้วร้องไห้
แถลงเรื่องแต่ต้นจนปลายไปทูลพลางร่ำไรโศกา
      ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นท้าวรณจักรยักษา
ได้ทราบเรื่องเคืองขัดอัธยาอสุรากริ้วโกรธดังเพลิงกัลป์
ยี่สิบเนตรแดงดังอัคนโรจน์สิบโอษฐ์แผดเสียงสำเนียงลั่น
ยี่สิบหัตถ์ตบหัตถ์สนั่นกรรณโจนจากอาสน์สุวรรณรจนา
ผาดแผลงสำแดงฤทธิรอนกายกรเท่าเมรุภูผา
เขี้ยวงอกออกข้างละพันวากระทืบพสุธาเพียงทำลาย
      ฯ ๖ คำ ฯ รัวสามลา
๏ กรหนึ่งทรงจักรแกว่งกวัดพระหัตถ์สองทรงง้าวเฉิดฉาย
กรสามกุมคฑาเพริศพรายหัตถ์สี่น้าวสายเกาทัณฑ์
มือห้านั้นถือโตมรพระกรหกนั้นทรงพระแสงขรรค์
พระหัตถ์เจ็ดกุมจรีทีประจัญกรแปดนั้นทรงตรีอันศักดา
หัตถ์เก้าถือดาบกวัดแกว่งกรสิบทรงพระแสงศรง่า
ยี่สิบหัตถ์ครบเทพสาตราอสุราโลดโผนโจนทะยาน
ประภาษพ้อว่าเหวยไพรินมาดูหมิ่นประมาทถึงสถาน
กูจะฆ่าให้ประลัยลาญไม่สมการกูเหมือนมิใช่ชาย
      ฯ ๘ คำ ฯ คุกพาทย์
๏ เมื่อนั้นนางวรรณสูรโฉมฉาย
เห็นภัสดากริ้วโกรธดังเพลิงพรายจึงอุบายโลมเล้าเอาพระทัย
ทูลว่าพระยับยั้งตรองตรึกอันการศึกลึกลับเป็นไฉน
แม้นไพรีไม่มีฤทธิไกรฤๅจะหาญทำได้ดังนี้
พระก็เป็นจรรโลงโลกาเทวาสุราฤทธิ์ในราศี
ย่อมเกรงกลัวเดชาฝ่าธุลีดัสกรผู้นี้ก็มาเดียว
พระจงยับยั้งฟังวาจาอย่าโกรธาหันหุนฉุนเฉียว
ฉวยพลาดพลั้งจะขาดเป็นสองเกลียวน้องจะเหลียวหาใครเล่าภูมี
ทุกวันนี้พระเป็นที่พำนักน้องได้ปกครองเย็นเกล้าเกศี
ว่าพลางทางทรงโศกีมารศรีอ้อยอิ่งวิงวอน
      ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวรณจักรชาญสมร
ได้ฟังมเหสีกล่าวสุนทรที่โกรธาก็หย่อนผ่อนลง
จึงว่าเจ้าว่านี้ก็ชอบตามระบอบพงศ์พันธุ์ครรไลหงส์
อันการศึกซึ่งประจญรณรงค์แม้นอาจองมักอัปราชัย
แต่พี่นี้กำเนิดเกิดมาใครจะหมิ่นพี่ยาดังนี้ได้
ตรัสพลางทางละห้อยน้อยพระทัยเสด็จไปออกท้องพระโรงคัล
      ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ลดองค์ลงเหนือแท่นรัตน์ภายใต้เศวตฉัตรฉายฉัน
พร้อมหมู่อสุรกุมภัณฑ์อภิวันท์หมอบกลาดดาษดา
จึงมีพระราชบัญชาการสั่งอำมาตย์มารทั้งซ้ายขวา
ให้จัดพหลพลโยธาเลือกล้วนแกล้วกล้าเกรียงไกร
กูจะไปตามจับอ้ายอาธรรม์เอามาสับหั่นให้จงได้
สั่งเสร็จเสด็จคลาไคลขึ้นยังปรางค์ชัยฉับพลัน
      ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นฝ่ายสองอำมาตย์คนขยัน
รับสั่งพระองค์ทรงธรรม์ออกมาเกณฑ์กันเป็นโกลา
      ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๏ จัดพลโยธาได้ห้าโกฏิเสียงอุโฆษกึกก้องห้องเวหา
เลือกล้วนตัวดีมีศักดาแต่ละตนแกล้วกล้าสงคราม
สามารถอาจองคงทนเคยประจญข้าศึกไม่นึกขาม
บ้างแผลงฤทธิ์ดังเพลิงเถกิงพลามบ้างแกว่งดาบวาบวามไปมา
บ้างถือหอกถือทวนถือง้าวบ้างถือหลาวแหลนโล่โตมนง่า
บ้างถือเสน่าเกาทัณฑ์ลูกยาแล้วผูกสกุณาอินทรีทรง
พลยักษ์แน่นหน้าท้องสนามพร้อมเสร็จสิ้นตามพระประสงค์
บ้างสำเริงสำราญการณรงค์คอยองค์ภูวนัยไคลคลา
      ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวรณจักรนาถา
กลุ้มกลัดขัดแค้นวัญญาณ์เสด็จมาเข้าที่สรงชล
      ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ลงสรง
๏ นางในไขท่อปทุมทองวารีเย็นเป็นละอองฝอยฝน
แล้วจึงลูบไล้พระสุคนธ์ปรุงปนเรณูมาลี
สอดใส่สนับเพลาเชิงยกช่อกระหนกลายระยับสลับสี
ทรงภูษาเขียนทองรูจีฉลององค์ตาดสีโสภา
ห้อยหน้าเจียระบาดบรรจงรัดองค์ประจำยามงามเลขา
สวมใส่พาหุรัดรัดอุราทองกรแก้วประภารุ่งเรือง
อินทรธนูกรองสร้อยสังวาลทับทรวงสุนชรกาญจน์ห้อยเฟื่อง
ชายไหวชายแครงแสงประเทืองธำมรงค์ค่าเมืองวิเชียรพราย
แล้วทรงมงกุฎเพชรรัตน์กรรเจียกจรจำรัสแสงฉาย
ห้อยอุบะสุวรรณพรรณรายกรกรายจับเทพสาตรา
      ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จเสด็จจรจรัลมาขึ้นเกยสุวรรณหรรษา
งามดังพรหมินทร์ลินลาเถลิงหลังสกุณาอินทรีทรง
ทอดพระเนตรเห็นพหลพลราชกรกายขาดหลากจิตพิศวง
ธงชัยนำทัพกลับม้วนลงอินทรีทรงเห็นเป็นกาสามานย์
เหลียวหลังดูปรางค์เคยไสยาสน์ผิดประหลาดแลเห็นเป็นไพรสาณฑ์
ให้ง่วงเหงาเศร้าจิตพญามารเห็นเหตุการณ์ลางร้ายรันทดใจ
ดูอินทรีกลับดีไปดังเก่ายิ่งร้อนเร่าอสุชลเนตรไหล
ยกทัพคงอัปราชัยโอ้ที่ไหนจะได้คืนมาธานี
      ฯ ๘ คำ ฯ
ปราสาททอง
๏ ระทวยองค์ทรงทิ้งสาตราวุธกำสรวลสุดโศกสั่งปราสาทศรี
โอ้ปรางค์มาศไสยาสน์ทุกราตรีโอ้ครั้งนี้จะร่วงโรยรา
ที่นั่งเย็นเคยมาประทับร้อนจะจากจรมิได้คืนมาเห็นหน้า
พระโรงรัตน์เศวตฉัตรอันโอฬาร์เคยออกหมู่เสนาบังคมคัล
เรามอดม้วยใครจะช่วยอุปถัมภ์จะเสื่อมซ้ำเป็นป่าวนาสัณฑ์
ทั้งแฝกคาจะแซมขึ้นแกมกันโอ้นับวันก็จะร้างเป็นรังกา
เสียดายเหล่าสาวสนมเคยสนิทได้เชยชิดชวนชมเสนหา
เคยฟ้อนรำจำเรียงทุกเวลาจะก่นแต่โศกาอาลัย
แม้นยังหยุดมิยกโยธาหาญก็อายเทพทุกสถานจะหมิ่นได้
พิโรธจิตหวนคิดก็แค้นใจใครเกิดแล้วจะไม่มรณา
      ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๏ ยี่สิบหัตถ์กลับธำรงทรงอาวุธความโศกหยุดยิ่งพิโรธโกรธกล้า
ได้ฤกษ์ให้เลิกโยธาไปโดยมหานภาลัย
      ฯ ๒ คำ ฯ
โทน
๏ นกเอยนกที่นั่งพ่วงพีมีกำลังสูงใหญ่
บินหนักวักละโยชน์ด้วยว่องไวดังหงส์อุไรพาหะพระพรหมาน
งามโฉมฉวีสีสลับงามสรรพสอดเส้นลายประสาน
โผผินบินรีบเร็วทะยานมากลางนิกรมารโยธี
งามหมู่พหลพลขันธ์ธงทิวพรายพรรณต่างสี
แสงอาวุธแปลบปลาบเมฆีดังสายอสนีในนภา
รีบเร่งเร็วรุดไม่หยุดพักด้วยกำลังสิทธิศักดิ์ยักษา
เสียงพิลึกกึกก้องโกลาไล่ต้อนโยธาคลาไคล
      ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ จึงถามรุกขเทวบุตรว่ามนุษย์พานางไปทางไหน
เทเวศร์เห็นบ้างฤๅอย่างไรจงบอกไปแต่ตามสัจจา ฯ
      ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นฝ่ายพฤกษเทเวศร์ถ้วนหน้า
ความกลัวตัวสั่นพ้นปัญญาจึงวันทาทูลองค์อสุรี
ว่าก่อนหน้าข้าเห็นมนุษย์พานางวิสุทธิโฉมศรี
เหาะคว้างไปทางหรดีภูมีจงทราบบาทา
      ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นอสุรีรณจักรนาถา
ได้ฟังเทเวศร์ทูลเหตุมาทราบตามกิจจาทุกสิ่งอัน
จึงสั่งพหลพลยักษ์อย่าหยุดพักรีบเหาะระเห็จหัน
แล้วขับนกอินทรีสุวรรณโดยพลกุมภัณฑ์จรลี
      ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นพระสมุทสุริย์วงศ์ทรงศรี
อุ้มองค์อัครราชเทวีภูมีเหาะระเห็จคลาไคล
ครั้นมาถึงยอดคีรีวันทรงธรรม์เข้าหยุดอาศัย
ถิ่นฐานราบเลี่ยนเตียนไปพฤกษาไสวใบดอกดวงผกา
พระวางนางลงเหนือศิลาลาดภายใต้รุกขชาติใบหนา
นั่งชิดพิศพักตร์กัลยางามดังหยาดฟ้ามาธาตรี
เจ้าอย่าโศกสลดรันทดนักฉวีพักตร์จะเศร้าเสียศรี
เป็นบุญแล้วแก้วตาอย่าราคีเจ้าขัดข้องหมองศรีพี่ยาไย
ชายเนตรสบเนตรพี่น่ารักสงสารนักโรยราเพราะร่ำไห้
ฉวีวรรณผุดผ่องเพียงอุไรจะสร้อยเศร้าเสียไปทุกสิ่งอัน
      ฯ ๑๐ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ น้องเอยน้องรักวรพักตร์ผ่องเพียงศศิฉัน
พี่ปลงจิตคิดฝากชีวันหมายมั่นในองค์นงลักษณ์
จะภิเษกเป็นเอกมเหสียิ่งสนมนารีในไตรจักร
จงจิตที่พี่จงจำนงรักเยาวลักษณ์อย่าสลัดตัดไมตรี
      ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลีโฉมศรี
กลุ้มจิตดังพิษอสนีเทวีมิได้ตอบวาจา
แล้วผันหลังให้พระภูวนาถเยาวราชเคืองขัดสหัสา
ครวญคร่ำกำศรดโศกากัลยาพิไรรำพัน
      ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้
๏ โอ้ว่าอนิจจาตัวกูตายดีกว่าอยู่เป็นแม่นมั่น
เสียแรงเกิดในบุษบันดูเหมือนหญิงอาธรรม์ทรลักษณ์
พระบิดามารดากล่อมเกลี้ยงถนอมเลี้ยงปรากฏยศศักดิ์
ทำให้ขายบาทาพญายักษ์ว่าพลางซบพักตร์โศกี
      ฯ ๔ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้นพระผู้พงศ์กษัตริย์เรืองศรี
รับขวัญกัลยาแล้วพาทีอย่าโศกีเคืองขัดพี่ยา
เดิมพระบิดากาณุราชกับนาฏชนนีนาถา
จัดบุตรีกรุงกษัตริย์นานาให้เชษฐาเลือกตามชอบใจ
ก็ไม่ต้องนัยนาจึงลาท้าวเที่ยวทุกด้าวนคราป่าใหญ่
กุศลนำจำเพาะเจาะจงไปอาศัยสวนขวัญกัลยา
เป็นบุญบันดาลเข้าดลจิตสมรมิตรมาประพาสพรรณบุปผา
เห็นน้องให้ต้องวิญญาณ์นางอื่นหมื่นหล้าไม่ไยดี
จนจิตจึงได้คิดลอบลักน้องรักเจ้าอย่าได้ถือโทษพี่
พระบิดาโกรธจะฆ่าตีก็ตามแต่เวรีนะน้องรัก
เจ้าจงกลั้นกันแสงเสียก่อนจะผันผ่อนอย่างไรให้ประจักษ์
เสียแรงพี่อุตส่าห์ตั้งพักตร์นงลักษณ์เจ้าจงได้เมตตา
      ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลีเสนหา
ได้ฟังมธุรสพจนากัลยารำพึงคะนึงคิด
อันตัวเราตกอยู่ในหัตถาอันจะพ้นผ่านฟ้านั้นเห็นผิด
จำจะลวงองค์พระทรงฤทธิ์ให้หักจิตคืนส่งยังพารา
คิดแล้วจึงทูลสนองไปภูวไนยได้โปรดเกศา
ซึ่งพระรำพันสัญญาตัวข้ายังไม่สิ้นกินใจ
พระว่าเมตตาสารพัดแต่ทำให้ขัดอัชฌาสัย
แม้นปรานีข้าดังว่าไว้จงพาไปส่งคืนยังธานี
แล้วพระกลับหลังยังนัคเรศทูลเหตุให้ทราบบทศรี
องค์พระชนกชนนีให้มีพระราชสารา
กับเครื่องราชบรรณาการมาถวายพระผู้ผ่านยักษา
สู่ขอต่อองค์พระบิดาจะเห็นจริงใจว่าปรานี
      ฯ ๑๒ คำ ฯ
ชาตรี
๏ ดวงเอยดวงสวาทช่างฉลาดล่อลวงใจพี่
จะให้หลงไปส่งถึงบุรีแล้วให้มีพระราชสาส์นมา
พี่ก็ทำตามได้ทุกสิ่งอันแต่ทรงธรรม์บิตุราชขนิษฐา
เกลือกไม่ยอมยกให้พี่ยาเมื่อกระนี้จะว่าประการใด
ป่านนี้พระมิพิโรธนักจะเกณฑ์พวกพลยักษ์มาลุยไล่
ถ้าย้อนหลังกลับยังเวียงชัยพบพวกพลไกรที่ตามมา
จับพี่จะสังหารผลาญชีวิตให้ม้วยมิดสูญสิ้นสังขาร์
ก็จะเสียชีวีพี่ยาทั้งจะเสียแก้วตายาใจ
หนึ่งตัวน้องก็ตกอยู่ในมือเหมือนถือดวงวิเชียรไว้ได้
จะขว้างเสียให้ร้าวแตกไปดูเช่นใจชายโฉดพาลา
น้องใคร่ครวญดูให้จงดีใช่พี่จะแกล้งริษยา
โลมเล่นแล้วจะละให้ร้างราเช่นหญิงชั่วช้าสามานย์
หนึ่งพี่ก็ไร้ชายาเมตตาพี่เถิดยอดสงสาร
อย่าทาระกำทำให้พี่แดดาลเยาวมาลย์อย่าสลัดตัดรอน
      ฯ ๑๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลีดวงสมร
จึงตอบวาจาอันสุนทรซึ่งพระกล่าววิงวอนก็ต้องที
ธรรมดารักน้องต้องตรองตรึกตื้นลึกย่อมทราบบทศรี
เดิมจิตพระไม่คิดดูให้ดีมาบัดนี้พูดแก้แปรปรวน
นี่แลเนื้อแกล้งริษยาหวังจะให้ประชาเสสรวล
รู้ไปถึงไหนจะสำรวลเห็นจะควรฤๅพระภูมี
หนึ่งพระก็เป็นกษัตราฤๅจะไร้ชายามเหสี
ไม่เห็นจริงสิ่งซึ่งพาทีข้านี้ยังแคลงวิญญาณ์
ตัวน้องเป็นคนต่ำศักดิ์จะเอื้อมรักให้เกินวาสนา
จะมีแต่ติฉินนินทาเทวัญชั้นฟ้าจะไยไพ
      ฯ ๑๐ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ นงเอยนงลักษณ์ไม่ประจักษ์ในความพิสมัย
พี่รักเจ้าเท่าเทียมดวงใจควรฤๅจะพิไรพาที
ซึ่งสงสัยว่ามีชายาจะแจ้งโดยสัจจาถ้วนถี่
ที่ประสบพบองค์นารีต่างมีพิสมัยต่อกัน
ครั้นร่วมรักแล้วพี่จึงพามาค้างอยู่กลางป่าพนาสัณฑ์
กุศลนางกับพี่ไม่ควรกันจึงอุบัติเหตุสำคัญมีมา
พลัดกันยังมิได้ภิเษกศรีจัดเป็นเอกนารีได้ฤๅว่า
ปานนี้จะมิมรณาฤๅจะคงชีวาไม่แจ้งใจ
หนึ่งน้องนั้นไม่ควรถ่อมศักดิ์ก็สมพักตร์สมยศพิสมัย
จะถือเชิงถือชั้นเช่นนั้นไยใครจะนินทาได้เล่าเทวี
ตรัสพลางทางลูบปฤษฎางค์กุมกรตระกองนางโฉมศรี
สัพยอกหยอกเย้ายวนยีท่าทีแกมกลไปมา
      ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ พระเอยพระองค์พระจงโปรดเกล้าเกศา
อย่าหักโหมให้โทรมอุราดูเหมือนไม่เมตตาปรานี
ไหนไหนคงจะรองบทมาลย์ขอประทานงดก่อนพระโฉมศรี
แม้นไม่ผ่อนหย่อนประทานข้านี้เห็นว่าภูมีไม่เมตตา
      ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้โลม
๏ ดวงเอยดวงสมรอย่าผันผ่อนหน่วงความเสนหา
รสรักร้อนรนพ้นปัญญาจะป้องปัดหัตถาพี่ยาไย
ว่าพลางตระโบมโลมเล้าหยอกเย้าด้วยความพิสมัย
แย้มสรวลชวนชื่นหฤทัยที่ในยอดภูผาไพรวัน
      ฯ ๔ คำ ฯ โลม ปี่พาทย์
๏ เมื่อนั้นพระทรงโฉมประโลมลักษณ์รังสรรค์
ดำริจิตคิดกลัวจะโรมรันด้วยหมู่กุมภัณฑ์จะตามมา
จะรณรงค์ห่วงองค์อัคเรศจำประเวศล่วงไปในเวหา
ดำริแล้วชวนแก้วกัลยาเหาะขึ้นเมฆาด้วยฤทธี
      ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ลอยคว้างมาในกลางอัมพรพรายดังนารายณ์อุ้มองค์ลักษมี
กระซิกสรวลชวนองค์เทวีพระหัตถ์ชี้ให้ชมดาราเรือง
นั่นธุวังดาราอยู่คงที่ประจำยอดจุฬามณีสีเหลือง
โน่นดาวโรหิณีสีประเทืองที่เยื้องถัดไปดาวไถธง
ดาวเต่าดาวสำเภาดาวกาดาวม้าขึ้นเรียงเคียงดาวหงส์
ดาวพระศุกร์สุกสีสว่างวงโฉมยงนี่ดาวประกายพราย
ดาวพระพุธรัศมีเหมือนแก้วที่แพร้วแพร้วพฤหัสบดิ์โฉมฉาย
สัพยอกหยอกพลางทางบรรยายที่คลับคล้ายอยู่ข้างหลังดาวอังคาร
ดาวพระเสาร์กับพระเกตุประเวศชิดเข้าสนิทกับดาวศศิฉาน
ลอยละลิ่วปลิวมาในคัคนานต์ภูบาลก็รีบไคลคลา
      ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ครั้นจวนประจุสมัยใกล้จะรุ่งน้ำค้างฟุ้งเยือกเย็นมังสา
พระหนาวแนบแอบองค์วนิดาแล้วตรัสบอกชายาผู้ร่วมใจ
จำจะหยุดสำนักพักผ่อนยังยอดสิงขรป่าใหญ่
ต่อสว่างสร่างแสงอโณทัยเราจึงจะได้ไคลคลา
ว่าพลางพระทางหยุดพักสำนักยังยอดภูผา
วางนางลงเหนือศิลาทั้งสองสมรมยาสำราญ
      ฯ ๖ คำ ฯ โลม
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลียอดสงสาร
จึงกราบลงกับเบื้องบทมาลย์ขอประทานขมาโทษทัณฑ์
แล้วอยู่งานนวดฟั้นบาทบงสุ์สององค์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
รอเรียงเคียงข้างไม่ห่างกันต่างบรรทมหลับในราตรี
      ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
ยานี
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงไวยการยักษี
สถิตสถานพิมานรัตน์รูจีอสุรีเกษมสุขทุกทิวา
ได้พรพระสยมภูวนาถชายพิฆาตไม่ม้วยสังขาร์
สตรีประหารจึงมรณาเอองค์อยู่ในป่าพนาลัย
เรืองฤทธิ์สิทธิศักดิ์เดชาทศทิศเทวาไม่ต่อได้
สงครามห่อนขามเข็ดใครแต่ไร้องค์อัครชายา
เวลาเช้าคอยเฝ้าเวสวัณเป็นนิตย์นิรันดร์ไม่ขาดหน้า
ครั้นแสงทองประเทืองนภาอสุราทรงเครื่องเรืองสุวรรณ
สอดใส่สังวาลพาหุรัดมงกุฎแก้วจำรัสแสงฉัน
หัตถ์กุมคทาเพชรพรายพรรณระเห็จหันออกจากวิมานชัย
ถีบทะยานผ่านขึ้นเมฆินทร์ฟ้าดินกัมปนาทหวาดไหว
แกว่งตระบองกึกก้องพนาลัยคว้างคว้างมาในเมฆา
      ฯ ๑๒ คำ ฯ กราวใน เชิด
ร่าย
๏ ครั้นมาถึงยอดคีรียักษีเหลือบซ้ายแลขวา
เห็นบุรุษสตรีนิทราอสุรารำพึงคะนึงคิด
ใครหนอมาสนิทไสยาจะเป็นเทพภูผาก็เห็นผิด
ตะลึงแลเล็งเพ่งพิศมีจิตเสียวกระสันกัลยา
ช่างทรงโฉมประโลมลาวัณย์สิบหกห้องสวรรค์ก็สุดหา
ฉวีพักตร์ผ่องเพียงจันทราดังเลขาด้วยสุวรรณบรรจง
งามละม่อมพร้อมสิ้นทั้งสรรพางค์ยากอย่างที่จะหาเหมือนนวลระหง
เราไร้คู่อยู่เดียวเปลี่ยวองค์จำจะเชิญโฉมยงไปวิมาน
จะปกป้องครองยศสงวนรักให้สมศักดิ์สมยศยอดสงสาร
สิ่งราคีมิให้มีมาแผ้วพานขุนมารประดิพัทธ์ผูกพัน
จึงลอยลงยังยอดบรรพตาเข้าใกล้กัลยาแล้วรับขวัญ
เห็นคทาเกือกแก้วสำคัญให้กระสันสนเท่ห์หฤทัย
อันมนุษย์บุรุษผู้นี้จะรุ่งเรืองฤทธีเป็นไฉน
จึงมีคทาเกือกแก้วแววไววางไว้ข้างที่ไสยา
อย่าเลยจะร่ายพระเวทอันเรืองวิเศษเชี่ยวชาญหาญกล้า
สะกดสองมนุษย์นิทรามิให้ฟื้นกายาดังวายปราณ
จะเก็บคทาเกือกแก้วซ่อนจึงจะอุ้มดวงสมรไปสถาน
ดำริพลางร่ายเวทอันชัยชาญสะกดภูบาลกับบังอร
      ฯ ๑๘ คำ ฯ ตระบองกัน
๏ ครั้นเสร็จสะกดสองศรีอสุรีมีจิตสโมสร
หยิบเกือกแก้วกับคทาภูธรเร้นซ่อนให้ห่างภูวไนย
แล้วค่อยประจงหัตถาจะอุ้มอัครชายาศรีใส
ทิฐิจิตคิดขวยหฤทัยแม้นอุ้งองค์เหาะไปทั้งนิทรา
ใช่เช่ยชายเชิงชู้โฉดเขลาอัปยศเทพเจ้าทุกแหล่งหล้า
จำจะคลายไสยเวทศักดาให้กัลยาฟื้นสมประฤดี
จะประโลมเสียให้รู้รสรักชวนชักไปสู่พิมานศรี
จึงจะชอบระบอบประเพณีอสุรีจึงคลายมนตรา
      ฯ ๘ คำ ฯ รัว
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลีเสนหา
ไสยาสน์ยังยอดบรรพตาครั้นวิทยาเคลื่อนคลาย
ลืมเนตรสังเกตเห็นขุนยักษ์เยาวลักษณ์อกสั่นขวัญหาย
จึงปลุกพระโฉมเฉิดเลิศชายราพณ์ร้ายมันจะมาราญรอน
พระไม่ไหวติงกายาดังหนึ่งชีวาจะสังหรณ์
ให้อัดอั้นวิญญาณ์อาวรณ์บังอรกำสรวลโศกา
      ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นไวยการสุรศักดิ์ยักษา
จึงมีมธุราวาจาประโลมแก้วกัลยานารี
      ฯ ๒ คำ ฯ
ชาตรี
๏ น้องเอยน้องรักงามพักตร์เจ้าอย่าตกใจพี่
ถึงเราเป็นเหล่าอสุรีไม่หยาบช้ายายีเหมือนยักษ์ไพร
จะเชิญน้องไปครองทิพพิมานอันโอฬารยอดเยี่ยมสูงใหญ่
ประกอบด้วยศฤงคารโภไคยอำไพด้วยแก้วเจ็ดประการ
มีสวนพฤกษาน่าชมภายใต้รื่นร่มรโหฐาน
ผกาโกสุมแบ่งบานตระการด้วยกลิ่นมาลี
มีทั้งสระรัตน์เรืองรมย์อุดมด้วยบงกชสดศรี
วารินใสสิ้นราคีประกอบกรวดมณีพรายพรรณ
ตัดอาลัยในองค์ภัสดาเมตตาพี่บ้างสาวสวรรค์
แม้นกายจะละลายด้วยเพลิงกัลป์ถึงกระนั้นพี่นี้ไม่หน่ายน้อง
เราไร้คู่อยู่เดียวช้านานแต่ทุกข์ทรมานเศร้าหมอง
จะหานางเหมือนอย่างนวลละอองพร่ำตรองแสวงหาเป็นอาจิณ
มาพบมิ่งวิมลมาลย์มาศดังเทวราชพาชมสมถวิล
กุศลส่งจงเยื้อนอารมณ์ยินอย่าราคินขุ่นข้องหมองใจ
สมรมิ่งจงรับไมตรีพี่โดยมีประดิพัทธ์พิสมัย
จริงคำที่ร่ำว่าไว้อรทัยจงได้ปรานี
      ฯ ๑๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลีมารศรี
ฟังคำไวยการอสุรีดังมีผู้ประหารให้มรณา
กันแสงซ้ำปลุกองค์ภูวนาถไม่ไหวหวาดดังม้วยสังขาร์
ยิ่งระทดกำสรดโศกาวนิดาก็ร่ำรำพัน
      ฯ ๔ คำ ฯ
โอ้
๏ โอ้วาพระองค์ทรงเดชาไสยาเหมือนอย่างอาสัญ
ยักษาจะพาน้องจรจรัลทรงธรรม์ช่างไม่ฟื้นกายา
สองกรนางข้อนอุระร่ำอ้ว่ากรรมก่อนนั้นหนักหนา
เดิมนิราศบิตุเรศมารดาหมายจะพึ่งบาทาภูวไนย
ควรฤๅมาเป็นเช่นนี้ไหนจะทรงชีวีไว้ได้
สุดละห้อยสร้อยเศร้าเปล่าใจกอดบาทาภูวไนายโศกา
      ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้นไวยการสิทธิศักดิ์ยักษา
เห็นนางไม่ห่างภัสดาโกรธาว่าไปแก่เยาวมาลย์
อย่าปลุกเสียให้ยากลำบากจิตถึงเอาเพลิงพิษมาเผาผลาญ
ก็ไม่รู้สึกกายดังวายปราณด้วยต้องพานไสยเวทนิทรา
แม้นนางไม่ไปโดยดีสามีคงม้วยด้วยหัตถา
ว่าพลางจู่โจมโถมมาเงื้อคทาจะประหารราชินทร์
      ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลีแสนถวิล
เห็นไวยการอสุรินทร์จะพิฆาตภูมินทร์ให้มรณา
นางยกกรวอนไหว้ขอโทษจงโปรดเถิดพญายักษา
ตัวน้องจะรองบาทาตามแต่เมตตาปรานี
ขอชีวิตพระองค์ทรงสวัสดิ์จะได้สืบกษัตริย์ในกรุงศรี
แม้นท่านจะประหารชีวีเวรกรรมจะมีไม่ต้องการ
หนึ่งตัวน้องจะตามท่านไปแต่มีความอาลัยสงสาร
ภัสดาจะเดินดงดานเคยสำราญด้วยเกือกคทาธร
ท่านมาเก็บเร้นซ่อนไว้คงบรรลัยดังข้าอนุสร
ก็เหมือนประหารให้ม้วยมรณ์ขอคืนคทาภูธรเกือกมณี
มาไว้ข้างองค์ภูวนาถฟื้นไสยาสน์จะได้จรพนาศรี
สุดแต่กุศลภูมีน้องคงเป็นทาสีขุนยักษ์
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นไวยการรณฤทธิ์สิทธิศักดิ์
ได้ฟังมธุรสเยาวลักษณ์เยื้อนยิ้มในพักตร์ไปมา
จึงว่าคทาเกือกมณีพี่นี้จะคืนให้ขนิษฐา
แม้นเจ้าไปดังเจตนาถึงชีวิตพี่ยสจะให้นวล
ว่าพลางหยิบคทาเกือกรัตน์ประจงหัตถ์วางให้ทรามสงวน
ขอเชิญกานดาเวลาจวนอย่าอักอ่วนอาวรณ์เลยเทวี
      ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นองค์อัคเรศมาศรี
ชำเลืองเห็นคทาเกือกมณีเทวีดำริตริไตร
อันอสุราตนนี้กูจะล้างชีวีให้จงได้
ด้วยคทาศักดิ์สิทธิ์ฤทธิไกรจะเป็นไรก็ตามแต่เวรา
คิดแล้วจึงกล่าวสุนทรท่านผู้เรืองฤทธิรอนแกล้วกล้า
น้องเห็นจริงซึ่งสิ่งกรุณามิได้แกล้ววิญญาณ์เท่ายองใย
ซึ่งจะพาตัวข้าไปนี้โดยวาทีไม่ขัดอัชฌาสัย
หมายพำนักพักพึ่งบุญไปกว่าจะบรรลัยชีวา
      ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นไวยการชื่นชมหรรษา
จึงมีมธุรสพจนาขวัญตาเจ้าอย่าปรารมภใจ
พี่จะถนอมกล่อมรักคำหนักมิให้ช้ำหม่นไหม้
จนม้วยดินสิ้นฟ้านภาลัยไม่หน่ายใจแหนงจิตวนิดา
เชิญศรีเสาวภาคย์พูนสวัสดิ์มาสถิตแทบหัตถ์เชษฐา
จะเหาะไปในกลีบเมฆาสู่มหาพิมานรูจี
      ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นโฉมสร้อยสุนทเรศมารศรี
จึงอุบายบิดผันพาทีว่าขอบคุณพ้นที่คณนา
ซึ่งจะพาตัวน้องเหาะเหินจิตสะเทิ้นกลัวจะตกเวหา
จงเลียบเดินดัดดั้นอรัญวาถึงเร็วช้าจะขอให้บทจร
      ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นยักษาไวยการชาญสมร
ได้ฟังกัลยาว่าวอนไม่รู้กลบังอรก็อ่อนใจ
จึงว่าแล้วแต่ดวงนัยนาพี่ยาไม่ขัดอัชฌาสัย
ชวนนางลีลาคลาไคลเลียบไปตามป่าพนาลี
      ฯ ๔ คำ ฯ ทยอย
ร่าย
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลีโฉมศรี
ดำเนินเดินตามอสุรีมารศรีกลืนกลั้นโศกา
พลางร่ำรำพึงคะนึงคิดที่จะล้างชีวิตยักษา
ทำเล่ห์จริตกิริยามิให้สงกาเทวี
อสุราเดินหน้าจนเลี้ยวลับนางกลับมาประณตบทศรี
กราบกับบาทาพระสามีเทวีจึงตั้งสัตยา
เดชะตัวข้าสุจริตมิได้คิดแหนงหน่ายนาถา
จะแกว่งอาวุธอันศักดาขอให้เป็นพญาวิชาชาญ
มาช่วยป้องกันอสุรยักษ์ให้ประจักษ์ดังคำอธิษฐาน
เสี่ยงแล้วจึงยอดเยาวมาลย์หยิบคทาภูบาลขึ้นแกว่งไกว
      ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ บัดเดี๋ยวก็เป็นวิชาธรสลับสลอนเนืองแน่นไม่นับได้
เข้าแวดล้อมบังอรกับภูวไนยอยู่บนยอดไศลไพรวัน
      ฯ ๒ คำ ฯ
๏บัดนั้นไวยการมาในพนาสัณฑ์
เปรมปรีดิ์ปราโมทย์มัวมันแปรผันผินไปไม่พบนุช
อสุรีกริ้วโกรธพิโรธนักดังอัคนีมาจี้จุด
กระทืบบาทรีบเร่งเร็วรุดมิได้หยุดด้วยกำลังศักดา
      ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงซึ่งยอดคิรินทรเห็นนิกรวิทยาแน่นหนา
จึงร้องไปด้วยโกรธาดูดู๋พวกวิทยาธร
เหตุไฉนองอาจประมาทฤทธิ์ไม่กลัวชีวิตจะสังหรณ์
เห็นอะไรกับหญิงกลัมพรกล้าต่อกรด้วยเราผู้ศักดา
ว่าพลางแกว่งตระบองเข้าลุยไล่ด้วยกำลังว่องไวแกล้วกล้า
กลอกกลับจับกันไปมาเสียงสนั่นลั่นฟ้าธาตรี
ยักษาตีด้วยคทาวุธวิชาธรม้วยมุดอยู่กับที่
รื้อเป็นกลับเข้ามาต่อตีราวีติดพันกันไปมา
      ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้นวิชาธรกายสิทธิ์ฤทธิ์กล้า
รับรองป้องปัดสาตราด้วยกำลังวิทยาชาญชัย
กั้นกลางพระสมุทกับโฉมศรีมิให้ยักษ์หักตีเข้ามาได้
รุมจับสัประยุทธ์วุ่นไปที่ในยอดพนมพนาลี
      ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้นราพณ์ร้ายไวยการเรืองศรี
เนตรแดงดังแสงอัคคีควงคทามณีเข้ารอนราญ
วิชาธรย่อย่นไม่ทนได้ด้วยกำลังฤทธิไกรห้าวหาญ
ผันแปรแลเห็นนงคราญขุนมารโกรธาแล้วว่าไป
เหวยหญิงกาลีแพศยาได้พวกวิทยามาแต่ไหน
เชิงชู้แคล่วคล่องว่องไวบัดเดี๋ยวใจคบพามาง่ายครัน
ว่าพลางขบเขี้ยวเคี้ยวกรามคุกคำรามขู่นาฏสาวสวรรค์
แสนแค้นแสนรักระคนกันด้วยจิตโมหันธ์ฉันทา
      ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลีเสนหา
เคืองขัดตรัสตอบอสุราด้วยวาจาหยาบช้าสามานย์
เอ็งเป็นยักษ์มัวเมากามคุณหมกหมุ่นดังสัตว์เดียรัจฉาน
ทุจริตจิตมึงสันดานพาลจะหักรานร้างคู่เขาไปชม
ไม่สมหวังดังใจให้พิโรธดาลโกรธจะทำไมก็ไม่สม
จงกลับยังพิมานสำราญรมย์ขืนจะชมชีวันคงบรรลัย
      ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นไวยการเคืองขัดอัชฌาสัย
โดดโผนโจนจ้วงเข้าไปเลี้ยวไล่จับนางกลางณรงค์
คว้าไขวาไพล่พล้ำแพลงพลาดนารีราชหลีกได้ดังประสงค์
หันเหียนเปลี่ยนท่ากรรกงเวียนวงวุ่นวิ่งพัลวัน
      ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลีสาวสวรรค์
หลบหลีกไวว่องป้องกันถืออาวุธอันศักดา
อสุรีเสียทีโฉมยงสองหัตถ์ทรงคทาเงื้อง่า
หลับเนตรตีต้องอสุราล้มลงชีวาจะวางวาย
เห็นเลือดยักษ์พักตร์เผือดโลหิตวาบจิตลมจับโฉมฉาย
สลบพับกับแผ่นศิลาลายดังหนึ่งวอดวายชีวา
      ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นไวยการสิทธิศักดิ์ยักษา
ต้องอาวุธเลือดโทรมกายาอสุราจะม้วยชีวี
      ฯ ๒ คำ ฯ
โอ้
๏ โอ้ว่าอนิจจาเราเอยไม่ควรเลยจะมาตายไม่พอที่
เสียแรงเรืองอิทธิฤทธีมาพ่ายแพ้สตรีน่าอายนัก
เสียดายวิมานทองเคยไสยาสน์โอ้อนาถนิทราน่าอัปลักษณ์
เพราะเราชั่วมัวไปในรสรักทะนงศักดิ์จึงเป็นเช่นนี้
เสียดายสวนสระปทุมมาลย์บุษบาตระการหลายสี
หิมวันต์สัตภัณฑคิรีครั้งนี้จะร้างโรยรา
อโณทัยเคยเฝ้าเวสวัณทรงธรรม์ที่ไหนจะเห็นหน้า
ร่ำพลางทางแสนโศกาอสุราขาดใจบรรลัยลาญ
      ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นพระผู้พงศ์ขัตติยามหาศาล
ครั้นยักษ์ตายมนต์คลายมิทันนานภูบาลก็ฟื้นอินทรีย์
พระหัตถ์คว้าไม่พบนุชนาฏหลากประหลาดหฤทัยพระโฉมศรี
ธำรงองค์แลหาเทวีวิสัญญีหัตถ์กุมคทาพราย
ตระกองกรช้อนนางขึ้นวางตักพิศพักตร์ทรามวัยฤทัยหาย
เห็นไม้ไล่แหลกระเนนเอนชายแลข้างซ้ายพบมารมรณา
ก็ทราบว่านงคราญประหารยักษ์แต่ไฉนเยาวลักษณ์ซบสังขาร์
พระสลดรันทดวิญญาณ์ก็โศกาปลุกปลอบเทวี
      ฯ ๘ คำ ฯ โอด
โอ้
๏ โอ้เจ้าบุษมาลีของพี่เอ๋ยทรามเชยเป็นอย่างไรไม่รู้ที่
มาแน่นิ่งไม่ติงอินทรีย์ฤๅหนึ่งมารศรีบรรลัย
พระลูบทั่วกายายังอุ่นอยู่จึงรู้ว่าใช่ชีวิตักษัย
พระพิโรธร้ำเรียกอรไทเห็นทรามวัยฟื้นองค์ก็ยินดี
      ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นองค์อัคเรศมารศรี
แว่วเสียงพระราชสามีเทวีก็ลืมเนตรพลัน
แล้วจึ่งค่อยทรงกายากราบกับบาทาพระเฉิดฉัน
นางทูลความตามเรื่องทุกสิ่งอันซึ่งฆ่ายักษ์อาธรรม์พาลา
      ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระโฉมเฉิดเลิศลักษณ์ในแหล่งหล้า
รับขวัญนางพลางมีวาจาดวงตาของพี่ผู้ยอดรัก
หากว่าพี่นี้หลับดังม้วยมรณ์ไม่ได้ดูน้องรอนปรปักษ์
สัพยอกหยอกองค์นงลักษณ์พระแย้มยิ้มในพักตร์ไปมา
แล้วตรัสชวนองค์บังอรเราจะต้องรีบจรจากภูผา
สวมเกือกรัตน์หัตถ์กุมแก้วคทาแล้วชวนองค์วนิดาคลาไคล
      ฯ ๖ คำ ฯ ฝรั่งเชิด
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านมารพิภพเป็นใหญ่
เตือนต้อนโยธาคลาไคลหมายใจให้ทันสองมนุษย์
เขม้นไปในพื้นเมฆาเห็นธิดากับองค์พระสมุท
ประมาณเนตรสักห้าคาพยุตจึงรีบรุดขับนกอินทรีทรง
บินทะยานดั่งกาฬลมกัปประลัยโลกให้ยับเป็นผุยผง
กระชั้นทัพขับพลรณรงค์รีบตรงมาในห้องเมฆี
      ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นพระสมุทยุพราชโฉมศรี
ผันแปรแลไปเห็นไพรีในวิถีคัคนานต์ทะยานมา
พระจึงตรัสบอกนฤมลบิดาน้องคุมพลยักษา
ดังเมฆมืดมาทางบูรพาหมายมาจะจับสองเรา
      ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลีโฉมเฉลา
ได้ฟังภัสดานงเยาว์นางร้อนเร่าอุราแลไป
เห็นกองทัพนับแสนแน่นอเนกดังเมฆกลุ้มดวงสุริย์ใส
โศกาพลางทางกอดภูวไนยโอ้ครั้งนี้ท่าบรรลัยมั่นคง
พระองค์เดียวจะเคี่ยวสงครามยักษ์ทรงศักดิ์จะละเอียดเป็นผุยผง
ว่าพลางทางรันทดระทวยองค์โฉมยงกันแสงโศกา
      ฯ ๖ คำ ฯ โอด
โอ้โลม
๏ เมื่อนั้นพระสมุทวุฒิไกรใจกล้า
ปลอบนางพลางมีวาจากานดาอย่าตระหนกตกใจ
พลลักษ์ที่ยกตามมาพี่จะล้างชีวีไม่เหลือได้
เว้นแต่บิตุเรศของอรไทจะอ่อนน้อมภูวไนายไม่รบรา
กราบกรานขอประทานทัณฑ์โทษแม้นมิโปรดก็ตามวาสนา
สุดแต่บุญกรรมได้ทำมาจะสู้หน้าจนสิ้นชีวาลัย
      ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นท้าวรณจักรพงศ์พรหมเป็นใหญ่
เร่งรีบมิได้พักพลไกรพอทันองค์ทรงชัยในนภา
จึงสั่งกองทัพหน้าให้ดากันล้อมอ้ายอาธรรม์ให้แน่นหนา
แม้ใครย่อท้อถอยมากูจะฆ่าให้ม้วยวายปราณ
      ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นกองหน้าคำนับรับบรรหาร
จึงตั้งเป็นปีกกาหน้ากระดานวกเป็นสี่ด้านล้อมไว้
      ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพรุสมุทไม่พรั่นหวั่นไหว
เห็นพลมารหาญหักชิงชัยภูวไนยแกว่งคทาภูธร
      ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ บัดเดี๋ยวก็เป็นอัษฎาวุธฤทธิรุทรดังอสนีศร
ตกเต็มไปทั้งอัมพรเข้าไล่ราญรอนพลมาร
ทัพหน้ายอย่นไม่ทนได้บ้างบรรลัยบ้างตื่นแตกฉาน
อาวุธไล่ล้างแหลกลาญจนถึงหน้าภูบาลอสุรี
      ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นท้าวรณจักรยักษี
เห็นอาวุธไล่ล้างโยธีภูมีกริ้วโกรธพิโรธนัก
จึงหยิบจักรแก้วแววไวขว้างไปด้วยฤทธิ์สิทธิศักดิ์
ไล่ล้างอาวุธพระทรงลักษณ์แตกหักเป็นภัสม์ธุลีไป
แล้วสั่งกำชับพลมารให้จับอ้ายชาติพาลให้จงได้
จึงขับอินทรีเกรียงไกรเข้าไล่ราญรอนรำบาญ
      ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นพระผู้พงศ์กษัตราศักดาหาญ
เห็นยักษาขว้างจักรมารอนราญล้างผลาญอาวุธแหลกไป
พระจึงหยิบคทาวราฤทธิ์คิดคุณนักสิทธิ์เป็นใหญ่
แล้วแกว่งด้วยกำลังฤทธิไกรบัดใจก็เป็นเพลิงพราย
ดำเกิงแสงแรงร้อนด้วยฤทธีดังอสนีพิฆาตพาดสาย
กับนิกรกุมภัณฑ์ทั้งไพร่นายที่องอาจมาดหมายตามมา
แล้วไล่เผาผลาญราพณ์ร้ายตกตายเกลื่อนกลาดกลางป่า
บ้างพองร้อนเพลิงพิษจิตระอาถอยล่ามากระทั่งอินทรีทรง
      ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นท้าวรณจักรนิ่งคิดพิศวง
เห็นเพลิงกาฬสังหารจัตุรงค์จึงทรงอ่านเวทอันศักดา
      ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๏ บัดเดี๋ยวก็เป็นพิรุณสาตรดับเพลิงกาจที่ผลาญยักษา
ย่อยยับดับไปในเมฆามารานิกรก็สำราญ
จึงตรัสสั่งโยธาคณายักษ์เร่งโหมหักลุยไล่สังหาร
จึงขับสกุณินอินทรีชาญโถมทะยานต้อนหลังโยธี
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นพระวรราชขัตติยวงศ์เรืองศรี
กรซ้ายอุ้มกัลยาณีกรขวาราวีกุมภัณฑ์
พระสังหารมารร้ายลงนับแสนยิ่งหนุนแน่นโรมรุกแข็งขัน
จนระอาอ่อนองค์ทรงธรรม์แต่ผจัญรณรงค์อสุรา
จำจะแกว่งคทาวราเดชเป็นวิทเยศได้ช่วยเข่นฆ่า
ดำริพลางทางทรงแกว่งคทาเป็นวิชาคนธรรพ์นับโกฏิปลาย
      ฯ ๖ คำ ฯ รัว
๏ จึงสั่งวิชาธรกายสิทธิ์จงต่อฤทธิรอนราญมารทั้งหลาย
กั้นไว้อย่าให้ไล่มากล้ำกรายสั่งแล้วอุ้มโฉมฉายเหาะไป
      ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงซึ่งยอดบรรพตพระทรงยศเข้าหยุดอาศัย
จึงวางองค์อัคราชอรไทภายใต้รุกขไทรสำราญ
พระแย้มสรวลชวนชื่นระรื่นรสคลายรันทดค่อยสุขเกษมศานต์
แล้วผันแปรแลไปในคัคนานต์ทิศอิสานมืดคลุ้มกลุ้มมา
อุโฆษเสียงกึกก้องกัมปนาทหลากประหลาดฤทัยนาถา
เห็นธงฉานธงชัยไสวมาไม่แจ้งว่าบิตุรงค์ทรงตาม
จึงตรัสบอกองค์บุษมาลีทัพใครนี้ยกมาหลายหลาม
ทัศนาไปข้างหน้าเถิดโฉมงามอร่ามมาในพื้นอัมพร
      ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลีดวงสมร
ได้ฟังพจนารถภูธรบังอรผันแปรแลตาม
สำคัญว่าหมู่ราชไภยันต์ยกทัพมากั้นก็นึกขาม
ภูมีคงเสียทีสงครามจำจะทูลความพระทรงชัย
ดำริพลางนางกราบกับบาทาทูลพระยิ่งขัตติยาศรีใส
ศึกครั้งนี้กวดขันน้องพรั่นใจขอพระองค์ลงในอรัญวา
จงเข้าเร้นซ่อนเสียให้ลับกองทัพมาโดยพระเวหา
ก็จะเลยล่วงข้ามไคลคลาเราจึงค่อยพากันรีบไป
      ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสมุทรัศมีศรีใส
จึงตรัสตอบองค์อรไทอย่าประหวั่นพรั่นใจเลยเทวี
ถึงทัพนับแสนแน่นอนันต์จะห้ำหั่นเสียให้ยับลงกับที่
แย้มสรวลชวนนางพาทียังยอดคิรีสำราญ
      ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นท่านท้าวกาณุราชใจหาญ
เหาะล่องยังห้องคัคนานต์ภูบาลเที่ยวแสวงโอรส
แต่ค้นหามาได้เดือนเศษก็มิได้ทราบเหตุทั้งปวงหมด
พระสร้อยเศร้าโศกศัลย์รันทดจึงเร่งพลจรดระเห็จมา
      ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงยอดเขาใหญ่ไพรวันทรงธรรม์เห็นองค์โอรสา
ปรีดีจิตเหาะจากไอยราลงยังยอดบรรพตาทันใด
แล้วจึงกอดเอาโอรสพระทรงยศค่อยคลายหม่นไหม้
พระยินดีดังได้วิเชียรชัยของท้าวสหัสนัยน์เทวา
จึงมีบัญชาปราศรัยถามโฉมงามของพ่อเสนหา
แต่เจ้ากำจัดจากบิดามีสุขทุกขาประการใด
พอรู้ข่าวว่าเจ้าแรมนิราศมิได้เศร้าสร้อยละห้อยไห้
ทั้งนางวิมานจันทร์เฝ้าอาลัยคิดขึ้นได้แสร้งว่าพระมารดร
ไม่ไสยาสน์ไม่เสพกระยาหารแต่แดดาลโศกเศร้าฤทัยถอน
ทั้งราตรีทิวาพร่ำอาวรณ์ทุกข์สะท้อนข่าวพระลูกยา
พ่อจึงกรีธาพลากรแรมรอนเที่ยวสืบเสาะหา
ประมาณได้เดือนเศษสังเกตมาจึงพบโอรสาพ่อยินดี
นางนี้เจ้าได้มาแต่ไหนเยาวลักษณ์วิไลทรงศรี
สุริยวงศ์พงศ์พันธุ์นารีเทวีสถิตนครใด
      ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงทรงลักษณ์พิสมัย
ได้ฟังรับสั่งภูวนัยปราศรัยไถ่ถามด้วยกรุณา
จึงประนมก้มเกศกราบบาททูลพระบิตุราชนาถา
แต่ลูกนิราศพระองค์มาลำบากกายทุกทิวาราตรี
หมายจะคืนหลังยังนครแต่หลงจรพลัดเข้าสวนศรี
ของท้าวรณจักรอสุรีพอบุตรีมาประพาสมาลา
ลูกยลโฉมต้องจิตพิศวาสจึงอุ้มนาฏมาในห้องเวหา
รณจักรแสนพิโรธโกรธาจึงยกนิกรมาราติดตาม
ลูกเคี่ยวขับสัประยุทธ์หลายครั้งอ่อนกำลังแทบจะเพลี่ยงในสนาม
จึงแกว่งคทาเป็นวิชาเข้าสงครามแล้วพานางงามหนีมา
      ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงภพจักรวาลยักษา
ฟังโอรสแถลงแจ้งกิจจาจึงปราศรัยกัลยาโดยสุนทร
แม้นพบบิตุรงค์นงลักษณ์จึงจักว่ากล่าวให้โอนอ่อน
ตามผู้ใหญ่มิให้ราญรอนแล้วสั่งพลนิกรให้ยาตรา
      ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นท้าวรณจักรอัครราชยักษา
สงครามอยู่กับหมู่วิทยาพลยักษาล้างไม่บรรลัยลง
ท้าวยิ่งเดือดดาลหาญพิโรธทะลึ่งโลดหมายพิฆาตให้เป็นผง
วิทยาไม่หย่อนผ่อนณรงค์ต่างคงต่างทนเข้ารณราญ
      ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นพระผู้พงศ์พรหเมศมหาศาล
ประหารหมู่วิทยาไม่วายปราณขุนมารยิ่งหลากประหลาดใจ
พิศดูรู้ว่าเป็นกายสิทธิ์มันทำไว้มิให้ติดตามได้
อย่าเลยจะแผลงศรชัยให้เป็นข่ายเพชรเจ็ดชั้น
ล้อมพวกกายสิทธิ์วิชาธรไว้ในอัมพรให้มั่น
คิดแล้วจึงท้าวกุมภัณฑ์ก็หยิบศรอันศักดา
ประนมหัตถ์ขึ้นเหนือศิโรเพศระลึกคุณพรหเมศนาถา
ครั้นถ้วนคำรบสามคราอสุราพาดสายแผลงไป
      ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ เดชะศรสิทธิ์อันเชี่ยวชาญก็บันดาลไปเป็นตาไข่
ล้อมพวกวิชาธรไว้อสุรไกรมีความยินดี
แล้วสั่งให้เลิกพลขันธ์โห่สนั่นมาในพนาศรี
พระองค์ทรงขับอินทรีจรลีรีบเร่งเร็วมา
      ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ พอปะทะทัพท้าวกาณุราชภูวนาถรณจักรยักษา
เห็นพระสมุทกับองค์ธิดาสถิตหลังไอยราร่วมกัน
ที่ทรงคอนั้นพญากาณุราชสิบพระโอษฐ์ตวาดบันลือลั่น
เหวยเหวยจอมโยธาอาธรรม์มาคบมนุษย์ใจฉกรรจ์ไว้ทำไม
เร่งส่งตัวมาให้เราด้วยพลันหาไม่ชีวันจะตักษัย
ได้เป็นมิตรไมตรีกันไปโดยในสุริยวงศ์พรหมาน
      ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวกาณุราชใจหาญ
จึงตอบคำรณจักรภูบาลด้วยสุนทรอ่อนหวานวาจา
ซึ่งท่านยกจัตุรงค์รณยุทธ์จะจับเจ้าสมุทบุตรข้า
ว่าลอบลักพาราชธิดาเพราะหยาบช้าล่วงเกินก็ควรการ
เราเห็นว่าเป็นตรุณบุรุษมิสุดสิ้นรักสมัครสมาน
จึงทำผิดชั่วดังเช่นพาลข้าขอเสียเถอะท่านอย่าถือความ
ซึ่งว่าทั้งนี้โดยสุจริตมิได้คิดข่มขี่หยาบหยาม
เราผู้ใหญ่ไว้ยศอย่าสงครามให้ตามขัติยประเพณี
เชิญท่ายกโยธาพลากรคืนนครยักษาบุรีศรี
จะตั้งอยู่รบรันประจัญตีให้เสียพลมนตรีไม่ต้องการ
ไหนไหนเด็กทั้งสองได้ร่วมรักท่านจะหักหาญไปให้ร้าวฉาน
ท่านรักเหมือนดังแหนงแกล้งประจานที่ว่าขานนี้เป็นข้อสมาคม
แม้นเรากลับถึงบุรีสถานจะแต่งบรรณาการให้งามสม
ถวายเป็นไมตรีโดยนิยมตามเชื้อพรหมพงศ์จักรพักตรา
      ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าววิสดีหัตถ์นาถา
ได้ฟังกาณุราชอสุราดังศรสิทธิ์ศักดามาเสียบกรรณ
แล้วแข็งจิตตอบคำกาณุราชท่านเชื้อชาติพรหมานรังสรรค์
วาจาหาเป็นยุติธรรม์เข้าด้วยตัวลูกนั้นไม่อายใจ
ชอบแต่ลูกเราผิดติดตามมาเจรจาดังนี้ควรฟังได้
นี่ลักอุ้มเอาตามอำเภอใจลูกเรามิได้รู้ตัว
แกล้งทำข่มเหงไม่เกรงหน้าหวังจะให้เทวายิ้มหัว
ทำโทษใส่แล้วจะขอโทษตัวจะดีชั่วอย่างไรได้เห็นกัน
      ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เหลือบเห็นนางบุษมาลีอสุรีกวักหัตถ์ตรัสรับขวัญ
มาเถิดลูกยาอย่าช้าพลันพ่อมีจิตผูกพันตามมา
หวังจะรับลูกรักคืนนัคเรศให้ขึ้นชื่อลือเดชทุกทิศา
หนึ่งนางวรรณศูรมารดาเฝ้าแต่แสนโศกาถึงลูกรัก
แต่ร่ำพิไรทุกข์ร้อนอาวรณ์วิตกเพียงอกหัก
ตัดอาลัยมาไปเถิดลูกรักจะได้พบพักตร์พระมารดา
แม้นเจ้ากลับบุรีมีปราโมทย์จะสมโภชลูกรักให้หนักหนา
ทรามวัยมาไปเถิดลูกยาได้แก้หน้าบิตุราชมาตุรงค์
      ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลีนวลระหง
จึงทูลพระบิดาโดยจงพระองค์ได้โปรดปรานี
อันลูกนี้มิชั่วก็เหมือนชั่วเขาลือทั่วเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี
พันผูกจะให้ลูกคืนบุรีบัดสีไพร่ฟ้าประชากร
เป็นกรรมของลูกแล้วจะขอลาพระบิดาจงได้โปรดก่อน
ฆ่าสามีลูกนี้คงม้วยมรณ์ภูธรช่วยระงับอัประมาณ
เชิญพระองค์กลับหลังยังวังในรณรงค์กันไม่เป็นแก่นสาร
ตัดอาลัยลูกรักอย่าแดดาลเหมือนตายจากบทมาลย์ภูมี
แล้วพระได้โปรดเกศาช่วยทูลพระมารดาทรงศรี
ว่าลูกขอลาฝ่าธุลีจากพระชนนีคลาไคล
แม้นว่ายังมิมรณาจะคืนฉลองบาทาให้จงได้
ทูลพลางนางทรงโศกาลัยทรามวัยพิไรอ้อนวอน
      ฯ ๑๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นท้าวรณจักรชาญสมร
โกรธาว่าไปกับบังอรทำยอกย้อนกลับให้กูได้อาย
ทรลักษณ์กลับไปร่วมรักชู้เสียแรงกูนับเป็นเนื้อเชื้อสาย
แม้นมาดกูฆ่ามึงวอดวายก็เสียดายด้วยได้เลี้ยงมา
นอกนั้นก็จะฟันเป็นเบือให้เป็นเหยื่อสิงสัตว์ในป่า
ถ้าไม่ไปไม่ฟังวาจาอย่าพักมาพิไรรำพัน
พิโรธพลางทางกระชั้นสีหนาทเหวยอำมาตย์พลไกรแข็งขัน
เร่งเข้าหักโหมโรมรันห้ำหั่นอย่าให้ทันพริบตา
      ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นทหารมารนายซ้ายขวา
รับสั่งพระผู้พงศ์พรหมาก็ตั้งดาหน้ากระดานเข้าไป
รุมจับสัประยุทธ์สับสนลางตนแกว่งหอกเข้าลุยไล่
บ้างถือทวนสวนแทงแกว่งไกวบ้างยิงด้วยหน้าไม้ลูกยา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นท้าวกาณุราชนาถา
จึงสั่งพระสมุทบุตราเจ้าเหนื่อยกายาจงคลาไคล
พักอยู่ยังยอดคิรีระวังองค์มารศรีอย่าไกลได้
พ่อกับรณจักรจะชิงชัยเจ้าคอยดูเล่นให้สำราญ
      ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสมุทผู้ทรงศักดาหาญ
ก้มกราบลงกับบทมาลย์ตระกององค์นงคราญแล้วเหาะมา
      ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้นฝ่ายกาณุราชแกล้วกล้า
รับรองป้องกันสาตราแล้วแยกเป็นปีกกากระหนาบไว้
ครั้นได้ทีเข้าตีตะลุมบอนดัสกรไม่ทานทนได้
ตายแตกย่อย่นลงไปกระทั่งถึงนกชัยพญามาร
      ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นท้าวรณจักรมหาศาล
ทอดพระเนตรเห็นพหลรำบาญแตกฉานลงมาพิโรธนัก
จึงขับอินทรีรุกรณประจญด้วยหมู่ปรปักษ์
ยี่สิบกรฟอนฟันไม่หยุดพักด้วยฤทธิ์สิทธิศักดิ์อสุรี
โยธากาณุราชย่อย่นบ้างม้วยวายชนม์กับที่
พญายักษ์ไล่หักหาญตีราวีจนกระทั่งท้าวกุมภัณฑ์
แล้วขับนกอินทรีถีบถอนขึ้นจับงากุญชรเฉิดฉัน
นขาหยิกปากจิกคชาธรรม์ต่างยุทธนากันบนนภา
      ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นท้าวกาณุราชยักษา
เห็นท้าวรณจักรราชาขับอินทรีเข้ามารอนราญ
ท้าวยิ่งพิโรธดังอัคคีบรรลัยโลกีเผาผลาญ
กวัดแกว่งแสงง้าวสุรกาญจร์ต่างหาญไม่ละลดกัน
เห็นได้ทีพญากาณุราชฟันฟาดด้วยง้าวเฉิดฉัน
ต้องท้าวรณจักรกุมภัณฑ์กรกายขาดกันออกไป
ตกลงยังพื้นเมทนีแล้วซ้ำฟันอินทรีนกใหญ่
อสุรียินดีด้วยมีชัยตบพระหัตถ์ก้องในนภา
      ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านอสุรภพนาถา
ต้องอาวุธขาดกรกายาอสุราจึงร่ายเวทพลัน
      ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๏ เดชะวิทยาอันเชี่ยวชาญก็บันดาลกายกรติดมั่น
ถีบทะยานผ่านขึ้นเมฆาพลันด้วยฤทธีอันมหิมา
ครั้นตรงพักตร์เจ้ากรุงจักรวาลขุนมารเต้นรำทำท่า
ตบหัตถ์เย้ยหยันไปมาอยู่ตรงหน้าคชากุมภัณฑ์
      ฯ ๔ คำ ฯ กราวรำ
๏ ทอดพระเนตรเห็นนกอินทรีทรงขององค์อสุราอาสัญ
แต่ยุทธนามาด้วยกันคณนาอนันต์แต่มีชัย
ครั้งนี้สกุณีวอดวายแสนเสียดายไม่กลั้นน้ำเนตรได้
โศกสลดรันทดฤทัยความอาลัยสงสารสกุณา
แล้วฉุนพิโรธโดดทะยานขึ้นเหยียบงาคชสารแกล้วกล้า
โจนจับสัประยุทธ์กันไปมาอยู่บนหลังไอยราพัลวัน
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ พลาดท่าเสียทีทั้งสองติดตดลงท้องพนาสัณฑ์
ต่างสลัดพลัดหลุดจากกันต่างระเห็จหันขึ้นเมฆา
รณจักรจึงชักศรสิทธิ์มาดจิตหมายเขม้นเข่นฆ่า
พาดสายแผลงไปด้วยศักดาต้องอุรากาณุราชอสุรินทร์
ตกลกยังพื้นพสุธาอสุราได้สมดังถวิล
ทรงพระสรวลสนั่นลั่นฟ้าดินอยู่บนที่เมฆินทร์สำราญ
      ฯ ๖ คำ ฯ เชิดฉิ่ง โอด
๏ เมื่อนั้นท้าวกาณุราชใจหาญ
ต้องศรปิ่มม้วยวายปราณขุนมารจึงร่ายมนตรา
      ฯ ๒ คำ ฯ รัว
๏ เดชะพระเวทของทรงภุชศรก็หลุดจากอุระยักษา
ที่แผลหายไม่ระคายกายาอสุรามีความยินดี
จึงจับหอกเหาะขึ้นนภาลัยตรงหน้าไทรณจักรยักษี
เต้นรำซ้ำเย้ยด้วยวาทีต่อหน้าอสุรีดัสกร
      ฯ ๔ คำ ฯ กราวรำ
๏ แล้วเข้าจู่โจมโถมจับกลอกกลับว่องไวผันผ่อน
ต่างหาญต่างกล้าราญรอนเสียงสะท้อนกึกก้องโลกี
ได้ทีท้าวแทงด้วยหอกกล้าต้องอุรารณจักรเรืองศรี
ตกผางลงกลางปัถพีอสุรีซ้ำสาปด้วยมนตรา
อย่าให้หอกหลุดจากกายจนวายชีวังสังขาร์
ให้สมที่โมหันธ์ฉันทาสาปแล้วอสุราก็เปรมปรีดิ์
      ฯ ๖ คำ ฯ เชิด โอด
๏ เมื่อนั้นท้าวรัศเศียรยักษี
ต้องหอกตกลงธรณีอสุรีจึงร่ายวิทยา
จะร่ายเวทเท่าไรหอกไม่หลุดจนสุดกำลังยักษา
พิษหอกกลุ้มกลัดวิญญาณ์ก็เห็นชีวาจะวายปราณ
แล้วตรัสเรียกราชบุตรีบุษมาลีผู้ยอดสงสาร
บิดาจะสิ้นชนมานจงมาดูวิญญาณนะลูกรัก
      ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลีมีศักดิ์
แว่วเสียงบิตุรงค์นงลักษณ์จึงผินพักตร์เหลือบแลแปรไป
เห็นองค์สมเด็จพระบิดาต้องอาวุธกายาโลหิตไหล
น่าที่จะม้วยบรรลัยอรไททูลวอนภูมี
พระจงได้โปรดเกศาช่วยพาข้าผู้รองบทศรี
ไปยังราขาอสุรีท้าวมีคุณจะได้ขอษมา
      ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงลักษณ์ล้ำกษัตริย์แหล่งหล้า
รับขวัญนางพลางมีวาจาซึ่งจะพาไปนั้นอย่าร้อนใจ
ว่าพลางอุ้มองค์นงคราญเหาะทะยานลงยังป่าใหญ่
แล้วจึงวางองค์อรไทแทบใกล้เจ้ากรุงมารา
      ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นนางบุษมาลียอดเสนหา
วิ่งเข้ากอดบาทพระบิดาโศกาพิไรรำพัน
      ฯ ๒ คำ ฯ โอด
โอ้
๏ โอ้ว่าพระองค์ทรงฤทธิ์ไม่ควรเลยชีวิตจะอาสัญ
หอกปักอุระให้แดยันทั้งตรีโลกใครจะทันฤทธิไกร
โอ้ครั้งนี้พระองค์มาแพ้พ่ายทอดกายกลิ้งเกลือกในป่าใหญ่
ลูกได้ทูลห้ามภูวไนยก็มิได้เชื่อฟังวาจา
พระองค์จงให้ขมาโทษซึ่งกริ้วโกรธขุ่นแค้นตัวข้า
ร่ำพลางนางทรงโศกาอยู่กับบาทาอสุรี
      ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นรณจักรพรหมพงศ์ยักษี
เห็นธิดามาพิไรโศกีอสุรีสลดวิญญาณ์
จึงตรัสโลมเล้าลูกรักงามพักตร์ผู้ยอดเสนหา
เป็นเวราขอพ่อจะมรณาเจ้าจงกลั้นโศกาอาลัย
บิดาม้วยไม่เสียดายชีวิตเห็นพักตร์ลูกให้คิดละห้อยไห้
ใครจะรักเหมือนพ่อรักดวงใจโอ้ครั้งนี้จะไกลแลลับ
ทั้งธรณีเป็นเชลยเขาหมดจะเสื่อมยศดังแสงประทีปดับ
เสนหาโฉมเฉลาเฝ้ากำชับเจ้าจงรับคำสอนของบิดา
เอื้อนอรรถตรัสบอกมิใคร่ได้ยี่สิบเนตรชลนัยน์นองหน้า
สิบโอษฐ์ร่ำสั่งกัลยาด้วยพจนาอันสุนทร
โอษฐ์หนึ่งว่าโอ้เจ้าดวงจิตบิดานี้ชีวิตจะสังหรณ์
แม้นไปกับภัสดาอยู่นครบังอรจงเสงี่ยมเจียมกาย
พระโอษฐ์สองเจ้ารองบทมาลย์มลทินพาลอย่าให้มีที่สลาย
สองชนกผัวจงยำอย่ากล้ำกรายทั้งวงศ์วานทั้งหลายจงฝากตัว
พระโอษฐ์สามสิ่งซึ่งเป็นความลับท้าวกำชับอย่าแสดงให้แจ้งทั่ว
พูดนักมักมีราคีมัวปากชั่วตัวดีก็มีทัณฑ์
พระโอษฐ์สี่ว่าพ่อนี้จะบรรลัยขอฝากไพชยนต์รัตน์ไอศวรรย์
วรรณสูรกัลยามารดานั้นจงผูกพันบำรุงให้จงดี
พระโอษฐ์ห้าว่าเหล่าเสนาในอย่าช่วงใช้เลยมิ่งมารศรี
เหมือนเมตตากับบิดาม้วยชีวีความผิดมีช่วยระงับให้ดับไป
พระโอษฐ์หกวิตกอำมาตย์ยักษ์เจ้าจงเป็นพำนักได้อาศัย
ชับเลี้ยงให้เป็นสุขสำราญใจเหมือนเมื่อในแต่หลังครั้งบิดา
โอษฐ์เจ็ดว่าเจ้าช่วยเผาศพพ่อทั้งฝากหน่อสุริย์วงศ์สนิทหน้า
ชอบผิดจงได้คิดเมตตาได้เห็นแก่บิดาเถิดเทวี
โอษฐ์แปดจึงว่าแก่กาณุราชขอฝากนาฏธิดามารศรี
เราจะถึงอาสัญทันใดนี้อสุรีจงได้เมตตา
โอษฐ์เก้าสั่งเหล่าเสนานั้นระวังตัวกลัวทัณฑ์ให้หนักหนา
เราสิ้นบุญสูญซึ่งชีวาดังเดือนลับมหาเมรุไกร
โอษฐ์สิบสิ้นเสียงสิ้นสั่งหมดกำลังตั้งจิตได้
ก็ถึงแก่อาสัญบรรลัยไปเกิดในวิมานโอฬาร์
      ฯ ๓๐ คำ ฯ
             

เชิงอรรถ

ที่มา

พระบวรราชนิพนธ์ เล่ม ๒ สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์่่่่่ กรมศิลปากร ๒๕๔๘

เครื่องมือส่วนตัว