บทละครเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
()
()
แถว 4,815: แถว 4,815:
ใช่นางเกิดในประทุมา  สุริย์วงศ์พงศานั้นหาไม่
ใช่นางเกิดในประทุมา  สุริย์วงศ์พงศานั้นหาไม่
จะมาช่วงชิงกันดังผลไม้  อันจะได้นางไปอย่าสงกา
จะมาช่วงชิงกันดังผลไม้  อันจะได้นางไปอย่าสงกา
 +
</tpoem>
 +
=== ===
 +
<tpoem>
 +
๏ เมื่อนั้น  ท้าวกะหมังกุหนิงใจกล้า
 +
จึงว่าเรายกโยธา  หมายมาจะชิงพระบุตรี
 +
ถึงจะรับของสู่ระตูไว้  ยังมิได้ทำการภิเษกศรี
 +
จรกาไม่มาก็ยิ่งดี  ไม่มีผู้หวงแหนเกียจกัน
 +
สุดแต่นางอยู่ที่ไหน  เราจะชิงชัยที่นั่น
 +
อันชิงนางอย่างนี้ไม่ผิดธรรม์  ธรรมเนียมนั้นมีแต่บุราณมา
 +
สุดแต่ใครดีก็ใครได้  การอะไรของเจ้าผู้เชษฐา
 +
จงยกทัพกลับคืนไปพารา  เบื้องหน้าจะได้สืบสุริย์วงศ์
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นมนตรีตอบตามประสงค์
 +
ซึ่งจะให้เรายกจตุรงค์  คืนคงกรุงไกรนั้นไม่ควร
 +
อับอายไพร่ฟ้าประชาชน  เสนีรี้พลจะแซ่สรวล
 +
หรือหมายไม่สมคะเนเรรวน  จึงชวนพูดจาอย่าทัพ
 +
อย่าพักอุบายให้ตายใจ  ท่านมิยกคืนไปก็ไม่กลับ
 +
รี้พลก็จะพลอยย่อยยับ  เรากับระตูมาสู้กัน
 +
จะได้ดูฤทธีฝืมือ  ให้ลือชื่อในชะวาเขตต์ขัณฑ์
 +
หรือรักตัวกลัวจะม้วยชีวัน  บังคมคัลจะให้คืนไปพารา
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  วิหยาสะกำใจกล้า
 +
ได้ฟังคั่งแค้นแทนบิดา  จึงตอบวาจาว่าไป
 +
ดูกอ่นอริราชไพรี  อย่าพาทีลบหลู่ท่านผู้ใหญ่
 +
โอหังบังอาจประมาทใคร  จะนบนอบยอบไหว้อย่าพึงนึก
 +
มิเราก็เจ้าจะตายลง  อย่าหมายจิตต์คิดทะนงในการศึก
 +
ยังมิทันพันตูมาขู่คึก  จะรับแพ้แลลึกไม่มีลาย
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  สังคามาระตาเฉิดฉาย
 +
ฟังวิหยาสะกำอภิปราย  หยาบคายเคืองขัดอัธยา
 +
จึงทูลองค์ระเด่นมนตรี  น้องนี้จะขออาสา
 +
สู้วิหยาสะกำผู้ศักดา  พระองค์จงยืนม้าเป็นประธาน
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นมนตรีใจหาญ
 +
จึงตอบอนุชาชัยชาญ  เจ้าจะต้านต่อฤทธิ์ก็ตามใจ
 +
แต่อย่าลงจากพาชี  เพลงกระบี่ยังหาชำนาญไม่
 +
เพลงทวนสันทัดชัดเจนใจ  เห็นจะมีชัยแก่ไพรี
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  สังคามาระตาเรืองศรี
 +
น้อมองค์ลงถวายอัญชลี  กะระตรพาชีขึ้นไปพลัน
 +
 +
๏ ยืนม้าอยู่ตรงวิหยาสะกำ  แสร้งทำเป็นทีเย้ยหยัน
 +
แล้วว่าใครไม่คิดแก่ชีวัน  จะชิงตุนาหงันพระธิดา
 +
จงมาเล่นทวนด้วยกันก่อน  ให้เห็นฤทธิรอนแกล้วกล้า
 +
แม้ควรคู่กับวงศ์เทวา  จึงจะยกกัลยาให้ไป
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  วิหยาสะกำศรีใส
 +
ได้ฟังแค้นขัดอัดใจ  จึงตอบคำไปด้วยพลัน
 +
ดูก่อนผู้เรืองฤทธิรงค์  รูปทรงงามสมคมสัน
 +
เชื้อชาติญาติวงศ์พงศ์พันธุ์  อยู่เขตต์ขัณฑ์ธานีบุรีไร
 +
หรือเป็นวงศ์อสัญแดหวา  ในสี่นคราเป็นไฉน
 +
จึงปั้นหน้ามาต่อฤทธิไกร  ไม่กลัวชีวาลัยจะมรณา
 +
ที่ยืนม้าอยู่ข้างหลังนั้น  กั้นกลดพื้นสุวรรณโอ่อ่า
 +
นามวงศ์พงศ์ใครจงบอกมา  แจ้งกิจจาแล้วจึงจะรบกัน
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  สังคามาระตาเฉิดฉัน
 +
ได้ฟังดังศรเสียดกรรณ  จึงตอบไปพลันทันใด
 +
อันองค์สมเด็จพระเป็นเจ้า  คืออิเหนากุเรปันเป็นใหญ่
 +
นั่นกะหรัดติปาตีชาญชัย  ร่วมในสุริย์วงศ์ธิบดี
 +
นี่สุหรานากงทรงสวัสดิ์  องค์อะนะสิงหัดส่าหรี
 +
นั่นระเด่นดาหยนภูมี  อยู่หมันหยาธานีกรุงไกร
 +
เราชื่อสังคามาระตา  หน่อท้าวปักมาหงันเป็นใหญ่
 +
ได้เป็นอนุชาเรืองชัย  ภูวไนยองค์ระเด่นมนตรี
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  วิหยาสะกำเรืองศรี
 +
ยิ้มแล้วจึงตอบวาที  ซึ่งว่ามานี้ก็เข้าใจ
 +
อันกาหลังสิงหัดส่าหรีนั้น  ดาหากุเรปันกรุงใหญ่
 +
หมันหยาธานีนั้นไซ้  ก็แจ้งใจว่าวงศ์นั้นสืบมา
 +
ตัวสิอยู่ปักมาหงัน  ใช่วงศ์อสัญแดหวา
 +
เหตุใดว่าเป็นอนุชา  นับในวงศาประการใด
 +
หรือหนึ่งพึ่งจะมาเป็นน้อง  เกี่ยวข้องรักกันเป็นไฉน
 +
เราคิดเห็นผิดประหลาดใจ  จงบอกไปแต่จริงบัดนี้
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  สังคามาระตาเรืองศรี
 +
ฟังวิหยาสะกำพาที  ดังตรีเพ็ชร์บาดในอุรา
 +
จึงร้องว่าเหวยไพริน  ลมลิ้นหยาบคายหนักหนา
 +
มาถามไถ่ไล่เอาสัจจา  คือจะปรารถนาสิ่งใด
 +
สุดแต่ว่าจิตพิศวาส  ก็นับว่าวงศ์ญาติกันได้
 +
อย่าชักเจรจาให้ช้าไป  จะชิงชัยให้เห็นฝืมือกัน
 +
ว่าพลางทางกรายปลายทวน  รำร่ายเป็นกระบวนหวนหัน
 +
ชักอาชาชิดติดพัน  เข้าประจัญจ้วงโจมโถมแทง
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  วิหยาสะกำเข้มแข็ง
 +
ขับม้าเลี้ยวล่อต่อแย้ง  กรายพระแสงทวนรำเป็นทำนอง
 +
กลอกกระหยับกลับแทงทั้งซ้ายขวา  สังคามาระตาปัดป้อง
 +
ถ้อยทีหนีไล่รับรอง  เปลี่ยนท่าทวนทองแทงกัน
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  สังคามาระตาแข็งขัน
 +
ขับม้าไว้ว่องป้องประจัญ  เป็นเชิงชั้นชิงชัยในทีทวน
 +
ร่ายรับกลับแทงไม่แพลงพล้ำ  วิหยาสะกำผัดผันหันหวน
 +
ต่างเรียงเคียงร่ายย้ายกระบวน  ปะทะทวนรวนรุกคลุกคลี
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  วิหยาสะกำเรืองศรี
 +
ชักม้าวงวิ่งชิงที  โหมหักไพรีด้วยแรงฤทธิ์
 +
โถมแทงแล้วแปลงเปลี่ยนกระบวน  ทบทวนม้าที่นั่งไม่พลั้งผิด
 +
หมายเขม้นเข่นฆ่าปัจจามิตร  ตามติดต้านทานราญรอน
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  สังคามาระตาชาญสมร
 +
รบรับเคี่ยวขับอัศดร  ยอกย้อนเป็นกลรณรงค์
 +
กลับกลอกรำร่ายกรายพระแสง  ปะทะแทงทะลวงไล่พอให้หลง
 +
แล้วทำเสียเชิงชักม้าทรง  ตลบองค์เวียนหันไปทันที
 +
พระเนตร์มุ่งหมายม้าวิหยาสะกำ  เห็นถลำเลี้ยวไล่ได้ที่
 +
แทงสอดลอดเกราะถูกไพรี  ตกจากพาชีมรณา
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ท้าวกะหมังกุหนิงใจกล้า
 +
เห็นโอรสต้องศาสตรา  ตกจากอาชาบรรลัย
 +
พระกริ้วโกรธโกรธาบ้าจิตต์  จะรอรั้งยั้งคิดก็หาไม่
 +
แกว่งหอกควบขับอาชาไนย  เข้ารุกไล่สังคามาระตา
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระสุริย์วงศ์พงศ์อสัญแดหวา
 +
เห็นไพรีรุกไล่อนุชา  พระขับม้าถลันออกกั้นกาง
 +
กลับกลอกหอกทรงพุ่งสกัด  ระตูรับผันผัดไม่ขับขวาง
 +
พระชักอาชาไนยไว้วาง  สะบัดย่างเชือนชายย้ายทำนอง
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ท้าวกะหมังกุหนิงไวว่อง
 +
ขับม้าวงวิ่งชิงคลอง  แคล่วคล่องกลับกลอกหอกซัด
 +
ขยับกรผ่อนพุ่งข้างละที  ระเด่นมนตรีป้องปัด
 +
ระตูตามติดพันด้วยสันทัด  ผันผัดอาวุธกันไปมา
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระผู้พงศ์เทวันอสัญหยา
 +
รบพลางทางชักอาชา  รั้งรำรอไว้ไม่รอนราญ
 +
จึงคิดว่าระตูผู้นี้  ท่วงทีสามารถอาจหาญ
 +
ทั้งอาวุธต่าง ๆ ก็ชำนาญ  จะผลาญบนหลังม้าเห็นยากใจ
 +
อย่าเลยจะชวนตีกระบี่  ได้ทีจะฆ่าเสียให้ได้
 +
คิดแล้วจึงร้องประกาศไป  ดูก่อนภูวไนยธิบดี
 +
เรารบกันบนหลังอาชา  ต่างกล้าสามารถไม่ถอยหนี
 +
มาจะลงยังพื้นปถพี  ตีกระบี่ให้เห็นฝืมือกัน
 +
ว่าพลางลงจาอัศดร  พระกรทรงกระบี่ผายผัน
 +
รำร่ายหันเหียนเวียนระวัน  หมายมั่นเข่นฆ่าราวี
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
 +
จึงถอดโกลนโจนจากพาชี  ภูมีไม่ยั้งรั้งรา
 +
ทรงกระบี่รำเรียงเคียงร่าย  ประปรายปลายกระบี่แล้วให้ท่า
 +
กระหยับหันผันหลังออกมา  แล้วกลับหน้าจ้วงโจมเข้าฟันแทง
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระสุริย์วงศ์เทวากล้าแข็ง
 +
กลับกระบี่ให้ท่าเปลี่ยนแปลง  ต่อแย้งย่างท้าวก้าวชิด
 +
แทงต้องระตูแล้วฟันซ้ำ  ไม่ชอกช้ำผิวหนังแต่สักหนิด
 +
ต่างทรงศักดาวราฤทธิ์  เลี้ยวไล่ตามติดต้านทาน
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ท้าวกะหมังกุหนิงห้าวหาญ
 +
แกว่งกระบี่ผัดผันประจัญบาน  ไม่ย่อท้อต่อต้านราญรบ
 +
แทงทะลวงจ้วงฟันทันที  ระเด่นมนตรีหลีกหลบ
 +
กระบี่ต่อกระบี่ตีกระทบ  เป็นประกายกลุ้มกลบกันไปมา
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นมนตรีใจกล้า
 +
เห็นระตูต่อตีมีศักดา  คงทั้งศาสตราอาวุธ
 +
ทางหนีทีไล่ไวว่อง  เพลงกระบี่ตีคล่องเป็นที่สุด
 +
ยากที่ใครจะรอต่อยุทธ์  เป็นบุรุษย์ผู้หนึ่งในแดนไตร
 +
จำกูจะสังหารด้วยกฤช  ซึ่งเทเวศร์ประสิทธิ์ประสาทให้
 +
คิดพลางชักกฤชฤทธิไกร  แล้วร้องว่าไปมิได้ช้า
 +
ดูก่อนระตูภูมี  เพลงกระบี่ตีกันจนสิ้นท่า
 +
ต่างคนไม่แพ้ฤทธา  เรามารำกฤชสู้กัน
 +
ว่าพลางทางถอดกฤชกราย  เยื้องย้ายร่ายรำบิดผัน
 +
กวักพระหัตถ์ตรัสเรียกระตูพลัน  พระทำทีเย้ยหยันไพรี
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
 +
ได้ฟังชื่นชมยินดี  ครั้นนี้อิเหนาจะวายชนม์
 +
อันเพลงกฤชชะวามลายู  กูรู้สันทัดไม่ขัดสน
 +
คิดแล้วชักกฤชฤทธิรน  ร่ายรำทำกลมารยา
 +
กรขวานั้นกุมกฤชกราย  พระหัตถ์ซ้ายนั้นถือเช็ดหน้า
 +
เข้าปะทะประกฤชด้วยฤทธา  ผัดผันไปมาไม่ครั่นคร้าม
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นมนตรีชาญสนาม
 +
พระกรกรายกฤชติดตาม  ไม่เข็ดขามคร้ามถอยคอยรับ
 +
หลบหลีกไวว่องป้องกัน  ผัดผันหันออกกลอกกลับ
 +
ปะทะแทงแสร้งทำสำทับ  ย่างกระหยับรุกไล่มิได้ยั้ง
 +
 +
๏ เห็นระตูถอยเท้าก้าวผิด  พระกรายกฤชแทงอกตลอดหลัง
 +
ล้มลงด่าวดิ้นสิ้นกำลัง  มอดม้วยชีวังปลดปลง
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  กะหรัดติปาตีสูงส่ง
 +
ทั้งระเด่นดาหยนสุริย์วงศ์  สุหรานากงทรงฤทธิ์
 +
เห็นระเด่นมนตรีต่อสู้  แทงระตูแม่ทัพดับจิตต์
 +
สามองค์ทรงม้ากระชั้นชิด  จะสังหารผลาญชีวิตไพรี
 +
ต่างเข้าลุยไล่ไม่รอรั้ง  ท้าวปาหยังประหมันผันหนี
 +
ทหารโห่เอาชัยได้ที  ตามตีโยธาฝ่าฟัน
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระตูปาหยังประหมัน
 +
สุดที่จะรับรอบป้องกัน  พลขันธ์พังพ่ายตายยับ
 +
ไพร่พลัดจากนายกระจายหนี  เห็นเสียทีตีม้าควบขับ
 +
ปลอมพลปนไปในกองทัพ  ไม่ผันหน้ามารับแต่สักคน
 +
บ้างเข้าแบกคนละบ่าพานายวิ่ง  ประเจียดเครื่องเปลื้องทิ้งไว้เกลื่อนกล่น
 +
บ้างหนามเกี่ยวหัวหูไม่รู้ตน  ซุกซนด้นไปแต่ลำพัง
 +
บางเหล่าทิ้งไถ้เขนงปืน  ลือตื่นเสียงเพื่อนกันข้างหลัง
 +
ที่ถูกปืนป่วยขาละล้าละลัง  อุสส่าห์คลานซานซังซุกไป
 +
 +
๏ ครั้นมาถึงท้ายค่ายมั่น  ท้าวประหมันปาหยังเปนใหญ่
 +
จึงหยุดปรึกษากันทันใด  อันเราจะหนีไปเห็นไม่พ้น
 +
ครั้นจะคืนเข้าค่ายรายรับ  ไม่ทันทีกองทัพยังสับสน
 +
จะซ้ำเสียเสนีรี้พล  จำจะผ่อนให้พ้นมรณา
 +
มาเราจะเข้าบังคมคัล  พระผู้พงศ์อสัญแดหวา
 +
จึงให้ยกธงอัปรา  โยธายั้งหยุดพร้อมกัน
 +
 +
๏ สององค์ลงจากอาชา  เสด็จมากับหมู่กิดาหยัน
 +
เสนาแวดล้อมแน่นนันต์  จรจรัลมาสมรภูมิ์ชัย
 +
 +
๏ ครั้นถึงจึงแจ้งกิจจา  แก่ตำมะหงงเสนาผู้ใหญ่
 +
เราน้องระตูที่บรรลัย  ตั้งใจมาเฝ้าบาทบงสุ์
 +
 +
๏ บัดนั้น  จึงมหาเสนาตำมะหงง
 +
พาระตูพี่น้องทั้งสององค์  มาเฝ้าพระสุริย์วงศ์ทรงธรรม์
 +
 +
๏ วันทาทูลแถลงแจ้งคดี  บัดนี้ท้าวปาหยังประหมัน
 +
น้องระตูผู้ม้วยชีวัน  มาบังคมคัลภูวไนย
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  สองระตูตัวสั่นหวั่นไหว
 +
กราบบาทมูลแล้วทูลไป  ภูวไนยได้ทรงพระเมตตา
 +
ข้าบาททั้งสองเป็นไพรี  โทษผิดครั้งนี้หนักหนา
 +
จงโปรดปรานขอประทานชีวา  ไว้เป็นข้าใต้เบื้องบทมาลย์
 +
ขอเอาพระเดชปกเกศเกล้า  ตราบเท่าสิ้นชีพสังขาร
 +
ถึงปีจะมีบรรณาการ  มาถวายตามบุราณประเพณี
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นมนตรีเรืองศรี
 +
ฟังระตูสองราพาที  ภูมีจึงตรัสตอบไป
 +
ซึ่งท่านมาวอนง้อขอโทษ  เราจะถือโกรธนั้นหาไม่
 +
อันเชษฐานัดดาซึ่งบรรลัย  เพราะใจโอหังกำลังพาล
 +
ท่านจงรับศพทั้งสองนั้น  พากันกลับไปยังถิ่นฐาน
 +
บูชาเพลิงปลงส่งสักการ  ให้พร้อมวงศ์วานในธานี
 +
 +
๏ ตรัสพลางย่างเยื้องยุรยาตร์  องอาจดังไกรสรสีห์
 +
สองระตูตามเสด็จจรลี  ไปที่วิหยาสะกำตาย
 +
มาเห็นศพทอดทิ้งกลิ้งอยู่  พระพินิจพิศดูแล้วใจหาย
 +
หนุ่มน้อยโสภาน่าเสียดา  ควรจะนับว่าชายโฉมยง
 +
ทนต์แดงดังแสงทับทิม  เพริดพริ้มเพรารับกับขนง
 +
เกศาปลายงอนงามทรง  เอวองค์สารพัตรไม่ขัดตา
 +
กระนี้หรือบิดามิพิศวาส  จนพินาศด้วยโอรสา
 +
แม้นว่าระตูจรกา  งามเหมือนวิหยาสะกำนี้
 +
มิได้ร้อนรนด้วนปนศักดิ์  น่ารักรูปทรงส่งศรี
 +
ตรัสแล้วลีลาขึ้นพาชี  กลับไปยังที่พลับพลาพลัน
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  สองระตูวิโยคโศกศัลย์
 +
กอดศพเชษฐาเข้าจาบัลย์  พิไรร่ำพรรณโศกา
 +
 +
๏ โอ้ว่าพระองค์ผู้ทรงยศ  พระเกียรติ์ปรากฏในแหล่งหล้า
 +
สงครามทุกครั้งแต่หลังมา  ไม่เคยอัปราแก่ไพรี
 +
ครั้งนี้ควรหรือมาพินาศ  เบาจิตต์คิดประมาทไม่พอที่
 +
เพราะรักบุตร์สุดสวาทแสนทวี  จะทัดทานภูมีไม่เชื่อฟัง
 +
อนิจจาวิหยาสะกำเอ๋ย  เวรสิ่งใดเลยแต่หนหลัง
 +
เสียแรงเรืองฤทธีมีกำลัง  มาวอดวายชีวังแต่ยังเยาว์
 +
ตั้งแต่นี้ไปไม่เห็นหน้า  กลับคืนพาราจะเงียบเหงา
 +
สองกษัตริย์กำสรดซบเซา  ให้ละห้อยสร้อยเศร้าวิญญาณ์
 +
 +
๏ ครั้นคลายวายโศกกรรแสงศัลย์  ให้เชิญศพทรงธรรม์เชษฐา
 +
กับศพศรีราชนัดดา  ขึ้นมหาบุษบกรถชัย
 +
ระตูสององค์ทรงอัศดร  เลิกนิกรโยธาทัพใหญ่
 +
เข้าในพนมพนาลัย  กลับไปยังราชธานี
 +
 +
๏ บัดนั้น  เสนาดาหากรุงศรี
 +
เห็นอิเหนามีชัยแก่ไพรี  ก็เผ่นขึ้นพาชีรีบมา
 +
 +
๏ ครั้นถึงซึ่งท้องพระโรงคัล  อภิวันท์องค์ศรีปัตหรา
 +
ทูลว่าอิเหนานัดดา  เข่นฆ่าไพรีวายปราณ
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  พระปิ่นปักนัคเรศราชฐาน
 +
แจ้งว่าข้าศึกประลัยลาญ  มีความเกษมสานต์โสมนัส
 +
ซึ่งดาลเดือดนัดดามาแต่หลัง  ก็ค่อยคลายแค้นคั่งเคืองขัด
 +
เสด็จจากแท่นที่นั่งบัลลังก์รัตน์  เข้าปราสาทจำรัสรูจี
 +
 +
๏ บัดนั้น  ตำมะหงงกุเรปันกรุงศรี
 +
จึงสั่งพนักงานทันที  บัดนี้เสร็จการชิงชัย
 +
จะเชิญเสด็จพระโฉมยง  ไปสรงสนานในสระใหญ่
 +
ริมเชิงกุหนุงมาลัย  เร่งไปปลูกเกยและพลับพลา
 +
ประชุมเหล่าโหราราชครู  พราหมณ์ชีบีกูประมาหนา
 +
สำหรับราชพิธีกษัตรา  ให้พร้อมแต่เวลาตะวันชาย
 +
 +
๏ บัดนั้น  จึงเหล่าพนักงานทั้งหลาย
 +
รับคำบังคับคำนับนาย  ออกจากค่ายเข้าป่าพากันไป
 +
 +
๏ ครั้นถึงซึ่งฝั่งสระศรี  ริมเชิงคิรีเขาใหญ่
 +
เกณฑ์กันปลูกเกยพลับพลาชัย  ทุกหมวดหมายนายไพร่ระดมกัน
 +
 +
๏ บัดนั้น  ตำมะหงงเสนาคนขยัน
 +
เข้าไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์  บังคมคัลแล้วทูลทันใด
 +
อันประเวณีกษัตริยแต่ก่อน  รณรงค์ราญรอนศึกใหญ่
 +
แม้นชะนะไพรีมีชัย  ย่อมไปสระสนานสำราญองค์
 +
ขอเชิญเสด็จพระภูวนาถ  ลีลาศไปชำระสระสรง
 +
ยังสระชื่อเบ็ญจบุษบง  ให้เป็นมงคลสวัสดี
 +
 +
๏ เมื่อนั้น  ระเด่นมนตรีเรืองศรี
 +
ฟังคำตำมะหงงเสนี  ภูมีชื่นชมภิรมยา
 +
จึงเสด็จขึ้นม้าที่นั่งทรง  กับระเด่นสี่องค์วงศา
 +
พร้อมม้าพี่เลี้ยงและเสนา  ม้าหมู่โยธาพลไกร
 +
ครบถ้วนกระบวนพาชี  ขับขี่สะบัดย่างวางใหญ่
 +
ควบแข่งแซงเสียดกันไป  ตามแถวแนวไม้ชายดง
</tpoem>
</tpoem>
=== ===
=== ===

การปรับปรุง เมื่อ 07:39, 7 มิถุนายน 2553

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

บทประพันธ์

ช้าปี่
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงสี่องค์ทรงธรรม์นาถา
เป็นหน่อเนื้อเชื้อวงศ์เทวาบิตุเรศมารดาเดียวกัน
รุ่งเรืองฤทธาศักดาเดชได้ดำรงนคเรศเขตขัณฑ์
พระเชษฐาครองกรุงกุเรปันถัดนั้นครองดาหาธานี
องค์หนึ่งครองกาหลังบุรีรัตน์องค์หนึ่งครองสิงหัดส่าหรี
เฉลิมโลกโลกาธาตรีไม่มีผู้รอต่อฤทธิ์
ระบือลือทั่วทุกประเทศย่อมเกรงเดชเดชาอาญาสิทธิ์
บำรุงราษฎร์ดับเข็ญอยู่เป็นนิจโดยทางทศพิศราชธรรม์
ฯ ๘ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ มีพระมเหษีห้าองค์ดั่งอนงค์นางฟ้ากระยาหงัน
เลือกล้วนสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์กษัตริย์ครองเขตขัณฑ์สวรรยา
ตั้งแต่งตามตำแหน่งครบที่คือประไหมสุหรีเสน่หา
มะเดหวีที่สองรองลงมาแล้วมะโตโสภานารี
ที่สี่ลิกูนงเยาว์ที่ห้านั้นเหมาหลาหงี
อันอัครชายาทั้งห้านี้ตั้งได้แต่สี่พารา
ประดับด้วยสุรางค์นางสนมล้วนอุดมรูปทรงวงศา
ถ้วนหมื่นหกพันกัลยาวิลาศเลิศลักขณาทุกนางใน
สำหรับขับรำบำเรอราชพิณพาทย์จำเรียงเสียงใส
ผลัดกันปั่นโมงมาคอยใช้พนักงานของใครระไวระวัง
มีเหล่าเถ้าแก่ท้าวนางงานเครื่องงานกลางผู้รับสั่ง
โขลนจ่าหลวงแม่เจ้าชาวคลังจัดแจงแต่งตั้งครบครัน
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ร่าย
๏ มีหมู่มาตยาสามนต์โยธีรี้พลแข็งขัน
นับหมื่นพื้นหาญชาญฉกรรจ์เคยณรงค์โรมรันไม่ครั่นคร้าม
ม้ารถคชไกรไม่ใช่ชั่วแต่ละตัวแกล้วกล้ากลางสนาม
ทนปืนยืนยงในสงครามฦานามขามฤทธิทุกทิศไป
นานานัคเรศประเทศราชเข็ดขยาดย่อท้อไม่ต่อได้
ต่างถวายสุวรรณมาลัยโอรสยศไกรและธิดา
ฯ ๖ คำ ฯ
ยานี
๏ อันสี่ธานีราชฐานกว้างใหญ่ไพศาลหนักหนา
เทเวศร์นฤมิตด้วยฤทธาสนุกดั่งเมืองฟ้าสุราลัย
มีปราสาททั้งสามตามฤดูเสด็จอยู่โดยจินดาอัชฌาสัย
หลังคาฝาผนังนอกในแล้วไปด้วยโมราศิลาทอง
ภูเขาเงินรองฐานมีมารแบกยอดแทรกยอดใหญ่ไม้สิบสอง
แก้วไพฑูรย์ทำเป็นลำยองบัญชรช่องชัชวาลบานบัง
พระปรัศว์ซ้ายขวาอ่าโถงท้องพระโรงรจนาหน้าหลัง
พระแท่นแก้วกุดั่นบัลลังก์กางกั้นเศวตฉัตรอยู่อัตรา
บรรจถรณ์ที่ไสยาสน์อาสน์สุวรรณมีฉากแก้วแพรวพรรณคั่นฝา
ที่เสวยที่สรงคงคาที่นั่งเย็นอยู่หน้ามนเทียรทอง
พรรณไม้ดอกลูกปลกกระถางไว้หว่างอ่างแก้วเป็นแถวถ้อง
ราบรื่นพื้นชาลาดังหน้ากองอิฐทองปูลาดสะอาดตา
ที่ทิมที่ล้อมวงองครักษ์นอกกองเกณฑ์พิทักษ์รักษา
โรงแสงโรงภูษามาลาเรียงเรียบรัถยาหน้าพระลาน
เครื่องเนืองกันเป็นหลั่นลดโรงม้าโรงรถคชสาร
ติกาหลังสำหรับพระกุมารอยู่นอกปราการกำแพงวัง ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ประตูลักลงท่าชลาลัยมีโรงเรือเรียงไปริมฝั่ง
เรือศรีสุวรรณบัลลังก์เรือแข่งเรือที่นั่งตั้งบนม้า
เรือกิ่งเอกชัยใส่บุษบกงามกระหนกลวดลายท้ายหน้า
พนักงานตำรวจใหญ่ไตรตราเกณฑ์ไพร่ให้รักษานาวี
ตำหนักแพแลล้ำอำไพมุขดลพาไลหลังคาสี
ช่อฟ้าหน้าบันปราลีล้วนมณีเนาวรัตน์ชัชวาล
ข้างหน้าตำหนักน้ำนั้นทำเกรงสำหรับราชสุริย์วงศ์สรงสนาน
เบื้องบนบังสาดดาดเพดานผูกม่านมู่ลี่ลายทอง
ฤดูสิบเอ็ดเสด็จลงลอยกระทงทรงประทีปเป็นแถวถ้อง
ทอดทุ่นท้ายน้ำประจำซองตั้งกองล้อมวงพระทรงธรรม์
อันถนนหนทางท้องฉนวนศิลาลายลาดล้วนเลือกสรร
มีตึกแถวทิมรอบขอบคันเรือนสนมกำนัลเป็นหลั่นมา ฯ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
สมิงทอง
๏ ท้องสนามแกล้งปราบราบรื่นพ่างพื้นปถพีไม่มีหญ้า
กว้างใหญ่ไพศาลสุดตาเตียนสะอาดดาษดาด้วยทรายทอง
มีสุวรรณพลับพลาบนปราการสูงตระหง่านเอื้อมฟ้าสิบห้าห้อง
ช่อฟ้าปราลีลำยองฉลักฉลุบุทองอร่ามไป
สำหรับที่ทอดพระเนตรสระสนานล่อแพนผัดพานเป็นการใหญ่
ประลองเหล่าทหารชาญชัยยิงธนูศรใส่ยาพิษ
ตั้งป้อมหัดปืนยิงหุ่นแม่นยำซ้ำกระสุนไม่มีผิด
โล่ดั้งดาบฟันกระชั้นชิดเพลงกริชสันทัดทั่วทุกตัวตน
บ้างรำทวนเปลี่ยนท่าบนพาชีขับขี่เคยศึกฝึกฝน
ประลองคชสารสู้บำรูชนใช้ชำนาญในกลการยุทธ์ ฯ
ฯ ๑๐ คำฯ
ร่าย
๏ รอบราชนิเวศน์เขตขัณฑ์มีปราการแก้วกั้นสูงสุด
ซุ้มทวารบานสุวรรณชมพูนุทประตูลักช่องกุฎิ์สลับกัน
มีทิวแถวโรงช้างระวางค่ายเชิงเรียงรายเขื่อนเพชรเขื่อนขัณฑ์
หอรบแลสล้างนางจรัลป้อมสูงสามชั้นเป็นหลั่นลด
รายปืนจินดาจังกาส่องวางประจำทุกช่องเสมาหมด
เชิงเทินดังเนินบรรพตบันไดลดเลี่ยนลาดสะอาดตา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ ท่ามกลางทางท้องสถลมาศลำดับดาดอิฐแผ่นแน่นหนา
บ้านช่องสองข้างมรรคาล้วนเคหาหน้าถังนั่งร้าน
เหล่าพวกกรมท่าเจ้าภาษีมั่งมีสมบัติพัสถาน
เรือนริมรัถยาฝากระดานตึกกว้านบ้านขุนนางนองเนือง
สุเหร่าเรียงเคียงคั่นปั้นหยาก่อผนังหลังคามุงกระเบื้อง
ศาลเทพารักษ์หลักเมืองนับถือลือเลื่องทั้งกรุงไกร
เสาชิงช้าอาวาสวัดพราหมณ์ทำตามประเพณีพิธีไสย
หอกลองอยู่กลางเวียงชัยแม้เกิดไฟไพรีตีสัญญา
สะพานข้างทางข้ามคชสารก่ออิฐปูกระดานไม้หนา
คลองหลอดแลลิ่วสุดตาน้ำลงคงคาไม่ขอดเคือง
นาวาค้าขายพายขึ้นล่องตามแม่น้ำลำคลองแน่นเนื่อง
แพจอดตลอดท่าหน้าเมืองนองเนืองเป็นขนัดในนัที
ข้าวของต่างต่างเอาวางขายแพรม้วนมากมายหลายสี
ยกทองล่องจวนเจ็ดตะคลีพลอยมณีเพชรนิลจินดา
บริบูรณ์พูนสุขด้วยสมบัติแก้วเก้าเนาวรัตน์วัตถา
ทุกสิ่งสรรพ์เอมโอชโภชนาย่อมเยาราคาสารพัน ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ
เบ้าหลุด
๏ ลูกค้าวานิชทุกนิเวศน์มาแต่ต่างประเทศเขตขัณฑ์
สำเภาจอดทอดท่าเรียงรันสลุบแขกกำปั่นวิลันดา
จีนจามอะแจแซ่ซ้องคับคั่งทั้งสิบสองภาษา
แสนสนุกสุขเกษมเปรมปราถ้วนหน้าประชาชนมนตรี
บ้างฝึกสอนคนรำทำบทบาทพิณพาทย์ระนาดฆ้องอึงมี่
ลูกค้าวาณิชทุกนิเวศน์มาแต่ต่างประเทศเขตขัณฑ์
พวกขุนนางต่างหัดมโหรีลาวสาวเสียงดีมีหลายคน
บ้างลงท่าโกนจุกสนุกสนานมีงานการกึกก้องทุกแห่งหน
บ้างตั้งบ่อนปลากัดงัดไก่ชนทรหดอดทนเป็นเดิมพัน
บ้างเล่นวิ่งวัวคนโคระแทะชนแพะแกะกระบือคูขัน
บ้างเล่นว่าวคุลาคว้าพนันปากเป้าสั้นโห่ฉาววิ่งราวมา
ราตรีมีหนังประชันเชิดฉลุฉลักลายเลิศเลขา
บ้างเล่นเพลงครึ่งท้อนกลอนสักวาทั้งสุดใจไก่ป่าสารพัน ฯ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ ฝ่ายฝูงสาวสาวชาวกรุงก็บำรุงรูปโฉมเฉิดฉัน
ขัดขมิ้นหนุนเนื้อเจือจันทน์หวีผมคมสันกันไร
ที่ลูกเหล่าพงศ์เผ่าพวกผู้ดีรูปทรงส่งศรีผ่องใส
ซ่อนตัวกลัวจะเก็บเป็นางในถึงมีงานการใหญ่ไม่ไปดู
ลางพวกเพิ่งดรุณีแรกสาวเจ้าบ่าวไปปลูกหอขอสู่
บ้างลอบลักรักเร้นเป็นชู้หมากพลูพวงมาลัยให้กัน
พวกหนุ่มหนุ่มพากเพียรเวียนแวดขายมุ่งหมายรักใคร่ใฝ่ฝัน
..............................วรรคนี้หายไปไม่มีในต้นฉบับ........................
บ้างดีดนิ้วผิวปากทำเพลงล้วนนักเลงเจ้าชู้ฉุยฉาย
ลดเลี้ยวเที่ยวเล่นตามสบายหญิงชายเป็นสุขทุกคืนวัน ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ปลิ่ม
๏ ทิศใต้ภายนอกธานีมีสระสวนศรีสะตาหมัน
มิ่งไม้หลายอย่างต่างพรรณล้วนแกล้งกลั่นสรรสาปลูกไว้
บ้างเผล็ดผลผการะย้าย้อยช่อช้อยชูก้านบานไสว
พ่างพื้นรื่นร่มสำราญใจมีตำหนักน้อยในวารี
อันโบกขรณีสี่เหลี่ยมน้ำเปี่ยมเทียบปากสระศรรี
ใสสะอาดปราศจากราคีดังแสงแก้วมณีรจนา
มีสุพรรณโกสุมปทุมมาลย์ตูมบานแย้มกลีบกลิ่นเกล้า
เกสรร่วงลงคงคาพระพายพาหอมฟุ้งจรุงใจ ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
สระบุหร่ง
๏ นอกกเมืองมีสระตำยลหนึ่งวารีลึกซึ้งเย็นใส
ริมรอบขอบคันล้วนพรรณไม้ระบัดใบบังแสงสุริยง
เป็นที่ภูธรแต่ก่อนมาแม้นปราบข้าศึกเสร็จเสด็จสรง
ประดับด้วยโกมุทบุษบงลินจงอุบลบัวบาน
มีพลับพลาที่ประทับยับยั้งอยู่ริมฝั่งสระใหญ่ไพศาล
สำหรับเมืองเนื่องมาแต่บุราณทั้งสี่ราชฐานพารา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
พระทอง
๏ แต่กรุงดาหาธานีมีคิรีวิลิศมาหรา
อยู่นอกเมืองข้างเบื้องบูรพามรรคาวันหนึ่งถึงบรรพต
อารักษ์เรืองฤทธิ์สถิตสถานเชี่ยวชาญเดชาปรากฏ
ย่อมเป็นที่นับถือลือยศแห่งชาวชนบทพระบุรี
แม้นมีเหตุเภทพานประการใดก็บวงบนเทพไทเรืองศรี
ทำตามบุราณราชประเพณีถึงปีไปเคารพอภิวันท์
ทั้งที่พระองค์วงศ์เทเวศร์ดำรงนคเรศเกษมสันต์
ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินสิ้นทั้งนั้นเป็นสุขทุกวันทุกเวลา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
ช้า
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงพิชัยเขตขัณฑ์หมันหยา
แสนสนุกสุขเกษมเปรมปราบรรดากรุงชวาไม่เทียมทัด
เป็นใหญ่ยิ่งกว่าทุกธานีแต่ก่อนทั้งบุรีสี่กษัตริย์
ประกอบด้วยแก้วเก้าเนาวรัตน์ไอศูรย์สมบัติศฤงคาร
มีหมู่มาตยาข้าเฝ้าสองเหล่าพลเรือนแลทหาร
โยธีนับหมื่นพื้นเชี่ยวชาญแต่ละคนเคยชำนาญในการรบ
อยู่ยงคงกระพันสาตราวิชาโล่เขนเจนจบ
ราชรถคชสารสินธพเลิศลบเลือนกว่าทุกธานี ฯ
ฯ ๑๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ปางก่อนพระนครหมันหยาประชาราษฎร์มาตยาเกษมศรี
ตั้งแต่ระตูภูมีสุดสิ้นชีวีทิวงคต
ก็เย็นเยียบเงียบเหงาเปล่าใจทั่วนิเใศน์เวียงชัยชยนบท
ตั้งแต่ประไหมสุหรีมียศโศกศัลย์รันทดทุกเวลา
มีราชธิดาสามองค์งามทรงวงพักตร์เพียงเลขา
พี่นางทรงนามสมญาชื่อนิหลาอระตาเทวี
พระผู้ผ่านพิภพกุเรปันตุนาหงันเป็นประไหมสุหรี
อันระเด่นดาหลาวาตีบุตรีที่สองรองลงมา
ท้าวดาหาตุนาหงันไปเป็นประไหมสุหรีในดาหา
ยังแต่น้องนุชสุดโสภากัลยาแรกรุ่นจำเริญวัย
ชื่อระเด่นจินดาส่าหรีพระชนนีถนอมนักรักใคร่
กษัตริย์ใดมาขออรทัยไม่ยินยอมยกให้ไปไกลองค์
หวังจะให้เป็นเอกในเศวตฉัตรสืบตระกูลกษัตริย์สูงส่ง
อันท้าวมังกันฤทธิ์วงศ์ก็เนื่องในสุริย์วงศ์กันมา
ได้ครอบครองสวรรยาธานีทรงธรรม์นั้นมีโอรสา
พระคิดถึงระตูผู้มรณาจะบำรุงพาราให้เรืองไป
จึงตกแต่ของมาตุนาหงันชนนีนางนั้นก็อวยให้
อภิเษกเอกองค์โอรสไว้ในพิชัยหมันหยาธานี ฯ
ฯ ๑๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นฝ่ายท้าวกุเรปันเรืองศรี
เสวยราชสมบัติสวัสดีสุขเกษมเปรมปรีดิ์มาช้านาน
จึงมีพระโอรสาด้วยลิกูกัลยายอดสงสาร
ชื่อกระหรัดตะปาตีกุมารรูปทรงสัณฐานโสภา
พระบิตุเรศมารดาทั้งห้าองค์พิศวงจงรักหนักหนา
เย็นเช้าเฝ้าชมทุกเวลาแสนสนิทเสน่หาดังดวงใจ ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ จึ่งจัดกิดาหยันน้องน้อยถ้วนร้อยโปรดปรานประทานให้
ทั้งนางนมพี่เลี้ยงแลสาวใช้เจ้าขรัวยายผู้ใหญ่ได้บังคับ
ประทานทั้งเงินทองของขวัญตามขนมครบครันเครื่องประดับ
สร้อยสุวรรณสังวาลบานพับเกี้ยวแก้วแวววับสำหรับยศ
ให้ตั้งกรรมทำกิจวิทยาพร้อมคณะพรามหาดาบส
ชุบกริชประสิทธิ์ให้โอรสเลื่องหล้าปรากฎฤทธิไกร
ครั้นท้าวกาหลังมีบุตรีด้วยลิกูนารีศรีใส
ชื่อบุษบารากายาใจตุนาหงันกล่าวไว้แก่ลูกยา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ คิดจะให้ประไหมสุหรีนั้นทรงครรภ์พระโอรสา
จะได้สืบสุริวงศ์พงศ์เทวาดำรงขัณฑเสมาธานี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
             

๏ คิดพลางทางถวายเครื่องบวงสรวงบำบวงเทวราชเรืองศรี
ขออารักษ์หลักเมืองเรืองฤทธีได้ปรานีเชิญช่วยจงสคิด
ให้ประไหมสุหรีนั้นมีบุตรเป็นบุรุษรูปโฉมประโลมจิต
ได้ครอบครองพระนครขจรฤทธิ์ลือสะท้านทั่วทิศทั้งปวง
แม้นสมปรารถนาดังว่าขานจะแต่งแก้บนบานบวงสรวง
เทียนทองชวาลาบุปผาพวงพรรณรายรุ้งร่วงด้วยเนาวรัตน์
จะแผ่ทองเนื้อเก้าหุ้มเสาศาลเอาตาดคำทำม่านเพดานดัด
อีกทั้งทิวธงราชวัติชุมสายเศวตฉัตรชัชวาล
ทั้งแพะแกะโคกระทิงสิ่งละร้อยจะปล่อยไว้ในเทวสถาน
จะสมโภชเจ็ดทิวาราตรีกาลมีงานมหรสรพครบครัน ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้นองค์ปะไหมสุหรีเฉิดฉัน
ร่วมภิรมย์สมสุขด้วยทรงธรรม์เมื่อจวนจะมีครรภ์พระลูกรัก
ราตรีเข้าที่พระบรรทมด้วยบรมนรินทร์ปิ่นปักษ์
บังเกิดนิมิตฝันอัศจรรยบ์นักว่านงลักษณ์นั่งเล่นที่ชาลา
มีพระสุริยงทรงกลดชักรถมาในเวหา
แจ่มแจ้งแสงสว่างทั้งโลกาตกลงตรงหน้านางรับไว้
ครั้นนิทราตื่นฟื้นองค์ให้หลากจิตพิศวงสงสัย
จึงทูลพระภัสดาพลันทันใดโดยนัยนิมิตเยาวมาลย์ ฯ
ฯ ๘ คำฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นองค์ศรีปัตหราได้ทราบสาร
นิ่งนึกตรึกดูก็แจ้งการจะมีครรภ์กุมารเป็นมั่นคง
พระเร่งเกษมสันต์หรรษาสมถวิลจินดาดังประสงค์
พอรุ่งรางสว่างแสงสุริยงก็อ่าองค์ทรงเครื่องรูจี
เสด็จออกยังท้องพระโรงคัลนั่งเหนือแท่นสุวรรณจำรัสศรี
แล้วเล่าความนิมิตเทวีแก่โหรเฒ่าทั้งสี่ทันใด ฯ
ฯ ๖ คำฯ
๏ บัดนั้นทั้งสี่โหราอัชฌาสัย
พิเคราะห์ดูเห็นแจ้งไม่แคลงใจต่างทูลภูวไนยไปพลัน
อันพระสุบินนี้ดีนักจะได้โอรสรักเป็นแม่นมั่น
อาจองทรงเดชดังสุริยันทุกนิเวศน์เขตขัณฑ์ไม่ต้านทาน
จะเป็นที่ดับเข็ญให้เย็นยุคราษฎรจะได้สุขเกษมศานต์
ซึ่งนิมิตยามจันทร์วันอังคารจวนเวลากาลอโณทัย
สิ่งใดพระองค์ประสงค์นักตำราว่าจักพลันได้
แต่ในสองเดือนถ้าเคลื่อนไปพระอย่าไว้ชีวิตโหรา ฯ
ฯ ๘ คำฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงภพกุเรปันหรรษา
จึ่งดำรัสตรัสสั่งเสนาให้จัดเสื้อผ้าแพรพรรณ
ทั้งเงินทองข้าวของหลากหลายมาให้โหรผู้ทายทำนายฝัน
สั่งเสร็จเสด็จจรจรัลเข้าปราสาทสุวรรณรจนา ฯ
ฯ ๘ คำ เสมอ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ปะไหมสุหรีเสน่หา
อยู่เย็นเป็นสุขทุกเวลาประมาณเดือนหนึ่งมาก็มีครรภ์
ยิ่งผุดผาดผิวผ่องละอององค์ดังอนงค์นางฟ้ากระยาหงัน
เมื่อจวนจะถ้วนกำหนดนั้นให้บังเกิดอัศจรรย์จลาจล
พสุธาสะเทือนเลื่อนลั่นเป็นควันตลบทั้งเวหน
มืดมิดปิดแสงพระสุริยนฟ้าลั่นอึงอลนภาลัย
แลบพรายเป็นสายอินทรธนูสักครู่ก็เกิดพายุใหญ่
ไม้ไล่ลู่ล้มระทมไปแล้วฝนห่าใหญ่ตกลงมา
เปรี้ยงเปรี้ยงเสียงฟ้าฟาดสายแต่มิได้อันตรายจักผ่า
เย็นทั่วฝูงราษฎร์ประชาทั้งเจ็ดทิวาราตี ฯ
ฯ ๑๐ คำฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี
เสด็จยังปรางค์รัตน์มณีภูมีเห็นนิมิตผิดใจ
เกิดมาแต่ก่อนบ่ห่อนเห็นจะอุบัติขัดเข็ญเป็นไฉน
คิดพลางย่างเยื้องคลาไคลเสด็จออกพระโรงชัยฉับพลัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงมีพระราชบรรหารถามโหราจารย์คนขยัน
ซึ่งเกิดมหัศจรรย์ผิดอย่างปางบรรพ์ไม่เคยมี
หรือจะเป็นเหตุการณ์แก่บ้านเมืองระคายเคืองขุ่นข้องหมองศรี
จงเร่งทำนายร้ายหรือดีเรานี้ให้ฉงนสนเท่ห์ใจ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นขุนโหรกราบทูลแถลงไข
ข้าพิเคราะห์เห็นไม่เป็นไรแต่วันแรกนั้นได้ปรึกษากัน
คูณควณสวนสอบทุกตำราดูชะตานคเรศเขตขัณฑ์
วางลัคน์อินทพาทบาทจันทร์ก็ไม่เห็นสำคัญอันตราย
เพราะอานุภาพพระโอรสให้ปรากฏแก่โลกทั้งหลาย
ซึ่งฟ้าร้องสนั่นลั่นแลบพรายบันดาลเป็นสายอินทรธนู
จะกึกก้องเกียรติยศทั้งทศทิศเรืองฤทธิ์ไม่มีที่เคียงคู่
พระจะเที่ยวโรมรันพันตูปราบหมู่อริราชทุกบุรี
อันเกิดพายุใหญ่ไม้ล้มระตูจะบังคมบทศรี
ซึ่งฝนตกเจ็ดวันเจ็ดราตรีบรรณาการจะมีเนืองมา
เมื่อพระชันษาสิบห้าขวบพระเคราะห์ร้ายประจวบกันหนักหนา
จะพลัดพรากจากเมืองถึงสามคราแต่ว่าเห็นไม่เป็นไรนัก
พระจะไปได้นางในเมืองอื่นชมชื่นรื่นรสด้วยยศศักดิ์
แล้วจำเป็นจะจากกันทั้งรักพระจะได้ทุกข์นักเพราะนารี
นางใจที่ประสงค์จำนงให้ไม่อาลัยจะสลัดหลีกหนี
ซึ่งเมฆหมอกมืดมัวทั่วราตรีบดบังรังสีสุริยน
พระองค์ดั่งดวงทินกรทรงเดชขจรทุกแห่งหน
พระโอรสยศยิ่งภูวดลเหมือนเมฆเกลื่อนกล่นเข้าบังไว้
ซึ่งเป็นควันตลบอบอัมพรภูธรจะทุกข์ทนหม่นไหม้
ด้วยโอรสาจะคลาไคลจำเป็นจำให้กำจัดกัน
พระจะเที่ยวมะงุมมะงาหราย่ำยีบีฑาทุกเขตขัณฑ์
สิบสามปีจะคืนกุเรปันจะได้สองนางนั้นมาธานี
จึงจะเย็นแหล่งหล้าประชากรสโมสรเป็นสุขเกษมศรี
จะสมบูรณ์ยิ่งกว่าทุกวันนี้พระจะมีมเหสีถึงสิบองค์
บรรดากรุงชวาทั้งปวงจะขึ้นแก่กุเรปันเป็นส่วยส่ง
ข้าเห็นพร้อมกันเป็นมั่นคงมิได้พะวงสงกา ฯ
ฯ ๒๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวกุเรปันนาถา
ฟังคำทำนายโหราเกษมสันต์หรรษาเป็นพ้นนัก
จึงประทานบำเหน็จนานาเสื้อผ้านุ่งห่มสมปัก
ให้โหรเฒ่าผู้ทำนายทายทักแล้วทรงศักดิ์เสด็จจากพระโรงคัล ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเฉิดฉัน
ตั้งแต่เกิดเหตุมหัศจรรย์นับได้เจ็ดวันเจ็ดคืนมา
พระครรภ์ครบกำหนดทศมาสจะประสูติพระราชโอรสา
ให้เจ็บปวดรวดร้าวทั้งกายาประหนึ่งว่าชีวันจะอันตราย ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นฝูงสุรางค์นางกำนัลทั้งหลาย
ทั้งเถ้าแก่ชะแม่เจ้าขรัวนายเห็นโฉมฉายปั่นป่วนประชวรครรภ์
บ้างเข้าหนุนพระขนองประคองรับกำชับหมอตำแยที่แปรผัน
บ้างไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์บังคมคัลทูลแถลงให้แจ้งใจ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านพิภพกรุงใหญ่
ฟังข่าวเร่าร้อนฤทัยภูวไนยก็รีบลีลา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงพระจึงเสด็จนั่งเหนือสุวรรณบัลลังก์เลขา
พร้อมสี่มเหสีกัลยาสุริย์วงศ์พงศามากมี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงค์ประไหมสุหรี
ครั้นได้ฤกษ์พานาทีเทวีก็ประสูติพระกุมาร
ชาวประโคมก็ประโคมแตรสังข์พร้อมพรั่งจำเรียงเสียงประสาน
อันอัศจรรย์ซึ่งบันดาลก็อันตรธานทันใดฯ
ฯ ๔ คำ ฯ มโหรี
๏ เมื่อนั้นองค์มะเดหวีศรีใส
จึงเอาข่ายแก้วแววไวรับพระดนัยโฉฉมยง
แล้วเอาน้ำดอกไม้ใสสดมารินรดชำระสระสรง
ลูบไล้ด้วยเครื่องสุคนธ์ทรงวางลงบนยี่ภู่พานสุวรรณ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ศรีปัตหรารังสรรค์
พิศโฉมลูกยาวิลาวัณย์สารพันงามสิ้นทั้งอินทรีย์
ดำแดงแน่งเนื้อนวลผจงน่ารักรูปทรงส่งศรี
สมหมายเหมือนถวิลยินดีเสน่หาพ้นที่จะพรรณนา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นท้าวนางข้างในถ้วนหน้า
ทั้งเถ้าแก่ชะแม่จ่าชาก็จัดสรรภรรยาเสนี
เป็นนางสนมสมบูรณ์ด้วยรูปร่างครบถ้วนตามอย่างหกสิบสี่
เว้นโทษขาวดำผอมพีไม่มีต่ำสูงเสมอกัน
แล้วจัดเหล่านารีพี่เลี้ยงที่ควรเคียงถือต้องประคองขวัญ
สี่อนงค์ทรงลักษณ์ลาวัลย์ล้วนวงศ์พงศ์พันธุ์กษัตรา
กับนางกำนัลน้อยน้อยสองร้อยรูปร่างโอ่อ่า
ทั้งเงินทองของขวัญนานานำมาถวายทันที ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นจึงมหาอำมาตย์ทั้งสี่
กับทั้งเหล่าเสนามนตรีแต่บรรดาที่มีบุตรนั้น
ให้จัดแจงแต่งตัวทั้งแปดร้อยล้วนน้อยน้อยหน้าตาคมสัน
พาไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ถวายเป็นข้าขวัญพระกุมาร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระปิ่นปักนัคเรศราชฐาน
ชื่นชมโสมนัสเบิกบานจึงมีบัญชาการตรัสไป
อันบุตรเสนาปาเตะตั้งที่ยะรุเดะพี่เลี้ยงใหญ่
บุตรตำมะหงงเสนาในตั้งให้เป็นที่ปูนตา
อันบุตรดะหมังมนตรีตั้งเป็นที่ประสันตาครบครัน
พื้นดรุณรุ่นหนุ่มน้อยน้อยรูปร่างแช่มช้อยเฉิดฉัน
พระสั่งให้ประทานรางวัลตามหลั่นพี่เลี้ยงแลมนตรี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นฝ่ายสามอนุชาเรืองศรี
อีกองค์สมเด็จพระอัยกีกับประไหมสุหรีหมันหยานั้น
ทั้งระภูธรทุกประเทศครั้นเห็นเหตุวิปริตผิดผัน
ต่างองค์ทรงคิดอัศจรรย์ให้สงสัยไหวหวั่นหฤทัย
บ้างให้ค้นดูตำรับข้างที่จดหมายเหตุคัมภีร์น้อยใหญ่
คนแก่เฒ่าก็เอามาซักไซ้บ้างถามไถ่โหราพฤฒาจารย์
บ้างให้หาบีกูประมาหนาฤาษีชีป่าในไพรสัณฑ์
ที่ได้กสิณอภิญญาณก็แจ้งการทำนายมาเหมือนกัน
ต่างรู้ประจักษ์แจ้งแห่งเหตุผู้มีเดชลงมาจากสวรรค์
เป็นโอรสท้าวกุเรปันจะประสูติจากครรภ์พระชนนี
อันท้าวดาหาแลกาหลังอีกทั้งท้าวสิงหัดส่าหรี
กับองค์อัครราชเทวีชื่นชมยินดีเป็นสุดคิด
จึงจัดของขวัญพระกุมารสร้อยสนสังวาลวิภูษิต
มงกุฎแก้วกุณฑลตาบทิศตามอย่างราชนิติบุราณมา
ให้มหาเสนานำไปยังกรุงไกรบรมเชษฐา
เฉลิมขวัญพระราชนัดดาโดยตำราตราตั้งจิรังกาล
ฝ่ายองค์สมเด็จพระอัยกีในหมันหยาธานีราชฐาน
จัดระเด่นดาหยันกุมารซึ่งเป็นวงษ์วารกษัตรา
กับพี่เลี้ยงแลนางนมล้วนอุดมรูปทรงวงศา
ชายหญิงสิ่งละร้อยโดยตรามอบให้เสนานำไป ฯ
ฯ ๒๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาหมันหยากรุงใหญ่
ถวายบังคมลาคลาไคลออกจากพิชัยธานี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
เร่งรัดรีบมสิบห้าวันก็ลุถึงกุเรปันกรุงศรี
พบทูตทั้งสามพระบุรีพากันจรลีเข้าวังใน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ครั้นถึงจึงตรงเข้าไปหาปะเตะเสนาแลดาหมัง
ต่างแถลงแจ้งความให้ฟังแล้วพากันมาพระโรงชัย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นท้าวนางกำนัลน้อยใหญ่
ครั้นถึงวันสมโภชพระดนัยก็วุ่นวายวิ่งไขว่ไปทั้งวัง
เร่งให้หาโหราพราหมณ์ชีชาวประโคมดนตรีแตรสังข์
เอาขันสาครใหญ่ในคลังมันจัดแจงแต่งตั้งเตียงรอง
ปักสุวรรณราชวัติฉัตรธงรายรอบที่สรงเป็นแถวถ้อง
ทั้งมะพร้าวเต่าปลาเงินทองจัดต้องตามธรรมเนียมเตรียมไว้
ตั้งบายศรีเงินทองสองสำรับแซมยอดสอดประดับดอกไม้ไหว
ลังข์กลศแว่นเวียนเทียนชัยแต่งไว้เสร็จถ้วนทุกสิ่งอัน ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ศรีปัตหรารังสรรค์
เวลาควรจวนฤกษ์ก็จรจรัลไปปราสาทสุวรรณพระโอรส ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
นั่งเหนือบัลลังก์รูจีพร้อมพระมเหสีทั้งปวงหมด
ต่างกราบบาทบงสุ์พระทรงยศพอกำหนดพระฤกษ์เวลา
จึงให้เชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่เข้าอุ้มองค์พระดนัยเสน่หา
เชิญสี่บีกูนั้นเข้ามาจำเริญเกศาพระกุมาร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
แล้วเชิญลงสรงน้ำในสาครอับอบอายเกสรหอมหวาน
ชีพราหมณ์โหราพฤฒาจารย์ต่างอ่านพระเวทย์ถวายชัย
ราชครูบีกูทั้งสี่เอาเสาวคนธ์วารีมาสรงให้
แล้วเชิญลงอู่แก้วแววไวอ่านมนต์แกว่งไกวไปมา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
             

ยานี
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงองค์อสัญแดหวา
ซึ่งเป็นบรมอัยการสถิตยังชั้นฟ้าสุราลัย
จึงนิมิตกริชแก้วสุรกานต์นามกรพระหลานจารึกใส่
ครั้นเสร็จเสด็จจากวิมาชัยเหาะมากรุงไกรกุเรปัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ รัว
ร่าย
๏ ครั้นถึงจึงวางกริชลงข้างองค์พระกุมารหลานขวัญ
อวยชัยให้พรแล้วเทวัญกลับคืนกระยาหงันชั้นฟ้า ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นองค์มะเดหวีเสน่หา
ประคองกรช้อนอุ้มพระลูกยาเชิญมาจากอู่อำไพ
เห็นกริชนั้นวางอยู่ข้างที่มารศรีหลากจิตคิดสงสัย
จึงหยิบมาดูด้วยดีใจแล้วถวายภูวไนยฉับพลัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านโภไคยไอศวรรย์
ชืนชมโสมนัสอัศจรรย์เอากริชนั้นออกพิจารณา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงเห็นจารึกอักษรนามกรพระโอรสา
ชื่อหยังหยังหนึ่งหรัดอินดราอุดากนสาหรีปาตี
อิเหนาเองหยังตาหลาเมาะตาริยะกัดดังสุรศรี
ดาหยังอริราชไพรีเองกะนะกะหรีกุรปัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นในอักษรภูธรยิ่งแสนเกษมสันต์
จึงยอกรถวายอภิวันท์อัยกาทรงธรรม์เลิศไกร
พระมาช่วยอุปถัมภ์บำรุงจะลือเกียรติทุกกรุงน้อยใหญ่
สมคำโหรทายทำนายไว้ประจักษ์ในนิมิแต่เดิมมา
แล้วสั่งประโคมเป็นสำคัญเฉลิมขวัญพระโอรสา
เอาฤกษ์ได้กริชเทวาเป็นมหามหัศอัศจรรย์ ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จสมโภชพระดนัยพระผู้ผ่านโภไคยไอศวรรย์
จึงสั่งพนักงานทั้งปวงนั้นให้จัดสรรเครื่องใช้แลเครื่องทรง
มงกุฎเพชรพาหุรัดจำรัสเรืองกับเมืองขึ้นสิบเมืองเป็นส่วยส่ง
ทั้งเสนีรี้พลจัตุรงค์ประทานองค์โอรสยศไกร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นเสร็จพระเสด็จเยื้องย่างจากปรางค์ปราสาททองผ่องใส
มายังโรงคัลทันใดเสนาในเฝ้าแหนแน่นนันต์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นปาเตะเสนาคนขยัน
จึงนำเสนีสี่เมืองนั้นมาบังคมคัลมิทันนาน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ แล้วทูลว่าสามกษัตริย์ทรงเดชผู้ดำรงนคเรศราชฐาน
ให้เสนีนำของมาประทานพระหลานรักราชสุริย์วงศ์
แต่องค์สมเด็จพระอัยกีให้หมันหยาธานีสูงส่ง
ให้ระเด่นดาหยันโฉมยงซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์พงศ์พันธุ์
ทั้งหมู่ชายหญิงสิ่งละร้อยล้วนหนุ่มน้อยหน้าตาคมสัน
กับพี่เลี้ยงนางนมทั้งนั้นถวายเป็นข้าขวัญพระนัดดา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์ศรีปัตหรา
ชื่นชมโสมนัสปรีดาจึงมีบัญชาตรัสไป
ซึ่งพระมารดาการุญพระคุณนั้นหาที่สุดไม่
ท่านจงทูลแถลงให้แจ้งใจว่าเราบังคมไปใต้บาทา
อันพระอนุชาสามธานีเรานี้ชอบใจเป็นหนักหนา
จงจำเริญสุขทุกเวลาอันตรายโรคาอย่าแผ้วพาน
แล้วประทานเสื้อผ้าแก่เสนีซึ่งมาแต่สี่ราชฐาน
อันระเด่นดาหยันกุมารพระประธานเงินทองของพึงใจ
ให้อยู่ยังที่ติกาหลังนิเวศน์วังลูกหลวงอาศัย
ครั้นเสร็จเสด็จเข้าข้างในเสนีกลับไปพารา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีหมันหยา
ทรงครรภ์ถ้วนทศมาตราประสูติมาเป็นราชบุตรี
งามงอนอ่อนระทวยนวยแน่งดำแดงนวลเนื้อสองสี
ผ่องพักตร์ผิวพรรณดังจันทรีนางในธานีไม่เทียมทัน
องค์พระอัยกีเป็นที่รักถนอมนักเชยชมภิรมย์ขวัญ
บิตุราชมาตุรงค์แลพงศ์พันธุ์พร้อมกันประทานนามพระธิดา
ชื่อจินตหราวาตีศรีสวัสดิ์เฉลิมวงศ์พงศ์กษัตริย์ในหมันหยา
อ่อนเดือนกว่าอิเหนาพี่ยาทั้งสองชันษาเดียวกัน
พร้อมพระพี่เลี้ยงนางนมนักสนมกรมในสาวสวรรค์
ประโลมเลี้ยงพระธิดาดวงจันทร์ทุกวันทุกเวลาราตรี ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงภพกุเรปันเรืองศรี
ทั้งท้าวดาหาธิบดีสองประไหมสุหรีพี่นางนั้น
จึงจัดของขวัญอันอุดมทั้งพี่เลี้ยงนางนมเลือกสรร
ให้เสนาคุมของจรจรัลไปทำขวัญพระนัดดานารี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวสิงหัดส่าหรี
มีโอรสแรกเริ่มเดิมทีกับประไหมสุหรีศรีโสภา
เทเวศร์ให้กริชเป็นของขวัญเหมือนกันกับอิเหนาเชษฐา
จารึกนามใส่ในกริชมาชื่อระเด่นสุหรานากง
ครั้นท้าวกาหลังมีบุตรีด้วยประไหมสุหรีนวลหง
ชื่อสกาหนึ่งหรัดโฉมยงรูปทรงโสภายาใจ
จึงแต่งของไปตุนาหงันบิตุรงค์ทรงธรรม์ก็อวยให้
ตามจารีตวงศาสุราลัยตุนาหงันกันได้แต่สี่เมือง
อยู่มามีราชบุตรีนวลละอองสองสีขาวเหลือง
พักตร์ผ่องผิวเนื้อเรื่อเรืองจึงให้นามตามเรื่องมารดา
ชื่อระเด่นจินดาส่าหรีพระชนกชนนีเสน่หา
สามเมืองส่งเครื่องบรรณามาทำขวัญพระธิดานารี
แล้วจัดสาวสนมกำนัลเลือกสรรรูปทรงส่งศรี
ตั้งที่พี่เลี้ยงพระบุตรีเหมือนกันทั้งสี่พารา ฯ
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีดาหา
อยู่เย็นเป็นสุขทุกทิวานานมาโฉมยงทรงครรภ์
เมื่อจะประสูติพระดนัยเวลาประจุสมัยไก่ขัน
บังเกิดมหัศอัศจรรย์กลิ่นสุคันธรสรวยริน
ดอกไม้ทุกพรรณบันดาลเบิกบานเกสรขจรกลิ่น
ภุมเรศร่อนร้องโบยบินประสานเสียงเพียงพิณพาทย์ฆ้อง
ดนตรีแตรสังข์ก็ดังเองอัศจรรย์บรรเลงกึกก้อง
ครั้นอรุณรุ่งรางสร่างแสงทองดังแสงรุ้งเรืองรองอร่ามไป
สุรศรีดังสีธรรมชาติเลื่อมพรายโอภาสผ่องใส
จึงประสูติธิดายาใจงามวิไลล้ำเลิศเพริศพราย
อันอัศจรรย์ที่บันดาลก็อันตรธานสูญหาย
ยังแต่กลิ่นหอมรวยชวยชายจึงถวายพระนามตามเหตุนั้น
ชื่อระเด่นบุษบาหนึ่งหรัดลออเอี่ยมเทียมทัดนางสวรรค์
ทั้งในธรณีไม่มีทันผิวพรรณผุดผ่องดังทองทา
อันองค์มะเดหวีมีศักดิ์ถนอมอุ้มฟูมฟักรักษา
ทั้งสามมเหสีโสภารักราชธิดาดังดวงใจ ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผ่านภพดาหากรุงใหญ่
แสนสวาทพระราชดนัยดังดวงฤทัยทรงธรรม์
จึงจัดสี่พี่เลี้ยงพระธิดาคนนั้นชื่อว่าบาหยัน
หนึ่งชื่อส่าเหง็ดลาวัณย์หนึ่งชื่อประเสหรันนารี
หนึ่งชื่อปะลาหงันกัลยาตามตำราชื่อตั้งทั้งสี่
แล้วจัดสรรกำนัลที่รูปดีนารีน้อยน้อยแปดร้อยปลาย
บรรดาบุตรเสนาน้อยใหญ่ต่างคนเต็มใจเอาไปถวาย
พระประทานรางวัลมากมายมอบให้เจ้าขรัวยายบังคับ
บ้างหัดร้องลำนำจำเรียงประสานเสียงซักซ้อมกล่อมขับ
บ้างหัดซอกกระจับปี่ตีโทนทับสำหรับบำเรอพระธิดา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงภพกุเรปันนาถา
แจ้งว่าองค์อนุชามีราชธิดาลาวัณย์
พระเร่งชื่นชมโสมนัสจึงให้จัดสิ่งของไปทำขวัญ
กับเครื่องบรรณาการนอกนั้นเป็นของตุนาหงันกัลยา
ขอระเด่นบุษบาโฉมยงให้องค์อิเหนาโอรสา
ตามจารีตบุราณสืบมาหวังมิให้วงศาอื่นปน
ครั้นเสียศักดิ์สุริย์วงศ์เทเวศร์ก็เกิดเหตุอันตรายหลายหน
ไพร่ฟ้าประชากรร้อนรนจลาจลต่างต่างทั้งธานี
ฝ่ายพระอนุชากาหลังอีกทั้งสิงหัดส่าหรี
ต่างแต่งบรรณาการมากมีไปทำขวัญบุตรีพระพี่ยา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระองค์ทรงพิภพดาหา
ตั้งแต่มีราชธิดาช้านานประมาณห้าปี
จึงมีโอรสยศยงด้วยองค์ประไหมสุหรี
งามละม้ายคล้ายกันกับบุตรีใครเห็นเป็นที่เจริญใจ
องค์อสัญแดหวาวราฤทธิ์เสกแสร้งนฤมิตกริชให้
วางลงข้างองค์พระดนัยจารึกนามนั้นใส่ในกริชมา
ชื่อระเด่นสียะตราหนึ่งหรัดสืบวงศ์พงศ์กษัตริย์อสัญหยา
พระชนกชนนีก็ปรีดาเสน่หาดังดวงฤทัย
สี่เมืองส่งเครื่องบรรณาการมาทำขวัญพระกุมารประสูติใหม่
ของขวัญตามตำรับบังคับไว้โดยในสุริย์วงศ์เทวา
แล้วจัดสรรพี่เลี้ยงทั้งสี่ล้วนลูกเสนีมียศถา
พี่เลี้ยงเอกนั้นชื่อปุนตาหนึ่งกะระตาหลาพี่เลี้ยงรอง
หนึ่งชื่อยะรุเดะพี่เลี้ยงตรีที่สี่ประสันตาปัญญาว่อง
ล้วนหนุ่มน้อยรุ่นรามทรามคะนองตั้งต้องตามขนบครบครัน
ให้บุตรขุนหมื่นพื้นน้อยน้อยแปดร้อยกุมารากิดาหยัน
ประทานเงินเสื้อผ้าสารพันให้เป็นของขวัญพระลูกยา ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นฝ่ายอิเหนากุเรปันโอรสา
ปรีดิ์เปรมเกษมสุขทุกทิวาจนจำเริญชนมาสิบห้าปี
งามรับสรรพสิ้นสรรพางค์ยิ่งอย่างเทวาในราศี
ทรงโฉมประโลมใจนารีเป็นที่ประดิพัทธ์ผูกพัน
เนาในติกาหลังวังสถานดังวิมานเมืองฟ้ากระยาหงัน
พร้อมด้วยสุรางค์นางกำนัลพี่เลี้ยงกิดาหยันโยธา
อันศิลปศาสตร์สำหรับกษัตริย์ทุกสิ่งสารพัดหัดหา
รำกริชกระบี่ขี่อาชาศึกษาซ้อมเล่นไม่เว้นวัน ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ครั้นพระสุริย์ฉายบ่ายลงก็แต่งองค์ทรงเครื่องเรืองฉัน
เสด็จจากปราสาทแก้วแพรวพรรณจรจรัลไปท้องสนามชัย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงพลับพลาหน้าจักรวรรดิที่เคยหัดจตุรงค์น้อยใหญ่
จึงตรัสสั่งกิดาหยันทันใดให้เรียกมโนมัยเข้ามา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นกิดาหยันรับสั่งใส่เกศา
พลางพยักกวักเรียกกรมม้ารีบจูงอาชามาฉับพลัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์เทวากระยาหงัน
จึงขึ้นทรงม้าเหลืองเครื่องสุบรรณระเด่นดาหยันนั้นขี่ม้าแดง
รำท่าเพลงทวนกระบวนรบถ้อยทีขี่สินธพเข้มแข็ง
ชักเป็นโคมเวียนเปลี่ยนแปลงประปรายปลายพระแสงทวนทอง ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ แล้วลงทรงกระบี่ตีเล่นกับระเด่นดาหยันเคล่าคล่อง
กรีดกรายร่ายรำเป็นทำนองรับรองป้องปัดไปมา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นเหนื่อยก็หยุดยับยั้งสถิตยังพลับพลาพลันหรรษา
ทอดพระเนตรกิดาหยันโยธาซ้อมหัดศาตราสารพัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ใครดีฝีมือแคล่วคล่องก็ประทานเงินทองทุกสิ่งสรรพ์
พอจวนเวลาสายัณห์ก็จรจรัลคืนยังวังใน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เสด็จนั่งเหนืออาสน์ลาดปูพระยี่ภู่เขยทองผ่องใส
สาวสุรางค์นางบำเรอบำรุงใจแสนสำราญหฤทัยทุกเวลา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงระตูผู้ผ่านหมันหยา
อยู่จำเนียรกาลนานมาพระมารดาสุดสิ้นทิวงคต
มเหสีสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ต่างแสนโศกศัลย์กำสรด
ทั้งองค์ระตูผู้มียศก็ระทดพระทัยพันทวี
จึงให้เชิญพระศพใส่โกศทองสถิตไว้ในห้องปราสาทศรี
ตกแต่งตามตำแหน่งประเพณีกษัตราธิบดีแต่ก่อนมา
แล้วมีพจนารถประสาทสั่งอำมาตย์ดะหมังยาสา
ท่านจงจัดแจงแต่งตราบอกบรรดาเมืองขึ้นของเรา
ให้ผู้รั้งทั้งปวงหลวงปลัดเกณฑ์ไพร่เร่งรัดไปตัดเสา
กำหนดยาวใหญ่ย่อมกล่อมเกลาให้ได้เท่าตามอย่างช่างให้การ
ทุกสิ่งสารพัดผัดแผงจัดแจงข้าส่วยให้ช่วยสาน
จงหมายบอกทุกตำแหน่งพนักงานจะทำการให้เสร็จในปีนี้
แล้วสั่งปาเตะตำมะหงงท่านจงแต่งราชสารศรี
ไปดาหากุเรปันพระบุรีว่าพระชนนีนั้นมรณา ฯ
ฯ ๑๔ คำ ฯ
             

๏ บัดนั้นอำมาตย์ทั้งสี่มียศถา
รับส่งแล้วบังคมลาออกมาจากพระโรงรูจี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ รีบเขียนหนังสือบอกหลายฉบับแล้วประทับปิดตราพระราชสีห์
ให้ม้าใช้ถือไปทุกธานีตามมีรับสั่งพระทรงธรรม์
แล้วแต่งราชสารลงลานทองมอบให้สองสามนต์คนขยัน
จงรีบไปหากุเรปันสิบห้าวันให้ถึงพารา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีสองนาซ้ายขวา
คำนับรับราชสารามาขึ้นม้าแยกย้ายกันไป ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงกุเรปันนคเรศก็เข้าในนิเวศน์วังใหญ่
บอกแก่ยาสาเสนาในแล้วส่งสารให้ทันที ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นยาสาเสนาบดีศรี
พาอำมาตย์หมันหยาธานีเข้าไปเฝ้าธุลีพระบาทา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึ่งถวายบังคมนบนิ้วประนมเหนือเกศา
ทูลแถลงแจ้งความตามกิจจาแล้วถวายสาราพระทรงธรรม์ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านกรุงไกรไอศวรรย์
คลี่สารอ่านทราบทุกสิ่งอันจึงมีพระบัญชาไป
พระประชวรฉันใดก็ไม่รู้ควรหรือระตูช่างนิ่งได้
ต่อเมื่อพระสวรรคาลัยจึ่งให้มาแจ้งกิจจา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีที่มาแต่หมันหยา
ได้ฟังพจนารถประภาษมาจึ่งสนองบัญชาพระทรงยศ
แต่แรกประชวรมาได้ห้าวันพระโรคนั้นเห็นพอจะเปลื้องปลด
โภชนาอาหารก็มีรสเสวยพระโอสถทุกเวลา
ระตูภูธรไว้พระทัยว่าจะไม่เป็นไรหนักหนา
จึ่งว่ามิได้มีราชสารามาทูลกิจจาภูวไนย
พระโรคนั้นกลับกลายเมื่อภายหลังหนักลงเหลือกำลังจะแก้ไข
สองวันก็สวรรคาลัยภูวไนยจงทราบฝ่าธุลี ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี
ได้ฟังจะแจ้งแห่งคดีภูมีจึงสั่งเสนา
จงจัดแจงแต่งของไทยทานไปช่วยการพระศพในหมันหยา
สั่งเสร็จเสด็จลีลาเข้าหาปราสาทรูจี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งเหนือบัลลังก์รัตน์ชัชวาลพร้อมห้าเยาวมาลย์มเหสี
พระยื่นสารนั้นทันทีให้ประไหมสุหรีกัลยา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเสนหา
คลี่สารอ่านแจ้งกิจจาว่าพระมารดาพิราลัย
ดั่งหนึ่งพระกาญชาญฤทธิ์มาเด็ดดวงชีวิตไปได้
ชลเนตรฟูมฟองนองนัยน์สะอื้นไห้ครวญคร่ำรำพัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ โอ้พระชนนีของลูกเอ๋ยพระคุณเคยปกป้องประคองขวัญ
เชยชมเช้าเย็นเป็นนิรันด์สารพันมิให้อนาทร
ยังมิได้ทดแทนสนองคุณซึ่งการุญรักพร่ำสั่งสอน
หรือมาละลูมไว้ให้อาวรณ์หนีไปอมรเมืองฟ้า
พระประชวรโรคคันคุ้งบรรลัยก็มิได้พิทักษ์รักษา
เสียแรงที่อุ้มท้องประคองมากัลยาร่ำพลางทางโศกี ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นค่อยเคลื่อนวายเทซษจึงกราบทูลภูวเรศเรืองศรี
ข้าขอบังคมลาฝ่าธุลีไปดูแลเปลวอัคคีพระมารดา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์องค์ศรีปัตหรา
นิ่งนึกตรึกไตรไปมาครั้นจะให้กัลยาคลาไคล
เกลือกระตูผู้ผ่านแผ่นดินจะดูหมิ่นประมาทหาควรไม่
จะเสียเกียรติยศปรากฏไปทุกกรุงไกรจะติฉินนินทา
คิดพลางทางปลอบมเหสีอย่ากันแสงโศกีฟังพี่ว่า
อันเกิดแล้วไม่แคล้วมรณาถึงพรหมินทร์อินทราก็เหมือนกัน
ซึ่งจะส่งสักการพระมารดายังนครหมันหยาเขตขัณฑ์
กันดารโดยมาคาอารัญทั้งทรงครรภ์ได้แปดเดือนปลาย
เกลือกจะเกิดเหตุใหญ่ขึ้นในป่าจะลำบากายาโฉมฉาย
รู้ไปถึงไหนจะได้อายเขาจะฉินยินร้ายทุกพารา
เจ้าจงจัดแจงแต่งไทยทานส่งสักการพระศพดีกว่า
ให้อิเหนาลูกเราลีลาก็เหมือนกับกัลยาคลาไคล ฯ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีศรีใส
ได้ฟังภิปรายค่อยคลายใจอรไททูลสนองพระวาจา
ซึ่งพระอง๕ืตรัสโปรดมาทั้งนี้เห็นชอบท่วงทีเป็นหนักหนา
ว่าแล้วถวายบังคมลาลงมาที่อยู่เยาวมาลย์ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นพระองค์ผู้ดำรงราชฐาน
จึงตรัสสั่งดะหมังมิทันนานจงรีบไปแจ้งการอนุชา
เราจะให้ระเด่นมนตรีไปปลงศพอัยกียังหมันหยา
จะจัดแจงใครไปก็ให้มาสองเมืองจะได้พากันคลาไคล ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นดะหมันรับสั่งบังคมไหว้
มาเร่งรัดจัดกันทันใดพร้อมเหล่าบ่าวไพร่แล้วไคลคลา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงทางร่วมพนาลีก็พบพวกเสนหมันหยา
ต่างคนต่างรีบเร่งมาก็ถึงกรุงดาหาพร้อมกัน
จึงไปหาปาเตะเสนีแถลงเล่าคดีขมีขมัน
พอเพลาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ก็พากันไปพระโรงรูจี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ จึงก้มเกล้าประณตบทมาลย์พระผู้ผ่านดาหากรุงศรี
อำมาตย์หมันหยาธานีอัญชลีทูลถวายสารา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์องค์ศรีปัตหรา
คลี่สารอ่านแจ้งในกิจจาให้สังเวชวิญญาณ์จาบัลย์
จึงสั่งคลังวิเศษศุภรัตจงจัดไทยทานทุกสิ่งสรรพ์
แล้วถามดะหมังกุเรปันพระทรงธรรม์ใช้มาว่าไร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นดะหมังบังคมแถลงไข
บัดนี้พระเชษฐาบัญชาใช้มาทูลให้ทราบธุลีพระบาทา
พระจะให้องค์ระเด่นมนตรีเสด็จไปบุรีหมันหยา
อันเครื่องไทยทานการนานาให้พร้อมแต่สิบห้าราตรี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นท้าวดาหาสุริย์วงศ์เรืองศรี
ได้แจ้งแห่งคำเสนีภูมีนิ่งนึกตรึกไตร
พระเชษฐาน่าจะแหนงฤทัยอยู่ด้วยระตูจะประมาทหมิ่นได้
หวังมิให้กัลยาคลาไคลจึงอุบายเป็นนัยมาดังนี้
คิดพลางทางมีบัญชาสั่งดะหมังจงคืนไปกรุงศรี
ทูลพระเชษฐาธิบดีว่าเราอัญชลีพระบาทา
จะให้เสนานำของไปยังนิเวศเวียงชัยพระเชษฐา
บรรจบกับอิเหนานัดดาไปเขตขัณฑ์หมันหยาธานี
สั่งเสร็จเสด็จยุรยาตรไปปราสาทองค์ประไหมสุหรี
นั่งเหนือบัลลังก์รัตน์รูจีพระส่งสารศรีให้กัลยา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเสนหา
คลี่สารอ่านพลันมิทันช้าแจ้งว่าชนนีทิวงคต
นางตระหนกอกสั่นขวัญหายเพียงจะวายชีวิตปลิดปลง
สองกรข้อนอุรารันทดพิไรร่ำกำสรดโศกา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ โอ้ว่าพระมารดาเจ้าพระบาทเคยปกเกล้าเกศา
เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมามิให้เคืองวิญญาณ์เท่ายองใย
พระเจ็บไข้ก็มิได้พยาบาลจะรู้ข่าวอาการก็หาไม่
จนสุดสิ้นชีวันบรรลัยลูกมิได้เห็นใจพระมารดร
ร่ำพลางทางทรงโศกีทอดองค์ลงกับที่บรรถรณ์
ดังจะม้วยชีวาด้วยอาวรณ์บังอรไม่เป็นสมประดี ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ ครั้นค่อยคลายอาดูรจึงทูลไปภูวไนยจงโปรดเกศี
ข้าขอบังคมลาไปธานีดูเปลวอัคคีพระมารดา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระองค์ทรงพิภพดาหา
จึ่งโลมเล้าเอาใจไปมาเจ้าอย่าอาวรณ์ร้อนฤทัย
อันกำเนิดเกิดมาในสากลใครจะพ้นมรณะก็หาไม่
จงระงับดับความอาลัยถึงโศกไปใช่ที่จะเป็นมา
ซึ่งเจ้าว่าจะลาบทจรไปนครเขื่อนขัณฑ์หมันหยา
ในฤดูเดือนนี้จะลีลากันดารโดยมรคาท่าทาง
ฝูงโขมดมายาย่อมอาเพศให้เกิดเหตุอันตรายหลายอย่าง
ใช่จะแกล้งเกียดกันกั้นทางถึงพี่นางก็ไม่ไคลคลา
โฉมยงจงจัดไทยทานส่งสักการพระศพจะดีกว่า
ให้เสนีนำไปด้วยนัดดาก็เหมือนกัลยาคลาไคล ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีศรีใส
ได้ฟังบัญชาภูวไนยอรไทค่อยคลายโศกา
จึงมีเสาวนีย์ตรัสสั่งพนักงานชาวคลังซ้ายขวา
จงจัดเครื่องไทยทานนานาจะให้ไปหมันหยาธานี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นฝ่ายนางพนักงานสาวศรี
รับสั่งแล้วรีบจรลีมาจัดตามเสาวนีย์กัลยา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ สิ่งของไทยทานก็เตรียมพร้อมทั้งเครื่องหอมเนื้อไม้กฤษณา
ครั้นเสร็จให้ขนเข้ามาถวายองค์กัลยาทันที ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ประไหมสุหรี
เคารพจบพระหัตถ์ด้วยยินดีเทวีสมาโทษพระมารดา
จึงตรัสสั่งสาวสวรรค์ทันใดให้ขนของไปข้างหน้า
มอบให้ดะหมังเสนาไปด้วยนัดดาโดยลำพัง ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นนางกำนัลคำนับรับสั่ง
จึงขนของออกไปจากวังมอบให้ดะหมังทันที
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นดะหมังนั่งตรวจดูถ้วนถี่
ให้เสมียนจดหมายรายบัญชีผูกถือใส่ที่แล้วตีตรา
ให้ขนสิ่งของบรรทุกช้างเหลือนั้นใส่ต่างมหิงสา
ครั้นเสร็จก็ยกโยธาออกจากพารารีบไป ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เร่งรัดพลมาสิบห้าวันก็ถึงกุเรปันกรุงใหญ่
ครั้นเวลาเข้าเฝ้าท้าวไทก็เข้าไปพระโรงรัตนา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงก้มเกล้าประณตบทบงส์พระองค์ทรงพิภพนาถา
ทูลแถลงแจ้งความตามกิจจาให้ทราบบาทาทุกสิ่งไป ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวกุเรปันเป็นใหญ่
ได้ฟังดะหมังเสนาในจึงตรัสไปแก่องค์พระลูกยา
เจ้าจงคุมของสองธานีไปปลงศพอัยกียังหมันหยา
แทนองค์พระราชมารดากับประหมันดาหาเวียงชัย
แล้วดูโยธีที่ทำงานแม้นเห็นการล่าแล้เป็นไฉน
บอกกมาจะเพิ่มพลไกรไประดมทำให้ทันที
เสร็จแล้วลูกแก้วอย่าอยู่ช้าเร่งกลับมากุเรปันกรุงศรี
จึงตรัสสั่งปาเตะเสนีจงตรวจเตรียมโยธารี้พล
ท่านไปด้วยช่วยดูเป็นผู้ใหญ่เอาใจใส่อย่าให้มีเหตุผล
สั่งเสร็จเสด็จจรดลขึ้นสู่ไพชยนต์ปราสาทชัย ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
             

๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีใส
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วก็คลาไคลกลับไปอยู่ที่ภูมี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นปาเตะเสนาบดีศรี
ออกมาจัดพลโยธีตามมีพระราชบัญชา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๏ ขุนช้างต่างผูกคชสารเคยชำนาญการณรงค์แกล้วกล้า
ขุนม้าก็ผูกอาชาเบาะอานพานหน้าประดับดาว
ขุนรถตรวจเตรียมเทียมพาชีสลับสีเหลืองกะเลียวเขียวขาว
ขุนพลจัดพลเดินเท้านายหมวดตรวจบ่าวพร้อมเพรียง
พวกทำที่ประทับพลับพลาให้ล่วงหน้ารีบไปแต่ในเที่ยง
จัดแจงหาบคอนผ่อนเสบียงตามเยี่ยงอย่างเสด็จยาตรา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
@ร่าย
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีโอรสา
ครั้นรุ่งรางสร่างแสงสุริยาเสด็จมาสระสรงสรรพางค์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
โทน
๏ ลูบไล้สุคนธาอ่าองค์น้ำมันจันทน์บรรจงทรงพระสาง
สอดใส่สนับเพลาพลางทรงภูษาแย่งอย่างลายกระบวน
ฉลององค์โหมดม่วงร่วงระยับอบอุหรับจับกลิ่นหอมหวน
เจียระบาดตาดทองแล่งล้วนเข็มขัดคาดค่าควรพระนคร
กรองศอสังเวียนวิเชียรช่วงทับทรวงสังวาลห้อยสร้อยอ่อน
ตาบกุดั่นประดับทับซ้อนทอกรเก้าคู่ชมพูนุท
ธำมรงค์เพชรแพรวแวววับกรรเจียกปรับรับทรงมงกุฎ
เหน็บกริชฤทธิรอนสำหรับยุทธ์งามดั่งเทพบุตรบทจร ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ บาทสกุณี
ร่าย
๏ มาทรงรถแก้วแววไวเสนาในกราบกรานอยู่สลอน
สั่งให้ยกโยธาพลากรบทจรออกจากนิวศน์วัง ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
โทน
๏ รถเอ๋ยราชรถแก้วจำหลักลายพรายแพร้วพลอยฝัง
งามงอนอ่อนแอกแปรกบังบุษบกที่นั่งบัลลังก์ลอย
หน้ากระดานฐานปัทม์บัวหงายกระจังรายรจนาตาอ้อย
กระหนกเกรินท้ายรถชดช้อยเพลาพลอยประดับทับทิมแดง
เทียมสินธพที่นั่งทั้งสี่สารถีขี่ขับเข้มแข็ง
ทหารม้าเกณฑ์หัดจัดแจงเดินแซงสองข้างมรคา
ประดับด้วยเครื่องสูงชุมสายธงชายปลายเชือกนั้นนำหน้า
เยียดยัดจัตุรงค์โยธาไคลคลามาในไพรพนม ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ชมดง
๏ เดินเอยเดิทางสองข้างพ่างพื้นรื่นร่ม
พี่เลี้ยงเคียงคอยบังคมพระชี้ชมรุกขาชาติดาษเดียร
บ้างผลิดอกออกผลพวงดกดั่งไม้ฉากกระจกจีนเขียน
ป่าระหงดงยางนางตะเคียนใต้ต้นแลเตียนสะอาดตา
มะลิวัลย์พันพุ่มคัดค้าวฤดูดอกออกขาวทั้งราวป่า
บ้างเลื้อยเลี้ยวเกี้ยวกิ่งเหมือชิงช้าลมพาพัดแกว่งดังแกล้งไกว
ร่มรังบังแสงทินกรที่หาบคอนเรื่อยล้าเข้าอาศัย
สารวัดรัดเร่งพลไกรคลาไคลไปตามมรคา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ แต่แรมรอนนอนในพนาเวศมาถึงเขตนครหมันหยา
หยุดประทับยั้บยั้งโยธาเสด็จขึ้นพลับพลาพนาลี ฯ
ฯ ๒ คำ      ฯ เสมอ เจรจา
๏ บัดนั้นขุนด่านแจ้งความถ้วนถี่
จึงเหยียบโกลนโผนเผ่นขึ้นพาชีขับขี่ตีควบเข้าเวียงชัย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงตรงไปหาทั้งสี่เสนาผู้ใหญ่
เรียนคดีชี้แจงให้แจ้งใจโดยนัยอนุสนธิ์แต่ต้นมา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีได้ฟังไม่กังขา
ก็เข้าไปในพระโรงรัตนากราบทูลกิจจาทุกประการ
บัดนี้อิเหนากุเรปันยกพวกพลขันธ์มาถึงด่าน
จะเข้ามาประณตบทมาลย์ภูบาลจงทราบพระบาทา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านหมันหยา
ได้ฟังจึงสั่งเสนาจงไปรับนัดดามาธานี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นตำมะหงงรับสั่งใส่เกศี
ออกมาเกณฑ์กันทันทีเร่งรัดสัสดีเอาผู้คน
บ้างเบิกเสื้อเบิกหมวกอลหม่านทั่วทุกพนักงานสับสน
พรั่งพร้อมโยธีรี้พลเสนานำพหลเกณฑ์แห่ไป ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลีองค์ระเด่นมนตรีศรีใส
บังคมทูลแถลงให้แจ้งใจระตูให้มารับเข้าบุรี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
ได้ฟังตำมะหงงเสนีจึงตรัสสั่งทั้งสี่พี่เลี้ยง
วันนี้เราจะเข้าพระนครอย่าให้ทันแดดร้อนก่อนเที่ยง
จงจัดทหารแห่เป็นคู่เคียงให้พร้อมเพรียงแต่ในบัดนี้ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพระพี่เลี้ยงรับสั่งใส่เกศี
มาจัดพลจัดพวกพาชีทหารแห่ให้ขี่คู่กัน
แล้วนุ่งห่มสมตัวตกแต่งตามตำแหน่งเสนากิดาหยัน
ปลายเชือกให้ชาวหมันหยานั้นจัดกันเดินหน้านำพล
เหล่ากำนัลเชิญพระแสงสำหรับตามล้วนงามงามต้นเหลี่ยมหลังถนน
เข้าขบวนถ้วนทั่วทุกตัวคนแล้วผูกม้าต้นเตรียมไว้
สารวัดจัดตรวจเป็นหมวดกองทวนทองธงทิวปลิวไสว
คอยเสด็จยาตราคลาไคลคับคั่งทั้งในแดนดง ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีสูงส่ง
เสด็จจากแท่นสุวรรณบรรจงมาสระสรงวารินกลิ่นเกลา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ลงสรงสุหร่าย
๏ ทรงสุคนธ์ปนทองชมพูนุทนวลละอองผ่องผุดดังหล่อเหลา
พระฉายตั้งคันฉ่องส่องเงาสอดใส่สนับเพลาเพราผจง
ทรงภูษายกแย่งอย่างนอกพื้นม่วงดอกดวงตันหยง
โหมดเทศริ้วทองฉลององค์กระสันทรงเจียระบาดคาดทับ
ปั้นเหน่งเพชรลงยาราชาวดีทับทรวงดวงมณีศรีสลับ
เฟื่องห้อยสร้สอยสังวาลพานพับทองกรแก้วประดับดวงจินดา
สอดใส่ธำมรงค์เรือนครุฑทรงมงกุฎห้อยพวงบุปผา
เหน็บกริชฤทธิไกรแล้วไคลคลาเสด็จมาขึ้นทรงสินธพ ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ม้าเอยม้าต้นสามารถอาจผจญเจนจบ
เคล่าคล่องทีทวนกระบวนรบไม่หลีกหลบเลื่อมตื่นปืนประทัด
เผ่าโผนโจนฝ่ามากลางพลผู้คนเดินกีดก็ดีดกัด
ม้ากิดาหยันตามเยียดยัดม้าแห่แออัดรัถยา
ม้าระเด่นดาหยันเดินรองม้าพี่เลี้ยงเคียงสองซ้ายขวา
พนักงานกั้นกลดรจนาบังแสงสุริยาตรัสไตร
อภิรุมชุมสายสีประเทืองธงเทียวเขียวเหลืองล้วนใหม่ใหม่
สนั่นเสียงฆ้องกลองก้องไพรรีบรนพลไกรเข้าในเมือง ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ บัดนั้นหญิงชายระบือลือเลื่อง
มาคอยภูวไนยนองเนืองนั่งเนื่องแน่นถนนไปจนวัง
บ้างกลัวต่ำสูงจูงลูกหลานลงจากร้านขายผ้าหน้าถัง
บ้างลดไม่ค้ำฝาหน้ากระชังมาแทรกเสียดเบียดบังนั่งปน
ที่หญิงปากกล้าก็ด่าทอเพิดพ้อผลักไสพิไรบ่น
ปะชายโฉงเฉงข่มเหงคนปากลนปะเตะเล่นก็เป็นไร
ที่ทาง........ได้ที่ไหนมาจะนิ่งดูแต่ตาก็ไม่ได้
ขึ้นเสียงเถียงทะเลาะกันอึงไปฮึดฮัดขัดใจเต็มที
ที่เป็นผู้ใหญ่ก็ห้ามปรามข้าขอความเอ็นดูอย่าจู้จี้
มิใช่คนชั่วช้าหน้าตาดีไม่พอที่จะโมโหโกรธา
ครั้นได้เห็นองค์พระทรงธรรม์งามดังอสัญแดหวา
พิศวงงงไปในพริบตาทั่วทั้งไพร่ฟ้าประชากร
หญิงชายชาวเมืองก็หมอบกรานทุกบ้านบังคมอยู่สลอน
บ้างร้องอำนวยอวยพรราษฎรเกษมเปรมปรีดิ์ ฯ
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นทหารแห่คับคั่งทั้งวิถี
เห็นหญิงสาวสาวชาวบุรีหน้าไหนใครดีก็แลดู
บ้างกระซิบบุ้ยปากบอกกันรูปร่างนางคนนั้นขยันอยู่
ที่หนุ่มหนุ่มนักเลงเหล่าเจ้าชู้เอาปูนพลูซัดหยอกแล้วยิ้มพราย
บ้างชักม้าพยศย่างขวางถนนสะดุดคนเหยียบของเขากองขาย
บ้างโผนผกหกมุ่นวุ่นวายตื่นตะกายเกะกะเข้าระรั้ว
พวกผู้หญิงวิ่งวุ่นอลวนลางคนผ้าห่อมหายขายหน้าผัว
บ้างแฝงฝาหน้าถังบังตัวบ้างหัวบ้างโกรธโกรธา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์องค์อสัญแดหวา
เร่งขับมโนมัยไคลคลามรคาคับคั่งผู้คน
ครั้นถึงทิมริมที่ทวารวังเสด็จลงจากหลังม้าต้น
จึงให้หยุดโยธีรี้พลชวนระเด่นดาหยันยาตรา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เข้าในพระโรงรัตน์รูจีเห็นเสนีเฝ้าแหนแน่นหนา
จึงถวายบังคมคัลวันทาพระผู้ผ่านสวรรยาธานี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยาเรืองศรี
เห็นอิเหนาเข้ามาอัญชลีจึงมีมธุรสพจมาน
ปราศรัยไต่ถามพระนัดดาซึ่งเจ้ามาท่าทางทุรัศสถาน
เดินโดยอรัญกันดารโยธาทวยหาญยังพร้อมมูล
พระชนกชนนีทั้งสองครอบครองโภไคยไอศูรย์
เสวยรมย์สมบัติบริบูรณ์ทั้งประยูรสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์
อันฝูงไพร่ฟ้าประชาชนทั้งเสนาสามนต์พลขันธ์
อยู่เย็นเป็นสุขพร้อมกันเหมือนแต่ก่อนกระนั้นหรือนัดดา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นอิเหนาอภิวันท์หรรษา
ทูลว่าแต่ยกพลมาเดินโดยมรคาสิบห้าวัน
อันพวกพหลพลไกรไม่มีเหตุเภทภัยในไพรสัณฑ์
สมเด็จพระบิตุรงค์ทรงธรรม์ก็เสวยไอศวรรย์เปรมปรีดิ์
ถ้วนหน้าผาสุกไม่ทุกข์ร้อนไพร่ฟ้าประชากรเกษมศรี
ปราศจากอันตรายราคีมิได้มีภัยพานประการใด
แต่องค์พระชนนีนั้นทรงครรภ์แก่เกือบไม่มาได้
ให้ข้าคุ้มของสองเวียงชัยมาปลงศพท่านไทยอัยกี
แม้นพระเมรุเกณฑ์ทำไม่ทันการจะแจ้งสารไปให้ทราบบทศรี
พระเพิ่มเติมพลมนตรีทั้งสองบุรีมาทำการ ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวหมันหยายิ้มย่องสนองสาร
ซึ่งสององค์บรรจงไทยทานให้หลานมาช่วยถึงพารา
พระคุณนั้นหาที่สุดไม่จะเลื่องชื่อลือไปทุกทิศา
อันการศพสมเด็จพระมารดาก็จัดแจงทำมาไม่เงือดงด
แต่ยังหาได้ตั้งพระเมรุไม่ตัวไม้ปรับปรุงไว้พร้อมหมด
หลานมาน้าสมมโนรถจะรีบกำหนดให้แน่ลง
ว่าพลางทางมีบัญชาตรัสสั่งเสนาตำมะหงง
จงแต่งที่ประเสบันอากงให้องค์อิเหนากุเราปัน ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นตำมะหงงรับสั่งแล้วผายผัน
มาจัดแจงแต่งที่ประเสบันช่วยกันอุตลุดทั้งไพร่นาย
บ้างกั้นฉากแพรลับแลตั้งกรมวังวงพระสูตรรูดสาย
จัดแจงแต่งตำหนักยักย้ายเพดานดาดรายดารากร
บ้างตกแต่งพระยี่ภู่ปูอาสน์ชาวที่ทอดราชบรรจถรณ์
ที่เสวยที่สรงสาครเสร็จตามภูธรบัญชาการฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระองค์ผู้ดำรงราชฐาน
จึงตรัสสั่งพฤฒาโหราจารย์ให้หาฤกษ์ตั้งการกำหนดวัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
             

๏ บัดนั้นขุนโหรผู้ใหญ่คนขยัน
คลี่ตำราขับไล่ลัคน์จันทร์ดูโฉลกโชคชั้นทันที
จึงนบนิ้วประนมบังคมทูลนเรนทร์สูรจงทราบบทศรี
กำหนดเชิญพระศพฤกษ์ดีเดือนสี่สิบค่ำวันอังคาร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยาได้ฟังสาร
จึงสั่งเสนีพนักงานจงจัดการพระเมรุเกณฑ์กัน
นายมุลขุนหมื่นทุกหมู่หมวดสมทบสี่ตำรวจกวดขัน
เครื่องประดับพระศพครบครันรีบทำให้ทันกำหนดไว้
สั่งพลางทางกล่าววาทีชวนระเด่นมนตรีศรีใส
ทั้งระเด่นดาหยันคลาไคลเสด็จไปไหว้ศพพระอัยกี ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
จึงถวายอภิวันท์อัญชลีศพพระอัยกีด้วยปรีดา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านหมันหยา
จึงมีพระราชบัญชาสั่งกำนัลกัลยาฉับพลัน
จงไปเชิญองค์ประไหมสุหรีกับบุตรีขึ้นมาขมีขมัน
บอกว่าอิเหนากุเรปันมาอภิวันท์พระศพอยู่บนนี้ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏      บัดนั้นนางกำนัลประณตบทศรี
รับสั่งพระผู้ทรงธรณีแล้วรีบจรลีออกมา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงถวายบังคมไหว้องค์ประไหมสุหรีเสนหา
ทูลว่าอิเหนานัดดาเสด็จมาอยู่ที่พระศพนั้น
บัดนี้พระผู้ผ่านเวียงชัยให้เชิญสองอรทัยผายผัน
ขึ้นไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ยังสุวรรณปราสาทรูจี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงค์องค์ประไหมสุหรี
จึงชวนจินตะหราวาตีเข้าที่สรงสนานสำราญกาย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ชมตลาด
๏ สองกษัตริย์ขัดสีฉวีวรรณนางกำนัลตั้งสุคนธ์คอยถวาย
ทรงอุหรับจับกลิ่นอบอายน้ำกุหลาบละลายกรายกรีดนิ้ว
กวดเกล้าเปลาปลายพระฉายส่องผัดพักตร์นวลละอองผ่องผิว
ทรงภูษายักแย่งแพลงพลิ้วห่มริ้วทองทับซับใน
สร้อยสะอิ้งสังวาลบานพับตามประดับมรกตสดใส
ทองกรแก้วมณีเจียระไนสอดใส่เนาวรัตน์ธำมรงค์
ทรงมงกุฎสำหรับพระธิดาห้อยอุบะบุหงาตันหยง
พรั่งพร้อมสุรางค์นางอนงค์สององค์เสด็จคลาไคล ฯ
ร่าย
๏ ครั้นถึงจึงบังคมบรมศพแล้วนอบนบอภิวันท์ท้าวหมันหยา
พลางทอดพระเนตรแลมาดูพระนัดดาธิบดี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
จึงถวายอภิวันท์อัญชลีองค์ประไหมสุหรีศรีดสภา
แล้วทำทีมิให้ใครสังเกตชำเลืองเนตรดูระเด่นจินตหรา
งามอ่อนจริตกิริยาลักขณาเลิศล้ำนารี
พีศพักตร์งามพักตร์ผุดผ่องผิวเนื้อนวลละอองสองสี
อรชรอ้อนแอ้นทั้งอินทรีย์ภูมีดูนางไม่วางตา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเสนหา
พินิจพิศพักตร์พระนัดดากัลยาแย้มพรายทายทัก
แต่เจ้ากำเนิดเกิดมาถึงเพียงนี้น้าเพิ่งรู้จัก
ทรงโฉมประโลมเลิศลักษณ์สมศักดิ์สุริย์วงศ์เทวัญ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
จึงทูลว่าคิดอยู่ก่อนนั้นจะใคร่มาอภิวันท์พระบาทา
พึ่งจะสมจินดาครานี้มีความยินดีเป็นหนักหนา
ทูลพลางชำเลืองนัยนาดูระเด่นจินตะหราด้วยใจรัก ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นจินตะหราวาตีมีศักดิ์
เห็นอิเหนาเฝ้าดูอดสูนักนงลักษณ์แอบหลังพระชนนี
พลางชม้ายชายเนตรดูเชษฐานัยนาแลสบก็หลบหนี
หมอบเมียงเอียงอายเป็นท่วงทีเทวีขวยเขินสะเทินใจ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีศรีใส
จึงตรัสแก่ธิดาทันใดเป็นไรไม่ไหว้พี่ยา
จงฝากตัวไว้ให้รู้จักจะได้พึ่งพำนักในภายหน้า
อันองค์อิเหนานัดดาก็แก่เดือนกว่าเทวี
อย่าทำกระแหน่แง่งอนอะหนะก็อ่อนกว่าพี่
มิใช่ว่าอื่นไกลหาไหนมีเจ้าจงอัญชลีพี่ยา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา
ฟังพระชนนีตรัสมากัลยาอายเอียงเมียงมัน
เหลือบไปปะเนตรภูวไนยยิ่งสะเทินฤทัยไหวหวั่น
อุตส่าห์ขืนอารมณ์บังคมคัลอิเหนากุเรปันแล้วก้มพักตร์ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีมีศักดิ์
เหลือบไปรับไหว้นางนงลักษณ์พิศพักตร์ผิวเนื้อนวลละออง
ลำลำจะใคร่ตรัสปราศรัยแต่หากเกรงท้าวไททั้งสอง
ให้คิดพิสมัยใจปองพระนิ่งตรึกตรองไปมา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านหมันหยา
เห็นอิเหนาเฝ้าดูธิดาก็แจ้งในกิริยาอาการ
พระแสร้งทำเฉยเชือนเหมือนไม่รู้ยิ้มอยู่ในหน้าไม่ว่าขาน
นิ่งนึกตรึกตราไปช้านานแล้วภูบาลบัญชาพาที
สั่งประไหมสุหรีมีศักดิ์ว่าหลานรักมาอยู่ในกรุงศรี
จงแต่งโภชนาสาลีให้นารีไปส่งทุกวัน
สั่งพลางทางตรัสแก่นัดดาวันนี้เหนื่อยมาจงผายผัน
ไปหยุดพักอยู่ตำหนักประเสบันให้ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์สำราญ ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีได้ฟังสาร
จึงบังคมก้มพักตร์พจมานจวนเย็นแล้วหลานจะทูลลา
พระคลานคล้อยถอยองค์ออกมาพลางชำเลืองเนตรดูนางจินตะหรา
องค์อ่อนถอนฤทัยไปมาแล้วลีลาลงจากอัฒจันทร์
ชวนระเด่นดาหยันยุรยาตรมาทรงอัศวราชผายผัน
ทวยหาญแห่แหนแน่นนันต์ไปยังประเสบันอากง ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงลงจากอัสดรกรายกรยุรยาตรดังราชหงส์
เข้าในห้องสุวรรณบรรจงทอดองค์ลงกับที่ไสยา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ พระยอกรก่ายวิลาสพาดพักตร์ถวิลถึงน้องรักจินตะหรา
โฉมงามทรามสวาทเเพียงบาดตาใต้ฟ้าหาไหนไม่ทัดเทียม
งามจริตกิริยาเป็นน่าชมแต่บังคมพี่ชายก็อายเหนียม
ที่ลอบแลโฉมน้องลองเลียมงามเสงี่ยมเจียมจิตพี่ติดใจ
เมื่อชม้ายมาสบหลบเนตรหนีท่วงทีที่ทำยังจำได้
ยิ่งแสนเสน่หาอาลัยเร่าร้อนฤทัยเกรียมตรม
จะผ่อนผันฉันใดนะอกเอ๋ยจะได้เชยชวนชิดสนิทสนม
แต่ระลึกตรึกตราเป็นอารมณ์จนบรรทมหลับไปกับไสยา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ      ตระ
ร่าย
๏ บัดนั้นเสนีสี่นายทั้งซ้ายขวา
ให้จับการทุกด้านดังบัญชาตรวจตราหน้าที่ทำพระเมรุ
ลากเสาเข้าที่ทั้งสี่ต้นผู้คนอึงอัดขัดเขมร
บ้างขุดหลุมลงลุยคุ้ยเลนบ้างกะเกณฑ์กันตั้งนั่งร้าน
เอาเชือกผูกแทงทบครบเสาได้ฤกษ์เร่งคนเข้าขันกว้าน
ตั้งไม่ใช้เดินรอกตะพานคนประจำทำงานไม่เงือดงด
พวกทำเมรุทิศทั้งนั้นก็พร้อมกันยกตั้งขึ้นทั้งหมด
ติดตะม่อสองชั้นเป็นหลั่นลดนายช่างกำหนดอำนวยการ
เจ้าหน้าที่สามสร้างต่างมาจับชักระดับปลายเสาเสมอสมาน
บ้างใส่สอดรอดพรึงตรึงกระดานเสียงสิ่วเสียงขวานอึงอล ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพวกวิเสทแต่งสำรับสับสน
ครั้นเพลาจวนเที่ยงจะเลี้ยงคนก็รีบล้นขนสำรับมาฉับไว
กรมวังนั่งจ่ายให้นายด่านพวกทำการเมรุทิศเมรุใหญ่
ข้าวกระทงส่งมาแต่ข้างในเจ้าขรัวนายเกณฑ์ให้ทำทุกเรือน
ประชาชนชายหญิงเอาสิ่งของมาถวายกรายกองไว้กล่นเกลื่อน
แจกให้ไพร่สมระดมเดือนทั้งทหารพลเรือนทั่วกัน ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นเสนีสี่ตำรวจกวดขัน
นายด้านทำการพระเมรุนั้นทั้งกลางคืนกลางวันเร่งรัด
ให้ยกดูกผูกเชือกแย่งระบางยอดปรางค์นภศูลสวมฉัตร
ตำรวจในไม้สูงสันทัดขึ้นผูกแผงผัดจัดกระจัง
ติดชั้นเชิงบาตรบัวหงายเรียงรายเทพนมยืนนั่ง
บัญชรชัชวาลบานบังฝาผนังหลังคากระยารงค์
พนักงานด้านทำพระเมรุทองก็ติดตัวลำยองหางหงส์
หน้ากระดาษฐานปัทม์ไม่ขัดทรงบรรจงตั้งเครื่องพระเบญจา
เพดานดาราระย้าย้อยผูกห้อยภู่พวงบุปผา
ฉากกระจกยกตั้งบังตาแต่งที่เป็นข้างหน้าข้างใน
บ้างตั้งไม้กระถางวางรูปสัตว์รอบจังหวัดบริเวณพระเมรุใหญ่
รูปกินอ้อนแอ่นเอาใจวางไว้ริมมุขทุกทิศ
ซุ้มดอกไม้รุ่งรายซ้ายขวาโคมระย้าหลายลูกผูกติด
ราชวัติทึบตั้งบังมิดฉัตรเงินทองปิดน้ำตะกู
บ้างยกฉัตรเบญจรงค์เรียงเรียบเสาตะเกียบปักเคียงเป็นคู่คู่
ยักษ์โตตั้งวางข้างประตูยืนอยู่หูตาน่ากลัว
บ้างทำโรงหุ่นโขนช่องระทาขึ้นหลังคาดาดแผงผูกจั่ว
ปลูกศาลาฉ้อทานทำครัวเสร็จทั่วทุกตำแหน่งแต่งไว้ ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นฝ่ายเจ้าพนักงานน้อยใหญ่
ครั้นจวนกำหนดไม่นอนใจก็ตระเตรียมเทียมพิชัยราชรถ
รถใหญ่สำหรับใส่พระโกศทองเรืองรองรจนาปรากฏ
รถโยงปรายข้าวตอกเป็นหลั่นลดรถอ่านหนังสือรถใส่ท่อนจันทน์
เกณฑ์ไพร่ไว้สำหรับชักฉุดใส่เสื้อเสนากุฎขบขัน
ที่บ่าวไพร่ใครช้ามาไม่ทันก็พากันวิ่งวุ่นทุกมุลนาย
บรรดาหมู่คู่แห่เข้ากระบวนก็มาถ้วนตามบัญชีซึ่งมีหมาย
ล้วนใส่เสื้อครุยกรุยกรายสมปักลายลำพอกถือดอกบัว
คนชักรูปสัตว์จัดหนุ่มหนุ่มใส่ศีรษะโมงคลุมครอบหัว
ทับทรวงสังวาลลอดสอดพันพัวแต่งตัวนุ่งตาโถงโจงกระเบน
กิดาหยันจัดกันตามตำแหน่งเชิญพระแสงหอกดาบดั้งเขน
ตั้งตาริ้วรายไปใกล้พระเมรุพรั่งพร้มตามเกณฑ์ทั้งไพร่นาย ฯ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นประชาชนพลเมืองทั้งหลาย
จะดูชักพระศพตบแต่งกายหญิงชายโอ่อวดประกวดกัน
บรรดาเหล่าชาวบ้านบางไกลก็ลงเรือรีบไปแต่ไก่ขัน
เร่างพายเตือนผัวกลัวไม่ทันถุ้งเถียงทะเลาะกันมากลางทาง
ที่บ้านอยู่คนละฟากอยากจะดูแต่เช้าตรู่ก็ลงมาท่าเรือจ้าง
ให้เบี้ยเขาข้ามส่งตราท่าช้างบ้างยังค้างคอยอยู่กู่ตะโกน
พวกเมียขุนนางต่างแต่งแง่มาคอยดูอยู่ที่แคร่หน้าโรงโขน
ปะชายายหน้าประสาโลนทำเมินเดินโดนผู้หญิงไป
ชาวแพแม่ค้าพาลูกเต้าผัวพวกนายสำเภาเป็นจีนใหม่
พูดจาไม่ขัดสันทัดไทยนั่งไหนหนุ่มหนุ่มก็ล้อมอึง
เมียน้อยเจ้าภาษีมิใช่ชั่วหน้าเป็นเล่นตัวจนผัวหึง
พวกกินเหล้าเมามาหน้าตึงปากโป้งโผงผึงอวดตน
เห็นสาวสาวที่ไหนชุมเข้ากลุ้มกลัดแทรกสกัดกั้นขวางกลางถนน
ตำรวจในไล่ตีผู้คนสับสนอลหม่านไปมา ฯ
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านหมันหยา
ครั้นแสงทองส่องสว่างกระจ่างตาเสด็จมาสรงชลฉับพลัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ทรงสุคนธ์รวยรินกลิ่นเกลาสอดใส่สนับเพลาลายกระสัน
ทรงภูษาพื้นขาวเขียวสุวรรณเกรียวกรวยสามชั้นบรรจงโจง
ฉลององค์โหมดเทศทองอร่ามอินทร์ธนูดูงามอ่าโถง
เจียระบาดตาดเงินเงาโง้งปั้นเหน่งลายปรุโปร่งประดับพลอย
กรองศอสังเวียนวิเชียรช่วงตาบทิศทับทรวงห่วงห้อย
ทองกรจำหลักเป็นรักร้อยธำมรงค์เพชรพลอยร่วงรุ้ง
กรรเจียกแก้วแพรวพายทั้งซ้ายขวาทรงชฎาห้อยยอดสอดสะดุ้ง
ห้อยอุบะตันหยงส่งกลิ่นฟุ้งครั้นรุ่งก็เสด็จจรจรัล ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
             

ร่าย
๏ มายังเกยมณีที่ข้างหน้าพระราชาขึ้นทรงอุสงหงัน
เสนีแห่แหนแน่นนันต์อิเหนากุเรปันก็ตามไป ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงหยุดประทับพลับพลาพร้อมหมู่มาตยาน้อยใหญ่
หมอบเฝ้าคอยฟังรับสั่งใช้ตำรวจในพิทักษ์รักษาองค์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นประไหมสุหรีมีศักดิ์สูงส่ง
ชวนระเด่นจินตะหราโฉมยงมาทรงวอสุวรรณกั้นกลาง
เสด็จโดยฉนวนในไคลคลาโขลนจ่าร้องให้ปิดประตูข้าง
หร้อมหมู่สาวสวรรค์กำนัลนางต่างต่างตามเสด็จจรลี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงชวนพระธิดาหยุดประทับพลัยพลาหลังคาสี
คอยดูชักศพพระอัยกีเลิกมู่ลี่แลลอดสอดตา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีธิบดีซ้ายขวา
เร่งรัดจัดถ้วนกระบวนตราพอเวลาไขสีรวีวรรณ
จึงให้เชิญพระศพในปราสาทขึ้นสู่ยานุมาศผายผัน
เกณฑ์แห่แห่แหนแน่นันต์มายังเกยสุวรรณที่ประทับ
พนักงานเชิญพระโกษขึ้นตั้งบนบัลลังก์รถทรงเสร็จสรรพ
คู่แห่แตรสังข์คั่งคับเป็นลำดับเดินโดยมรคา
เชื้อพระวงศ์ทรงรถเรืองรองมือถือแว่นทองซองสลา
โขมพัตถ์พับยาวโยงมาพาดเหนืออังสาทรงไว้
รถพระวงศ์เชื้อสายปรายข้าวตอกใส่ชฎาลำพอกดอกไม้ไหว
รถบีกูดูหนังสืออ่านไปรถหลังตั้งเนื้อไม้ท่อนจันทน์
เครื่องสูงเคียงคู่ทั้งสองข้างพระกลดหักทองขวางกางกั้น
อินทร์พรหมพร้อมเพรียงเรียงกันเสียงประโคมครื้นครั่นสนั่นไปป
รูปสัตว์สิ่งละคู่ดูต่างต่างตามตำแหน่งขุนนางน้อยใหญ่
บุษบกบัลลังก์ตั้งผ้าไตรชักไปเป็นขนัดอัดมา
ระเด่นดาหยกสุริย์วงศ์ทั้งเผ่าพงศ์ประยูรในหมันหยา
ต่างองค์ทรงเครื่องใส่ชฎาขี่ม้าตามไปในกระบวน ฯ
ฯ ๑๖ คำ ฯ กลองโยน
๏ บัดนั้นหญิงชายหนุ่มสาวชาวเรือกสวน
ลูกเต้าหลานเหลนอยู่เป็นพรวนเห็นกระบวนแห้หน้ามาแต่ไกล
พวกผู้หญิงชิงช่องราชวัติด่าทอพ้อตัดผลักไส
บ้างลุกขึ้นชี้หน้าแล้วว่าไปทำไมตะกายเอานายกู
ลูกผัวพี่น้องทั้งสองข้างวิ่งวางเข้าช่วยเหมือนหมวยหมู่
พวกผู้ชายเฮฮาเข้ามาดูตำรวจในไล่ขู่ห้ามปราม
ผู้คนคั่งคับนับแสนนับแน่นไปทั้งท้องสนาม
บ้างชมรถรัตน์สารพัดงามพระโกศทองอร่ามรูจี
ท้าวนางข้างในออกไปดูนั่งอยู่หน้าพลับพลาหลังคาสี
บ้างพูดถึงครั้งการบ้านเมืองดีว่างามยิ่งกว่านี้มากมาย
เมียขุนนางลางคนติผัวแต่งตัวใส่ลำพอกปานจะหงาย
สะกิดเพื่อนเตอนให้ดูท่านผู้ชายแย้มยิ้มพริ้มพรายไปมา ฯ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพวกพระวงศ์พงศ์พันธุ์ในหมันหยา
ทั้งขุนนางข้าง๓ูษามาลาครั้นพระศพชักมาถึงพระเมรุ
ให้เชิญโกษลงจากบุษบกพยุงยกฮึดฮัดขัดเขมร
ใส่ที่นั่งบัลลังก์ราเชนทร์เวียนรอบบริเวณพระเมรุมา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯกลองโยน
๏ ครั้นครบคำรบสามตามธรรมเนียมหนักงานคอยเตรียมอยู่พร้อมหน้า
จึงเชิญพระโกศแก้วแววฟ้าขึ้นตั้งบนเบญจห้าชั้น
พวกประโคมสังข์แตรแซ่เสียงสำเนียงกลองชนะครื้นครั่น
ชาววังชักรูดพระสูตรสุวรรณบังแสงสุริยันตรัสไตร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยาเป็นใหญ่
ชวนอิเหนานัดดาคลาไคลเข้าไปในพระเมรุรจนา
ครั้นถึงจึงบังคมเคารพพระศพอัยกีนาถา
แล้วทรงจุดธูปเทียนบูชาเครื่องสุวรรณบุปผามาลี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ สาธุการ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ประไหมสุหรี
ทั้งระเด่นจินตะหราวาตีจรลีมายังพระเมรุทอง ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงจุดธูปเทียนนมัสการเยาวมาลย์กำสรดเศร้าหมอง
สาวสนมกรมในเนืองนองฟูมฟายชลนัยน์จาบัลย์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านไอศวรรย์
ให้สังฆ์การีพระนันธรรม์พร้อมกันเข้ามาสดับปกรณ์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้วถวายไทยทานวัตถุบริขารเสื่อร่มพรมหมอน
โสมนัสศรัทธาสถาวรภูธรเสด็จกลับมาพลับพลา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ นั่งเหนือพระยี่ภู่ปูลาดหมู่อำมาตย์เฝ้าแหนแน่นหนา
ประชาชนกล่นเกลื่อนกันมาจึงตรัสสั่งเสนาให้ทิ้งทาน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีที่เฝ้าอยู่หน้าฉาน
รับสั่งแล้ววิ่งไปลนลานโบกมือให้ทิ้งทานโปรยปราย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นขุนหมื่นชาวคลังทั้งหลาย
นั่งประจำกำมพฤกษ์รอบรายต่างถวายบังคมแล้วขึ้นทิ้ง
ผู้คนคั่งคับสับสนปนละวนวุ่นวายทั้งชายหญิง
บ้างโดดโลดลอยคอยชิงชูสวิงร่มรับลูกมะนาว
บ้างตบมือเพรียกเรียกร้องไล่ตะครุบทุบถองกันอื้อฉาว
เป็นหมู่หมู่วิ่งกรูเกรียวกราวประชาชาวบุรีปรีดา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นพนักงานการเล่นทุกภาษา
ทั้งหุ่นโขนโรงใหญ่ช่องระทามานอนโรงคอยท่าแต่ราตรี
ครั้นพระศพชักมาถึงหน้าเมรุก็โห่ฉาวกราวเขนขึ้นอึงมี่
ต่างเล่นเต้นรำทำท่วงทีเสียงฆ้องกลองตีทุกโรงงาน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นฝูงประชามาสิ้นทุกถิ่นฐาน
พวกผู้หญิงสาวสาวชาวร้านเดินเที่ยวดูงานพล่านไป
นักเลงเหล่าเจ้าชู้ฉุยฉายนุ่งรายฉีกผ้าดัดตัดผมใหม่
ดัดจริตปิดขมัดทาไพลห่มแพรหนังไก่สองเพลาะ
เห็นสาวสาวเหล่าเข้าหลวงเรือนนอกสะกิดบอกเพื่อนกันคนนั้นเหมาะ
บ้างเดินเวียนแวดวายชายร่ยเราะพูดปะเหลาะลดเลี้ยงเกี้ยวพาน
พวกดูโขนโคนตมก็ไม่ว่าสู้ทนฝนฟ้าไม่ไปบ้าน
บ้างยืนนั่งตั้งใจจะดูงานสับสนอลหม่านเล้าลุม
พวกผู้ชายรายยืนอยู่สองข้างแหวกทางให้ผู้หญิงถลำหลุม
ที่ลื่นล้มกลางถนนคนชุมหนุ่มหนุ่มสรวลเสเฮฮา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านเขตขัณฑ์หมันหยา
ตะวันชายบ่ายบังหลังพลับพลาให้เรียกมวยเข้ามาฉับพลัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นคู่มวยลุกขึ้นขมีขมัน
บ่างเท้าสาวหมัดกัดฟันตั้งมั่นตาเขม็งคอยรับ
ชกนอกหลอกหลอนลวงให้ไล่ว่องไวได้ที่ตีเท้ากลับ
ยังไม่ทันถึงยกฟกบวมยับอดเหนียวเคี่ยวขับไม่รับแพ้
มุทะลุไล่สุ่มตะลุมบอนชกซ้อนถูกถนัดหมัดทอดแห
ล้มลงกลอกคอทำท้อแท้เรียกหมอมาแก้แล้วหยุดไว้ ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยาเป็นใหญ่
ทรงพระสรวลตรัสสั่งเสนาในจงไปเปรียบมวยผู้หญิงดู
เลือกล่ำงามงามตามสมัครที่ใจรักชกตีจะมีอยู่
ลูกเมียของใครก็ไม่รู้ได้คู่คาดหมัดมาบัดนี้ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นเสนารับสั่งใส่เกศี
มาเปรียบมวยผู้หญิงเป็นสิงคลีตามมีพระราชบัญชา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ คู่แรกหัวไรจุกจับกระเหม่าหน้าเง้าเจ้าคารมผมประบ่า
แต่งตัวผัวเสกขมิ้นทาห่มผ้าแพรแดงตระแบงมาน
คาดหมัดขัดเขมรมงคลใส่แล้วไปยังสนามหน้าฉาน
ทุบหลังลงให้นั่งกราบกรานพระผู้ผ่านสวรรยาธานี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวหมันหยาปรีดิ์เปรมเกษมศรี
จึงว่าชอบกลอยู่คู่นี้ชกให้ดีดีอย่าเกี้ยวกัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นคู่มวยผู้หญิงคนขยัน
กราบลงแล้วลุกขึ้นฉับพลันตั้งมั่นเหม่นเหม่ไม่มีแรง
ย่างเท้าสาวหมัดเมินหน้าหลับตาทุบถองกันพล่องแพล่ง
เลี้ยวลอดกอดกัดวัดแวงล้มตะแคงคนดูเฮฮา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านหมันหยา
ทอดพระเนตรอยู่บนพลับพลาจนโพล้เพล้เวลาใกล้จะพลบ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพนักงานด้านพระเมรุเจนจบ
พร้าขอตะกร้อน้ำเตรียมครบหน้าพลับพลาจุดคบรายไป ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวหมันหยาเป็นใหญ่
ให้จุดพุ่มระทาดอกไม้ไสวสว่างช่วงดังดวงดาว ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพวกหนังต่างประชันโห่ฉาว
บ้างหยุดพากษ์เจรจาว่าเรื่องราวบ้างเชิดบ้างกราวอึงไป ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นประชาชนอลหม่านไม่นับได้
เป็นหมู่หมู่มาดูดอกไม้แล้วไปดูหนังฟังเจรจา
พวกผู้ดีหนุ่มหนุ่มคลุมศีรษะเดินปะใครพบก็หลบหน้า
ปลอมปนมิให้คนสงกาเที่ยวเล่นตามประสาหนุ่มคะนอง
พวกผู้หญิงชาวร้านบ้านใกล้ตามไต้นั่งรายขายของ
หมากพลูบุหรี่ใส่ซองเห็นใครเดินมาร้องเรียกให้ซื้อ
พวกบัณฑิตติดจะเคอะเข้านั่งใกล้ช่วยเขี่ยไต้อ่านอวดสวดหนังสือ
ปะเหล่าโลนลำพองคะนองมือเอาอิฐถือลอบทิ้งจนนิ่งไป
พวกผู้ชายโฉงเฉงนักเลงถั่วแต่งตัวนุ่งผ้าพกใหญ่
เห็นบ่อนตั้งหลังระทาดอกไม้ก็แวะวางเข้าไปนั่งแทง
บ้างยักขึ้นเส้นเล่นพกเปล่าครั้นเสียเข้าก็นั่งทำหน้าแห้ง
บ้างปลอมเปลี่ยนสับจับเงินแดงที่ติดพันยื้อแย้งกันรุงรัง
ลางลอบเหล่าลอบจุดประทัดทิ้งพวกผู้หญิงเป็นหมู่มาดูหนัง
บ้างโกรธบ้างว่าน่าชังบ้างนั่งดูสนุกบ้างลุกไป ฯ
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีสีใส
ครั้นค่ำคำนึงถึงทรามวัยภูวไนยนิ่งนึกตรึกตรา
จะเข้าไปคอยอยู่ที่พระศพจะได้พบพุ่มพวงดวงยิหวา
คิดพลางย่างเยื้องลีลาเข้ามาเมรุสุวรรณชั้นใน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า
๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลีพระศพอัยกีเป็นใหญ่
จึงจุดธูปเทียนทันใดด้วยใจเคารพบูชา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ สาธุการ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเสนหา
สถิตยังสุวรรณพลับพลาครั้นสิ้นแสงสุริยาเวลาพลบ
จึงชวนพระธิดายาใจจะเข้าไปทักษิณพระศพ
โขลนจ่าข้าหลวงวิ่งกระทบจุดคบโคมส่องเสด็จมา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงช้า
๏ ครั้นถึงบริเวณพระเมรุใหญ่เห็นนายไพร่พร้อมพรั่งนั่งรักษา
จึงหยุดยืนอยู่แทบทวาราทั้งสองกษัตราไม่คลาไคล ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
             

๏ บัดนั้นนางโขลนผู้มีอัฌชาสัย
วิ่งวางมาชับฉับไวพวกผู้ชายออกไปเสียให้พ้น ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีแจ้งเหตุผล
จึงขับเสนาสามนต์ผู้คนทั้งนั้นออกมา
แต่องค์เดียวเสด็จจรจรัลไปรับประหมันด้วยหรรษา
น้อมองค์ลงถวายวันทาแล้วแลดูจินตะหราวาตี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ประไหมสุหรี
จึงตรัสชวนระเด่นมนตรีมาทักษิณอัยกีด้วยกัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเกษมสันต์
สมคิดดังจิตผูกพันจึงเสด็จจรจรัลตามมา
พระแสร้งทำทักษิณไปพลางชำเลืองเนตรดูนางจินตะหรา
แสงเพลิงส่องจับกับพักตราโสภาเพียงบุหลันลอยโพยม
ดูไหนให้เพลินจำเริญจิตยิ่งคิดพิสมัยที่ในโฉม
ครั้นตึงช่องกลางหว่างโคมลำลำจะใคร่โลมนางเทวี ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นจินตะหรามารศรี
ดำเนินเดินเคียงพระภูมีทำท่วงทีอายเอียงเมียงเมิน
แลสบหลบเนตรเชษฐากัลยายิ่งระทวยขวยเขิน
ให้อดสูจิตคิดสะเทิ้นพลางเดินก้มพักตร์ทักษิณไป ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีศรีใส
เห็นท่วงทีอิเหนาก็เข้าใจทำเมินเดินไปไม่นำพา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพี่เลี้ยงกำนัลในซ้ายขวา
แจ้งใจในทีกิริยาชายตาดูองค์พระทรงธรรม์
เห็นดำเนินเดินชิดพระธิดากิริยาแยบคายคมสัน
บ้างบอกเพื่อนสนิทสะกิดกันนางกำนัลซุบซิบกระหยิบตา
ที่มีอัฌชาสัยมิใคร่เดินทำเมินยิ้มละไมอยู่ในหน้า
บ้างรอรั้งยั้งยืนพูดจาตามเสด็จเดินมาแต่ไกลไกล ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีใส
เดินเคียงกัลยาคลาไคลเห็นนางห่างไกลพระชนนี
จึงเอาพลูรอยกัดซัดต้ององค์โฉมยงสะดุ้งเดินเมินหนี
พระรีบไปพลันทันเทวีภูมียิ้มพรายชายตา
เห็นนางเดินเมินเมียงเลี่ยงหลบพระแกล้งทำกระทบอังสา
นาสิกสูดรสสุคนธากัลยาเคืองค้อนงอนงาม
แต่เวียนวงทักษิณรอบพระศพจนจบถ้วนครบคำรบสาม
ให้อาลัยที่จะไกลนงรามด้วยความประดิพัทธ์พันทวี ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ประไหมสุหรี
ครั้นเสร็จทักษิณศพพระอัยกีก็จรลีมาสุวรรณพลับพลา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เพลงเร็ว
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวเจ้าเมืองหมันหยา
สมโภชพระศพเสร็จเจ็ดทิวาครั้นเพลาบ่ายแสงสุริยง
จึ่งให้เชิญพระโกศทองลองในขึ้นใส่เชิงตะกอนสูงส่ง
พร้อมพระมเหสีสุรย์วงศ์ทั้งองค์อิเหนานัดดา
ต่างถือธูปเทียนดอกไม้เข้าไปประนมน้อมพร้อมหน้า
จบพระหัตถ์มัสการขอสมาอย่าให้มีเวราสืบไป
ครั้นเสร็จจึงจุดเพลิงพลันสารพันเครื่องหอมซัดใส่
คับคั่งทั้งข้างหน้าข้างในต่างคนเข้าไปจุดอัคคี ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ ปี่กลอง
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ประไหมสุหรี
ทั้งระเด่นจินตะหราวาตีดูเปลวอัคคีชัชวาล
นางยิ่งระทดสลดจิตอาลัยให้คิดสงสาร
ต่างองค์ยกหัตถ์มัสการเยาวมาลย์ช้อนทรวงเข้าโศกา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
โอ้บูชากนฑ์
๏ โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมเอ๋ยพระคุณเคยปกเกล้าเกศา
เฝ้าถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงลูกมาไม่นิราศคลาดคลาสักคืนวัน
พระพี่นางทั้งสองมาเชิญไปก็มิได้จำนงผายผัน
เพราะรักใคร่ในลูกผูกพันประโลมเลี้ยงหลานขวัญทุกเวลา
ทีนี้ตั้งแต่จะแลลับที่ไหนจะได้กลับมาเห็นหน้า
ร่ำพลางนางทรงโศกากัลยาเพียงจะสิ้นสมประดี ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
ร่าย
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านหมันหยากรุงศรี
ครั้นเสร็จส่งสักการะพระอัยกีภูมีสร้อยเศร้าเปล่าวิญญ์
จึ่งชวนมเหสีโฉมยงกับองค์บุตรีเสนหา
พร้อมฝูงกำนัลกัลยาลีลาเข้ายังวังใน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีใส
ครั้นท้าวหมันหยาคลาไคลก็กลับไปที่อยู่พระภูธร ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงห้องสุวรรณบรรจงทอดองค์ลงกับที่บรรจถรณ์
ถวิลถึงวนิดายิ่งอาวรณ์พลางสะท้อนถอนใจไปมา
กรกอดเขนยข้างไว้หว่างทรวงสำคัญว่าพุ่มพวงดวงยิหวา
เคลิ้มเคล้นเหมือนจะเห็นกัลยาพระหลงใหลไขว่คว้าม่านมอง
ครั้นรู้สึกสมประดีว่ามิใช่ก็เศร้าเสียพระทัยหม่นหมอง
ให้โศกศัลย์รัญจวนถึงนวลน้องนิ่งตรึกตรองจนหลับไป ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยาเป็นใหญ่
ครั้นรุ่งสางสร่างแสงอโณทัยภูวไนยแต่งองค์อลงกร
ครั้นเสร็จเสด็จจรลีมายังที่เกยลาหน้าฉาน
ขึ้นทรงยานุมาศสามคานพนักงานแห่แหนแน่นนันต์
องค์ประไหมสุหรีกกับธิดาเสด็จมาในแนวแนวนกั้น
ระเด่นมนตรีกุเรปันก็ตามมาเมรุสุวรรณบรรจง ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
ครั้นถึงจึงชวนพระวงศาเขี่ยหาพระธาตุกวาดเผ้าผง
เก็บได้ใส่ขันสุวรรณลงโสรจสรงสุคนธาวารี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นจินตะหรามารศรี
เขี่ยหาพระธาตุอัยกีเทวีพลางทรงโศกาลัย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีใส
เห็นนางหยิบลงที่แห่งใดภูวไนยหยิบลงที่ตรงนั้น
พระกรกระทบกรนางเทวีทำทีแยบคายคมสัน
แล้วแสร้งทรงโศกาจาบัลย์มิให้สองประหมันกินใจ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านหมันหยาเป็นใหญ่
เสร็จสรงพระธาตุทันใดใส่ในโกศรัตน์ชัชวาล
ให้เชิญเข้าไปในวังสถิตยังปราสาทราชฐาน
และสั่งให้ลอยพระอังคารตามจารีตบุราณแต่ก่อนมา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีรับสั่งใส่เกศา
มาจัดแจงแต่งตามพระบัญชาชาวมาลาไปกวาดพระอังคาร
เอาห่อหุ้มคลุมผ้าโขมพัตถ์แล้วผูกรัดพันเข้าทั้งเถ้าถ่าน
ใส่ในขันทองรองพานเชิญขึ้นพระยานมาศมา
คู่แห่แต่ล้วนใส่ลำพอกพนมมือถือดอกบุปผา
เสียงประโคมฆ้องกลองก้องโกลาแห่ไปยังท่าชลาลัย ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ กลองโยน
๏ ครั้นถึงตะพานเหนือตำหนักแพเรือแห่ธงทิวปลิวไสว
จึงเชิญพระอังคารลงไปเรือที่นั่งเอกชัยฉับพลัน
พลพายนั่งพายเป็นคู่คู่ใส่เสื้อปัศตูดูขบขัน
เรือขุนนางเรือที่นั่งดั้งกันแห่แหนแน่นันต์นทีธาร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงกึ่งกลางสาชลเป็นวังวนกว้างใหญ่ไพศาล
ชาวภูษามาลาพนักงานก็เชิญพระอังคารลอยไป ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยาสูงส่ง
ครั้นเสร็จถวายพระเพลองปลงจึ่งชวนองค์ระเด่นมนตรี
จะไปสรงสนานสำราญใจที่สระใหญ่อยู่นอกกรุงศรี
ตามอย่างทางราชประเพณีกษัตราธิบดีสืบมา
ว่าแล้วลีลาคลาไคลเสนาในแห่แหนแน่นหนา
องค์ประไหมสุหรีศรีโสภากับธิดาเสด็จตามกันไป ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ มาเอยมาถึงยังโบกขรณีสระใหญ่
ร่มรอบคันล้วนพรรณไม้โศกไทรสาขาริมวารี
บุษบงส่งกลิ่นอายอบหอมตลบไปทั้งสระศรี
ต่างองค์เกษมเปรมปรีดิ์จรลีลงสรงคงคา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
สระบุหลง
๏ ชำระสระสนานสำราญกายเย็นสบายซ่านซาบมังสา
เสร็จนั่งยังแท่นแผ่านศิลาชุ่มแช่กายาในวารี
นางกำนัลบรรดาที่โปรดปรานประคององค์เอางานแล้วขัดสี
บ้างชำเลืองแลดูพระภูมีทำท่วงทีแยบยลกลใน
ลางนางบ้างเก็บบัวเผื่อนชวนเพื่อนหักห้อยเป็นสร้อยใส่
บ้างแหวกว่ายคงคาชลาลัยเลี้ยวไล่สัพยอกหยอกกัน
ลางนางบ้างเก็บใบบัวมาบังตัวถือเล่นเป็นร่มกั้น
บ้างเก็บโกมุทบุษบันฝูงกำนัลเล่นน้ำสำราญ ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ ลงสรง
ร่าย
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเกษมศานต์
สรงทางพลางดูเยามาลย์ฤดีดาลเดือดดิ้นในวิญญาณ์
พระแกล้งแสร้งเสด้วยเล่ห์กลว่ายไปให้พ้นท้าวหมันหยา
เข้าแฝงกอโกสุมปทุมาลอบดูพระธิดาในวารี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นจินตะหรามารศรี
สรงสนานอยู่ในชลธีกับกำนัลนารีพี่เลี้ยง
ต่างชิงกันเก็บโกสุมบ้างบานตูมหุ้มกลีบกิ่นเกลี้ยง
โฉมฉายว่ายแซงแข่งเคียงกับบาหยันพี่เลี้ยงร่วมใจ
เด็ดปักหักดอกปทุมมาลย์ขาวแดงเบ่งบานอยู่ไสว
เพลิดเพลินจำเริญหฤทัยจนใกล้อิเหนาเข้ามา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา
แฝงใบบุษบงในคงคาเห็นกัลยามาใกล้ก็ได้ที
จึงยื่นกรช้อนสอดไปสัมผัสนางสะบิ้งสะบัดเบี่ยงหนี
พระแกล้งแสร้งสาดวารีให้ชลธีถูกองค์นงคราญ
ครั้นบาหยันผันหน้ามาตรงก็ทำเป็นสีองค์สรงสนาน
แล้วเก็บโกสุมปทุมมาลย์มาประทานบาหยันกัลยา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นจินตะหราวาตีเสนหา
แย้มพรายชายชำเลืองนัยนาสบเนตรเชษฐาก็อายใจ
จึงแสร้งแกล้งว่าพี่บาหยันอาไรนั่นช่างพาเข้ามาใกล้
อัปยศอดสูเป็นพ้นไปทำผลักไสหยิกตีพี่เลี้ยง ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นบาหยันยิ้มพลางทางทูลเถียง
พี่มิได้แกล้งพามาใกล้เคียงพระมาเมียงอยู่เมื่อไรก็ไม่รู้
ชะรอยเป็นวาสนาของบาหยันเห็นติดพันชั้นเชิงชอบกลอยู่
ปากข้าว่าแม่นเหมือนหมอดูโฉมตรูอย่ากริ้วโกรธา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา
ค้อนให้แล้วตอบวาจาเอาอะไรมาว่าเป็น่าชัง
ช่างไม่เจียมตัวแต่สักนิดเกลียดจริตกิริยาเหมือนบ้าหลัง
ว่าแล้วลัดแลงแฝงบัวบังมายังที่อยู่พระชนนี ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
             

๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยาเรืองศรี
เสร็จสรงคงคาวารีภูมีสำอางอ่าองค์
แล้วชวนมเหสีโสภากับธิดาแน่งน้อยนวลหง
พร้อมฝูงสุรางค์นางอนงค์เสด็จตรงเข้ายังวังใน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีใส
เสด็จทรงอาชาคลาไคลกลับไปยังที่ประเสบัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงลงจากอัสดรภูธรย่างเยื้องผายผัน
เข้าในห้องแก้วแพรวพรรณทรงธรรม์ถอนฤทัยไปมา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ ทอดองค์ลงกับที่ไสยาสน์ยอกรก่ายวิล่ศถวิลหา
ทีนี้เสร็จการจะนานช้าจึงจะได้เห็นหน้านางเทวี
จะผ่อนผันฉันใดนะอกกูจะได้อยู่หมันหยากรุงศรี
พระบิดาให้กลับไปธานีมิรู้ที่จะทำประการใด
ยังมได้สนิทเสนหาจะนิราศคลาดคลากกระไรได้
แม้นมิสมดังจิตที่คิดไว้ก็ไม่ไปพารากุเรปัน
แต่ครวญคร่ำกำสรดสลดจิตต้องติดฤทัยใฝ่ฝัน
แสนสวาทมาดหมายผูกพันจนบรรทมหลับไปกับไสยา ฯ
ฯ ๘ คำฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านไอศวรรย์หมันหยา
ครั้นรุ่งสางสร่างงแสงสุริยาก็แต่งองค์โอ่อ่าเอาใจ
จึงตรัสชวนอัครมเหสีกับราชบุตรีศรีใส
พรั่งพร้อมฝูงสุรางค์นางในเสด็จไปสู่สีหบัญชร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ลดองค์ลงนั่งบัลลังก์อาสน์อำมาตย์หมอบเฝ้าอยู่สลอน
ว่าขานกิจการพระนครภูธรเกษมเปรมปรีดิ์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
ครั้นรุ่งรางสว่างธาตรีภูมีตื่นจากที่ไสยา
เข้าที่สรงสนานสำราญองค์บรรจงทรงเครื่องโอ่อ่า
ชวนระเด่นดาหยันยาตราทรงม้าที่นั่งเข้าวังใน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นมาถึงที่ราชฐานพระผ่านผู้สวรรยาเป็นใหญ่
จึงลงจากอาชาคลาไคลเข้าไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯเสมอ
๏ เมื่อนั้นท้าวหมันหยาปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
เห็นอิเหนาเข้ามาบังคมคัลจึงปราศรัยไปพลันทันที
ได้ยินเขาระบือลือเล่าว่าเจ้าชำนาญการกระบี่
ท่าทางทำนองคล่องดีวันนี้จงรำให้น้าดู
แล้วให้เสนากิดาหยันจัดกันขึ้นตีทีละคู่
โล่ดั่งดาบเชลยมลายูจะได้ดูเล่นเป็นขวัญตา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงองค์อสัญแดหวา
คำนับรับราชบัญชาแล้วแลดูจินตะหราวาตี
แต่รอรั้งยั้งหยุดอยู่เป็นครู่ให้คิดอดสูนางโฉมศรี
ยิ้มละไมในพักตร์เป็นท่วงทีต่อภูมีย้ำเตือนจึงเคลื่อนคลาย ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นประสันตาหยิบกระบี่มาถวาย
ค่อยกระซิบทูลว่าพระอย่าอายครั้งนี้ตีหมายเอารางัล ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
ยิ้มพลางทางว่าอย่าเยาะกันดีแต่พูดเช่นนั้นอัตรา
แล้วพยักเรียกระเด่นดาหยันไปต่างองค์บังคมไหว้ท้าวหมันหยา
ลุกขึ้นร่ายรำกิริยาทรงกระบี่เบื้อขวากรีดกราย
ประเท้ากก้าวกระหยับเยื้องย่างชำเลืองนัยนาสอดส่าย
แลสบเนตรนางพลางยิ้มพรายแล้วประปรายปลายกระบี่ดีกัน ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ กลองแขก
๏ บัดนั้นฝ่ายฝูงสุรางค์นางสาวสวรรค์
ทั้งเถ้าแก่ชะแม่นางกำนัลแอบดูอยู่ที่ชั้นศาลา
บ้างนิยมชมระเด่นมนตรีรำกระบี่น่ารักหนักหนา
บุญตัวได้เห็นเป็นขวัญตางามดั่งเทวาสุราลัย
ลางนางนั่งชิดสะกิดเพื่อนแย้มเยื้อนพูดจาอัชฌาสัย
ดูทีทำนองภูวไนยจะมีที่ต้องใจสักสิ่งอัน
บ้างว่าข้าเห็นเป็นแยบคายนัยนาสอดส่ายคมสัน
บ้างซุบซิบกระหยิบตากันนางกำนัลลอบดูพระภูธร ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นจินตะหราดวงสมร
เมียงมองอยู่ที่ช่องบัญชรบังอรแลลอดสอดตา
ครั้นสบเนตรเชษฐาทีไรอรไทสะเทินเมินหน้า
เสหยอกบาหยันด้วยมารยาชายตาแย้มยิ้มพริ้มไป ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์เทวาอัชฌาสัย
ผันผัดปัดป้องว่องไวถ้อยทีหนีไล่ไปมา
ครั้นระเด่นดาหยันเสียทีภูมีตีต้องหัตถา
บรรดาพี่เลี้ยงแลเสนาก็สรวลเสเฮฮาขึ้นพร้อมกัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นประสันตาแสนกลคนขยัน
คลานเข้าไปรับกระบี่พลันอภิวันท์แล้วกระซิบทูลพลาง
ข้าเห็นพระองค์ทรงกระบี่ท่าทีเคล่าคล่องทั้งสองอย่าง
ไหนจะกรายร่ายรำทำท่าทางไหนจะดูอยู่ข้างบัญชรชัย
แต่ส่ายสอดทอดพระเนตรอยู่อย่างนี้ยังทรงตีมีชัยชนะได้
ชอบเอาของที่ต้องพระหฤทัยมารางวัลภูวไนยจะสมควร ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีแย้มสรวล
จึงตรัสว่าอย่าเย้าเฝ้ากวนดีแต่ชวนพูดเล่นเช่นนั้น ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านกรุงไกรไอศวรรย์
ตรัสชมอิเหนากุเรปันการกระบี่ดีครันขยันัก
ไม่มีใครเป็นคู่สู้ได้ทั้งในแดนชวาอาณาจักร
สมเป็นวงศาสุรารักษ์ยศศักดิ์ประเสริฐเลิศชายฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองฉาย
ให้เสนาพี่เลี้ยงตัวนายรำถวายทีละคู่สู้กัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพี่เลี้ยงเสนากิดาหยัน
รับสั่งแล้วบงคมคัลก็จัดคู่สู้กันทันใด ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ กลองแขก
๏ เมื่อนั้นท้าวหมันหยายิ้มย่องผ่องใส
ทอดพระเนตรอยู่บนบัญชรชัยแสนสำราญพระหฤทัยพระทรงธรรม์
จึงสั่งให้เอาของมาประทานทวยหาญเสนากิดาหยัน
ทั้งเงินทองเสื้อผ้แพรพรรณรางวัลให้ทั่วทุกตัวคน
อันองค์ระเด่นมนตรีให้จัดของดีดีเครื่องต้น
ธำมรงค์มงกุฎกุณฑลสร้อยสนสังวาลแววไว
อันระเด่นดาหยันวงศาเอาชฎาเดินหนมาให้
ทั้งทองกรพาหุรัดตรัสไตรเร่งไปเอามาบัดนี้ ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนารับสั่งใส่เกศี
อภิวันท์แล้ววิ่งเป็นสิงคลีออกมาสั่งดังมีบัญชาการ
คลังวิเศษภูษามาลาก็ขนของเข้ามายังหน้าฉาน
กราบถวายบังคมก้มกรานแล้วเอาของมาประทานทันใด ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยาเป็นใหญ่
เสร็จสรรพก็หับบัญชรชัยเข้าในปราสาทแก้วแพรวพรรณ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
เสด็จทรงอัสดรจรจรัลกลับไปประเสบันอากง ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
ครั้นถึงลงจากม้าที่นั่งให้คลุ้มคลั่งหฤทัยใหลหลง
ไม่ทันจะเปลื้องเครื่องทรงเสด็จตรงไปที่ไสยา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ ทอดองค์ลงกับที่บรรจถรณ์ให้อาวรณ์หวังถวิลถึงจินตะหรา
องค์อ่อนถอนฤทัยไปมามิได้ตรัสจำนรรจาพาที
ลืมเลยเสวยทรงสุคนธ์แต่พลิกกลับสับสนบนที่
ไม่เป็นอารมณ์สมประดีภูมีกลัดกลุ้มคลุ้มใจ
พระหัตถ์ซ้ายก่ายเขนยคะนึงคิดเจ็บจิตประชวรเช่นเป็นไข้
แสนกระสันรันทดหฤทัยพระมิได้วายอาวรณ์ร้อนรน ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ร่าย ๑
บัดนั้นพระพี่เลี้ยงประหลาดจิตคิดฉงน
ดูพระจริตติดพิกลบรรทมทั้งเครื่องต้นที่ทรงมา
จึงเข้าไปช่วยเปลื้องเครื่องทรงให้พระองค์ทรงผลัดภูษา
แล้วกราบทูลไปมิได้ช้าพระจงอุตส่าห์สะกดใจ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีใส
จึงตอบทั้งสี่พี่เลี้ยงไปเมื่อไม่เห็นวิตกในอกเลย
อันความทุกข์เหลือทุกข์ครั้งนี้จะคิดฉันใดดีนะพี่เอ๋ย
แม้นมิได้สู่สมชมเชยที่ไหนเลยน้องจะมีชีวา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพี่เลี้ยงบังคมเหนือเกศา
จึ่งทูลตอบปลอบให้ชอบอัชฌาพระอย่ารันทดกำสรดทรง
จงระงับดับโศกเสียก่อนภูธรอุตส่าห์เสวยสรง
อันพระธิดาโฉมยงไหนจะพ้นพระองค์อย่าสงกา
จะทูลโลมเล้าสักเท่าใดพระมิได้วายเทวษถวิลหา
พี่เลี้ยงทั้งสี่มีอัชฌาซุบซิบปรึกษาพาที ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นปาเตะเสนาบดีศรี
เวลาเฝ้าก็มาเข้าอัญชลีเห็นภูมีไสยาสน์ประหลาดใจ
จึงถามยะรุเดะลูกชายพระโฉมฉายประชวรหรือไฉน
ช่างไม่บอกสักคำทำอย่างไรเหตุผลก็มิให้ผู้ใหญ่รู้ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นยะรุเดะอิดเอื้อนเยื้อนอยู่
หันหน้ามาบังบานประตูยิ้มพลางทางดูตากัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นประสันตาแสนกลคนขยัน
ทำเฉยหน้าแล้วว่าไปพลันประชวรมาแต่วันถึงเวียงชัย
พระดรคเรื้อรังประทังอยู่ไม่สุดรู้มดหมอพอแก้ไข
หรือชะรอยทรงกระบี่วันนี้ไซร้จะเป็นไข้เนื้อขาดประหลาดนัก
ดูอาการที่ทำให้คร่ำครวญจะประชวรสิ่งใดไม่ประจักษื
แม้นได้โอสถรสรักเห็นไม่พักนวดฟั้นจะพลันคลาย
เจ้าจอมหม่อมลุงได้เมตตาช่วยเข้าไปขอยามาถวาย
ที่พระร้อนรนกระวนกระวายนั่นแหละเห็นจะหายเป็นมั่นคง ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นปาเตะตกใจตะลึงหลง
จึ่งทูลเล้าโลมโฉมยงพระบิตุรงค์กำชับรับสั่งมา
การพระศพเสร็จสรรพให้กลับไปป่านนี้ภูวไนยจะคอยหา
อันพระน้องนุชบุษบาพระปิตุเรศเจตนาไปกล่าวไว้
ยังแต่จะเสกสองให้ครองกันเป็นปิ่นกุเรปันกรุงใหญ่
อันจะเลี้ยงพระน้องสองเวียงชัยรู้ไปถึงดาหาธานี
เกลือกจะไม่ปลดปลงให้นงลักษณ์จะเกิดเหตุใหญ่นักพระโฉมศรี
ทั้งจะได้แค้นเคืองแสนทวีพระภูมีจงถวิลจินดา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
             

๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์อสัญแดหวา
ไม่ตอบถ้อยคำจำนรรจาให้เคืองขัดอัธยาในอารมณ์
พระผินผันหันพักตร์เมินหนีแล้วหยิบผ้ามาคลี่ทรงห่ม
พลางสะท้อนถอนถ่ายระบายลมแกล้งทำเหมือนบรรทมหลับไป ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นปาเตะเสนาอัชฌาสัย
มิรู้ที่จะผ่อนผันฉันใดก็ออกไปจากที่แท่นทอง ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงทรงโศกเศร้าหมอง
ยิ่งคิดพิสมัยใจปองพระนิ่งนึกตรึกตรองไปมา
อันระเด่นบุษบาตุนาหงันตามวงศ์อสัยแดหวา
แต่มิได้มีใจเจตนาเหมือนระเด่นจินตะหรายุพาพาล
ชะรอยวาสนาได้สร้างไว้เผอิญให้จงรักสมัครสมาน
จะว่าไปก็ในวงศ์วานเยาวมาลย์ก็มิใช่หาไหนมา
มาตรแม้นสองกษัตริย์จะขัดเคืองมิให้กูอยู่เมืองหมันหยา
ก็จะพาดวงใจไคลคลาไปมะงุมมะงาหราสำราญ
แต่บรรทมนิ่งนึกตรึกไตรจนอุทัยรุ่งแจ้งแสงฉาน
เสด็จจากอท่นรัตน์ชัชวาลมาสระสรงชลธารทันใด ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ลูบไล้สุคนธาอ่าองค์บรรจุทรงเครื่องประทานใหม่
แล้วทรงอาชาคลาไคลเสนาใสตามเสด็จจรลี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงลงจากอัสดรบทจรเข้าปราสาทศรี
บังคมสองประหมันทันทีพลางดูเทวีไม่วางตา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านหมันหยา
ทอดพระเนตรอิเหนานัดดาเห็นพักตราเสร้อยเศร้าก็เข้าใจ
จึงบัญชาถามด้วยความรักเป็นไรผิวพักตร์จึงหม่นไหม้
หรือโรคายายีประการใดด่วนเข้ามาไยไม่สบาย ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองฉาย
ประสานหัตถ์เคารพอภิปรายวันตีกระบี่ถวายภูวไนย
ให้ตึงตัวไปทั่วสรรพางค์จิตใจเหมือนอย่างจะเป็นไข้
หยุดช้ากลัวว่าจะมากไปจึ่งแข็งใจเข้ามาอัญชลี
ทูลพลางทางชำเลืองแลมาดูระเด่นจินตะหรามารศรี
ความรักสลักทรวงแสนทวีภูมีคอนใจไปมา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเสนหา
พิศดูรู้รหัสพระนัดดาจึ่งกล่าวรสพจนาพาที
เพียงพระเข้าสู่สวรรคตตั้งแต่กำสรดหมองศรี
พร่ำกินน้ำตาทุกนาทีน้านี้เปลี่ยวเปล่าเศร้าใจ
ได้เห็นหน้านัดดาค่อยผาสุกพอบรรเทาเบาทุกข์ที่โหยไห้
เจ้าจงอยู่ด้วยน้าอย่าคลาไคลสักเดือนหนึ่งจึงไปพารา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นอิเหนากุเรปันก็หรรษา
ชื่นชมด้วยสมดั่งจินดารับรสพจนาวาที
พลางเยื้อนแย้มยิ้มพริ้มเพราค่อยบรรเทาทุข์ที่หมองศรี
แล้วชำเลืองแลดูพระบุตรีภูมีประดิพัทธ์ผูกพัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านไอศวรรย์
ครั้นเวลาสายสีวีวรรณก็จรจรัลเข้าที่บรรทมใน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีใส
เสด็จทรงอาชาคลาไคลกลับไปประเสปันมิทันช้า ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงลงจากหลังม้าขึ้นมายังตำหนักที่ข้างหน้า
เปลื้องเครื่องประดับองค์แล้วตรงมาเข้าห้องไสยาฉับพลัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ พระนิ่งนึกตรึกคิดพิศวงตะลึงหลงอาลัยใฝ่ฝัน
ทอดองค์ลงกับที่แท่นสุวรรณแสนวิโยคโศกศัลย์รัญจวน
โอ้จะคิดผ่อนผันฉันใดจึ่งจะได้โฉมงามทรามสงวน
พลางสะท้อนถอนใจใคร่ครวญปั่นป่วนไม่เป็นสมประดี
พระลืมล่วงเวลาสรงเสวยกรกอดกับเขนยอยู่ในที่
ความรักหนักทรวงแสนทวีภูมีเศร้าสร้อยละห้อยใจ ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นปาเตะเสนาอัชฌาสัย
เห็นพระองค์ร่ำรักนั้นหนักไปจะผ่อนผันฉันใดก็สุดคิด
ได้ทูลขัดทัดทานเป็นหลายครั้งพระมิได้เชื่อฟังแต่สักนิด
กลัวความครั้งนี้จะมิมิดจนจิตกอดเข่าเข้าเป็นทุกข์
เสียแรงพระชุบเลี้ยงถึงเพียงนี้ได้มั่งมีอยู่เย็นเป็นสุข
จะมานิ่งนอนใจให้เกิดยุคเห็นความจะลามลุกวุ่นวาย
แม้นทราบถึงองค์ศรีปัตหราโทษาจะมีเป็นมากหลาย
ฉวยพระไม่ไต่ถามสิงามตายจะลงร้ายเอาว่ารู้ด้วยภูธร
จำจะลอบบอกความตามจริงไปกราบทูลภูวไนยให้แจ้งก่อน
จึงเรียกนายรองเข้าห้องนอนให้เขียนอักษรสารา
ครั้นเสร็จแล้วส่งให้เสนีนำคดีไปแจ้งแก่ยาสา
กราบทูลบทมาลย์พระผ่านฟ้าตามในกิจจาให้แจ้งการ ฯ
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนีดีใจได้ไปบ้าน
อำลาปาเตะมิทันนานมาขึ้นพาชีชาญฉับไไว
ออกจากหมันหยาธานีรีบตีอาชาเข้าป่าใหญ่
นอนค้างอ้างแรมมาในไพรตรงไปกุเรปันพารา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงศาลาหน้าทิมดาบตรงเข้าไปกราบท่านยาสา
แถลงเล่าเหตุผลแต่ต้นมาแล้วส่งสาราให้ทันที ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นยาสาแจ้งใจในสารศรี
ก็รีบพาเสนาจรลีมายังที่พระโรงรจนา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงบังคมทูลทันใดว่าปาเตะที่ไปหมันหยา
แต่งคนให้ถือหนังสือมาจงทราบบาทาฝ่าธุลี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ เมื่อนั้นองค์ศรีปัตหราเรืองศรี
รับสารามาจากเสนีพระองค์ทรงคลี่ออกอ่านพลัน
ว่าปาเตะถวายอภิวาทเบื้องบาทพระผู้ผ่านไอศวรรย์
ด้วยพระโอรสาลาวัณย์กำสรดโศกศัลย์ทุกวันไป
ตั้งแต่คลั่งไคล้ใหลหลงในองค์พระบุตรีศรีใส
ทั้งสองประหมันก็เป็นใจแยบเยื้อนเหมือนจะให้เยาวมาลย์
ข้าได้ทูลเตือนเป็นหลายครั้งพระไม่ฟังพจนาว่าขาน
มิรู้ที่จะขืนขัดทัดทานจงกราบบทมาลย์พระภูมี ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นในอักษรภูธรเคืองข้องหมองศรี
จึงส่งสารามาทันทีให้ประไหมสุหรีทัศนา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเสนหา
อ่านสารสิ้นเรื่องเคืองอุราจึงทูลพระภัสดาทันใด
เหตุนี้ผู้ใหญ่แกล้งหน่วงเหนี่ยวจะโทษเด็กข้างเดียวก็ไม่ได้
ประสาหนุ่มจึงลุ่มหลงไปจะทำให้ผิดกันด้วยฉันทา
ครั้นจะนิ่งดูทีบัดนี้เล่าไหนอิเหนาจะจากหมันหยา
แม้นมิให้ไปหาตัวมาก็เห็นว่าจะไม่เงือดงด
จงเอาอาการข้านี้บอกไปว่าตั้งใจครวญคร่ำกำสรด
ด้วยครรภ์ถ้วนจวนคลอดโอรสกำหนดให้ลูกรักเร่งมา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระองค์ทรงพิภพนาถา
เห็นต้องระบอบชอบอัชฌาจึงตรัสเรียกยาสาทันที
ทรงสั่งให้ร่างราชสารแจ้งความตามคำประไหมสุหรี
ให้ลูกยากลับมาธานีแต่ในเจ็ดราตรีอย่านอนใจ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นยาสารับสั่งบังคมไหว้
ออกมาศาลาลูกขุนในเร่งให้เขียนราชสารา
ครั้นเสร็จจึงสั่งเสนีจงถือสารศรีไปหมันหยา
ทูลเชิญเสด็จพระลูกยาให้กลับมาอย่านานเป็นการร้อน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาคำนับรับอักษร
อำลามาขึ้นอัสดรออกจากพระนครรีบไป ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงหมันหยาไม่หยุดยั้งตรงไปติกาหรังที่อาศัย
เข้าหาพี่เลี้ยงภูวไนยเอาสารส่งให้ทันที ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นจึงพระพี่เลี้ยงทั้งสี่
ซักไซ้ได้ความตามคดีแล้วเข้าไปในที่ไสยา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงบังคมทูลแถลงแจ้งเหตุว่าพระปิตุเรศนาถา
ให้เสนีถือหนังสือมาแล้วถวายสาราภูวไนย ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นหม่นตรีศรีใส
ฟังข่าวผ่าวร้อนหฤทัยจำใจคลี่สารออกอ่านพลัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ ในสารนั้นว่าพระมารดรให้อาวรณ์วิโยคโศกศัลย์
แต่คอยคอยลูกยาเห็นช้าพลันด้วยครรภ์นั้นถ้วนทสมาสตรา
เห็นอาการเจ็บจวนอยู่เนืองนิตย์ให้หนักจิตที่จะคลอดโอรสา
เกลือกจะอันตรายวายชีวาไหนเลยลูกยาจะเห็นใจ
จงเร่งกลับมายังธานีแต่ในเจ็ดราตรีให้จงได้
แม้นช้ากว่าที่กำหนดไว้ถึงจะมาก็ไม่ต้องการ ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นในอักษรเร่าร้อนหฤทัยดังไฟผลาญ
ให้อาลัยที่จะไกลเยาวมาลย์จะเบือนบิดคิดอ่านเห็นสุดที
จะไปทูลลาสองประหมันกลับไปกุเรปันกรุงศรี
คิดแล้วม้าทรงพาชีจรลีเข้ายังวังใน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงลงจากม้าต้นขึ้นบนปราสาททองผ่องใส
บังคมสองประหมันทันใดแล้วทูลไปให้แจ้งกิจจา
บัดนี้สมเด็จพระบิดรมิศุภอักษรให้หา
พระชนนีเจ็บครรภ์หลายวันมาหลานรักจักลาไปธานี
ถ้าไปไม่ทันพระบรรหารเนิ่นนานก็จะเคืองบทศรี
แม้องค์พระชนกชนนีมีความสวัสดีจะกลับมา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านหมันหยา
ทั้งประไหมสุหรีศรีโสภาฟังพระหลานลาก็อาลัย
คิดจะใคร่ทานทัดตรัสห้ามก็เกรงความนินทาไม่ว่าได้
สององค์จึงอำนวยอวยชัยเจ้าจงไปเป็นสุขทุกเวลา
น้านี้อยู่หลังทั้งสองจะทุกข์ทนหม่นหมองละห้อยหา
เช้าเย็นเคยเห็นพระนัดดาทีนี้น้าจะเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจ ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ จึงมีพจนาบัญชาสั่งดะหมังเสนาอัชฌาสัย
จงจัดของขวัญทั้งนั้นไซร้ตามในสุริย์วงศ์เทวัญ
ทั้งพี่เลี้ยงนางนมสมศักดิ์อุดมด้วยนรลักษณ์เลือกสรร
ชายหญิงสิ่งละร้อบครบครันฝากไปทำขวัญพระนัดดา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
             

๏ บัดนั้นดะหมังรับสั่งใส่เกศส
มาจัดของขวัญดังบัญชาแล้วมอบให้เสนากุเรปัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีเฉิดฉัน
พิศพักตร์พระนัดดาลาวัณย์เห็นโศกศัลย์สร้อยเศร้าก็เข้าใจ
จึงตรัสเรียกราชบุตรีเข้ามานั่งถึงนี่ให้ใกล้
อิเหนาเขาจะลาคลาไคลเจ้าจงบังคมไหว้พี่ยา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา
ได้ฟังชนนีตรัสมาให้ขวยเขินวิญญาณ์อารมณ์
ต่อปิตุเรศเตือนจึงเคลื่อนคลายระวังช่ายสะพักชักห่อม
ครั้นถึงหน้าที่นั่งก็บังคมกราบก้มพักตราไม่พาที ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
คำนับรับไหว้นางเทวีภูมีดูนางไม่วางตา
ความรักหนักอุราด้วยอาลัยจะจำไกลพุ่มพวงดวงยิหวา
องค์อ่อนถอนฤทัยไปมาเหมือนจะบอกกัลยาให้รู้ที ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นฝ่ายฝูงสุรางค์นางสาวศรี
ต่างดูระเด่นมนตรีแล้วพาทีซุบซิบสะกิดกัน
พระจริตเห็นผิดกิริยาพักตราเศร้าสร้อยโศกศัลย์
น่าจะทุกข์ทรมานรำคาญครันสงสารพระทรงธรรม์เป็นพ้นไป
เมื่อกี้ดูเหมือนจะเยื้อนสั่งใครใครเห็นมั่งหรือหาไม่
ชลเนตรคลอเนตรแล้วถอนใจเห็นอาลัยในองค์พระธิดา
บ้างว่าน่ารักพระโฉมตรูจะใคร่ให้เสด็จอยู่หมันหยา
ถ้าได้กับพระบุตรีศรีโสภาดังจินดาประดับรับเรือนทอง
ลางนางบ้างว่าข้าชอบใจทั้งในธรณีไม่มีสอง
ต่างคิดพิสมัยใจปองหม่นหมองไปทุกหน้านางกำนัล ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริยวงศ์เทวากระยาหงัน
อาลัยมิใคร่จะจรจรัลจึ่งทูลสองประหมันทันที
แต่ตัวนี้หากจะจากไปจำใจไกลเบื้องบทศรี
แม้นมิกังวลด้วยชนนีหลานนี้ก็ยังไม่จากจร
ทูลพลางทางถวายบังคมลาแล้วแลดูพระธิดาดวงสมร
ทำทีเหมือนจะสั่งบังอรภูธรถอนใจอาลัยลา
มาทรงพาชีฉับพลันหวั่นหวั่นถวิลถึงจินตะหรา
จึ่งขับมโนมัยไคลคลาตรงมาที่อยู่ภูวไนย ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงลงจากม้าที่นั่งขึ้นยังตำหนักที่อาศัย
จึ่งสั่งพี่เลี้ยงผู้ร่วมใจจงไปจัดพหลมนตรี
แต่ในย่ำรุ่งให้เสร็จสรรพพรุ่งนี้จะกลับไปกรุงศรี
สั่งพลางย่างเยื้องจรลีเข้าไปในที่ไสยา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ พระบรรทมรำพึงถึงความรักไม่ประจักษ์แจ้งจิตขนิษฐา
จะจำใจกลับไปพาราอนิจจาจะทำประการใด
อันความทุกข์สุดทุกข์แสนทวีเจ้าจะเห็นอกพี่บ้างหรือไม่
คิดจะใคร่แจ้งความแก่ทรามวัยจึงสั่งให้หาดอกลำเจียกมา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นวิเดนกิดาหยันหรรษา
รับสั่งแล้วบังคมลาออกมายังสวนมาลี
เก็บได้ดอกปะหนันมิทันนานใส่พานเข้าไปในที่
ประนมก้มเกล้าดุษฎีแล้วถวายมาลีภูวไนย ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์เทวาอัชฌาสัย
จึ่งหยิบมาลามาทันใดภูวไนยนิ่งนึกตรึกตรอง
เอานขาจารึกกลีบปะหนันผูกพันเพลงยาวเคล่าคล่อง
แจ้งความตามซึ่งคะนึงน้องเป็นทำนองครวญคร่ำรำพัน
แล้วเอาซ่าโบะห่อดอกไม้ส่งให้วิเดนกิดาหยัน
ธำมรงค์สองวงนอกนั้นให้พี่เลี้ยงสาวสวรรค์กัลยา
จงรับแหวนไว้พลางพลางเป็นค่าจ้างวานถวายบุหงา
อันซ่าโบะของเราเอามาขอเปลี่ยนผ้าบุรีสไบพรต ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นวิเยนรับสั่งใส่เกศี
ถวายบังคมอัญชลีออกจากที่ไสยาแล้วคลาไคล ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงทิมริมดรงรอเฝ้าก็แวะเข้านั่งหยุดอาศัย
พอเห็นนางค่อมาแต่ไกลเดินเคียงเข้าใกล้แล้พาที
จะเข้าไปในวังข้าสั่งด้วยเอ็นดูช่วยบอกพี่เลี้ยงสองศรี
บาหยันซ่าเหง็ดชนนีว่าลูกนี้จะลาไปเวียงชัย ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นนางค่อมงวยงงสงสัย
รับคำรีบลาคลาไคลเข้าในห้องฉนวนด่วนมา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ ฉุยฉาย
๏ จึ่งบอกสองพี่เลี้ยงนารีบัดนี้เจ้าบ่าวน้อยมาคอยหา
ให้บอกสองท่านผู้มารดามีธุระจะลาไปธานี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพระพี่เลี้ยงจึงว่าแก่ทาสี
หลากใจใครหนอช่างพาทีล้อเล่นเช่นนี้น่าน้อยใจ
ร้ายดีจะไปดูให้รู้จักลูกรักของข้ามาแต่ไหน
จึงพาดุหวาค่อมคลาไคลออกไปยังนอกทวารา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ บัดนั้นวิเยนเห็นสองนางก็มาหา
นั่งไหว้แล้วแถลงแจ้งกิจจาโดยดังบัญชาพระทรงธรรม์
แหวนนี้ประทานมารดรจงช่วยธุระร้อนผ่อนผัน
ถึงใจให้พลางเป็นรางวัลวานถวายดอกปะหนันนงเยาว์
อันซ่าโบะรอยทรงจงพระทัยจะขอเปลี่ยนสไบโฉมเฉลา
แจ้งความตามสั่งสิ้นสำเนาแล้วเอาธำมรงค์ใส่ให้นาง ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพี่เลี้ยงทั้งสองไม่หมองหมาง
ยิ้มอยู่ในหน้าแล้วว่าพลางชิช่างฉลาดหลอกให้ออกมา
จึ่งรับเอาแหวนทั้งสองวงกับผ้าทรงที่ห่อบุหงา
จะถวายให้ตามพระบัญชาว่าแล้วก็พากันกลับไป ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึ่งเข้าไปในห้องทั้งสองพิศวงสงสัย
จึงคลี่ห่อปะหนันออกทันใดเห็นอักษรเขียนใส่กลีบมาลา
ถ้อยคำร่ำว่าโอดครวญน้ำนวลน่ารักเป็นหนักหนา
แต่เฝ้าอ่านสารซ้ำไปมาสรวลสันต์หรรษาพาที ฯ
ฯ ๔ คำ
๏ เมื่อนั้นระเด่นจินตะหรามารศรี
ได้ยินเสียงสรวลระริกซิกซี้จึ่งจรลีมาดูด้วยพลัน
เห็นสองพี่เลี้ยงกัลยาพิศดูบุหงาแล้วสรวลสันต์
เมื่อกี้พี่ว่าอะไรกันบุหงาปะหนันนั้นของใคร ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นทั้งสองกัลยาอัชฌาสัย
ดูตายิ้มพริ้มไปแล้วทูลอรทัยพระธิดา
ข้าไปสะตาหมันวันนี้เคราะห์ดีได้บุหงาในห่อผ้า
นึกเดาเจ้าของลองปัญญา ไม่รู้ว่าจะเป็นของใคร ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นจินตะหราพาซื่อไม่สงสัย
หยิบบุหงามาดูทันใดอรไทเห็นสารก็อ่านพลัน ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ ในลักษณ์อักษรเสนหาของพี่ยาจารึกกลีบปะหนัน
มาแจ้งความทรามวัยวิไลวรรณด้วยผูกพันพิศวาสไม่คลาดคลาย
แต่ทุกข์ตรอมจนผอมผิดร่างเจ้าไม่เห็นบ้างหรือโฉมฉาย
ถึงจะม้วยชีวันอันตรายก็ไม่หมายว่าจะคืนพารา
นี่เนื้อชะรอยกรรมได้ทำไว้จะจำไกลพุ่มพวงดวงยิหวา
มิรู้ที่จะแข็งขัดพระบัญชาจะขอลาโฉมยงอยู่จงดี
ซ่าโบะจะขอเปลี่ยนสไบนางไปชมพลางต่างพักตร์ยาหยี
กับทั้งชานสลาจงปรานีเหมือนช่วยชูชีวีของพี่ไว้
ถึงกลับไปก็ไม่อยู่ช้าจะคืนมาชมชิดพิสมัย
จงเป็นมิตรไมตรีแต่นี้ไปดังได้ตุนาหงันกันมา ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นอ่านเสร็จสิ้นอักษรชอบพระทัยในกลอนที่วอนว่า
แต่เล่ห์กลสตรีมีมารยาทำโกรธาทิ้งประหนันเสียทันใด
จึ่งว่าชอบขอบใจพี่เจ้าช่างเอาบุหงาใครมาให้
แย้มเยื้อนเหมือนหนึ่งไม่เข้าใจยิ้มละไมในหน้าพาที
จะมาเสใส่ข้าว่าไรเล่าพิสมัยก็เอาเป็นผัวพี่
ผู้ใหญ่อะไรอย่างนี้ไม่มีความคิดสักนิดเดียว
ช่างเชื่อลิ้นหลงเลห์ลมชายหวานนักมักกลายเป็นเปรี้ยว
อย่าพักพูดบ่ายเบี่ยงเลี่ยงเลี้ยวล่อลวงหน่วงเหนี่ยวเกี่ยวพัน
ไม่เจียมตนจะไปปนที่สูงศักดิ์เห็นเกินหน้าน้องนักพี่บาหยัน
ดังกระต่ายหมายชมดวงจันทร์อะไรนั่นพาทีไม่มีอาย ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสองพี่เลี้ยงเล้าโลมโฉมฉาย
ใจจะแกล้งแสร้งเสเพทุบายคิดหมายว่ามิใช่หาไหนมา
ก็นับในสุริยวงศ์พงศ์พันธุ์จะกระไรว่ากันนักหนา
สมศักดิ์สมสกุลทั้งสองรานี่พี่หากว่าประสากัน
ถึงมาตรไม่จงจิตคิดปองแต่อย่าข้องเคืองเคียดเดียดฉันท์
สงสารพระองค์วงศ์เทวัญโศกศัลย์วอนว่าน่าปรานี
ในสารว่าจะขอเปลี่ยนสไบจะบิดเบือนมิให้ก็ใช่ที่
โฉมยงทรงคิดจงดีพระภูมีจะละห้อยน้อยใจ ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นจินตะหราวาตีศรีใส
ฟังพี่เลี้ยงสนองต้องฤทัยให้อาลัยในองค์พระทรงธรรม์
แต่ปากนางหากทำเป็นว่าสมเพชเวทนาพี่บาหยัน
ช่างลุ่มหลงงงงวยไปด้วยกันสารพันล้วนเห็นว่าเป็นดี
อย่ามาเฝ้าเซ้าซี้ให้ขัดใจจะอย่างไรก็ตามความคิดพี่
ว่าพลางย่างเยื้องจรลีเข้าไปในที่ไสยา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสองศรีพี่เลี้ยงเสนหา
แจ้งใจในทีพระธิดาก็ตามมายังที่บรรทม
ครั้นถึงจึงประณตบทมาลย์นบนอบหมอบคลานกรานก้ม
บาหยันทำสนิทชิดชมบังคมแล้วทูลไปทันใด
โฉมยงจงทรงพระเมตตาวันนี้ข้าหนาวเหน็บเหมือนเป็นไข้
จะขอผ้ารอยทรงองค์อรทัยแม้นโปรดได้ให้ห่มจะค่อยคลาย
ว่าพลางทางทำเฉยหน้าหยิบยกพานผ้ามาถวาย
แต่เฝ้าเตือนเยื้อนยิ้มพริ้มพรายจงเปลี่ยนเปลื้องจากกายกัลยา ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา
เสแสร้งแกล้งกล่าววาจารำคาญวานอย่าให้ขัดใจ
น้องหรือจะรู้เท่าทันเชิงชั้นแยบยลคนผู้ใหญ่
นางค้อนเคืองเปลื้องเปลี่ยนผ้าสไบทำทิ้งประชดให้ด้วยมารยา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพระพี่เลี้ยงบาหยันหรรษา
หยิบสไบรอยทรงนั้นมาพัดพาดอังสาแล้วพาที
ครั้งี้เห็นแท้แน่ตระหนักว่าโฉมยงนงลักษณ์รักพี่
ว่าพลางทางทำยินดีอัญชลีแลดูตากัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพระพี่เลี้ยงบาหยันหรรษา
หยิบสไบรอยทรงนั้นมาพัดพาดอังสาแล้วพาที
ครั้งี้เห็นแท้แน่ตระหนักว่าโฉมยงนงลักษณ์รักพี่
ว่าพลางทางทำยินดีอัญชลีแลดูตากัน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นซ่าเหง็ดรู้กิริยาบาหยัน
จึงทูลองค์อรทัยวิไลวรรณทำเจ็บฟันปวดป่วยเป็นพ้นไป
รำมะนาดเจ้ากรรมทำวิบากจะเคี้ยวสลาอ้าปากก็ไม่ได้
จึงหยิบหมากมาถวายทันใดทรามวัยได้โปรดเคี้ยวประทาน ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
             

๏ เมื่อนั้นระเด่นจินตะหราจึงว่าขาน
อะไรนี่มีแต่บอกอาการบ้างขอผ้าขอชานรำคาญใจ
เวทนามาเฝ้าเซ้าซี้เช่นนี้น่าชังมั่งหรือไม่
จึงรับหมากมาเคี้ยวประเดี๋ยวใจแล้วส่งให้ซ่าเหง็ดด้วยเมตตา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นซ่าเหง็ดได้ประทานชานสลา
สะกิดเตือนบาหยันกัลยาบังคมลามาจากเยาวมาลย์
เดินด่วนชวนกันเข้ในห้องทั้งสองประดิษฐ์คิดอ่าน
เจียนตองแต่พอห่อชานใส่ผอบเอาพานทองรอง
แล้วพับผ้ารอยทรงองค์อรไทซ่อนใส่สไบห่มปิดป้อง
มิให้ใครสงสัยในทำนองทั้งสองกัลยาคลาไคล ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เพลง
๏ ถึงฉนวนก็ชวนกันหยุดอยู่ตรงประตูหูช้างข้างใต้
แกล้งส่งเสียงดังกระทั่งไอพยักให้วิเยนเป็นสำคัญ ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นวิเยนรู้แยบคายก็ผายผัน
เข้ามานั่งลงตรงที่นั้นไหว้สองสาวสรรค์กัลยา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นซ่าเหง็ดบาหยันก็หรรษา
ครั้นเห็นวิเยนเข้ามาเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใคร
จึงหยิบชานสลากับผ้าทรงสองนางนั่งลงแล้วส่งให้
สั่งว่าข้าถวายบังคมไปด้วยตั้งใจจงรักภักดี
เสด็จไปอย่าได้อยู่ช้ารีบกลับมาหมันหยากรุงศรี
จงจำถ้อยคำของข้านี้ไปทูลภูมีดังวาจา ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นวิเยนยินดีเป็นหนักหนา
คำนับรับคำแล้วอำลากลับมาที่อยู่พระภูมี ฯ
ฯ ๒ คำ ฯเชิด
๏ ครั้นถึงจึงถวายผ้าสไบกับผอบที่ใส่ชานพระศรี
แล้วแถลงแจ้งความตามคดีโดยที่พี่เลี้ยงสั่งมา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์เทวัญหรรษา
ชื่นชมด้วยสมดังจินดาพระราชาเวยชานสำราญใจ
ซึ่งทรงแสนโศกสร้อยเศร้าค่อยบรรเทาทุกข์ทนหม่นไหม้
จึ่งหยิบผ้ารอยทรงทรามวัยภูวไนยเอาคลี่คลุมองค์
กลิ่นร่ำน้ำกุหลาบอาบอบหอมตลบจับใจใหลหลง
คล้ายคล้ายหมายเหมือนรูปทรงโฉมยงนงค์เยาว์เข้ามา
พระแย้มยิ้มพริ้มพรายทายทักพลางพยักกวักเรียกขนิษฐา
หยุดอยู่นั่นไยไม่ไคลคลาเชิญมาพาทีด้วยพี่ชาย
แลตะลึงแลเล็งเพ่งพิศเห็นผิดมิใช่นางโฉมฉาย
พระผินผันบรรทมสะเทินอายกรก่ายเขนยนึกจนหลับไป ฯ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้นเสนาปาเตะผู้ใหญ่
ทั้งสี่พี่เลี้ยงภูวไนยออกไปเร่งรัดจัดพล ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ยานี
๏ ขุนช้างผูกช้างในกลางคืนมายืนเยียดยัดอัดถนน
บ้างขนของเครื่องอานอลวนประทับบนสัปคับคชา
ขุนม้าผูกม้าพาชีเคยขี่ควบขับสำหรับเขา
ขุนรถเร่งเทียมอาชาประทับเกยคอยท่าภูธร
ขุนพลตรวจพลนายไพร่เจ็บปวดป่วยไข้ให้ไปก่อน
สับสนอลหม่านไม่หลับนอนหาบคอนผ่อนล่วงแต่กลางคืน ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้นเสนานายมุลขุนหมื่น
บ้างเต้นรำทำเพลงเครงครื้นดีใจจะได้คืนไปพารา
ที่ป่วยเจ็บจับไข้ได้ข่าวก็หายหนาวไม่พักห่มผ้า
เรียกเพื่อสบู่ฝิ่นกินน้ำชาพูดจาเย้าหยอกกันออกอึง
บ้างหาสิ่งของสำรองไปจะได้ให้กำนัลกันเมียหึง
ถึงแม่ยายพ่อตาจะมึนตึงได้เล็กน้อยหน่อยหนึ่งก็จะคลาย
ที่มีภรรยาเป็นข้าหลวงก็เป็นห่วงด้วยหาของถวาย
แพรหลินเลี่ยงโผโล่ลายหวังจะให้เจ้านายโปรดปราน
พวกนักเลงกลอนแขกก็เสาะหาหนังแพะหนาหนาทำหน้าต่าน
ต่างคนหาของที่ต้องการจะไปบ้านมิให้เสียคราว
พวกสันทัดกาพย์กลอนก็นอนคิดแต่งลิลิตโคลงกระทู้ให้ชู้สาว
บ้างทำเรื่องนิราศเพลงยาวว่ากล่าวบทกลอนเพราะพริ้ง
ที่มีแม่เลี้ยงก็ไปหาอาลัยลาละห้อยอ้อยอิ่ง
ขอยืมผ้าห่มนอนวอนวิงทำทางเล่นทางจริงลองใจ
บรรดาโยธาทุกหมวดกองคับคั่งทั้งท้องถนนใหญ่
เสียงตีฆ้องกระแตแซ่ไปนายไพร่ตรวจตราหากัน ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
ครั้นจะใกล้ไขสีวีสรรณทรงธรรม์บรรทมตื่นฟื้นองค์
เสียงไก่กระชั้นขันขานแซ่ประสานสำเนียงเสียงบุหรง
เสด็จออกจากแท่นสุวรรณบรรจงมาชำระสระสรงสินธู ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ น้ำใสไขฝักปทุมทองผินผันหันขนองเข้ารองสู้
ทรงสุคนธ์ปนสุวรรณกำภูหอมระรื่นชื่นชูกลิ่นชะมด
สอดใส่สนับเพลสเนาหน่วงโขมพัตถ์พื้นม่วงก้านขด
ฉลององค์อินทรธนูสะบัดคตดุมประดับมรกตรจนา
เจียรบาดตาดสุวรรณวาววับกรองศอซ้อนสลับทับอังสา
ตาบทิศทับทรวงดวงจินดาพาหาพาหุรัดทองกร
ธำมรงค์ลงยาประดับเพชรแต่ละเม็ดยอดใหญ่เท่าบัวอ่อน
ทรงมหามงกุฎกรรเจียกจอนกรายกรกุมกริชจรลี ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
ร่าย
๏ มาทรงรถแก้วแววไวพออุทัยเรืองรองผ่องศรี
พรั่งพร้อมพหลมนตรีคลายคลี่รี้พลยาตรา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นออกมานอกทวารวังเหลียวหลังดูปราสาทจินตะหรา
ตั้งแต่แลตะลึงจลับตายังเปลี่ยวเปล่าวิญญาณ์เยือกเย็น
โอ้ดวงยิหวายาใจพี่แต่นี้นานช้าจะมาเห็น
จะทุกข์ถึงคะนึงนางไม่วางเว้นด้วยจำเป็นจำใจไคลคลา
พระเสด็จมาในพิชัยรถเร่งรันทดฤทัยถวิลหา
รีบรัดจัตุรงค์ตรงมาเดินโดยมรคาพนาดร ฯ
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ ครั้นถึงที่ประทับยับยั้งพระสุริย์ฉายบ่ายบังสิงขร
จึ่งหยุดโยธาพลกรภูธรเสด็จขึ้นพลับพลา ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นปะตะเสนีมียศถา
ออกมากำชับสั่งโยธาให้ตรวจตราตระเวนเกณฑ์กัน
บ้างนั่งยามตีเกราะเคาะฆ้องทุกกองทุกหมวดกวดขัน
ตั้งตาริ้วรายหลายชั้นรอบสุวรรณพลับพลาพนาลี ฯ
ฯ ๕ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
ครั้นล่วงปฐมยามราตรีก็เข้าสู่แท่นที่ไสยา ฯ
ฯ ๒ คำ ฯ
ช้า
๏ พระกรก่ายพักตราจาบัลย์หวั่นหวั่นถวิลถึงจินตะหรา
ป่านฉะนี้โฉมตรูอยู่พาราจะนิทราหลับแล้วหรือฉันใด
เจ้าจะมีมิตรจิตคิดคะนึงรำลึกถึงพี่บ้างหรือหาไม่
เห็นทีขนิษฐายาใจจะโหยหาอาลัยถึงพี่ชาย
แต่ครุ่นครวญรวนเรคะเนนึกจนยามดึกเดือนส่องแสงฉาย
พระเผยม่านสุวรรณพรรณรายลมชายตามช่องมาต้ององค์
น้ำค้างพร่างพรมสุมามาลย์เบ่งบานแย้มกลีบกลิ่นส่ง
หอมละม้ายคล้ายกลิ่นโฉมยงพระเคลิ้มองค์หลงขับขึ้นฉับพลัน ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ
พัดชา
๏ ดวงเอยดวงยิหวางามอย่างนางฟ้ากระยาหงัน
นวลละอองผ่องพักตร์ผิวพรรณดังบุหลันทรงกลดหมดมลทิน
งามเนตรดั่งเนตรมฤคมาศงามขนงวงวาดดั่งวงศิลป์
อรชรอ้อนแอ้นดั่งกินรินงามสิ้นทุกสิ่งพริ้งพร้อม
แต่เห็นน้องก็ต้องหฤทัยพิสมัยไม่วายหวังถนอม
แสนทุกข์ระทมตรมตรอมจะผ่ายผอมผิดรูปซูบทรง
โอ้ว่ายาหยีของพี่เอ๋ยเมื่อไรเลยจะได้ดังประสงค์
พระชมสไบบางต่างโฉมยงเอนองค์ลงบรรทมหลับไป ฯ
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ ประทมไพร
ชา
๏ เมื่อนั้นฝ่ายประไหมสุหรีสีใส
แต่ละห้อยคอยหาพระดนัยนางไม่เป็นสุขสักเวลา
พระครรภ์สิบเดือนโดยกำหนดจะประสูติโอรสเสนหา
ให้เจ็บปวดรวดเร้าทั้งกายาประหนึ่งว่าโฉมฉายจะวายปราณ ฯ
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้นนางกำนัลต่างคนอลหม่าน
บ้างเข้าประคององค์นงคราญหมอผู้หญิงอยู่งานผันแปร
เหล่าพวกข้าหลวงก็ตกใจบ้างวิ่งไปบอกกล่าวท่านเถ้าแก่
เจ้าขรัวนายออกมานั่งสั่งหุ้มแพรให้เครียมแตรพิณพาทย์ฆ้องชัย
แล้วหมายไปบอกเบิกน้ำสุราสำหรับยาจะได้ดองสักสองไห
เตือนเจ้าพนักงานทหารในให้ยกที่ประทมไฟเข้าไปพลาง
เชื้อพระวงศ์ทรงถือเขนยทองนั่งหนุนพระขนองทั้งสองข้าง
เห็นโฉมฉายประชวรครวญครางกำนัลนางน้อยน้อยพลอยตีทรวง
บ้างเร่งหาหมอยาหมอนวดเรียกตำรวจเข้ามาผูกผ้าหน่วง
บ้างต้มน้ำทำการทั้งปวงในเรือนหลวงวิ่งไข่กันไปมา
ที่นับถือผีสางบางคนก็บวงบนเอาเบี้ยขึ้นเหน็บฝา
บ้างอวดรู้ดูยามสามตาจะประสูติในไม่ช้าเวลานี้
เหล่าพวกเจ้าจอมหม่อมอยู่งานก็ลนลานคลานเข้าไปในที่
ชิงกันเอาหน้าพาทีทูลคดีให้ทราบบาทา
ฯ ๑๔ คำ เจรจา ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผ่านภพกุเรปันนาถา
ครั้นแจ้งก็รีบลีลาลงมาที่อยู่เยาวมาลย์
ทรงนั่งบัลลังก์รัตน์รูจีพิศพักตร์มารศรีแล้วสงสาร
จึงกำชับหมอผู้หญิงที่อยู่งานดูอาการกัลยายิ่งอาวรณ์
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีศรีสมร
เจ็บจวนประชวรพระอุทรบังอรไม่เป็นสมประดี
ครั้นปัจจุสมัยใกล้สว่างเสียงประโคมดุริยางค์อึงมี่
พอได้ฤกษ์เวลานาทีมารศรีประสูติพระธิดา
ฯ ๔ คำ ฯ มโหรี
๏ เมื่อนั้นองค์มเดหวีเสนหา
รับราชบุตรีนั้นมาโสรจสรงธาราทันใด
แล้ววางองค์ลงเหนือพระยี่ภู่ลาดปูโขมพัตถ์ผ่องใส
แล้วเอาพานทองรองรับไว้ที่ในกระโจมแพรแสสุวรรณ
พระวงศามาเฝ้าพิทักษ์ถนอมแน่นนั่งพรั่งพร้อมรับขวัญ
ท้าวนางพระสนมกำนัลชวนกันชื่นชมยินดี
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านกุเรปันกรุงศรี
พิศโฉมพระราชบุตรีลออองค์อินทรีย์เพียงนางฟ้า
อันนิมิตที่เป็นให้เห็นนั้นก็เหมือนกันกับบุตรีดาหา
จึงให้นามตามวงศ์เทวาชื่อระเด่นวิยดานารี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นฝ่ายมหาอำมาตย์ทั้งสี่
จึงจัดบุตรเสนาบรรดามีแปดร้อยนารีจำเริญวัย
ทั้งเงินทองของขวัญต่างๆตามอย่างพระธิดาประสูติใหม่
ให้เถ้าแก่โขลนจ่าพาเข้าไปยังในนิเวศน์วังพลัน
ต่างบังคมคัลอัญชลีองค์ศรีปัตหรารังสรรค์
ตำมะหงงยาสาเสนานั้นทูลถวายของขวัญทันที
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี
ยิ่งทรงโสมนัสพันทวีจึงจัดสี่พี่เลี้ยงพระธิดา
ล้วนบุตรเสนีมีศักดิ์นรลักษณ์รูปทรงวงศา
คนหนึ่งชื่อบาหยันกัลยาซ่าเหง็ดโสภานารี
หนึ่งชื่อประเสหรันแน่งน้อยประลาหงันแช่มช้อยโฉมศรี
ตำแหน่งที่พี่เลี้ยงพระบุตรีตั้งได้แต่สี่พารา
อันบุตรเสนีทั้งนั้นแบ่งเป็นกำนัลซ้ายขวา
แล้วประทานสิ่งของนานาเงินทองแพรผ้าสารพัน
ฯ ๘ คำ ฯ
             

๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
เนาในพลับพลาพนาวันสุริยันเยี่ยมยอดบรรพต
จึงเข้าที่ชำระสระสรงทรงเครื่องประดับองค์อลงกต
แล้วเสด็จขึ้นยังบัลลังก์รถให้เคลื่อนทศโยธาคลาไคล
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
ชมดง
๏ เดินพลางทางชมรุกขชาติเดียรดาษดวงดอกออกไสว
หอมประทิ่นเหมือนกลิ่นทรามวัยภูวไนยถวิลหาปรารภ
สกุณาพาคู่เคียงบินเหมือนเคียงพักตร์ทักษิณที่พระศพ
โนรีเรียงหน้าบนค่าคบเหมือนพี่แสร้งแกล้งกระทบอังสานาง
นกขมิ้นบินโผเข้าพงพีเหมือนเจ้าเดินหนีพี่ไปให้ห่าง
สีชมพูเหมือนสีสะใบบางที่เปลี่ยนมากลางทางแทนองค์
นางนวลเล่นน้ำอยู่ในหนองเหมือนนวลน้องเมื่อสนานในสระสรง
ชมพลางทางระทดกำสรดทรงให้รีบรัดจตุรงค์จรลี
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
ร่าย
๏ แต่รอนแรมนอนป่าสิบห้าวันลุถึงกุเรปันกรุงศรี
ให้หยุดรถคชพลพาชีภูมีเสด็จไปเข้าในวัง
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงปราสาทพระธิดาฝูงกำนัลกัลยาพร้อมพรั่ง
พระหยุดแฝงทวารบานบังยับยั้งดูทีกิริยา
เห็นพระบิตุเรศมารดรสโมสรสรวลสันต์หรรษา
จึงเข้าไปในปราสาทรจนาวันทาพระชนกชนนี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ประไหมสุหรี
เห็นอิเหนาเข้ามาอัญชลีจึงมีมธุรสพจนา
นี่หากว่าชีวันไม่บรรลัยจึงได้เห็นพักตร์โอรสา
มิเสียแรงกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมาเสนหาก็ไม่เสียที
ฯ ๔ คำ ฯ
ร่าย
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
ก้มเกล้าทูลสนองพระเสาวนีย์อันโทษาลูกนี้ผิดนัก
ได้ทูลลาว่าจะมาเป็นหลายหนสองประหมันนั้นก่นแต่หน่วงหนัก
ต่างองค์อาลัยด้วยใจรักหาญหักห้ามไว้มิให้มา
ต่อได้แจ้งอาการในสารศรีว่าชนนีจะคลอดโอรสา
พระจึงอวยให้ลูกไคลคลารีบเดินทั้งทิวาราตรี
จะว่าไปก็ในลูกผิดเองเหมือนไม่เกรงเบื้องบาทบทศรี
ถึงประหมันมิให้อัญชลีแม้นมิฟังใช่ที่จะทำไม
ตกแต่งเกรงผู้อื่นนั้นยิ่งกว่าพระบิตุเรศมมารดาเป็นใหญ่
ลูกได้พลั้งผิดคิดเบาใจขอพระองค์จงได้เมตตา
แล้วทูลถวายของขวัญสองประหมันประทานขนิษฐา
พระพินิจพิศโฉมวิยดาเสนหาพ่างเพียงดวงใจ
พลางดูทำนองสองกษัตริย์เห็นค่อยคลายเคืองขัดอัชฌาศรัย
จึงบังคมลาคลาไคลเสด็จไปที่อยู่พระภูมี
ฯ ๑๔ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงท้าวดาหากรุงศรี
แจ้งว่าพระเชษฐาธิบดีมีราชบุตรีโสภา
จึงให้จัดของขวัญทันใดตามในสุริย์วงศ์อสัญหยา
ทั้งของตุนาหงันกัลยาให้อะหนะสียะตราลูกรัก
ตำมะหงงจงนำสารไปกราบทูลภูวไนยให้ประจักษ์
ว่าเรากับขนิษฐาสามิภักดิ์คิดถึงพระทรงศักดิ์เป็นพ้นไป
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ บัดนั้นตำมะหงงรับสั่งบังคมไหว้
ออกมาจัดของขวัญทันใดใส่ในราชรถเรียงรัน
ตำมะหงงทั้งสี่นั้นขึ่ม้ารีบยกโยธาผายผัน
นอนทางค้างแรมมาหลายวันตรงไปกุเรปันธานี
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ พอพบเสนาเมืองกาหลังอีกทั้งสิงหัดส่าหรี
สามนายก็พากันจรลีเข้าในบุรีกุเรปัน
ไปหายาสาตำมะหงงจึ่งส่งบรรณาการของขวัญ
เวลาเฝ้าองค์พระทรงธรรม์ก็พากันเข้าสู่พระโรงชัย
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ต่างประนมก้มเกล้าเคารพพระปิ่นภพกุเรปันเป็นใหญ่
ตำมะหงงมหาเสนาในทูลไปให้แจ้งกิจจา
บัดนี้พระอนุชาทั้งสามมีความโสมนัสเป็นหนักหนา
ให้เสนีนำบรรณาการมาทำขวัญพระนัดดายาใจ
แต่ศรีปัตหราดาหานั้นตุนาหงันพระบุตรีศรีใส
ให้สียะตราโอรสยศไกรตามในสุริย์วงศ์เทวา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านกุเรปันนาถา
จึงมีพระราชบัญชาปราศรัยเสนาทั้งสามคน
ซึ่งมาท่าทางทุรัศสถานเทศกาลเป็นห้าฟ้าฝน
กันดารโดยมรคาอารญไพร่พลยังพร้อมมูลกัน
อันพระอนุชาทั้งสามองค์ยังดำรงไอสูรย์เกษมสันต์
อยู่เย็นเป็นสุขทุกนิรันดร์ฤาโรคันอันตรายสิ่งใด
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสามเสนาทูลสนองไข
เดชะพระเดชปกเกศไปมรคามาได้สะดวกดาย
อันสามสมเด็จพระอนุชากับพระญาติวงศาทั้งหลาย
มิได้มีไภยันอันตรายกราบถวายบังคมด้วยภักดี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระปิ่นกุเรปันกรุงศรี
จึงหันพักตรามาพาทีกับประไหมสุหรีนงเยาว์
อันระเด่นบุษบาดาหานั้นได้ไปตุนาหงันให้อิเหนา
บัดนี้วิยะดาลูกเราฝ่ายเขามาขอให้สียะตรา
ถ้อยทีมีใจจำนงมิให้เสียสุริย์วงศ์อสัญหยา
จะโอนอ่อนผ่อนตามอนุชากัลยาจะเห็นประการใด
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์ประไหมสุหรีศรีใส
เคารพอภิวันท์แล้วทูลไปตามแต่ภูวไนยจะโปรดปราน
มิใช่ว่าอื่นไกลหาไหนมาสียะตราหนึ่งหรัดก็เป็นหลาน
น้องมิได้แข็งขัดทัดทานให้เคืองบทมาลย์พระผ่านฟ้า
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผ่านภพกุเรปันหรรษา
จึงดำรัสตรัสสั่งเสนาจงบอกแก่อนุชาทั้งสามเมือง
ว่าเราอำนวยอวยชัยทุกข์โศกโรคภัยจงปลดเปลื้อง
อย่ารู้มีอันตรายระคายเคืองให้รุ่งเรืองเดชากฤษฎาการ
ซึ่งพระอนุชาดาหานั้นให้มาตุนาหงันว่าขาน
ก็ชอบตามระบอบโบราณมิให้เสียวงศ์วานเทวา
ครั้นเสร็จเสด็จยุรยาตรจากอาสน์สุวรรณเลขา
ชวนประไหมสุหรีลีลาไปปราสาทวิยดานารี
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาทั้งสามกรุงศรี
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วก็จรลีออกไปจากที่พระโรงคัล
ต่างคนต่างขึ้นอาชารีบเร่งโยธาผายผัน
มาจากกรุงไกรกุเรปันแยกกันไปยังพารา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
ช้า
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา
แต่จากเยาวมาลย์ช้านานมาไม่วายถวิลหาอาลัย
ยามเข้าไสยาในราตรียิ่งทวีทุกข์ทนหม่นไหม้
บรรทมชมเชยแต่สไบแทนองค์อรทัยทุกเวลา
โอ้ว่ายิหวาของพี่เอ๋ยเมื่อไรเลยจะได้เห็นหน้า
ยังมิทันสู่สมภิรมยาเวราสิ่งใดให้ไกลกัน
แม้ช้าอีกสักห้าราตรีเห็นทีจะได้ดังใฝ่ฝัน
พระรำลึกตรึกตราจาบัลย์แสนวิโยคโศกศัลย์ไม่เสื่อมคลาย
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ จึงทรงกำศรดสลดรักอุตส่าห์หักฤทัยเสียให้หาย
แสร้งทำสุขเกษมเปรมปรายมิให้คนทั้งหลายสงกา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้งรุ่งรางสร่างแสงสุริยงพระแต่งองค์ทรงเครื่องโอ่อ่า
เสด็จทรงมโมยไคลคลาขึ้นเฝ้าพระบิดาด้วยพลัน
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๏ เมื่อนั้นพระปิ่นภพลบโลกเป็นใหญ่
แสนสวาทสองราชดนัยพระนิ่งนึกตรึกไตรไปมา
อันองค์อิเหนาเยาวเรศรักดังดวงเนตรเบื้องขวา
อันอะหนะระเด่นวิยดาเพียงดวงนัยนาเบื้องซ้าย
พลางพินิจพิศพักตร์พระโอรสเห็นกำศรดสร้อยเศร้าไม่เหือดหาย
เหตุที่ทุกข์ใจไม่สบายเพราะมุ่งหมายจินตะหราวาตี
จำจะให้ไปนัดอนุชากำหนดการวิวาห์ภิเษกศรี
เหมือนเอาเสี้ยนบ่งหนามเห็นงามดีคิดแล้วจึงมีพระบัญชา
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ จึงสั่งดะหมังเสนาในพรุ่งนี้จงไปเมืองดาหา
ทูลแจ้งแก่พระอนุชาจะแต่งการวิวาห์เดือนหกนี้
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นดะหมังรับสั่งใส่เกศี
ถวายบังคมคัลอัญชลีออกมาจากที่พระโรงคัล
จึงบอกบ่าวไพร่ให้พร้อมเพียงลูกเมียหาเสบียงขมีขมัน
ครั้นรุ่งก็รีบจรจรัลขึ้นม้าพากันคลาไคล
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ รอนแรมนอนทางกลางอรัญสิบห้าวันถึงดาหากรุงใหญ่
พอเวลาเฝ้าเข้าไปยังท้องพระโรงชัยฉับพลัน
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ จึงถวายอภิวาทบาทบงสุ์พระผู้พงศ์เทวากระยาหงัน
ทูลว่าพระเชษฐากุเรปันมีบัญชาใช้ให้มา
กำหนดนัดการสยุมพรให้ตกแต่งพระนครไว้ท่า
เดือนหกจะยกยาตรามาแต่งการวิวาห์พระบุตรี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวดาหาปรีดิ์เปรมเกษมศรี
จึงตรัสแก่ดะหมังเสนีว่าเรานี้ถวายบังคมไป
งดสักสามเดือนจึงยกมาจะตกแต่งพาราเสียใหม่
ท่านจงไปทูลพระภูวไนยให้ทราบใต้ละอองบาทา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นดะหมังกุเรปันหรรษา
รับสั่งแล้วบังคมลามาขึ้นม้ารีบกลับไปฉับไว
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ครั้นถึงจึงเข้าไปเฝ้าพระปิ่นเกล้ากุเรปันเป็นใหญ่
ทูลแถลงแจ้งความทั้งปวงไปให้ทราบใต้ฝ่าละอองบาทา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงภพลบโลกไม่มีสอง
ได้ฟังก็ดำริตริตรองซึ่งพระน้องกำหนดนัดผลัดไป
จำเป็นจะหย่อนผ่อนผันจะทำเมือนนนึกนั้นเห็นไม่ได้
คิดแล้วเสด็จคลาไคลเข้าในปราสาทแก้วแพรวพรรณ
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
แจ้งว่าบิตุรงค์ทรงธรรม์ใช้ให้ดะหมังนั้นไปนัดการ
จัดแจงที่จะแต่งสยุมพรพระเร่งร้อนหฤทัยดังไฟผลาญ
แต่โศกาครวญคร่ำรำคาญจะคิดอ่านผ่อนผันฉันใดดี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ อย่าเลยจะทูลลาไปเล่นไพรแต่พอได้ออกจากกรุงศรี
แล้วจะไปหมันหยาธานีให้สมที่จินดาอาวรณ์
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ คิดแล้วอ่าองค์ทรงเครื่องย่างเยื้องจากแท่นบรรจถรณ์
มาทรงกัณฐัศว์อัสดรบทจรเข้ายังวังใน
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
             

๏ ครั้นถึงจึงถวายอัญชลีพระชนกชนนีเป็นใหญ่
เห็นท่วงทีชอบช่องจึงทูลไปว่าลูกไม่สบายมาหลายวัน
ขอพระองค์จงโปรดปรานีพรุ่งนี้จะลาไปไพรสัณฑ์
เที่ยวไล่มฤคาในอารัญเจ็ดวันจะกลับมาเวียงชัย
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระองค์ทรงภิภพสบสมัย
ฟังโอรสลาไปเล่นไพรภูวไนยไม่พะวงสงกา
จึงตริตรึกปรึกษามเหษีอิเหนานี้คะนึงถึงจินตะหรา
เศร้าหมองไม่หายหลายเดือนมาจะต้องตามวิญญาณ์ให้คลายใจ
ว่าพลางทางมีพจนารถอนุญาตโดยดังอัชฌาสัย
ลูกรักจักลาไปเล่นไพรก็ตามใจแต่อย่าอยู่ช้า
แล้วดำรัสตรัสสั่งตำมะหงงท่านจงไปด้วยโอรสา
เป็นผู้ใหญ่ต่างใจต่างตาอย่าให้พระลูกยาอยู่นาน
กำชับให้กลับในเจ็ดวันถึงกรุงกุเรปันราชฐาน
สั่งเสร็จเสด็จจากพระโรงธารภูบาลเข้าสู่ปราสาทชัย
ฯ ๑๐ คำฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีใส
ชื่นชมสมจิตที่คิดไว้ก็คลาไคลไปปราสาทวิยดา
พอประสบองค์มะเดหวีสถิตที่ห้องทองขนิษฐา
พระลดองค์ลงถวายวันทาทำทีกิริยาเปรมปรีดิ์
แล้วโอบอุ้มประคองพระน้องรักมาใส่ตักเชยชมมารศรี
ชันษายังไม่ถึงกึ่งปีอนิจาพี่นี้จะจากไป
พระสะท้อนถอนจิตจาบัลย์สุดที่จะกลั้นกันแสงได้
ชลเนตรคลอเนตรภูวไนยผินไปทรงซับเสียฉับพลัน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นมะเดหวีมีศักดิ์เฉิดฉัน
เห็นอิเหนาลูกยาจาบัลย์จึงตรัสถามไปพลันทันใด
เจ้าอุ้มน้องเชยชมภิรมย์รักเป็นไรนั่นผันพักตร์ไปร้องไห้
เห็นผิดทีเที่ยวป่าพนาลัยเหมือนจะไปอยู่ช้าสักห้าปี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
เสแสร้งแกล้งทูลพระชนนีเมื่อกี้ผงปลิวเข้าตา
ก้มกรีดชลเนตรจะให้หายยังระคายเคืองเนตรเป็นหนักหนา
อย่ากินแหนงแคลงใจพระมารดาใช่ว่าจะโศกศัลย์ด้วยอันใด
ซึ่งลูกจะลาไปอารัญเจ็ดวันก็จะกลับกรุงใหญ่
ว่าพลางวางองค์พระน้องไว้บังคมไหว้มะเดหวีแล้วลีลา
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงประเสบันทันทีนั่งเหนือแท่นมณีที่ข้างหน้า
จึงสั่งสี่พี่เลี้ยงให้ตรวจตราโยธาสำหรับทัพชัย
จงจัดคนนำทางที่สันทัดดั้นดัดมรคาป่าใหญ่
พอย่ำยามสามจะยกไปอย่านอนใจให้ทันเวลา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นประสันตารู้นัยแต่ไม่ว่า
ทำนับนิ้วจับยามสามตาเงยหน้าทูลองค์พระทรงชัย
เสด็จในยามนี้เถิดดีจริงจะเกิดลาภสักสิ่งเป็นแม่นมั่น
ถ้ามิได้สมจิตที่คิดนั้นขอถวายชีวันประสันตา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงวงค์อสัญแดหวา
ยิ้มพลางทางเขม้นนัยนาแล้วตรัสว่าช่างทำนายทายเดา
นี่ใครใช้ให้เจ้าเป็นหมอดูอวดรู้พูดโป้งไปเปล่าเปล่า
จะได้ลาภมิได้ก็ทำเนามิใช่การอย่าเอามาพาที
ไม่สบายวิญญาณ์จะคลาไคลก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจของพี่
รำคาญวานอย่าเฝ้าเซ้าซี้จงไปจัดโยธีให้พร้อมไว้
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นยะรุเดะผู้มีอัชฌาสัย
แย้มยิ้มในหน้าแล้วว่าไปเจ้าพูดไยอย่างนั้นประสันตา
ถึงได้ลาภอย่างไรก็ไม่ชื่นไม่เหมือนคืนเขตขัณฑ์หมันหยา
ว่าพลางทางถวายบังคมลาออกมาหน้าจักวรรดิ์จัดพล
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
ยานี
๏ ตั้งกองท้องสนามตามอย่างขุนช้างผูกช้างระวางต้น
แต่ละตัวห้าวหาญชำนาญตนชนะศึกฝึกฝนมาหลายคราว
ขุนม้าผูกม้าพาชีแซมสีเหลืองกระเลียวเขียวขาว
เลือกล้วนตัวดีมีฝีเท้าประดับเครื่องกุดั่นดาวนากทอง
ขุนรถเร่งเตรียมรถาอาชาฉุดชักเคล่าคล่อง
สารถีขึ่ขับตามทำนองเหน็บกริชฝักทองถือธนู
ขุนพลจัดพลพร้อมพรั่งคับคั่งโยธีทั้งสี่หมู่
กรมวังนั่งคอยไขประตูเตรียมท่าพระโฉมตรูจะยาตรา
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
ร่าย
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา
ครั้นล่วงปฐมยามเวลาเสด็จมาเข้าที่พระบรรทม
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
ช้า
๏ เอนองค์ลงรำพึงคะนึงในดังได้โฉมตรูมาสู่สม
ยินดีปรีดาในอารมณ์พลางชมสไบบางต่างเทวี
หอมตลบอบซาบนาสาเหมือนกลิ่นจินตระหรามารศรี
นึ่งนึกตรึกไตรในราตรีภูมีไม่สนิทนิทรา
แต่เฝ้าเปรมปริ่มกระหยิ่มใจเหมือนพรุ่งนี้จะได้ไปเห็นหน้า
พระกรรณตรับนับทุ่มนาฬิกานั่งคอยเวลาจะคลาไคล
ฯ ๖ คำ ฯ
ร่าย
๏ ครั้นประโคมฆ้องย่ำยามสามเศษภูวเรศยินดีจะมีไหน
เสด็จออกจากห้องทองทันใดคลาไคลไปสรงชลธาร
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
โทน
๏ ไขสุหร่ายวารินกลิ่นเกลี้ยงสถิตนั่งเหนือเตียงสรงสนาน
ทรงสุคนธ์ปนทองรองพานกลิ่นสุมาลย์ตลบอบองค์
สอดใส่สนับเพลาพื้นตาดปักรูปสีหราชเหมหงส์
ภูษายกแย่งครุฑภุชงค์ฉลององค์อินทร์ธนูงามงอน
เจียระบาดคาดสุวรรณพรรณรายคาดปั้นเหน่งเพชรพรายสายสร้อยอ่อน
ทับทรวงดวงกุดั่นดอกซ้อนทองกรแก้วมณีเจียระไน
ธำมรงค์ค่าเมืองเรืองระยับมงกุฎเพชรเก็จประดับดอกไม้ไหว
เหน็บกริชเทวาแล้วคลาไคลมาทรงมโนมัยในเที่ยงคืน
ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
โทน
๏ ม้าเอยม้าต้นสามารถอาจผจญไม่เต้นตื่น
พ่วงพีมีกำลังยั่งยืนตัวรู้อยู่ปืนได้ทดลอง
ผูกเครื่องกุดั่นดาวจำหลักสายถือเทศถักเป็นลายสอง
ห้อยหูภู่จามรีกรองใบโพธิ์ทองถมยาประดับเพชร
พานหน้าผนังข้างอย่างนอกดวงดอกเนาวรัตน์ตรัสเตร็จ
พระทรงแส้สุวรรณกัลเม็ดเสนาตามเสด็จแน่นนันต์
ม้าพี่เลี้ยงเคียงม้าที่นั่งทรงตำมะหงงนั้นนำพลขันธ์
เดินทางสว่างแจ้งด้วยแสงจันทร์เร่งกันให้รีบจรลี
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
โอ้ร่าย
๏ เข้าในอรัญวาป่าใหญ่ภูวไนยคะนึงถึงโฉมศรี
โอ้ว่าจินตระหราวาตีป่านฉะนี้ดวงใจจะไสยา
ฤาจะตื่นนิทราเวลาดึกรำลึกถึงพี่บ้างกระมังหนา
หอมหวนอวลรสสุมาลาพระพายพากลิ่นตลบอบอาย
น้ำค้างตกต้องใบพฤกษาจับแสงจันทราจำรัสฉาย
หิ่งห้อยย้อยระยับจับไม้รายพรายพรายแพร้วแพร้วที่แถวทาง
เสียงบุหรงร้องก้องพนาวันสุริย์ฉันจวนแจ้งแสงสว่าง
พอพ้นด่านกุเรปันชั้นกลางหนทางรื่นราบดังปราบไว้
ฯ ๘ คำ ฯ
ร่าย
๏ พระคิดดูรู้ระยะมรคาเห็นยังไกลหมันหยากรุงใหญ่
จะอุบายขับควบอาชาไนยรีบไปให้เปลืองหนทางจร
คิดแล้วจึงมีบัญชาสั่งให้รอรั้งมโนมัยไว้ก่อน
พอรุ่งรางสร่างแสงทินกรจึงให้ควบอัสดรดูกำลัง
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้ววางม้าทรงลงแส้ทั้งทวยหาญม้าแห่หน้าหลัง
ต่างควบอาชาดาประดังคับคั่งเคียงแข่งแซงไป
บ้างมุ่นหกผกโผนลำพองแตกคลองพากระเจิงเข้าเซิงไผ่
แต่กระชากลากฉุดจนอ่อนใจแก้ไขสิ้นคิดถึงปิดตา
พวกขี้ขลาดอวดดีขี่เบาะบางสะบัดย่างวางตามเป็นสามขา
รัดอกขาดพลาดพลัดลงมาปากคอคิ้วตาระยำยับ
บ้างควบปรึงตะบึงไปไม่รอรั้งจนตาลายสิ้นกำลังลมจับ
เหงื่อออกอาบหน้าเอาผ้าซับแล้วรีบขับควบตามเสด็จไป
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ ลุล่วงมรคามาถึงที่หนึ่งธารท่าชลาไหล
เวลาเที่ยงแดดร้อนอ่อนใจจึงสั่งให้พักพลโยธา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นขุนหมื่นพันทนายซ้ายขวา
ต่างเปลื้องเครื่องอานอาชาพานหน้าซองหางออกวางไว้
คนเลี้ยงเคียงม้าจูงประจำมาลงน้ำกินหญ้าในป่าใหญ่
บรรดาคนเดินเท้านั้นไซร้ก็ตามไปถึงพลันทันที
บ้างหุงโภชนาอาหารสับสนอลหม่านอึงมี่
บ้างถากเสาเกลาไม้มากมีทำที่ประทับพลับพลาพลัน
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเฉิดฉัน
พระเสด็จย่างเยื้องจรจรัลขึ้นสู่สุวรรณพลับพลาชัย
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
.
.
.
             

ศึกกะหมังกุหนิง

๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
เสด็จเหนือแท่นรัตน์มณีภูมีเห็นสองอนุชา
จึ่งตรัสเรียกให้นั่งร่วมอาสน์สำราญราชฤทัยหรรษา
แล้วปราไสระตูบรรดามายังปรีดาผาสุกหรือทุกข์ภัย
ซึ่งเราให้หามาทั้งนี้จะไปตีดาหากรุงใหญ่
ระตูทุกนครอย่านอนใจช่วยเราชิงชัยให้ทันการ
๏ เมื่อนั้นเหล่าระตูปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
จึงสนองมธุรสพจมานพระมีการสงครามแต่ละครั้ง
จะตั้งหน้าอาสาออกชิงชัยมิได้ย่อท้อถอยหลัง
สู้ตายไม่เสียดายแก่ชีวังกว่าจะสิ้นกำลังของข้านี้
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
ฟังระตูตอบชอบทีสมถวิลยินดีปรีดา
จึงตรัสว่าท่านมาเหนื่อยนักจงไปพักพลขันธ์ให้หรรษา
ตรัสพลางทางชวนอนุชาเข้ามหาปราสาทรูจี
๏ ลดองค์ลงนั่งบนแท่นทองกับด้วยพระน้องทั้งสองศรี
จึงตรัสเล่าความตามคดีจนใช้เสนีถือสารไป
๏ เมื่อนั้นสองกษัตริย์ฟังแจ้งแถลงไข
จึงทูลขัดทัดทานทันใดเป็นไฉนผ่านเกล้ามาเบาความ
อันสุริย์วงศ์เทวันอสัญหยาเรืองเดขเดชาชาญสนาม
ทั้งโยธีก็ชำนาญการสงครามลือนามในชะวาระอาฤทธิ์
กรุงกษัตริย์ขอขึ้นก็นับร้อยเราเป็นเมืองน้อยกะจิหริด
ดังหิ่งห้อยจะแข่งแสงอาทิตย์เห็นผิดระบอบโบราณมา
ใช่จะไร้ธิดาทุกธานีมีงามแต่บุตรีท้าวดาหา
พระองค์จงควรตรึกตราไพร่ฟ้าประชาราษฎร์จะร้อนนัก
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงมีศักดิ์
จึงบ่ายเบี่ยงเลี่ยงตอบพระน้องรักใช่จะหักหาญวงศ์เทวัน
ด้วยบัดนี้บุตรีดาหาจรกาให้มาตุนาหงัน
เราจะยกพลไกรไปโรมรันช่วงชิงนางนั้นกับจรกา
๏ เมื่อนั้นสองระตูทูลตอบพระเชษฐา
เมื่อนางยังอยู่กับบิดาที่ในดาหากรุงไกร
แม้เกิดการสงครามช่วงชิงท้าวดาหาหรือจะนิ่งดูได้
จะบอกความไปสามเวียงชัยกรีธาทัพใหญ่มามากมาย
ก็จะเป็นศึกกระหนาบหน้าหลังเหลือกำลังโยธาทั้งหลาย
ถ้าเสียทีเพลี่ยงพล้ำสิซ้ำร้ายจะอัประยศอดอายแก่จรกา
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงนาถา
จึงตรัสตอบสองพระน้องยาซึ่งว่านี้เจ้าไม่เข้าใจ
อันระเด่นมนตรีกุเรปันก็ขัดข้องเคืองกันเป็นข้อใหญ่
ไปอยู่เมืองหมันหยากว่าปีไปที่ไหนจะยกพลมา
แต่กาหลังสิงหัดส่าหรีจะกลัวดีเป็นกระไรหนักหนา
ฝ่ายเราเล่าก็สามพาราเป็นใหญ่ในชะวาแว่นแคว้น
ถึงทัพจรกาล่าสำนั้นพี่ไม่พรั่นให้มาสักสิบแสน
จะหักโหมโจมตีให้แตกแตนพักเดียวก็จะแล่นเข้าป่าไป
เจ้าอย่าย่อท้าไม่พอที่แต่เพียงนี้ไม่พรั่นหวั่นไหว
เอ็นดูนัดดาโศกาลัยว่ามิได้อรทัยจะมรณา
แม้นวิหยาสะกำมอดม้วยพี่จะตายด้วยโอรสา
ไหน ๆ คงจะวายชีวาถึงเร็วถึงช้าก็เหมือนกัน
ผิดก็ทำสงครามดูตามทีเคราะห์ดีก็จะได้ดังใฝ่ฝัน
พี่ดังพฤกษาพนาวันจะอาสัญเพราะลูกเหมือนกล่าวมา
๏ เมื่อนั้นสองกษัตริย์ฟังตรัสพระเชษฐา
จะเซ้าซี้ก็จะขัดพระอัชฌาต่างก้มพักตราไม่พาที
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
ชวนสองอนุชาธิบดีเข้าสู่ที่บรรทมสำราญ
๏ บัดนั้นฝ่ายทูตจำทูลราชสาร
เดินทางอรัญกันดารรีบมาประมาณสิบห้าวัน
ครั้นถึงด่านดาหาธานีก็หยุดยั้งโยธีอยู่ที่นั่น
จึงบอกแก่ขุนด่านด้วยพลันตามบัญชาใช้ให้มา
๏ บัดนั้นขุนด่านซึ่งพิทักษ์รักษา
ถามไถ่ไม่แคลงกิจจาก็ขึ้นม้าควบขับเข้าธานี
๏ ครั้นถึงศาลาลูกขุนในจึงกราบไหว้เสนาทั้งสี่
แล้วเรียนเรื่องความตามมีถ้วนถี่แถลงให้แจ้งใจ
๏ บัดนั้นทั้งสี่เสนีผู้ใหญ่
ได้ฟังกิจจาก็คลาไคลเข้าไปยังท้องพระโรงคัล
ก้มเกล้าประณตบทบงสุ์พระวงศ์เทวากระยาหงัน
ทูลว่าท้าวกะหมังกุหนิงนั้นแต่งเครื่องสุวรรณบรรณาการ
ให้ทูตถือมาถึงธานีบัดนี้ยังหยุดอยู่ปลายด่าน
จะขอเข้ามาเฝ้าบทมาลย์พระผู้ผ่านเขตต์ขัณฑ์ศวรรยา
๏ เมื่อนั้นพระองค์ทรงพิภพดาหา
จึงตรัสสั่งดะหมังเสนาเร่งไปรับเข้ามาบัดนี้
๏ บัดนั้นดะหมังรับสั่งใส่เกศี
ก้มเกล้ากราบงามสามทีมากะเกณฑ์ตามมีพจมาน
จัดเครื่องแห่แหนต่าง ๆตามอย่างเคยรับราชสาร
ครั้นเสร็จพร้อมกันมิทันนานให้เจ้าพนักงานรีบไป
๏ บัดนั้นเสนีนายร้อยน้อยใหญ่
นำกระบวนโยธาคลาไคลออกจากเวียงชัยฉับพลัน
๏ ครั้นถึงจึงแจ้งกิจจาแก่ทูตานุทูตคนขยัน
แล้วคำนับรับราชสารพลันแห่แหนแน่นนันต์เข้าธานี
๏ พาไปสู่ศาลาที่อาศัยทั้งนายไพร่เป็นสุขเกษมศรี
จ่ายเสบียงเลี้ยงเหล่าโยธีมิให้มีเดือดร้อนวิญญาณ์
๏ บัดนั้นตำมะหงงดะหมังยาสา
ครั้นถึงวันแขกเมืองจะเข้ามาก็ตรวจตราตามเคยเหมือนทุกครั้ง
ให้ผูกเครื่องม้าช้างนางพระยาเอาพานทางรองหญ้าเข้ามาตั้ง
บรรดาโรงปืนใหญ่ที่ในวังเกณฑ์ฝรั่งอยู่ประจำรายไป
เหล่านั่งกลาบาตนั้นจัดแจงเอาเสื้อแดงหมวกแดงมาให้ใส่
ราชวัติรายคั่นกันไว้พนักงานของใครก็ตรวจดู
บ้างตกแต่งปราสาทราชฐานเพดานระย้าย้อยห้อยพู่
พรมเจียมสะอาดลาดปูแท่นที่ตั้งอยู่ท่ามกลาง
เครื่องอานพานพระศรีและพระแสงจัดแจงแต่งตั้งตามยศอย่าง
ผูกม่านสุวรรณกั้นกางพวกขุนนางนั่งเฝ้าเป็นเหล่ามา
๏ เมื่อนั้นพระองค์ทรงพิภพดาหา
ครั้นสุริย์ฉายบ่ายสามนาฬิกาก็โสรจสรงคงคาอ่าองค์
ทรงเครื่องประดับสรรพเสร็จแล้วเสด็จย่างเยื้องยุรหงส์
ออกจากพระโรงคัลบรรจงนั่งลงบนบัลลังก์รูจี
ยาสาบังคมบรมนาถเบิกทูตถือราชสารศรี
จึงดำรัสตรัสสั่งไปทันทีให้เสนีนำแขกเมืองมา
๏ บัดนั้นอำมาตย์รับสั่งใส่เกศา
ออกไปพาสองทูตาเข้ามาประณตบทมาลย์
๏ บัดนั้นเสนีผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร
จึงให้อาลักษณ์พนักงานรับราชสารมาอ่านพลัน
๏ ในสารพระผู้ผ่านนคเรศกะหมังกุหนิงนิเวศน์เขตต์ขัณฑ์
ขอถวายประณมบังคมคัลพระผู้วงศ์เทวันอันศักดา
ไม่ควรเคืองเบื้องบาทบทศรีด้วยข้าน้อยนี้มีโอรสา
เดิมไปไล่ล้อมมฤคาได้รูปพระธิดาในกลางไพร
ชะรอยเป็นบุพเพนิวาสาเทวาอารักษ์มาชักให้
ความแสนเวทนาอาลัยแต่หลงใหลใฝ่ฝันรันทด
หวังเป็นเกือกทองรองบาทาพระผู้วงศ์เทวาอันปรากฏ
จะขอพระบุตรีมียศให้โอรสข้าน้อยดังจินดา
อันกรุงไกรไอศูรย์ทั้งสองจะเป็นทองแผ่นเดียวไปวันหน้า
ขอพำนักพักพึ่งพระเดชาไปกว่าชีวันจะบรรลัย
๏ เมื่อนั้นองค์ศรีปัตหราเป็นใหญ่
ฟังสารทราบอัตถ์แล้วตรัสไปแก่เสนาในทั้งสองนั้น
อันอะนะบุษบาบังอรครั้งก่อนจรกาตุนาหงัน
ได้ปลดปลงลงใจให้ปันนัดกันจะแต่งการวิวาห์
ซึ่งจะรับของสู่ระตูนี้เห็นผิดประเพณีหนักหนา
ฝูงคนทั้งแผ่นดินจะนินทาสิ่งของที่เอามาจงคืนไป
๏ บัดนั้นทูตานุทูตแถลงไข
ท้าวกะหมังกุหนิงภูวไนยสั่งให้ข้าทูลพระภูมี
ถ้าแม้มิยินยอมอนุญาตให้พระราชธิดามารศรี
เร่งระวังพระองค์ให้จงดีตกแต่งบุรีให้มั่นคง
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านไอศูรย์สูงส่ง
ปกาสิตสีหนาทอาจองจะทำการณรงค์ก็ตามใจ
ตรัสพลางย่งเยื้องยุรยาตรจากอาสน์แท่นทองผ่องใส
พนักงานปิดม่านทันใดเสด็จขึ้นข้างในฉับพลัน
๏ บัดนั้นทูตานุทูตก็ผายผัน
ออกจากพาราดาหานั้นพากันกลับไปมิได้ช้า
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์องค์ศรีปัตหรา
เผยสีหบัญชรแล้วบัญชาตรัสสั่งเสนาธิบดี
จงเร่งไปทูลเหตุพระเชษฐาอีกองค์อนุชาทั้งสองศรี
บอกระตูจรกาอย่าช้าทีว่าไพรีจะยกมาชิงชัย
๏ บัดนั้นเสนีสี่นายบังคมไหว้
มาขึ้นม้าเร็วรีบไปออกจากกรุงไกรพร้อมกัน
๏ ครั้นถึงสิงหัดส่าหรีก็ลงจากพาชีขมีขมัน
ให้ยาสาพาเข้าไปเฝ้าพลันบังคมคัลทูลแจ้งกิจจา
๏ เมื่อนั้นท้าวสิงหัดส่าหรีนาถา
ครั้นทราบดังนั้นจึงบัญชาเสนาเร่งกลับไปฉับไว
ทูลพระเชษฐาสุริย์วงศ์อย่าให้ทรงพระวิตกหมกไหม้
เราจะให้สุหรานากงไปช่วยพระชิงชัยด้วยไพรี
๏ บัดนั้นเสนาประณตบทศรี
บังคมลามาขึ้นพาชีรีบไปบุรีไม่หยุดยั้ง
๏ บัดนั้นฝ่ายอำมาตย์ที่มากาหลัง
ครั้นถึงนคเรศนิเวศน์วังก็ไปยังพระโรงรัตน์ชัชวาล
จึงบังคมก้มเกล้าเคารพพระองค์ทรงพิภพราชฐาน
ทูลแถลงแจ้งเหตุทุกประการให้ทราบบทมาลย์พระผ่านฟ้า
๏ เมื่อนั้นท้าวกาหลังฟังแจ้งไม่กังขา
จึงมีพจนาตถ์ประภาษมาพระเชษฐาทำผิดจะโทษใคร
เอาอะนะไปยกให้ระตูศัตรูจึงประมาทหมิ่นได้
แล้วสั่งตำมะหงงเสนาในเร่งตรวจเตรียมทัพชัยอย่าช้าที
ท่านเป็นแม่ทัพกับดะหมังยกไปยังดาหากรุงศรี
สั่งเสร็จเสด็จจรลีเข้าปราสาทมณีพรายพรรณ
๏ บัดนั้นฝ่ายเสนาม้าใช้คนขยัน
รีบมาถึงกรุงกุเรปันจึงแจ้งความทั้งนั้นแก่เสนา
แล้วพากันคลาไคลเข้าไปเฝ้าก้มเกล้าบังคมเหนือเกศา
กราบทูลคดีซึ่งมีมาให้ทราบบาทาทุกประการ
๏ เมื่อนั้นพระปิ่นภพกุเรปันราชฐาน
แจ้งว่าไพรีมารอนราญพระจึงให้แต่งสารหนังสือลับ
ครั้นเสร็จสั่งสองเสนาจงถือไปหมันหยาสองฉบับ
ใบหนึ่งนั้นเร่งกองทัพกำชับอิเหนาให้ยกมา
ใบหนึ่งให้แก่ระตูท้าวผู้ผ่านเมืองหมันหยา
จงรีบไปให้ถึงพาราแต่ในสิบห้าราตรี
๏ บัดนั้นดะหมังรับสั่งใส่เกศี
จึงนำสาราจรลีมาจากที่พระโรงชัยฉับพลัน
เรียกหาบ่าวไพร่ได้พร้อมหน้าดะหมังขึ้นขี่ม้าผายผัน
ออกจากนคเรศกุเรปันพากันเร่งรีบคลาไคล
๏ เมื่อนั้นองค์ท้ากุเรปันเป็นใหญ่
ครั้นดะหมังเสนาทูลลาไปพระตรึกไตรในคดีด้วยปรีชา
แล้วตรัสแก่กะหรัดติปาตีอันสงคามครั้งนี้เห็นหนักหนา
จะเปลี่ยวเปล่าเศร้าใจอนุชาไม่มีที่ปรึกษาหารือใคร
เจ้าจงยกพลขันธ์ไปบรรจบสมทบทัพอิเหนาให้จงได้
ชวนกันยกรีบเร็วไปอย่าให้ทันปัจจามิตรติดพารา
๏ เมื่อนั้นกะหรัดติปาตีโอรสา
ก้มเกล้าทูลสนองพระบัญชาจะถวายบังคมลาพรุ่งนี้
๏ เมื่อนั้นพระปิ่นภพกุเรปันกรุงศรี
ฟังโอรสาพาทีจึงตรัสสั่งเสนีทันใด
จงเร่งเกณฑ์พวกพลรณยุทธให้สรรพด้วยอาวุธน้อยใหญ่
กำหนดกันให้ทันยกไปแต่ในย่ำรุ่งสุริยา
๏ บัดนั้นปาเตะรับสั่งใส่เกศา
รีบออกไปยังศาลาให้หาพ้นพุฒพันพรหม
๏ เร่งรัดขุนหมื่นสัสดีทำบัญชีหางว่าวเหล่าเลขสม
เกณฑ์ทหารพลเรืองเตือนระดมมาพร้อมกันทุกกรมมากมาย
ขุนนางเจ้าตำแหน่งแสงนอกเอาดาบหอกปืนผามาจ่าย
หมวกเสื้อสำหรับรบครบไพร่นายแจกจำหน่ายลูกดินศิลา
ผู้กำกับนับอ่านประมาณคนได้สิบหมื่นพื้นพลอาสา
ตั้งกองท้องสนามตามตำราเตรียมรถคชาพาชี
ให้ผูกสินธพที่นั่งทรงพร้อมขนัดจัตุรงค์อึงมี่
ที่บ่าวไพร่ใครมาไม่ทันทีนายหมวดตรวจตีกันวุ่นไป
๏ เมื่อนั้นกะหรัดติปาตีศรีใส
ครั้นรุ่งรางสุริยาก็คลาไคลเข้าในที่สนานสำราญองค์
๏ รดชำระมลทินอินทรีย์มูรธาวารีภิเษกสรง
ลูบไล้เสาวคนธ์ธารทรงบรรจงสอดซับสนับเพลา
ภูษายกพื้นดำอำไพสอดใส่ฉลององค์ทรงวันเสาร์
เจียรบาดคาดรัดหน่วงเนาปั้นเหน่งเพ็ชร์เพริดเพราพรรณราย
ตาบทิศทับทรวงห่วงห้อยสวมสร้อยสังวาลประสานสาย
ทองกรแก้วกิ่งพริ้งพรายธำมรงค์เรือนรายพลอยเพ็ชร์
ทรงชฎามาลัยดอกไม้ทัดกรรเจียกจอนจำรัสตรัสเตร็จ
เหน็บพระแสงกั้นหยั่งกัลเม็ดแล้วเสด็จขึ้นเฝ้าพระบิดา
๏ ก้มเกล้าเคารพอภิวาทพระปิ่นภูวนาถนาถา
ยับยั้งคอยฟังพระวาจาจะบัญชาให้ยกโยธี
๏ เมื่อนั้นองค์ท้าวกุเรปันเรืองศรี
จึงอำนวยอวยพรสวัสดีให้เจ้ามีเดชาวราฤทธิ์
อันเหล่าศัตรูหมู่ร้ายจงแพ้พ่ายอย่ารอต่อติก
อานุภาพปราบไปทั่วทิศปัจจามิตรจงเกรงฤทธิรอน
๏ เมื่อนั้นกะหรัดติปาตีชาญสมร
กราบถวายบังคมประณมกรรับพรพระบิดาแล้วคลาไคล
๏ ครั้นถึงเกยชาลาหน้าพระลานพร้อมหมู่ทวยหาญน้อยใหญ่
เสด็จทรงมิ่งม้าอาชาไนยให้เคลื่อนพลไกรยาตรา
๏ รอนแรมมาในพนาเวศถึงทางร่วมนัคเรศหมันหยา
พระสั่งให้หยุดพลโยธาคอยท่าทัพระเด่นมนตรี
๏ บัดนั้นฝ่ายดะหมังสิงหัดส่าหรี
เร่งกะเกณฑ์พลขันธ์ทันทีตามบัญชีใหม่เก่าเข้างบ
๏ เลือกเหล่าอาสาล้วนกล้าหาญวิชชาการโล่เขนเจนจบ
แปดหมื่นพื้นฉกรรจ์ครันครบเคยรุกรบไพรีมีฝีมือ
ไพร่นายชำนาญในการยุทธเลือกหาอาวุธสำหรับถือ
ทดลองคะนองฝึกปรือแต่ออกชื่อไพรีก็ดีใจ
ตั้งกองเต็มท้องสนามนอกทวนธงดาบหอกออกไสว
ม้าช้างต่างตรวจเตรียมไว้ปืนใหญ่ใส่ล้อลากมา
เกณฑ์ถ้วนกระบวนทัพหน้าหลังพร้อมพรั่งปีกซ้ายปีกขวา
ผูกสินธพประทับกับเกยลาคอยท่ารับเสด็จจรลี
๏ เมื่อนั้นสุหรานากงเรืองศรี
ครั้นอรุณรุ่งราษราตรีก็เข้าที่สระสรงคงคา
๏ สระสรงทรงสุคนธ์ปนทองชมพูนุทผุดผ่องมังสา
สอดใส่สนับเพลาเพราตาภูษาเชิงกรวยเจ็ดตะครี
ฉลององค์โหมดม่วงดวงระยับเจียรบาดคาดทับสลับสี
ปั้นเหน่งลงยาราชาวดีทับทรวงดวงมณีเจียระไน
สังวาลเพ็ชร์พรรณรายสายสร้อยเฟื่องห้อยพลอยแดงแสงใส
ทองกรภุกามแก้วแววไวสอดใส่เนาวรัตน์ธำมรงค์
ทรงชฎาประดับเพ็ชร์เตร็จตรัจห้อยทัดพวงสุวรรณตันหยง
ถือเช็ดหน้าเหน็บกฤชฤทธิรงค์มาทรงมโนมัยชัยชาญ
๏ ได้ฤกษ์ให้เลิกโยธีแสนสุรเสนีทวยหาญ
เข้าในไพรระหงดงดานข้ามห้วยเหวธารผ่านไป
             

๏ บัดนั้นตำมะหงงกาหลังกรุงใหญ่
ทั้งดะหมังมหาเสนาในเร่งเกณฑ์ทัพชัยฉับพลัน
จัดทหารอาสาได้ห้าหมื่นแต่พื้นกำแหงแข็งขัน
ช้างม้าอาวุธครบครันธงสำคัญคอยนำดำเนินพลี
ทั้งสองเสนีขึ้นขี่ม้าโยธาเยียดยัดอัดถนน
ทนายเดินเคียงข้างกางสัปทนยกพลออกจากพารา
๏ มาถึงทางร่วมริมดงพบสุหรานากงวงศา
สองทัพสมทบโยธายกร่วมมรรคามาพร้อมกัน
๏ บัดนั้นทั้งสองทูตาคนขยัน
ซึ่งถือสารไปเมืองดาหานั้นพากันรีบกลับมาฉับไว
ถึงกะหมังกุหนิงนคเรศมายังนิเวศน์วังใหญ่
พอเวลาเฝ้าท้าวไทยก็เข้าไปพระโรงรจนา
๏ จึงประณมก้มเกล้าเคารพทูลพระองค์ทรงพิภพนาถา
ข้าไปได้ถวายสาราท้าวดาหาทราบสิ้นทุกประการ
ตรัสขาดว่าราชบุตรีจรกาธิบดีมาว่าขาน
พระยกให้ได้กำหนดนัดงานยังแต่จะแต่งการวิวาห์กัน
บรรดาของถวายนั้นไม่รับส่งกลับคืนมาทุกสิ่งสรรพ์
มิได้คิดเกรงองค์พระทรงธรรมบากบั่นสลัดตัดรอน
ข้าทูลความตามสั่งนอกสาราว่ามิให้ธิดาดวงสมร
จงเร่งตกแต่งพระนครรับทัพภูธรจะยกมา
จะชิงนางโฉมยงให้จงได้ใครมีชัยก็จะสมปรารถนา
ท้าวตรัสว่าตามแต่วิญญาณ์พระราชาจงทราบบาทมูล
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงนเรนทร์สูร
ได้ฟังทั้งสองทูตทูลให้อาดูรเดือดใจดังไฟฟ้า
จึงบัญชาตรัสด้วยขัดเคืองดูดู๋เจ้าเมืองดาหา
เราอ่อนง้อขอไปในสาราแต่ว่าจะรับไว้ก็ไม่มี
ถึงจรกามากล่าวนางไว้ได้ยกให้เขาก่อนก็ควรที่
จะโอภาปราไสเป็นไรมีนี่สิตัดไมตรีให้ขาดทาง
เราก็เรืองฤทธาศักดาเดชอาณาจักรนัคเรศกว้างขวาง
จำมีมานะไม่ละวางจะชิงนางบุษบาลาวัณย์
แม้นมิได้สมคิดดังจิตต์ปองไม่คืนครองกรุงไกรไอศวรรย์
จะสงครามตามตีติดพันไปกว่าชีวันจะบรรลัย
๏ บัดนั้นสองทูตทูลแจ้งแถลงไข
ข้าได้ยินตระหนักประจักษ์ใจท้าวดาหาตรัสใช้เสนี
ให้รีบไปแจ้งเหตุพระเชษฐากับพาราสิงหัดส่าหรี
อนุชากาหลังธิบดีอีกบุรีระตูจรกา
เห็นกษัตริย์ทั้งสี่ธานีนั้นจะมาช่วยป้องกันกรุงดาหา
เมื่อวันข้าออกจากเมืองมาเสนาก็ไปพร้อมกัน
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงแข็งขัน
ได้ฟังกริ้วโกรธดังเพลิงกัลป์จึงกระชั้นสิงหนาทประภาษไป
ถึงว่ากษัตริย์ทั้งสี่กรุงจะมาช่วยรบพุ่งเป็นศึกใหญ่
กูก็ไม่ครั่นคร้ามขามใจจะหักให้เป็นภัสม์ธุลีลง
ว่าพลางทางมีพจนาตถ์สั่งอำมาตย์ดะหมังตำมะหงง
เร่งเกณฑ์พวกพลรณรงค์ที่สามารถอาจองค์ในสงคราม
เลือกสรรโยธีทั้งสี่หมู่เคยทำลายค่ายคูขวากหนาม
แต่กองร้อยรบพันไม่ครั่นคร้ามให้ครบสามสิบหมื่นพื้นตัวดี
เอาวิหยาสะกำเป็นกองหน้าตรวจตราเตรียมกระบวนจงถ้วนถี่
อันกองหลังรั้งพลมนตรีทั้งสองศรีอนุชาผู้ใจภักดิ์
กูจะเป็นจอมพลโยธาหนุนทัพลูกยาเข้าโหมหัก
ไม่เกรงวงศ์เทวาสุรารักษ์ให้ปรากฏยศศักดิ์เสียครั้งนี้
ครั้นเสร็จสั่งมหาเสนาจึงถามขุนโหราทั้งสี่
เราจะยกพลไกรไปต่อตีพรุ่งนี้ดีร้ายประการใด
๏ บัดนั้นโหราราชครูผู้ใหญ่
รับรสพจนาตถ์ภูวไนยคลี่ตำหรับขับไล่ไปมา
เทียบดูดวงชตาพระทรงยศกับโอรสถึงฆาตชันษา
ตั้งชั้นโชคโยคยามยาตราพระเคราะห์ขัดฤกษ์พาสารพัน
จึงทูลว่าถ้ายกวันพรุ่งนี้จะเสียชัยไพรีเป็นแม่นมั่น
งดอยู่อย่าเสด็จสักเจ็ดวันถ้าพันนั้นก็เห็นไม่เป็นไร
ขอพระองค์จงกำหนดงดยาตราฟังคำโหราหาฤกษ์ใหม่
อันการยุทธยิงชิงชัยหนักหน่วยน้ำพระทัยดูให้ดี
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
ได้ฟังโหราพาทีจึงมีพจนาตถ์ประภาษไป
เมื่อบัญชาการกำหนดทัพแล้วจะกลับงดอยู่อย่างไรได้
อายแก่ไพร่ฟ้าเสนาในจะว่ากลัวฤทธิไกรไพริน
จำจะไปต้านต่อรอฤทธิ์ถึงม้วยมิดมิให้ใครดูหมิ่น
เกียรติยศจะไว้ในธรณินจนสุดสิ้นดินแดนแผ่นฟ้า
ประการหนึ่งถ้าว่าช้าวันไปทัพใหญ่จะมาพร้อมยังดาหา
จะต้องหักหนักมือโยธาเห็นจะยากยิ่งกว่านี้ไป
สุดแท้แต่บุญกับกรรมจะฟังคำโหรานั้นหาไม่
ตรัสพลางเสด็จคลาไคลเข้าในไพชยนต์มนเทียรทอง
๏ บัดนั้นตำมะหงงดะหมังทั้งสอง
ให้ประชุมนายทัพนายกองพร้อมกันที่ท้องสนามใน
๏ จึงกะเกณฑ์กำหนดกฎหมายทุกมูลนายตรวจตราหาไพร่
หมวดหมู่ผู้คนของใครจะบอกขาดป่วยไข้นั้นไม่ฟัง
ที่มีเกวียนเกณฑ์บรรทุกลำเลียงใส่เสบียงครบคนละสิบถัง
ไพร่หลวงต่างกรมสมกำลังพร้อมพรั่งแออัดขนัดปืน
บ้างจัดหาหอกดาบหาบคอนจอบพร้าผ้าผ่อนหลายผืน
เอาโคต่างช้างม้าออกมายืนคั่งคับนับหมื่นมากมาย
พวกกองนอกนั้นเกณฑ์ทำทางปลูกฉางถางที่ตั้งค่าย
แบ่งกองป้องกันอันตรายไพร่นายทั้งปวงให้ล่วงไป
จัดถ้วนกระบวนทัพหน้าหลังกองฝรั่งตั้งเตรียมปืนใหญ่
แล้วเทียมรถประทับกับเกยไว้สารวัดตรวจไตรไปมา
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงนาถา
บรรทมตื่นฟื้นฟังนาฬิกาพอเวลาย่ำรุ่งราตรี
จึงตรัสเรียกโอรสยศยงชวนองค์อนุชาทั้งสองศรี
ต่างเสด็จจากแท่นมณีไปเข้าที่โสรจสรงคงคาลัย
๏ สี่องค์ชำระสระสนานสำราญสรรพางค์ผ่องใส
สุคนธารกลิ่นฟุ้งจรุงใจต่างใส่สนับเพลาเชิงงอน
ภูษายกแย่งครุฑภุชงค์ฉลององค์ตาดโหมดม่วงอ่อน
ผ้าทิพย์ขลิบสลับซับซ้อนปั้นเหน่งค่าพระนครคาดรัด
ทับทรวงสังวาลประดับเพ็ชร์น้ำหนักแต่ละเม็ดเจ็ดกะหรัด
ทองกรมุกดาดวงช่วงชัดธำมรงค์เนาวรัตน์รจนา
ทรงใส่ชฎาแก้วแพรวพรายกรรเจียกห้อยพลอยรายซ้ายขวา
เหน็บกฤชฤทธิไกรแล้วไคลคลาเสด็จไปเกยชาลาหน้าพระลาน
๏ ต่างองค์ขึ้นทรงรถมณีให้คลายคลี่กรีธาทวยหาญ
ออกตามทิศพิธีโขลนทวารล่วงด่านผ่านมาในอารญ
๏ รถเอยราชรถแก้วทั้งสี่รถพรายแพรวเวหน
บัลลังก์ลอยคล้อยเคลื่อนมากลางพลงอนระหงธงบนสะบัดปลาย
สารถีนั่งหน้าถือธนูเทียมอาชาห้าคู่ผันผาย
เครื่องสูงครบเคียงเรียงรายอภิรุมชุมสายพรายพรรณ
กองหน้าแต่พื้นถือปืนแดงม้าแซงช้างเขนสลับคั่น
กองหลวงกองหลังคั่งกันประโคมฆ้องกลองลั่นสนั่นดง
ทัพหนุนเนื่องแน่นพนาสินลูกดินหาบหามตามส่ง
บ้างลากปืนจินดาจ่ารงสำคัญธงนำหน้าคลาไคล
๏ มาถึงแดนเมืองบุหราหงันเขตต์ขัณฑ์ดาหากรุงใหญ่
จึงตรัสสั่งเสนาบรรดาไปหมวดกองของใครกำชับกัน
หยุดไหนให้ตั้งค่ายนอนทุกสำนักพักผ่อนพลขันธ์
จะเดินทัพหน้าหลังทั้งนั้นให้กองพันกองร้อยระวังระไว
เกลือกศัตรูจะจู่โจมตีในทางที่จะข้ามแม่น้ำใหญ่
ถึงช่องแคบช่องเขาแห่งไรอย่าไว้ใจจัดกองออกป้องกัน
๏ บัดนั้นเสนาสามนต์คนขยัน
รับสั่งพระองค์ทรงธรรม์มาบอกกันกำชับทั้งทัพชัย
นายกองซ้ายขวาหน้าหลังคอยระวังมิให้เสียกระบวนได้
หยุดพลจตุรงค์ลงไว้ตรวจไตรตามพระบัญชาการ
๏ บัดนั้นฝ่ายพวกกองเกณฑ์ตระเวนด่าน
นั่งทางอยู่กลางดงดานคอยเหตุเภทพาลไพรี
ได้ยินเสียงฟันไม้ในไพรเพรียกก็ร้อยเรียกพวกเพื่อนออกจากที่
มาแอบฟังริมฝั่งวารีเสียงช้างม้ามี่อึงไป
บ้างชวนกันขึ้นบนต้นไม้มองแลเห็นเป็นกองทัพใหญ่
หมายประมาณพวกพลสกลไกรดูไปไม่สิ้นสุดตา
ต่างคนแจ้งใจในเหตุการณ์ก็ลนลานลงจากพฤกษา
ค่อยเล็ดลอดดอดด้อมมองมาที่ชายดงพงคาป่าชัฎ
พบคนสองคนด้นตัดไม้พร้อมกันออกไล่ล้อมสกัด
รุมจับตัวได้ให้ผูกมัดแล้วพาลัดเลาะป่ามานอกทาง
๏ ครั้นถึงเมืองรีบมาหาผู้รั้งให้บ่าวคุมคนนั่งอยู่ข้างล่าง
ขุนด่านคลานขึ้นศาลากลางกราบพลางทางเรียนเนื้อความไป
ข้าเลียบด่านพานพบกองทัพก็ซุ่มอยู่จู่จับคนได้
ชาวกะหมังกุหนิงกรุงไกรเห็นจะเป็นศึกใหญ่ยกมา
ไพร่พลนับแสนแน่นดงทวนธงแดงดาษไปทั้งป่า
แต่ทีพบกองทัพกับพาราแม้นว่าเดินลำลองก็สองวัน
๏ บัดนั้นระตูผู้รั้งบุหราหงัน
ยกกระบัตรปลัดนั่งพร้อมกันฟังข่าวคิดพรั่นอยู่ในใจ
ท่านเจ้าเมืองจึงสั่งบังคับเอาตัวคนที่จับมาได้
พะทำมะรงจงถามซักไซ้ว่าผู้ใดใครมาเป็นแม่ทัพ
๏ บัดนั้นพะทำมะรงพร้อมพรั่งนั่งกำกับ
เอาคนโทษออกมาถามตามบังคับบ้างสำทับขู่ว่าจะฆ่าตี
พวกพลเท่าไรใครยกมาเร่งว่าตามจริงจงถ้วนถี่
จะเป็นศึกเสนาบดีหรือทัพท้าวเจ้าบุรียกมา
๏ บัดนั้นสองคนจวนตัวกลัวจะฆ่า
ยกมือไหว้ใจนึกภาวนาให้การว่าตามจริงทุกสิ่งอัน
๏ บัดนั้นผู้รั้งฟังความเห็นเหมาะมั่น
จึงปรึกษากรมการทั้งนั้นจำจะคิดป้องกันเมืองไว้
ว่าพลางทางสั่งหลวงพลเร่งแบ่งคนผ่อนครัวเสียจงได้
บ้านเมืองรายทางที่ห่างไกลออกไปบอกกันให้ทันที
แล้วเกณฑ์คนเข้ามารักษาค่ายจงรอบรายประจำทุกหน้าที่
ปืนผาอาวุธของใครมีกฤชกระบี่สำหรับมือถือมา
ข้าศึกสองคนที่จับได้มหาดไทยคุมตัวไปดาหา
แต่งหนังสือบอกคดีตีตรารีบไปในเวลาพรุ่งนี้
๏ บัดนั้นพระหลวงขุนหมื่นอึงมี่
รับคำผู้รั้งสั่งคดีต่างไปจากที่ศาลา
บ้างกะเกณฑ์ผู้คนอลหม่านนายบ้านเที่ยวเร่งเรียกหา
ทั้งนอกเมืองในเมืองเนื่องมาพร้อมกันยังหน้าศาลากลาง
ตัวนายจ่ายปืนสำหรับยุทธตรวจเตรียมอาวุธต่าง ๆ
ยกปืนฉัตรชัยขึ้นใส่รางผูกประจำที่ทางทุกป้อมไป
บ้างบอกเหล่าชาวบ้านให้รู้ทั่วจงผ่อนครัววัวควายแอกไถ
เร่งเก็บของข้างอย่าเอาไว้อพยพยกไปในพรุ่งนี้
มหาดไทยให้ทำหนังสือบอกจำลองลอกลงกระดาษถ้วนถี่
เรียกหาบ่าวไพร่ได้ทันทีให้คุมไพรีที่จับมา
จำตะโหงกใส่ลิ่มขื่อมือผู้คุมถือเชือกเดินนำหน้า
แล้วขุนมหาดไทยไปขึ้นม้าเร่งรัดรีบพรากันคลาไคล
๏ บัดนั้นฝูงคนชนบทน้อยใหญ่
ครั้นรู้ข่าวศึกมาไม่ไว้ใจบ้านช่องของใครก็ผ่อนครั้ว
พวกผู้หญิงวิ่งหาแสรกคานลนลานแบ่งเสบียงไว้ให้ผัว
เอาผ้าคาดอกมั่นพันพัวเตรียมตัวเก็บของใส่หาบคอน
บ้างขนของน้าป้าย่ายายฝืมผ้ายฟูกเบาะเมาะหมอน
ช่วยกันหาบหิ้วหอบที่นอนลูกอ่อนอุ้มจูงมารุงรัง
บ้างชวนชักพรรคพวกพี่น้องยักย้ายเงินทองไปเที่ยวฝัง
ซุบซิบพูดกันมิให้ดังซ่อนมิดปิดบังไม่บอกใคร
เหล่าพวกแม่หม้ายไร้ลูกผัวหาบคอนของตัวมาตามได้
เข้าประสมกรมการที่คุมไปพูดจาเกลี่ยไกล่เป็นไมตรี
ทุกถิ่นฐานบ้านเรือนรายทางก็ยกครัววัวต่างออกจากที่
ทั้งครอบครัวหัวเมืองบรรดามีอพยพหลบหนีเข้าป่าดง
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงสูงส่ง
หยุดสำนักพักพลจตุรงค์ประทับแรมริมดงพงไพร
ครั้นอรุณเรื่อแรงแสงทองให้ลั่นฆ้องสำคัญหวั่นไหว
ทัพหน้าดำเนินธงชัยคลายเคลื่อนพลไกรจรจรัล
๏ ครั้นถึงริมฝั่งคงคาฟากท่าหน้าเมืองบุหราหงัน
เห็นป้อมค่ายคูรอบขอบคันหอรบนางจรัลเรียงราย
จึงดำรัสตรัสสั่งบังคับแก่นายทัพนายกองทั้งหลาย
เร่งข้ามพหลพลนิกายเดินค่ายเข้าประชิดติดพารา
๏ บัดนั้นเสนีนายกองทัพหน้า
ได้แจ้งแห่งราชบัญชาต่างคุมโยธามาทันใด
วางกองเหนือน้ำประจำฝั่งขุดสนามเพลาะบังปืนใหญ่
ลูกหาบเร่งรัดตัดไม้ขนส่งลงไปริมวารี
๏ บัดนั้นชาวเมืองไม่ท้อถอยหนี
ประจุปืนป้อมพลันทันทีหมายที่ท่าข้ามคนประชุม
เห็นตรงทางแล้ววางใหญ่ฉัตรชัยมณฑกนกคุ่ม
จุดปืนหลักลั่นควันคลุ้มกลบกลุ้มไปกลางคงคา
๏ บัดนั้นพวกทหารชาญชัยใจกล้า
พูนสนามเพลาะตั้งบังตาวัดวาหน้าที่ทำการ
บ้างลงหลักปักเรือกออกไปผ่าไม้ตีตะล่อมอลหม่าน
ขนศิลามาใส่เป็นเสาตะพานตะม่อค้ำซ้ำกรานขาทราย
บนหลังรอดทอดตงเรียงชิดผูกบิดลูกชะเนาะเปลาะหวาย
ที่น้ำลึกเป็นห้วงพ่วงแพรายทอดสายทุ่นถ่วงหน่วงรั้ง
บ้างตีเรือกรัดขัดลายสามปูพื้นตะพานข้ามไปถึงฝั่ง
แล้วฉายที่ตลิ่งชันกันดินพังประชิดตั้งค่ายตับขึ้นฉับพลัน
๏ บัดนั้นกรมการตัวนายในค่ายมั่น
จัดแจงแบ่งคนได้สามพันยกออกทะลวงฟันทันที
ทหารปืนยืนยิงกลางแปลงบ้างวิ่งเข้าโถมแทงจนถึงที่
หักด่านตะพานเรือกริมวารีต่อตีตะลุมบอนรอนรบ
๏ บัดนั้นพวกกองทัพรับไว้ไม่หลีกหลบ
แย้งยิงปืนระดมสมทบรุกรบไพรีตีประดา
เหล่าพวกลำลองกองแซงขับม้าทวนทางแข่งหน้า
แยกปืนหลีกเลยลงมากระหนาบข้างซ้ายขวาฝ่าแทง
๏ บัดนั้นชาวเมืองบุหราหงันขันแข็ง
คนน้อยถอยล่อต่อแย้งแอบแฝงไม้ยิงหยุดรับ
ผลัดกันรั้งหลังระวังทางหนีพลางวางปืนปล่อยตับ
ตีฆ้องสำคัญสัญญาทัพม้วนธงถอยกลับเข้าในเมือง
๏ บัดนั้นพวกทัพหน้าทัพหนุนแน่นเนื่อง
ขุดดินค่ายตับขยับเยื้องถึงมุมเมืองคูคั่นชั้นใน
ทำหอรบเสร็จสรรพ์วิหลั่นบังยกตั้งประชิดเข้าไปใกล้
เกณฑ์คนขึ้นคอยประจำไว้ปืนใหญ่ยิงตอบกันไปมา
๏ เมื่อนั้นวิหยาสะกำใจกล้า
ให้กองทัพประชิดติดพาราเห็นว่าเกือบใกล้ได้ท่วงที
จึงตรัสสั่งสารวัดตรวจค่ายจงไปบอกตัวนายทุกหน้าที่
เร่งคนปล้นปีนเข้าบุรีรีบตีอย่าไว้ให้ช้าวัน
๏ บัดนั้นสารวัดกองตรวจกวดขัน
รับสั่งแล้วรีบเร็วพลันไปบอกกันตามมีพระบัญชา
๏ บัดนั้นพวกทหารตัวนายค่ายหน้า
ให้ตีกลองสำคัญสัญญาต่างต้อนโยธาเข้าชิงชัย
ทะลายรั้วขวากลงตรงประตูเอาแตะทิ้งทับคูข้ามไปได้
ระดมปืนครีนครั่นสนั่นไปยกบันไดพาดปืนขึ้นทันที
๏ บัดนั้นชาวเมืองซึ่งประจำหน้าที่
สอดแทงแย้งยิงไพรีไม่ท้อถอยคอยทีต้านทาน
วางปืนตับตอบรอบค่ายคนรายรักษาทุกหน้าด้าน
ชักปีกกากั้นประจัญบานบ้างทุ่มทิ้งหินผาตังห่าฝน
ตัวนายรายกำกับพวกพลต่างคนคอยรบรับไว้
๏ บัดนั้นพวกทหารโห่สนั่นหวั่นไหว
ยัดปืนยืนยิงชิงชัยหนุนกันขึ้นไปมากมาย
บ้างวิ่งทึ้งถอนขวากเขากวางคืนขว้างเข้าไปในค่าย
เอาเชื้อชุดจุดคบเพลิงพลายเผาทำลายค่ายล่อหอคอย
กองช้างขับช้างเข้าง้างแย่งงวงคว้างาแทงไม่ท้อถอย
กรุยแตะเสาไต้ใหญ่น้อยทั้งทัพยับย่อยลงทันใด
๏ บัดนั้นชาวเมืองหน้าด่านไม่ทานได้
ต่างทิ้งปืนผาอาวุธไว้วิ่งวนซนไปออกประตู
ผู้รั้งทั้งปลัดหลวงพลสะกัดกั้นฟันคนไว้ไม่อยู่
ข้างด้านหลังพังเขื่อนขวากคูเหยียบกันไม่รู้ว่าไพร่นาย
บ้างโจนจากสนามเพลาะเลาะลัดบุกพงหลงพลัดเข้าเซิงหวาย
บ้างปีนขึ้นต้นไม้ไต่ตะกายจวนตัวกลัวตายเต็มที
ลางคนสุดกำลังลงนั่งหอบเสียงใบไม้กรอบก็วิ่งหนี
แลเห็นพวกเพื่อนว่าไพรีท่อยทีตื่นตระหนกตกใจ
บ้างบุกชัฎลัดดงหลงป่าไม่รู้ว่าหนทางอยู่ข้างไหน
ต่างคนต่างพลัดกันไปนายไพร่ไม่เป็นสมประดี
             

๏ บัดนั้นพวกทหารองอาจดังราชสีห์
ครั้นหักเข้าไปได้ในบุรีขึ้นค้นทุกหน้าที่ทั่วไป
เก็บเอาหอกดาบปืนผาศาสตราอาวุธน้อยใหญ่
ขนมาศาลากลางวางไว้ส่งให้นายหมวดนายกอง
บ้างจัดแจงแต่งพลโยธาไปลาดหาเสบียงทุกบ้านช่อง
ให้เหล่าทหารปืนพื้นลำลองตั้งกองประจำไว้ในพารา
๏ บัดนั้นฝ่ายขุนมหาดไทยใจกล้า
ถือหนังสือคุมคนโทษมานอนทางกลางป่าหลายวัน
ลุถึงดาหาธานีลงจากพาชีขมีขมัน
จึงนำเอาหนังสือบอกนั้นพากันมายังวังใน
๏ ครั้นถึงจึงตรงไปศาลาวางตราเสมียนเวรผู้ใหญ่
แล้วนำนักโทษนั้นเข้าไปกราบไหว้แจ้งการท่านเสนา
๏ บัดนั้นปาเตะได้ฟังไม่กังขา
ก็ลนลานลงจากศาลารีบมาพระโรงคัลมิทันนาน
๏ ก้มเกล้ากราบทูลมูลเหตุพระปิ่นปักนัคเรศราชฐาน
บัดนี้มีหนังสือกรรมการบอกขานข่าวศึกมาติดพัน
จับคนมาได้ให้การว่าจะตีพาราบุหราหงัน
ราษฎาผ่อนครัวเข้าไพรวันพระทรงธรรม์จงทราบฝ่าธุลี
๏ เมื่อนั้นพระผ่านภพดาหากรุงศรี
ได้ฟังข่าวราชไพรีภูมีสั่งปะหรัดกะติกา
ไปตรวจทัพเมืองขึ้นของเรานั้นมาพร้อมกันอยู่นอกดาหา
ให้ตั้งค่ายรายรอบพารารักษาเป็นสองชั้นมั่นไว้
๏ บัดนั้นปะหรัดกะติกาบังคมไหว้
รับพระบัญชาแล้วคลาไคลรีบไปเร็วพลันทันที
๏ จึงบอกกล่าวท้าวพระยาทั้งหลายเร่งตั้งค่ายรายรอบกรุงศรี
ข้าศึกเห็นจะมาถึงธานีรับสั่งทั้งนี้อย่านอนใจ
๏ บัดนั้นท้าวพระยาน้อยใหญ่
ฟังกำหนดพจนาตถ์ภูวไนยก็ตรวจตราหาไพร่ได้พรั่งพร้อม
เร่งตั้งค่ายรายรอบกำแพงเมืองยักเยื้องมิให้บังหน้าป้อม
ชักปีกกาถึงกันเป็นหลั่นล้อมวงอ้อมโอบรอบขอบคู
ยกหอรบหอคอยลอยตระหง่านสับกระดานต้านตั้งบังอยู่
รั้วขวากชั้นในไว้ประตูเสากระทู้เขื่อนขันธ์มั่นคง
ทุกหน้าค่ายภายนอกออกไปก็ก่นไม้ขุดตอไม่หลอหลง
ฉายจอมปลวกปราบราบลงให้เตียนตรงป้อมปืนในพารา
สนามเพลาะในค่ายรายปืนน้อยวางคนประจำคอยอยู่รักษา
แล้วนายกองรีบรัดจัดโยธาเป็นหมู่หวดตรวจตราทุกราตรี
๏ เมื่อนั้นฝ่ายวิหยาสะกำเรืองศรี
ครั้นหักศึกมีชัยได้บุรีให้ตรวจเตรียมโยธีทุกกระทรวง
แล้วยกพลนิกรกองหน้ายาตราดำเนินนำทัพหลวง
ตีเมืองรายทางทั้งปวงเลยล่วงไปตามมรคา
๏ สิบวันดั้นเดินในไพรพงก็สิ้นดงตกทุ่งกรุงดาหา
แลไปเห็นกำแพงพาราทั้งมหาปราสาทเรียงรัน
จึงยับยั้งฟังองค์พระทรงยศจะกำหนดให้ตั้งค่ายมั่น
กองทัพนับแสนแน่นนันต์พร้อมกันหยุดอยู่ชายไพร
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงเป็นใหญ่
เร่งรีบรี้พลสกลไกรมาใกล้ทิวทุ่งธานี
เห็นละหานธารน้ำไหลหลั่งร่มไทรใบบังสุริย์ศรี
จึงดำรัสตรัสสั่งเสนีให้ตั้งที่นาคนามตามตำรา
๏ บัดนั้นดะหมังรับสั่งใส่เกศา
ออกมาเกณฑ์กันดังบัญชาให้โยธาถางที่นี่นัน
๏ ทำค่ายหน้าค่ายหลังตั้งบรรจบยกหอรบขึ้นปรับสับวิหลั่น
ชักปีกกาขึงไปถึงกันผูกคร่าวสามชั้นขันสะเนาะ
วางป้อมเป็นจังหวะระยะแย่งใส่บังตางาแซงมั่นเหมาะ
พูนดินเต็มตรมสนามเพลาะไม่ไผ่เจาะรวงปล้องเป็นช่องปืน
บ้างปลูกโรงรถคชาทั้งที่ผูกช้างม้ามิให้ตื่น
เสาตะลุงหลักแหล่งแปลงปืนพ่างพื้นปราบเลี่ยนเตียนตา
บ้างเร่งทำตำหนักน้อยใหญ่เพิงรายรอบในซ้ายขวา
ข้างนอกค่ายปักขวากดาษดาชักเขื่อนเข้าหาประจบมุม
บ้างจัดคนลำลองทุกกองเกณฑ์ออกตระเวนนั่งทางวางหลุม
คอยเล็ดลอดสอดแนมจับกุมชั้นในให้ประชุมจตุรงค์
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงสูงส่ง
เห็นตั้งค่ายเสร็จพลันมั่นคงจึงชวนองค์โอรสธิบดี
ตรัสเรียกสองราชอนุชาเสด็จจากรถาเรืองศรี
พร้อมด้วยกิดาหยันเสนีจรลีขึ้นสุวรรณพลับพลา
๏ บัดนั้นกองร้อยคอยเหตุข้างดาหา
ออกสอดแนมอยู่นอกพาราเห็นไพรียกมาถึงชายไพร
กระบวนทัพหน้าหลังมาตั้งลงทิวธงซ้อนซับไม่นับได้
เสียงคนอึงอัดตัดไม้ราบไปทั้งป่าพนาลี
ต่างคนต่างเผ่นขึ้นหลังม้าพลางประมาณหมายตาดูถ้วนถี่
แล้วอ้อมออกนอกทุ่งทันทีขับควบพาชีเข้าเวียงชัย
๏ ครั้นถึงจึงไปแจ้งกิจจาแก่ปาเตะเสนาผู้ใหญ่
เล่าความแต่ต้นจนปลายไปโดยได้เห็นสิ้นทุกสิ่งอัน
๏ บัดนั้นปาเตะตกใจไหวหวั่น
ให้จดเอาถ้อยคำสำคัญแล้วผายผันเข้าพระโรงรจนา
๏ ก้มเกล้าประณตบทบงสุ์ทูลพระองค์ทรงพิภพดาหา
ว่าไพรีตีเมืองล่วงมารี้พลโยธามากมาย
ม้ารถคชกรรม์ครั่นครื้นดังเสียงคลื่นในสมุทไม่ขาดสาย
บัดนี้มาตั้งยังเนินทรายที่ชายทุ่งกับป่าต่อกัน
๏ เมื่อนั้นองค์ศรีปัตหรารังสรรค์
ได้ฟังปาเตะทูลพลันพระทรงธรรม์ตริตรึกนึกใน
อันศึกครั้งนี้ซึ่งมีมาเพราะเขาขอบุษบาเราไม่ให้
จึงเป็นเสี้ยนศัตรูหมู่ภัยน้อยใจด้วยอิเหนานัดดา
แกล้งจะให้เกิดการโกลาหลร้อนรนไปทั่วทุกเส้นหญ้า
เสื่อมเดชเพศพงศ์เทวาศึกมาถึงราชธานี
คิดพลางทางสั่งเสนาในเร่งให้เกณฑ์คนขึ้นหน้าที่
รักษามั่นไว้ในบุรีจะดูทีข้าศึกซึ่งยกมา
อนึ่งจะคอยท่าม้าใช้ที่ให้ไปแจ้งเหตุพระเชษฐา
กับสองศรีราชอนุชายังจะมาช่วยหรือประการใด
แม้นจะเคืองขัดตัดรอนทั้งสามพระนครหาช่วยไม่
แต่ผู้เดียวจะเคี่ยวสงครามไปจะยากเย็นเป็นกระไรก็ตามที
๏ บัดนั้นปาเตะประณตบทศรี
ออกมาเกณฑ์ไพร่พลมนตรีตามมีพระบัญชาการ
๏ เร่งรัดจัดพลอาสาขึ้นประจำเสมาทุกหน้าด้าน
ประตูเมืองสี่ทิศให้ปิดบานลงเขื่อนมั่นลั่นดาลทันใด
เหล่าพวกกองฝรั่งพรั่งพร้อมขึ้นอยู่ป้อมประจะปืนใหญ่
กะเกณฑ์กองกลางวางไว้เสียงปืนหนักไหนให้ไปทัน
อันโยธาอาสาหกเหล่าทั้งเกณฑ์หัดจัดเข้าเป็นกองขัน
สามารถอาจออกทะลวงฟันรายกันตั้งกองริมกำแพง
ล้อมวังตั้งล้อมพระนิเวศน์วางม้าคอยเหตุไว้สี่แห่ง
กองตระเวนสารวัดจัดแจงตกแต่งตรวจตราทั้งธานี
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงสุหรานากงเรืองศรี
กับเสนากาหลังบุรียกพลมนตรีรับมา
แรมร้อนนอนป่าสิบห้าวันก็ละถึงเขตต์ขัณฑ์ดาหา
ได้ข่าวปัจจามิตรติดพาราก็เร่งยกโยธาเข้ากรุงไกร
๏ ครั้งถึงกึ่งกลางพระนครจึงหยุดพลนิกรน้อยใหญ่
แล้วชวนตำมะหงงคลาไคลเข้าไปที่เฝ้าพระผ่านฟ้า
๏ เมื่อนั้นพระองค์ทรงพิภพดาหา
เห็นสุหรานางนัดดากับเสนากาหลังบุรี
จึงมีบัญชาปราไสเราขอบใจอนุชาทั้งสองศรี
ให้ยกมาช่วยต่อตีก็เห็นชอบท่วงทีดีนัก
แต่การศึกครั้งนี้ไม่ควรเป็นเกิดเข็ญเพราะลูกอัประลักษณ์
จะมีคู่ผู้ชายก็ไม่รักจึงหักให้สาสมใจ
อันองค์พระบรมเชษฐาเห็นจะให้ใครมาหรือหาไม่
เจ้ามาในทางพนาลัยยังได้ข่าวบ้างหรือนัดดา
๏ เมื่อนั้นสุหรานากงวงศา
ก้มเกล้าทูลสนองพระบัญชาข้ามาแจ้งข่าวที่กลางคัน
พระปิ่นภพกุเรปันธานีให้กะหรัดติปาตีเป็นทัพขัน
ยกจากเวียงชัยได้หลายวันบรรจบกันกับระเด่นมนตรีมา
๏ เมื่อนั้นพระองค์ทรงพิภพดาหา
ฟังสุหรานากงนัดดาจึงมีบัญชาว่าไป
อันกะหรัดติปาตีจะมาช่วยเห็นจะจริงอยู่ด้วยไม่สงสัย
แต่อิเหนาเขาจะมาทำไมผิดไปเจ้าอย่าเจรจา
พระเชษฐาให้สารไปกี่ครั้งเขายังไม่จากหมันยา
จนสลัดตัดการวิวาห์ศึกติดพาราก็เพราะใคร
เห็นจะรักเมียงจริงยิ่งกว่าญาติไหนจะคลาดจากเมืองหมันยาได้
ถึงมาตรจะมาก็จำใจด้วยกลัวภัยพระราชบิดา
เราอย่าคอยเขาเลยนะหลานรักก้มพักตร์รบศึกไปดีกว่า
แต่ว่าวันนี้เจ้าเหนื่อยมาจงไปพักโยธาให้สำราญ
๏ เมื่อนั้นสุหรานากงใจหาญ
ก้มเกล้าสนองพจมานอันการสงครามครั้งนี้
จะขอเอาเมืองขึ้นบรรดามากับโยธาสิงหัดส่าหรี
ยกออกโรมรันประจัญตีดูทีฝีมือปัจจามิตร
ถ้าเห็นศึกย่นย่อท้อกำลังจะโหมหักมิให้ตั้งตัวติด
ขออาสากว่าจะสิ้นสุดฤทธิ์ชีวิตอยู่ใต้บาทบงสุ์
๏ เมื่อนั้นพระผ่านภพดาหาสูงส่ง
จึงตรัสตอบสุหรานากงเจ้าคิดอ่านการณรงค์ทนงนัก
ทัพเขายกมาย่อมสามารถทั้งสิทธิ์ขาดความคิดแหลมหลัก
ม้ารถคชพลก็พร้อมพรักหมายจะหักที่กล้าด้วยกัน
ไม่ควรจะด่วนออกชิงชัยชอบอยู่ในพารารักษามั่น
แม้นข้าศึกประชิดติดพันบุกบั่นเข้าปล้นปีนกำแพง
เราจะรบรับไว้ให้หยุดยั้งแต่พอผ่อนหย่อนกำลังเข้มแข็ง
จึงยกหนักออกหักเอากลางแปลงจะมีชัยไม่แคลงวิญญาณ์
ทัพช่วยก็ไม่ช้าจะมาทันพร้อมกันตีกระหนาบหลังหน้า
รุกรบกระทบนอกเข้ามาเห็นศึกก็จะล่าเลิกไป
เจ้าเป็นผู้บัญชาในธานีโยธาหน้าที่เอาใจใส่
ตรัสแล้วลีลาคลาไคลเข้าในปราสาทรจนา
๏ เมื่อนั้นสุหรานากงวงศา
ครั้นเสด็จขึ้นแล้วก็ไคลคลาออกมาที่อยู่ภูมี
๏ บัดนั้นฝ่ายดะหมังกุเรปันกรุงศรี
ครั้นถึงหมันยาธานีก็ตรงไปยังที่ประเสบัน
ขึ้นบนชาลพักตำหนักนอกพอเห็นเสด็จออกกิดาหยัน
จึงเข้าไปใกล้องค์พระทรงธรรม์อภิวันท์แล้วถวายสารา
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา
คลี่สารสมเด็จพระบิดาพลางทอดทัศนาทันใด
๏ ในลักษณ์นั้นว่าปัจจามิตรมาตั้งติดดาหากรุงใหญ่
จงเร่งรีบรี้พลสกลไกรไปช่วยชิงชัยให้ทันที
ถึงไม่เลี้ยงบุษบาเห็นว่าชั่วแต่เขารู้อยู่ว่าตัวนั้นเป็นพี่
อันองค์ท้าวดาหาธิบดีนั้นมิใช่อาหรือว่าไร
มาตรแม้นเสียเมืองดาหาจะพลอยอายขายหน้าหรือหาไม่
ซึ่งเกิดศึกสาเหตุเภทภัยก็เพราะใครทำความไว้งามพักตร์
ครั้งหนึ่งก็ให้เสียวาจาอายชาวดาหาอาณาจักร
ครั้งนี้เร่งคิดดูจงนักจะซ้ำให้เสียศักดิ์ก็ตามที
แม้นมิยกพลไกรไปช่วยถึงเราม้วยก็อย่ามาดูผี
อย่าดูทั้งเปลวอัคคีแต่วันนี้ขาดกันจนบรรลัย
๏ ครั้นอ่านสารเสร็จสิ้นพระทรงฤทธิ์ถอนฤาทัยให้คิดสงสัย
บุษบาจักงามสักเพียงไรจึงต้องใจระตูทุกบุรี
หลงรักรูปนางแต่อย่างนั้นจะพากันมาม้วยไม่พอที่
แม้นงามเหมือนจินตะหราวาตีถึงจะเสียชีวีก็ควรนัก
แล้วตรัสแก่ดะหมังเสนาเราจะยกโยธาไปโหมหัก
มิให้เสียวงศาสุรารักษ์งดสักเจ็ดวันจะยกไป
๏ บัดนั้นดะหมังบังคมประณมไหว้
ทูลว่าช้านักภูวไนยเกลือกไปไม่ทันจะเสียที
เชิญเสด็จคลาไคลไปก่อนแล้วจึงค่อยผันผ่อนมากรุงศรี
อันข้าศึกยกมาต่อตีป่านนี้จะประชิดติดกรุงไกร
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์เทวาอัชฌาสัย
สุดที่จะบิดเบือนเลื่อนวันไปด้วยเกรงในบิตุเรศตัดมา
ความกลัวความรักสลักทรวงให้เป็นห่วงหนหลังกังวลหน้า
แต่เรรวนหวนนึกตรึกตราพระราชาสะท้อนถอนใจ
จึงดำรัสตรัสสั่งตำมะหงงเร่งเตรียมจตุรงค์ทัพใหญ่
ม้ารถคชสารชาญชัยรีบรัดจัดไว้ให้ครบครัน
เลือกสรรโยธาจงสามารถที่อยู่คงองอาจแข็งขัน
แต่ปืนตึงก็ถึงทันควันเข้าโรมรุกบุกบันฟันแทง
เราจะตัดศึกใหญ่ให้ย่อย่นด้วยกำลังรี้พลเข้มแข็ง
แม้นไพรีหนีมือกลางแปลงเห็นหักได้ไม่แคลงวิญญาณ์
ฤกษ์รุ่งพรุ่งนี้จะยกไปชิงชัยช่วยกรุงดาหา
สั่งเสร็จเสด็จทรงอาชาไปเฝ้าท้าวหมันหยาฉับพลัน
๏ ครั้นถึงนิเวศน์วังในลงจากมโนมัยผายผัน
ยุรยาตรนาดกรจรจรัลเข้าพระโรงสุวรรณทันใด
๏ บัดนั้นดะหมังกุเรปันกรุงใหญ่
จึงรีบไปหาเสนาในแถลงไขข้อความตามคดี
๏ บัดนั้นอำมาตย์หมันหยากรุงศรี
ได้แจ้งแห่งดะหมังเสนีก็พาไปในที่พระโรงคัล
๏ ก้มเกล้าประณตบทมาลย์พระผู้ผ่านเวียงชัยไอศวรรย์
ทูลเบิกดะหมังเสนานั้นว่าพระปิ่นกุเรปันใช้มา
๏ บัดนั้นดะหมังผู้มียศฐาน์
นบนิ้วบังคมคัลวันทาทูลถวายสาราพระภูมี
๏ เมื่อนั้นระตูหมันหยากรุงศรี
รับสารมาจากเสนีแล้วคลี่ออกอ่านทันใด
๏ ในลักษณ์อักษรสาราว่าระตูหมันหยาเป็นผู้ใหญ่
มีราชธิดายาใจแกล้งให้แต่งตัวไว้ยั่วชาย
จนลูกเราร้างคู่ตุนาหงันไปหลงรักผูกพันมั่นหมาย
จะให้ชิงผัวเขาเอาเด็ดตายช่างไม่อายไพร่ฟ้าประชาชน
บัดนี้ศึกประชิดติดดาหากิจจาลือแจ้งทุกแห่งหน
เสียการงานวิวาห์จลาจลต่างคนค่างข้องหมองใจ
การสงครามครั้งนี้มิไปช่วยยังเห็นชอยอยู่ด้วยหรือไฉน
จะตัดวงศ์ตัดญาติให้ขาดไปก็ตามแต่น้ำใจจะเห็นดี
๏ ทรงอ่านสารเสร็จสิ้นเรื่องกลัวจะเคืองขุ่นข้องหมองศรี
จึงยื่นสารให้ระเด่นมนตรีแล้วมีพจนาตถ์วาจา
เห็นงามอยู่แล้วหรือหลานรักเจ้าหาญหักไม่ฟังคำข้า
มาพลอยได้ความผิดด้วยนัดดาหาให้อยู่กับจินตะหราไม่
อย่าหน่วงหนักชักช้าเร่งคลาไคลรีบไปให้ทันท่วงที
อันระเด่นดาหยนวงศาจงคุมพลหมันหยากรุงศรี
สมทบทัพระเด่นมนตรีได้ฤกษ์รุ่งพรุ่งนี้จงยาตรา
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา
รับสั่งแล้วบังคมลาไปปราสาทจินตะหราวาตี
๏ ครั้นถึงแท่นสุวรรณบรรจงนั่งแนบองค์นางโฉมศรี
ทอดถอนฤทัยพลางทางพาทีภูมีแจ้งความแก่ทรามวัย
บัดนี้ดะหมังเสนาถือสารพระบิดามาให้
เป็นเหตุด้วยดาหาเวียงชัยเกิดการศึกใหญ่ไพรี
ให้พี่กรีธาทัพขันไปช่วยป้องกันกรุงศรี
จะรีบยกพหลมนตรีพรุ่งนี้ให้ทันพระบัญชา
อยู่จงดีเถิดพี่จะลาน้องอย่าหม่นหมองเศร้าสร้อยละห้อยหา
เสร็จศึกวันไรจะไคลคลากลับมาสู่สมภิรมรัก
๏ เมื่อนั้นจินตะหราวาตีมีศักดิ์
ฟังตรัสขัดแค้นฤทัยนักสะบัดพักตร์ผินหลังไม่บังคม
แล้วตอบถ้อยน้อยหรือพระทรงฤทธิ์ช่างประดิดคิดความพองามสม
ล้วนกล่าวแกล้งแสร้งเสเล่ห์ลมคดคมแยบคายหลายชั้น
พระจะไปดาหาปราบข้าศึกหรือรำลึกถึงคู่ตุนาหงัน
ด้วยสงครามในจิตต์ติดพันจึงบิดผันพจนาไม่อาลัย
ไหนพระผ่านฟ้าสัญญาน้องจะปกป้องครองความพิสมัย
ไม่นิราศแรมร้างห่างไกลจนบรรลัยมอดม้วยไปด้วยกัน
พระวาจาน่าเชื่อเป็นพ้นนักจึงหลงรักภักดีไม่เดียดฉัน
พาซื่อสุจริตคิดสำคัญหมายมั่นว่าเมตตาปราณี
มิรู้มาอาภัพกลับกลายจะหลีกเลี่ยงเบี่ยงบ่ายหน่ายหนี
ยังสมคำสัญญาพาทีกี่ร้อยปีพระจะกลับคืนมา
             

๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์เทวันอสัญหยา
โลมนางพลางกล่าววาจาจงผินมาพาทีด้วยพี่ชาย
เป็นสัจจาจริงไม่ทิ้งน้องว่าจะครองไมตรีไม่หนีหน่าย
มิได้แกล้งพาทีภิปรายอย่าสงกาว่าจะวายคลายรัก
จะจำจากโฉมเฉลาเยาวเรศเพราะเกรงเดชบิตุรงค์ทรงศักดิ์
ข้อความงามแคลงกินแหนงนักด้วยเจ้าไม่ประจักษ์ที่จริงใจ
สมเด็จพระบิดาให้หาพี่ใช่แต่ครั้งนี้นั้นหาไม่
ถึงสองครั้งพี่ขัดรับสั่งไว้ยังมิได้บอกเจ้าให้แจ้งการ
บัดนี้เกิดศึกก็สุดคิดจนจิตต์ที่จะขัดพระบรรหาร
สารามีมาเป็นพยานพระยื่นสารให้นางทัศนา
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา
ค้อนให้ไม่แลดูสารากัลยาคั่งแค้นแน่นใจ
โอ้ว่าอนิจจาความรักพึ่งประจักษ์ดังสายน้ำไหล
ตั้งแต่จะเชี่ยวเป็นเกลียวไปไหนเลยจะไหลกลับมา
สตรีใดในพิภพจบแดนไม่มีใครได้แค้นเหมือนอกข้า
ด้วยใฝ่รักให้เกินพักตราจะมีแต่เวทนาเป็นเนืองนิตย์
โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนักเพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิตต์
จะออกชื่อลือชั่วไปทั่วทิศเมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใคร
เสียแรงหวังฝังฝากชีวีพระจะมีเมตตาก็หาไม่
หมายบำเหน็จจะเสด็จรีบไปพอรู้เท่าเข้าใจในทำนอง
ด้วยระเด่นบุษบาโฉมตรูควรคู่ภิรมย์สมสอง
ไม่ต่ำศักดิ์รูปชั่วเหมือนตัวน้องทั้งพวกพ้องสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์
โอ้แต่นี้สืบไปภายหน้าจะอายชาวดาหาเป็นแม่นมั่น
เขาจะค่อนนินทาทุกสิ่งอันนางรำพรรณว่าพลางทางโศกา
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์เทวันอสัญหยา
ปลอบนางพลางเช็ดชลนาดวงยิหวาอย่าทรงโศกี
จงสร่างสิ้นกินแหนงแคลงใจที่ในบุษบามารศรี
พี่สลัดตัดใจไม่ไยดีมิได้มีปรารถนาอาลัย
จรกาจึงได้ไปว่าขานกำหนดนัดทำงานการใหญ่
พอกะหมังกุหนิงรู้ไปก็ซ้ำให้มากล่าวกัลยา
ครั้นขอนางมิได้ดังใจจงจึงเกิดการณรงค์ในดาหา
เพราะแหนหวงช่วงชิงวนิดาใช่ว่านางเปล่าอยู่เมื่อไร
อันลือข่าวบุษบาว่างามนักจะดีกว่าน้องรักนั้นหาไม่
นี่จำเป็นจึงจำจากไปเพราะกลัวภัยพระราชบิดา
แม้นเสียดาหาก็เสียวงศ์อัประยศถึงองค์อสัญหยา
เจ้ากับพี่ก็จะมีแต่นินทาแก้วตาจงดำริตริตรอง
ถึงไปก็ไม่อยู่นานเยาวมาลย์อย่าโศกเศร้าหมอง
พระจุมพิตชิดเชยปรางทองกรประคองนฤมลขึ้นบนเพลา
๏ เมื่อนั้นจินตะหราวาตีโฉมเฉลา
ได้เห็นสารทราบความตามสำเนาค่อยบรรเทาเบาทุกข์ที่แคลงใจ
จึงเคลื่อนองค์ลงจากพระเพลาพลางน้องนางบังคมทูลแถลงไข
ซึ่งพระจะเสด็จไปชิงชัยก็ตามใจไม่ขัดอัธยา
แม้นสำเร็จราชการงานศึกแล้วรำลึกอย่าลืมหมันหยา
จงเร่งรีบยกทัพกลับมาน้องจะนับวันท่าภูวไนย
๏ เมื่อนั้นพระทรงโฉมประโลมพิสมัย
รับขวัญกัลยาแล้วว่าไปพี่จะลืมปลื้มใจไยมี
เป็นเวลากรรมจำจากขอฝากมาหยารัศมี
กับนางสะการะวาตด้วยทรามวัยไร้ที่พึ่งพา
นางไกลบิตุราชมาตุรงค์โฉมยงอย่าเคียดขึ้งหึงสา
ถ้าพลั้งผิดสิ่งใดได้เมตตาอย่าถือโทษโกรธาเทวี
ว่าพลางทางเปลื้องสังวาลทรงให้องค์จินตะหรามารศรี
เจ้าจงเอาเครื่องประดับนี้ไว้ดูต่างพักตร์พี่จะขอลา
๏ เมื่อนั้นโฉมยงองค์ระเด่นจินตะหรา
ได้ฟังพระราชบัญชากัลยานอบนบอภิวันท์
แล้วทูลว่าพระองค์อย่าสงสัยน้องมิได้รังเกียจเดียดฉันท์
จะรักใคร่ในสองนางนั้นเหมือนพี่น้องร่วมครรภ์กันมา
ว่าพลางนางเปลื้องสไบทรงถวายองค์ทรงเดชพระเชษฐา
เกลือกจะลืมคำมั่นสัญญาได้เห็นผ้าเป็นเพื่อนเตือนฤาทัย
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีศรีใส
เห็นนางค่อยสร่างโศกาลัยภูวไนยตรัสบอกบังอร
บัดนี้พี่จะขออำลาไปสั่งสอนสุดาดวงสมร
ว่าพลางผันผายกรายกรบทจรไปห้องสองนารี
๏ เสด็จนั่งบัลลังก์รัตน์รจนาแล้วตรัสบอกมาหยารัศมี
ทั้งนางสะการะวาตีตามในสารศรีซึ่งมีมา
พรุ่งนี้พี่จะลาเจ้าไปชิงชัยไพรีถึงดาหา
ค่อยอยู่เถิดนวลน้องสองสุดาอุสส่าห์อุปถัมภ์บำรุงกัน
จะผิดชอบสิ่งไรให้ปรองดองมิควรข้องเคืองขุ่นอย่าหุนหัน
เจ้าก็ร่วมสุริย์วงศ์พงศ์พันธุ์ถนอมน้ำใจกันไว้ให้ดี
จงอดออมถ่อมคำจำนรรจาฝากตัวจินตะหรามารศรี
โฉมเฉลาอย่าเศร้าโศกีพอศึกเสร็จแล้วพี่จะกลับมา
๏ เมื่อนั้นสองนางแน่งน้อยเสน่หา
ได้ฟังดังจะม้วยชีวากัลยาครวญคร่ำรำพรรณ
โอ้อนิจจานะอกเอ๋ยกะไรเลยไม่วายที่โศกศัลย์
จากบิดามารดามานั้นก็โศกาจาบัลย์พันทวี
ได้พึ่งบาทบงสุ์พระทรงเดชดังฉัตรแก้วกั้นเกศเกศี
หรือจะซ้ำจำจากพระภูมีครั้งนี้จะบ่ายหน้าไปหาใคร
จะกินแต่น้ำตาต่างอาหารทนทุกข์ทรมานหม่นไหม้
ชะรอยเวรากรรมทำไว้จึงจำให้ได้ความเวทนา
โอ้แต่นี้นับจะลับเนตรแสนเทวษเศร้าสร้อยละห้อยหา
ร่ำพลางบังอราค่อนอุรากอดบาทภัสดาเข้าโศกี
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
เห็นสองสุดานารีโศกีกอดบาทไม่คลาดคลาย
พระจุมพิตชิดชมเชยปรางโลมลูบปฤษฎางคนางโฉมฉาย
เช็ดชลนาพลางทางภิปรายเจ้าสายสุดที่รักจงหักใจ
จำเป็นจำร้างห่างห้องกรรมของเราแล้วจะทำไฉน
พี่นี้มิใคร่จะจากไปแต่จนใจด้วยกิจการณรงค์
๏ เมื่อนั้นสองนางแน่งน้อยนวลหงศ์
ฟังถ้อยค่อยคลายกำสรดทรงโฉมลงทูลฝากน้องรัก
อันสังคามาระตากุมารไม่ชำนาญการรบหาญหัก
ทั้งความคิดติดจะเยาว์เบานักพระทรงศักดิ์จงได้เมตตา
เกลือกจะประมาทในราชกิจถ้าพลั้งผิดพระจะลงโทษา
จงโปรดปรานขอประทานชีวาเหมือนเห็นแก่ข้าทั้งสองนี้
๏ เมื่อนั้นพระผู้วงศ์เทวาในราศี
ฟังนางพลางกล่าววาทีแก้วพี่อย่าประหวั่นพรั่นใจ
อันองค์พระน้องของเจ้าพี่รักเท่าดวงตาก็ว่าได้
ถึงผิดพลั้งจะสั่งสอนไปจะเอาไว้เป็นเพื่อนชีวี
ว่าพลางทางถอดธำมรงค์ให้โฉมยงมาหยารัศมี
ทรงเปลื้องซ่าโบ๊ะของภูมีให้สะการะวาตีกัลยา
แล้ว่าซ่าโบ๊ะกับธำมรงค์สองอนงค์เอาไว้ดูต่างหน้า
พอระงับดับความโศกาให้คลายทุกข์ถวิลหาอาวรณ์
๏ เมื่อนั้นนวลนางพี่น้องสองสมร
ได้ธำมรงค์ทรงสะพักภูธรบังอรค่อยคลายวายโศกี
นางมาหยารัศมีนงลักษณ์จึงถอดปิ่นที่ปักเกศี
นวลนางสะการะวาตีถอดสะพังมณีออกจากกรรณ
ต่างประณมก้มกราบกับบาทาทูลถวายภัสดารังสรรค์
แต่พอได้ไปเห็นเป็นสำคัญให้ทรงธรรม์ชมพลางต่างพักตรา
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงองค์อสัญแดหวา
เห็นเครื่องทรงของสองสุดายิ่งแสนเสน่หาอาลัย
กรกอดประทับไว้กับทรวงเป็นห่วงด้วยความพิสมัย
ชมโฉมโลมเล้าเอาใจเห็นทรามวัยคล่อยคลายจาบัลย์
จึงตรัสว่าพี่ยาจะลาแล้วจงผ่องแผ้วผาสุกเกษมสันต์
สั่งนางพลางเสด็จจรจรัลไปปราสาทแก้วกัลยาณี
๏ ครั้นถึงห้องทองรจนาพระกุมกรจินตะหรามารศรี
ขึ้นบนแท่นรัตน์รูจีพระภูมีสวมสอดกอดประคอง
หยอกเย้าเคล้าดวงบุษบงโฉมยงยึดพระหัตถ์ปัดป้อง
พระจุมพิตชิดเชยปรางทองนวลละอองค้อนคมนัยนา
รสรักหนักจิตต์พิศวงสองทรงโศกสั่งเสน่หา
พลางภิรมย์สมสนิทนิทราอยู่บนแท่นไสยาพรายพรรณ
๏ บัดนั้นดะหมังเสนาคนขยัน
กับสี่พี่เลี้ยงทรงธรรม์พากันมาจัดโยธา
๏ กะเกณฑ์พลขันธ์บรรจบสมทบกองทัพหมันหยา
ตั้งเป็นกระบวนเบญจเสนาทัพหน้าทัพหลังทั้งปวง
จัดทหารหน้าช้างพระที่นั่งพร้อมพรั่งทวนทองกองหลวง
ปีกซ้ายปีกขวาตามกระทรวงมิให้ล่วงหมู่หมวดตรวจกัน
จัดช้างชะนะงาออกมายืนผูกปืนสัปประคับเครื่องมั่น
โลดแล่นโจมทัพซับมันพลายพังดั้งกันแทรกแซง
เกณฑ์ถ้วนกระบวนทัพคชสารหมอควาญขับขี่เข้มแข็ง
ล้วนใส่เสื่อแดงหมวกแดงตกแต่งเตรียมไว้ทั้งไพร่นาย
ผูกช้างพระที่นั่งหลังคาทองเรืองรองพระสูตรรูดสาย
ประสันตาตัวดีขึ้นขี่ท้ายคอยเสด็จพระโฉมฉายจรลี
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
บรรทมเหนือแท่นรัตน์รูจีด้วยจินตะหราวาตีกัลยา
ประคองเชยชื่นชมสมสวาทแล้วทุกข์ที่จะนิราศเสน่หา
แต่เวียนสั่งทรามวัยอาลัยลาจนสุริยาเยี่ยมยอดยุคันธร
ไก่ขันกระชั้นเสียงอยู่แจ้ว ๆฟังแว่วหวั่นใจจะไกลสมร
พิศพักตร์พนิดายิ่งอาวรณ์พลางสะท้อนถอนจิตต์จาบัลย์
๏ อุ้มองค์นงลักษณ์ใส่ตักไว้ลูบไล้โลมนางพลางรับขวัญ
จำเป็นจำพรากจากกันสาวสวรรค์ค่อยอยู่สวัสดี
๏ เมื่อนั้นนวลนางจินตะหรามารศรี
ให้ละห้อยสร้อยเศร้าแสนทวีสงสารที่ถ้อยคำพระอำลา
ก้มพักตร์ลงเช็ดชลเนตรพลางทูลภูวเรศเชษฐา
น้องจะอยู่ผู้เดียวเปลี่ยววิญญาณ์ทุกข์ถึงคะนึงหาไม่เว้นวาย
เสด็จไปจงดีมีสุขให้ห่างภัยไกลทุกข์ทั้งหลาย
อันศัตรูนอกกายในกายสารพัตรแพ้พ่ายอย่าพ้องพาน
แม้นเสร็จศึกนึกกลับหมันหยาให้สมซึ่งสัญญาได้ว่าขาน
อย่าลืมคำลืมเคยที่โปรดปรานเยาวมาลย์ทูลพลางทางโศกี
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
ตรัสปลอบกนิษฐาแล้วพาทีแก้วพี่อย่าพะวงสงกา
ถึงตัวพี่จะไปรณรงค์แต่ใจจงพุ่มพวงดวงยิหวา
พอเสร็จพันตูไม่อยู่ช้าจะเร่งรีบกลับมาหาน้อง
ประโลมลาลูบหลังแล้วสั่งเล่าขวัญข้าวค่อยอยู่อย่าหม่นหมอง
ตรัสพลางย่างเยื้องจากแท่นทองเสด็จไปยังห้องสองนารี
๏ นั่งแนบแอบองค์กัลยาประคองชมมาหยารัศมี
เชยปรางนางสะการะวาตีตรัสสั่งสองศรีด้วยสุนทร
ค่อยอยู่เถิดนะน้องอย่าหมองไหม้พี่จะลาทรามวัยไปก่อน
อย่ากรรแสงโศกาอาวรณ์เป็นกรรมจำจรจากกัน
จงรู้รักอดออมถนอมจิตต์สิ่งใดอย่าได้คิดเดียดฉันท์
สั่งเสร็จพระเสด็จจรจรัลขึ้นเฝ้าทรงธรรม์เจ้าธานี
๏ ก้มเกล้าประณตบทบงสุ์ทูลองค์ประหมันทั้งสองศรี
พระองค์จงอยู่สวัสดีหลานนี้ขอถวายบังคมลา
๏ เมื่อนั้นระตูผู้ผ่านหมันหยา
ทั้งประไหมสุหรีศรีโสภาฟังราชนัดดาก็อาวรณ์
ต่างองค์อำนวยอวยชัยเจ้าไปเป็นสุขสโมสร
อันเหล่าอาสัจดัสกรจงพ่ายแพ้ฤทธิรอนพระหลานรัก
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีมีศักดิ์
รับพรภูวไนยด้วยใจภักดิ์บังคมลามาตำหนักประเสบัน
๏ ครั้นถึงมนเทียรที่ข้างหน้าพร้อมหมู่เสนากิดาหยัน
เสด็จเข้ามณฑลพิธีกรรม์นั่งเหนือเตียงสุวรรณบรรจง
ราชครูบีกูประมาหนาถวายอาเศียรพาทภิเษกสรง
ลูบไล้สุคนธาอ่าองค์บรรจงทรงเครื่องวันอาทิตย์
๏ ทรงภูษาแย่งยกกระหนกกระหนาบฉลององค์เข้มขายคดกฤช
ห้อยหน้าปักทองกรองดอกชิดสังวลาวรรณอันวิจิตรจำรัสเรือง
ทับทรวงพวงเพ็ชร์เม็อแตงทองกรแก้วแดงประดังเนื่อง
ธำมรงค์รจนาค่าเมืองอร่ามเรืองเพ็ชร์รัตน์ตรัจไตร
ทรงมงกุฎกรรเจียกจอนสุวรรณวาวแววแก้วกุดั่นดอกไม้ไหว
ห้อยอุบะบุหงามาลัยเหน็บกฤชฤทธิไกรแล้วไคลคลา
๏ ขึ้นเกยกิริณีที่ประทับผันพักตร์สู่พายัพทิศา
พร้อมหมู่อำมาตย์มาตยาโหราธิบดีชีพราหมณ์
พอได้ศุภฤกษ์ก็ลั่นฆ้องประโคมคึกกึกก้องท้องสนาม
ปุโรหิตฟันไม้ข่มนามทำตามตำราพิชัยยุทธ์
ทัพหน้าทัพหลวงทัพหลังพร้อมพรั่งตั้งโห่อึงอตม์
ทหารโบกธงทองกระบี่ครุฑฝรั่งจุดปืนใหญ่เป็นสัญญา
บีกูก็เบิกโขลนทวารโอมอ่านอาคมคาถา
โห่สนั่นลั่นฆ้องขึ้นสามลาคลายเคลื่อนโยธาทุกหมวดกอง
๏ ช้างเอยช้างที่นั่งสะพักพังหลังดีไม่มีสอง
งามสรรพสรรพางค์หางบังคลองผูกจำลองจำหลักลายพรายพรรณ
สองหูพู่ห้อยพรอยแพรวจงกลแก้วแวววาวดาวกุดั่น
ปกกระพองพรรณรายข่ายสุวรรณผูกชนักจักรันรึงรัด
ประดับอภิรุมชุมสายธงฉานธงชายมุยรฉัตร
อาชาแซงนอกล้วนหอกซัดเบียดเสียดเยียดยัดอัดแอ
ขนัดหอกขนัดดาบโล่ดั้งคับคั่งธงทวนกระบวนแห่
สนั่นเสียงปี่กลองฆ้องกระแตสังข์แตรแซ่เสนาะเพราะเพรียง
เสียงช้างเสียงม้าโกลาหลเสียงคนอึงอื้อบันลือเสียง
กองหลังรั้งท้ายคุมลำเลียงรีบร้นขนเสบียงตามไป
๏ ครั้นออกมานอกนคเรศพระทรงเดชเศร้าสร้อยละห้อยไห้
เหลียงหลังตั้งตาดูเวียงชัยฤาทัยหวั่น ๆ ถึงกัลยา
โอ้ว่าเจ้าดวงยิหวาพี่ป่านนี้จะคร่ำครวญหวนหา
ใครจะปลอบโฉมงามสามสุดาแต่พอพาใจเศร้าบรรเทาคลาย
สงสารน้ำคำที่พร่ำสั่งคิดถึงความหลังแล้วใจหาย
ครวญพลางกำสรดระทดกายแล้วคิดอายพวกพลมนตรี
จึงชักม่านทองทั้งสี่ทิศดังจะปิดบังแสงพระสุริย์ศรี
ลมหวนอวลกลิ่นสุมาลีเหมือนผ้ายาหยีซึ่งเปลี่ยนมา
แว่วเสียงสำเนียงบุหรงร้องว่าเสียงสามนิ่มน้องเสน่หา
พระแย้มเยี่ยมม่านทองทัศนาเห็นแต่ป่าพุ่มไม้ใบบัง
เอนองค์ลงอิงพิงเขนยกรเกยก่ายพักตร์ถวิลหวัง
รสรักร้อนรนพ้นกำลังชลนัยน์ไหลหลั่งลงพรั่งพราย
๏ บัดนั้นประสันตาพี่เลี้ยงพระโฉมฉาย
ขี่ช้างพระที่นั่งมาข้างท้ายเห็นพระไม่สบายคลายทุกข์ทน
จึงเสแสร้งแกล้งกล่าววาจาป่านี้สนุกกว่าทุกแห่งหน
แต่เห็นมามากมายหลายตำบลก็ยังไม่ชอบกลเหมือนป่านี้
แม้นไม่มีราชการงานเดือนคงจะมาปลูกเรือนอยู่ที่นี่
น้ำท่าหาง่ายสบายดีสารพัตรจะมีไม่ยากใจ
ถ้าเลิกทัพกลับมาหมันหยาจะจำป่าไว้ทูลแถลงไข
ให้พระพาสามสมรอรทัยมาประพาสพรรณไม้ให้สำราญ
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์เทวาศักดาหาญ
นิ่งฟังประสันตาอยู่ช้านานค่อยคลายร้อนรำคาญวิญญาณ์
จึงลุกขึ้นตรัสถามทันทีป่านี้หรือสนุกหนักหนา
ตรัสพลางแหวกม่านทัศนาไหนชี้บอกมาอย่าลวงกัน
๏ บัดนั้นประสันตาแสนกลคนขยัน
ทำตกใจทูลองค์พระทรงธรรม์ข้าสำคัญมั่นคงอยู่ดงนี้
ด้วยช้างบาทย่างทีสะเทินเดินเกินตำบลมาพ้นที่
เขาว่าดงหน้าก็ยังมีจึงจะชี้ทูลเชิญให้ทัศนา
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงวงศ์อสัญแดหวา
ยิ้มพลางทางตอบวาจาปดเล่นต่อหน้าไม่อายใจ
ครั้นซักไซ้ไล่หาความจริงยังกลอกกลิ้งกลับลวงไปใหม่
ชอบผลักให้พลัดตกลงไปคนอะไรเช่นนี้ก็ยังมี
๏ ว่าพลางทางชมคณานกโผนผกจับไม้อึงมี่
เบญจวรรณจับวัลย์ชาลีเหมือนวันพี่จากสามสุดามา
นางนวลจับนางนวลนอนเหมือนพี่แนบนวลสมรจินตะหรา
จากพรากจับจากจำนรรจาเหมือนจากนางสะการะวาตี
แขกเต้าจับเต่าร้างร้องเหมือนร้างน้องมาหยารัศมี
นกแก้วจับแก้วพาทีเหมือนแก้วพี่ทั้งสามสั่งความมา
ตระเวนไพรร่อนร้องตระเวนไพรเหมือนเวรใดให้นิราศเสน่หา
เค้าโมงจับโมงอยู่เอกาเหมือนพี่นับโมงมาที่ไกลนาง
คับแคจับแคสันโดษเดี่ยวเหมือนเปล่าเปลี่ยวคับใจในไพรกว้า
ชมวิหคนกไม้ไปตามทางคะนึงนางพลางรีบโยธี
๏ แรมร้อนผ่อนพักมาหลายวันถึงทางร่วมกุเรปันกรุงศรี
พบทัพกะหรัดติปาตีภูมีให้หยุดโยธา
๏ เมื่อนั้นกะหรัดปาตีเชษฐา
เห็นระเด่นมนตรีก็ปรีดาจึงเสด็จมาหาทันใด
แล้วทูลว่าสมเด็จพระบิดรให้ข้าคุมนิกรน้อยใหญ่
มาบรรจบทัพพระองค์ไปช่วยพิชัยดาหาธานี
หลายวันแล้วแต่มาคอยท่ายับยั้งโยธาอยู่ที่นี่
ข่าวศึกว่าประชิดติดบุรีมาจะจรลีรีบไป
             

๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเฉลยไข
ข้าก็เร่งรีบร้อนไม่นอนใจแต่ทางไกลอ้อมกว่ากุเรปัน
ว่าแล้วสองกษัตริย์ก็จัดทัพพร้อมสรรพพหลพลขันธ์
เข้ากระบวนสมทบบรรจบกันแล้วยกจากที่นั่นรีบมา
๏ ครั้นถึงเนินทรายชายทุ่งแว่นแควันแดนกรุงดาหา
จึงให้หยุดกองทัพตั้งพลับพลาที่ต้องนามครุฑาเกรียงไกร
แล้วบัญชาใช้ตำมะหงงท่านจงรีบเข้าไปกรุงใหญ่
ทูลศรีปัตหราเรืองชัยแก้ไขอย่าให้เคืองพระบาทา
๏ บัดนั้นตำมะหงงรับสั่งใส่เกศา
ก้มเกล้ากราบถวายบังคมลามาขึ้นม้าควบขับไปฉับพลัน
๏ ครั้นถึงจึงแจ้งคดีแก่ยาสาเสนีคนขยัน
บัดนี้องค์อิเหนากุเรปันกรีธาทัพขันยกมา
สองทัพกับกะหรัดติปาตีมาช่วยบุรีดาหา
จงพาเราเข้าเฝ้าพระผ่านฟ้าจะกราบทูลกิจจาให้แจ้งการ
๏ บัดนั้นยาสาปรีดิ์เปรมเกษมสานต์
จึงพากันเข้าไปมิทันนานยังสถานท้องพระโรงรูจี
๏ นบนิ้งประณมบังคมคัลกราบทูลทรงธรรม์ถ้วนถี่
บัดนี้ระเด่นมนตรีกับกะหรัดติปาตียกมา
รี้พลมากมายหลายแสนตั้งอยู่ปลายแดนกรุงดาหา
ใช้ให้ตำมะหงงเสนาเข้ามาเฝ้าเบื้องบาทบงสุ์
๏ เมื่อนั้นพระปิ่นปักนัคเรศสูงส่ง
แจ้งว่าอิเหนาสุริย์วงศ์มาช่วยรณรงค์ราวี
มีความเกษมสันต์หรรษาดังได้ผ่านเมืองฟ้าราศี
ด้วยนัดดาเรืองอิทธิฤทธีเห็นว่าบุรีไม่อันตราย
พระเปรมปรีดิ์ดีใจอยู่ในพักตร์มิให้ประจักษ์คนทั้งหลาย
จึงเยื้อนเอื้อนโอษฐ์อภิปรายซึ่งหลานชายเราอุสส่าห์มา
ตำมะหงงไปบอกให้ถ้วนถี่ว่ากูนี้ขอบใจนักหนา
เชิญให้เข้ามาในพาราจะได้พักโยธาให้สำราญ
๏ บัดนั้นตำมะหงงได้ฟังพระบรรหาร
จึงสนองมธุรสพจมานพระหลานรักถวายบังคมมา
ให้ข้าทูลองค์พระทรงฤทธิ์ด้วยโทษผิดติดพันอยู่หนักหนา
จะขอทำการสนองพระบาทาเสร็จแล้วจึงจะมาอัญชลี
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านดาหากรุงศรี
ได้ฟังตำมะหงงเสนีมิได้มีพจมานประการใด
จึงผินพระพักตร์มาบัญชาแก่สุหรานางกงศรีใส
บัดนี้อิเหนาชาญชัยกรีธาทัพใหญ่ยกมา
กับกะหรัดติปาตีพี่ยานั้นแม่นมั่นเหมือนคำของเจ้าว่า
เจ้าจะอยู่ทำการในพาราหรือจะช่วยเชษฐาราวี
๏ เมื่อนั้นสุหรานากงเรืองศรี
ได้ฟังผ่านฟ้าพาทีอัญชลีแล้วสนองพระบัญชา
แต่มาอยู่ดาหาก็ช้านานยังมิได้ทำการอาสา
ขอกราบบาทภูวนาถบังคมลาออกไปช่วงเชษฐาชิงชัย
ทูลพลางทางถวายอัญชลีลาศรีปัตหราเป็นใหญ่
ออกมาที่อยู่ภูวไนยตรวจเตรียมทัพชัยฉับพลัน
ครั้นเสร็จเสด็จทรงอาชาพร้อมพี่เลี้ยงเสนากิดาหยัน
ยกจากพระนครจรจรัลตำมะหงงกุเรปันก็ตามมา
๏ ครั้นถึงจึงหยุดจตุรงค์เสด็จไปเฝ้าองค์พระเชษฐา
ถ้อยทีมีใจปรีดาตรัสสั่งสนทนาพาที
แล้วแถลงแจ้งเหตุบรรยายแต่ต้นจนปลายถ้วนถี่
วันเมื่อน้องมาถึงธานีได้ทูลว่าพระพี่จะยกมา
ดูทีท้าวตรัสเห็นขัดเคืองว่าไหนจะจากเมืองหมันหยา
เมียเขาเขารักดังแก้วตาหรือจะอาจคลาดคลาเห็นผิดไป
แต่พระเชษฐาให้หาตัวก็ไม่มีความกลัวยังขัดได้
เกิดณรงค์สงครามก็เพราะใครจนเดือดร้อนทั่วไปทั้งธานี
นับประสาอะไรกับตัวเราถึงตายเขาก็ไม่ดูผี
เห็นเคืองขัดตรัสซ้ำอยู่ดังนี้พระภูมีจงทราบบามาลย์
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีใจหาญ
ฟังสุหรานากงแจ้งการจึงตอบพจมานอนุชา
ซึ่งท่านขุ่นแค้นเคืองนักก็ประจักษ์แจ้งใจไม่กังขา
ไม่ถือโทษโกรธตอบพระผ่านฟ้าจะตั้งหน้าหักหาญพาลภัย
เสร็จศึกจะเข้าไปอัญชลีจะด่าตีก็ตามอัชฌาสัย
เมื่อได้เกินแล้วก็จนใจตามแต่ภูวไนยจะปราณี
๏ บัดนั้นตำมะหงงบังคมเหนือเกศี
จึงกราบทูลแถลงแจ้งคดีองค์ศรีปัตหรารับสั่งมา
ให้ข้าบังคมทูลภูวไนยว่าชี้ชอบขอบพระทัยหนักหนา
ขอเชิญเข้าไปในพาราจะได้พักโยธาพลากร
ข้าจึงทูลสนองพจมานพระนัดดาจะทำการแก้ตัวก่อน
เสร็จศึกจึงจะบทจรมาเฝ้าภูธรธิบดี
พระมิได้ตรัสตอบว่าขานตรัสแต่กิจการกรุงศรี
แต่ดูพระกิริยาพาทีเหมือนจะเคลื่อนคลายที่โกรธา
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงองค์อสัญแดหวา
ได้ฟังตำมะหงงเสนาเกษมสันต์หรรษาเป็นพ้นไป
จึงเสด็จคลาไคลเข้าในห้องให้ชักปิดม่านทองสองไข
สุหรานากงทรงชัยก็กลับไปที่ประทับพลับพลา
๏ บัดนั้นฝ่ายกองร้อยคอยเหตุอาสา
ชาวกะหมังกุหนิงพาราเห็นทัพใหญ่ยกมามากมี
รี้พลคณนานับแสนอเนกแน่นรถรัถหัตถี
ต่างตื่นตกใจไม่สมประดีเผ่นขึ้นพาชีกลับไป
๏ ครั้นถึงจึงเข้าในค่ายหลวงเอากิจจาทั้งปวงแถลงไข
บอกแก่ยาสาเสนาในโดยได้ไปเห็นรี้พล
๏ บัดนั้นยาสาได้แจ้งแห่งเหตุผล
จึงพาม้าใช้สองคนรีบร้นมายังพลับพลาชัย
๏ ก้มเกล้ากราบทูลภูวเรศว่าคอยเหตุได้เห็นทัพใหญ่
ยกมาแน่นดงพงไพรดูไปไม่สิ้นโยธา
เซ็งแซ่แตรสังข์ฆ้องกลองช้างร้องเรียกมันสนั่นป่า
เสียงโกลนกระทบแผงข้างม้าดังว่าเสียงพยุห์อึงอล
อันแสงอาวุธหอกดาบปลาบแปลบแวบวับเวหน
ฝุ่นคลุ้มกลุ้มกลบพะโยมบนบดบังสุริยนในท้องฟ้า
ธงหน้ามาปักลงบัดใจแลไปไม้รายไปทั้งป่า
แล้วมีทัพออกมาจากพาราเข้าหาสมทบบรรจบกัน
กำลังสงครามครั้งนี้ดูทียิ่งยวดกวดขัน
พรุ่งนี้เห็นทีจะโรมรันพระทรงธรรม์จงทราบฝ่าธุลี
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
ได้ฟังยาสาเสนีจึงมีสีหนาทประภาษไป
กูเห็นจะเป็นจรกาทั้งเชษฐาล่าสำกรุงใหญ่
บรรจบกับทัพชาวเวียงชัยพลไกรจึงมาโดยประมาณ
แต่อรุณฤกษ์รุ่งพรุ่งนี้จำจะยกไปตีให้แตกฉาน
จงตรวจตราม้าช้างที่ชำนาญจัดทัพทวยหาญเตรียมไว้
๏ บัดนั้นเสนารับสั่งบังคมไหว้
มาเร่งรัดจัดทัพทันใดตามในพระราชบัญชา
๏ เกณฑ์ทหารหอกปืนพื้นลำลองเป็นกองสอดแนมขึ้นหน้า
แล้วกองร้อยคอยหนุนเนื่องมากระทั้งถึงโยธากองพัน
อันกองซุ่มเสือป่าแมวเซาให้ลอบเข้าโจมตีทัพขัน
กองกลางห้าหมื่นพื้นฉกรรจ์หนักไหนช่วยนั่นให้ทันที
เกณฑ์ถ้วนกระบวนทัพหน้ากองวิหยาสะกำเรืองศรี
ทัพหลวงล้วนทหารตัวดีสิบหมื่นพื้นมีฝีมือรบ
โยธาปาหยังประหมันเป็นปีกป้องกองขันบรรจบ
ตำมะหงงรั้งหลังตั้งครบพลรบกองละห้าหมื่นปลาย
แล้วให้ผูกสินธพอาชาคอยท่ารับเสด็จผันผาย
พรั่งพร้อมพหลพลนิกายตัวนายตรวจตราในราตรี
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
ครั้นแสงทองส่องพื้นปถพีพระตื่นจากที่บรรทมใน
จึงชวนสองระตูอนุชากับโอรสาพิสมัย
บทจรจากอาสน์อำไพเสด็จไปที่สรงคงคา
๏ สี่องค์สรงน้ำทิพย์สนานสุคนธ์ธารประทิ่นกลิ่นบุหงา
ต่างใส่สนับเพลารจนาทรงภูษาแย่งยกกระหนกพัน
เกราะเพ็ชร์เก็จกรองฉลององค์เจียรบาดบรรจงทรงกระสัน
คาดปั้นเหน่งพรรณรายสายสุวรรณสลับคั่นประจำยามอร่ามเรือง
ใส่สังวาลสำหรับรณรงค์ทัพทรวงทรงสายสร้อยห้อยเฟื่อง
ตาบทิศทับทิมแสงประเทืองทองกรประดับเนื่องเนาวรัตน์
ทรงมหาธำมรงค์เรือนครุฑทรงมงกุฎกรรเจียกจอนจำรัส
อุบะเพ็ชร์พวงผจงทรงทัดสี่กษัตริย์ทรงกฤชแล้วคลาไคล
๏ เสด็จยังเกยรัตน์รูจีพร้อมกระบวนโยธีทัพใหญ่
ต่างองค์ขึ้นทรงมโนมัยเสนาในอภิวาทดาษดา
ได้ฤกษ์เลิกพลรณรงค์ให้ดำเนินเดินธงทัพหน้า
สารวัดรัดเร่งโยธาออกจากค่ายชายป่าพนาลี
๏ พระรีบเร่งพลขันธ์แล้วผันผายมาตามชายทิวทุ่งกรุงศรี
ทอดพระเนตร์แลดูหมู่โยธีภูมีเห็นเป็นอัศจรรย์
อันทวนทองธงฉานธงชัยแลไปไม่มีสีสัน
จะดูดินฟ้าพนาวันสารพันอัประภาคหลากลาง
มิ่งม้าพาชีที่นั่งทรงพะเอินงงงวยเงื่อเยื้องย่าง
กาเหนี่ยวเฉี่ยวฉาบมาริมทางข้ามขวางหน้าฉานผ่านไป
ให้อาเพศเหตุเห็นวิปริตก็แจ้งจิตต์ว่าจะม้วยไม่สงสัย
ยิ่งคิดคร้ามครั่นพรั่นใจพระสั่งให้หยุดพลมนตรี
๏ บัดนั้นเสนารับสั่งใส่เกศี
ให้นายกองเอาฆ้องกระแตตีสัญญาโยธีให้หยุดยั้ง
ขุนพลผู้ใหญ่ไปตรวจตราวางกองโยธาหน้าหลัง
ปีกขวาปีกซ้ายรายระวังจัดตั้งให้ต้องนามนาคา
๏ บัดนั้นฝ่ายทหารกุเรปันแกล้วกล้า
นั่งทางอยู่ท้ายพาราเห็นไพรียกมาแต่ชายไพร
ม้ารถคชพลคับคั่งหยุดตั้งกลางทุ่งกรุงใหญ่
ต่างคนเผ่นขึ้นมโนมัยควบขับกลับไปพลับพลา
๏ ครั้นถึงจึงลงจากพาชีเห็นเสนีพี่เลี้ยงพร้อมหน้า
จึงเข้าไปแจ้งความตามกิจจาโดยได้เห็นโยธาไพรี
๏ บัดนั้นพระพี่เลี้ยงแจ้งเหตุถ้วนถี่
ก็เข้าไปบังคมคัลอัญชลีทูลระเด่นมนตรีกุเรปัน
บัดนี้ม้าคอยเหตุมรคากลับมาแต่ชายพนาสัณฑ์
เห็นทัพท้าวกะหมังกุหนิงนั้นออกจากค่ายมั่นยกมา
หยุดยั้งตั้งกองอยู่ชายทุ่งที่เนินทรายท้ายกรุงดาหา
ขอพระองค์ผู้ทรงศักดาจงทราบบาทาฝ่าธุลี
๏ เมื่อนั้นพระผู้พงศ์เทวาในราศี
ได้ฟังพี่เลี้ยงทูลคดีจึงมีพระบัญชาการ
ตำมะหงงจงเร่งไปตรวจตราเกณฑ์พลโยธาทวยหาญ
เราจะออกหักโหมโรมราญรีบรัดจัดการให้พร้อมไว้
๏ บัดนั้นตำมะหงงกุเรปันกรุงใหญ่
รับสั่งบังคมลาคลาไคลออกไปจัดทัพฉับพลัน
๏ เกณฑ์กระบวนทัพหน้าห้าหมื่นแต่พื้นพวกปักมาหงัน
จัดลำลองกองร้อยกองพันทั้งกองกันกองแล่นล้วนตัวดี
ปีกซ้ายนายไพร่พร้อมหน้าล้วนโยธาสิงหัดส่าหรี
ปีกขวากองกะหรัดติปาตีจัดพลโยธีให้เท่ากัน
พวกอาสาพาชีช้างเขนต่างเกณฑ์เป็นกองแซงแข็งขัน
ทัพหลวงล้วนทหารกุเรปันเก้าหมื่นพื้นฉกรรจ์สรรมา
กองหลังรั้งท้ายทั้งนายไพร่พื้นพวกพลพิชัยหมันหยา
เกณฑ์ถ้วนกระบวนเบ็ญจเสนานายหมวดตรวจตราทั้งห้าทัพ
แล้วให้ผูกพาชีที่นั่งทรงเครื่องกุดั่นบรรจงดาวประดับ
จตุรงค์พร้อมพรั่งคั่งคับเตรียมทัพรับเสด็จจรจรัล
๏ เมื่อนั้นพระผู้พงศ์เทวากระยาหงัน
ครั้นฤกษ์ดีแจ่มดวงสุริยันทรงธรรม์ชวนกะหรัดติปาตี
ทั้งสุหรานากงอนุชาสังคามาระตาเรืองศรี
กับระเด่นดาหยนผู้ภักดีมาเข้าที่สรงน้ำทิพยมนตร์
๏ ห้าองค์ชำระสระสนานกิดาหยันถวายพานเครื่องต้น
บรรจงทรงทาพระสุคนธ์ปรุงปนเกสรสุมาลี
สอดใส่สนับเพลาภูษาทรงฉลององค์โหมดตาดต่างสี
เจียรบาดคาดรัดรูจีปั้นเหน่งเพ็ชร์พลอยมณีหนุนซับ
ทรงมหาสังวาลพิชัยยุทธชมพูนุทเฟื่องห้อยพลอยประดับ
ทองกรแก้วพุกามวามวับธำมรงค์รุ้งระยังจับตา
ทรงมงกุฎกุณฑลทัดตรัสเตร็จอุบะเพ็ชร์แพรวพรายเวหา
เหน็บกฤชฤทธิไกรแล้วไคลคลาเสด็จมายังเกยแก้วมณี
๏ ต่างองค์ขึ้นทรงม้าต้นพร้อมพลจตุรงค์ทั้งสี่
กิดาหยันพี่เลี้ยงเคียงพาชีถวายกลดโหมดสีต่างกัน
ให้เดินทัพโยธาห้ากองเสียงกลองเสียงปืนครื้นครั่น
ผงคลีมืดคลุ้มฉะอุ่มควันรีบร้นพลขันธ์คลาไคล
๏ ครั้นมาใกล้กองทัพไพรีเห็นโยธีธงทิวปลิวไสว
ช้างม้าดาทุ่งเป็นแถวไปพระสั่งให้หยุดพลจตุรงค์
๏ บัดนั้นจึงมหาเสนาตำมะหงง
รับราชบัญชาพระโฉมยงให้หยุดธงสำคัญสัญญา
แล้วรีบรัดจัดพลรณยุทธตั้งที่นามครุฑปักษา
วางกองเยื้องกันเป็นฟันปลาให้โยธาคอยยิงชิงชัย
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงเป็นใหญ่
เห็นทัพมาตั้งมั่นกันเมืองไว้พลไกรเพียบพื้นปถพี
จึงตรัสเรียกโอรสยศยงกับองค์อนุชาทั้งสองศรี
ต่างรีบกะระตะพาชีออกยืนที่ประจำโยธา
แล้วมีสิงหนาทโองการประกาศสั่งทวยหาญกองหน้า
จงเร่งตีทัพให้อัปราหักเอาดาหาในวันนี้
๏ บัดนั้นดะหมังรับสั่งใส่เกศี
ก็เร่งพลเร่งพวกพาชีเข้าต่อตีหักโหมโจมทัพ
บ้างเป่าชุดจุดยิงปืนใหญ่ฉัตรชัยมณฑกนกสับ
นายกอกแกว่งดาบวาบวับต่างขับพลวิ่งเข้าชิงชัย
๏ บัดนั้นนายทหารกุเรปันไม่หวั่นไหว
ให้ระดาปืนตับรับไว้แล้วไล่โยธีตีประจัญ
ต่างมีฝืมือดื้อดึงวางวิ่งเข้าถึงอาวุธสั้น
ดาบสองมือถือโถมทะลวงฟันเหล่ากฤชติดพันประจัญรบ
ทหารหอกกลอกกลับสัประยุทธป้องปัดอาวุธไม่หลีกหลบ
พวกพลพาชีตีกระทบรำทวนสวนประจบทบแทง
บ้างสกัดซัดพุ่งหอกคู่เกาทัณฑ์ธนูน้าวแผลง
ตะลุมบอนฟอนฟันกันกลางแปลงต่อแย้งยุทธยิงชิงชัย
ตายระดับทับกันดังฟอนฟางเลือดนองท้องช้างเหลวไหล
กองหลังประดังหนุนขึ้นไปตัวนายไล่ไพร่เข้าบุกบัน
๏ เมื่อนั้นสังคามาระตาแข็งขัน
เห็นพวกพลไพรีตีประจัญโยธาขยั้นหยุดยั้ง
พระกริ้วโกรธหนักดังอัคคีแกว่งกระบี่ขี่ขับม้าที่นั่ง
โรมรุกบุกไปแต่ลำพังไลหลังพวกพลเข้ารณรงค์
๏ เมื่อนั้นองค์ระเด่นมนตรีสูงส่ง
กับระเด่นทั้งสามสุริย์วงศ์ต่างองค์ผันแปรแลตาม
เห็นสังคามาระตากล้านักยังอ่อนศักดิ์หักศึกไม่นึกขาม
มิไว้ใจในทีทำสงครามต่างขับม้าตามไปทันใด
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงเป็นใหญ่
เห็นระเด่นทั้งสี่จึงถามไปเจ้าผู้ใดที่ชื่อจรกา
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีใจกล้า
ยิ้มพลางทางตอบวาจาเรายกมาแต่กรุงกุเรปัน
จะสังหารผลาญพวกปัจจามิตรที่มาติดดาหาเขตต์ขัณฑ์
ซึ่งท่านถามหาจรกานั้นมิได้มาด้วยกันในกองนี้
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
รู้ว่าระเด่นมนตรีภูมีครั่นคร้ามขามวิญญาณ์
แต่มานะตอบไปด้วยใจหาญเจ้าผู้วงศ์วานอสัญหยา
แต่ละองค์ทรงโฉมโสภาชันษาอายุก็ยังเยาว์
ได้เห็นก็เป็นน่าเสียดายจะพากันมาตายเสียเปล่า ๆ
ไม่ควรคู่สู้รบกันกับเราครั้นจะฆ่าเสียเล่าก็อายใจ
อันหนึ่งตัวเจ้ากับเรานี้จะราคีเคืองกันก็หาไม่
ให้จรกามาเถิดจะชิงชัยเจ้าจะได้ดูเล่นเป็นขวัญตา
๏ เมื่อนั้นพระองค์วงศ์อสัญแดหวา
จึงว่าอันตัวจรกามิได้อยู่ดาหาธานี
เมื่อหลับตามารบให้ผิดเมืองรี้พลตายเปลืองไม่พอที่
จะรบกับจรกาดังว่านี้จงล่าเลิกโยธีถอยไป
แม้นไม่รู้แห่งเมืองจรกาจะช่วยชี้มรรคานำให้
จะขืนตั้งประชิดติดกรุงไกรจะชิงชัยไม่ฟังท่านพาที
มาตรแม้นจรกามิมาเล่าตัวเราจำช่วยด้วยเป็นพี่
เมตตาว่าน้องเป็นสตรีจะทอดทิ้งมารศรีเสียอย่างไร
ใช่นางเกิดในประทุมาสุริย์วงศ์พงศานั้นหาไม่
จะมาช่วงชิงกันดังผลไม้อันจะได้นางไปอย่าสงกา
             

๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงใจกล้า
จึงว่าเรายกโยธาหมายมาจะชิงพระบุตรี
ถึงจะรับของสู่ระตูไว้ยังมิได้ทำการภิเษกศรี
จรกาไม่มาก็ยิ่งดีไม่มีผู้หวงแหนเกียจกัน
สุดแต่นางอยู่ที่ไหนเราจะชิงชัยที่นั่น
อันชิงนางอย่างนี้ไม่ผิดธรรม์ธรรมเนียมนั้นมีแต่บุราณมา
สุดแต่ใครดีก็ใครได้การอะไรของเจ้าผู้เชษฐา
จงยกทัพกลับคืนไปพาราเบื้องหน้าจะได้สืบสุริย์วงศ์
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีตอบตามประสงค์
ซึ่งจะให้เรายกจตุรงค์คืนคงกรุงไกรนั้นไม่ควร
อับอายไพร่ฟ้าประชาชนเสนีรี้พลจะแซ่สรวล
หรือหมายไม่สมคะเนเรรวนจึงชวนพูดจาอย่าทัพ
อย่าพักอุบายให้ตายใจท่านมิยกคืนไปก็ไม่กลับ
รี้พลก็จะพลอยย่อยยับเรากับระตูมาสู้กัน
จะได้ดูฤทธีฝืมือให้ลือชื่อในชะวาเขตต์ขัณฑ์
หรือรักตัวกลัวจะม้วยชีวันบังคมคัลจะให้คืนไปพารา
๏ เมื่อนั้นวิหยาสะกำใจกล้า
ได้ฟังคั่งแค้นแทนบิดาจึงตอบวาจาว่าไป
ดูกอ่นอริราชไพรีอย่าพาทีลบหลู่ท่านผู้ใหญ่
โอหังบังอาจประมาทใครจะนบนอบยอบไหว้อย่าพึงนึก
มิเราก็เจ้าจะตายลงอย่าหมายจิตต์คิดทะนงในการศึก
ยังมิทันพันตูมาขู่คึกจะรับแพ้แลลึกไม่มีลาย
๏ เมื่อนั้นสังคามาระตาเฉิดฉาย
ฟังวิหยาสะกำอภิปรายหยาบคายเคืองขัดอัธยา
จึงทูลองค์ระเด่นมนตรีน้องนี้จะขออาสา
สู้วิหยาสะกำผู้ศักดาพระองค์จงยืนม้าเป็นประธาน
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีใจหาญ
จึงตอบอนุชาชัยชาญเจ้าจะต้านต่อฤทธิ์ก็ตามใจ
แต่อย่าลงจากพาชีเพลงกระบี่ยังหาชำนาญไม่
เพลงทวนสันทัดชัดเจนใจเห็นจะมีชัยแก่ไพรี
๏ เมื่อนั้นสังคามาระตาเรืองศรี
น้อมองค์ลงถวายอัญชลีกะระตรพาชีขึ้นไปพลัน
๏ ยืนม้าอยู่ตรงวิหยาสะกำแสร้งทำเป็นทีเย้ยหยัน
แล้วว่าใครไม่คิดแก่ชีวันจะชิงตุนาหงันพระธิดา
จงมาเล่นทวนด้วยกันก่อนให้เห็นฤทธิรอนแกล้วกล้า
แม้ควรคู่กับวงศ์เทวาจึงจะยกกัลยาให้ไป
๏ เมื่อนั้นวิหยาสะกำศรีใส
ได้ฟังแค้นขัดอัดใจจึงตอบคำไปด้วยพลัน
ดูก่อนผู้เรืองฤทธิรงค์รูปทรงงามสมคมสัน
เชื้อชาติญาติวงศ์พงศ์พันธุ์อยู่เขตต์ขัณฑ์ธานีบุรีไร
หรือเป็นวงศ์อสัญแดหวาในสี่นคราเป็นไฉน
จึงปั้นหน้ามาต่อฤทธิไกรไม่กลัวชีวาลัยจะมรณา
ที่ยืนม้าอยู่ข้างหลังนั้นกั้นกลดพื้นสุวรรณโอ่อ่า
นามวงศ์พงศ์ใครจงบอกมาแจ้งกิจจาแล้วจึงจะรบกัน
๏ เมื่อนั้นสังคามาระตาเฉิดฉัน
ได้ฟังดังศรเสียดกรรณจึงตอบไปพลันทันใด
อันองค์สมเด็จพระเป็นเจ้าคืออิเหนากุเรปันเป็นใหญ่
นั่นกะหรัดติปาตีชาญชัยร่วมในสุริย์วงศ์ธิบดี
นี่สุหรานากงทรงสวัสดิ์องค์อะนะสิงหัดส่าหรี
นั่นระเด่นดาหยนภูมีอยู่หมันหยาธานีกรุงไกร
เราชื่อสังคามาระตาหน่อท้าวปักมาหงันเป็นใหญ่
ได้เป็นอนุชาเรืองชัยภูวไนยองค์ระเด่นมนตรี
๏ เมื่อนั้นวิหยาสะกำเรืองศรี
ยิ้มแล้วจึงตอบวาทีซึ่งว่ามานี้ก็เข้าใจ
อันกาหลังสิงหัดส่าหรีนั้นดาหากุเรปันกรุงใหญ่
หมันหยาธานีนั้นไซ้ก็แจ้งใจว่าวงศ์นั้นสืบมา
ตัวสิอยู่ปักมาหงันใช่วงศ์อสัญแดหวา
เหตุใดว่าเป็นอนุชานับในวงศาประการใด
หรือหนึ่งพึ่งจะมาเป็นน้องเกี่ยวข้องรักกันเป็นไฉน
เราคิดเห็นผิดประหลาดใจจงบอกไปแต่จริงบัดนี้
๏ เมื่อนั้นสังคามาระตาเรืองศรี
ฟังวิหยาสะกำพาทีดังตรีเพ็ชร์บาดในอุรา
จึงร้องว่าเหวยไพรินลมลิ้นหยาบคายหนักหนา
มาถามไถ่ไล่เอาสัจจาคือจะปรารถนาสิ่งใด
สุดแต่ว่าจิตพิศวาสก็นับว่าวงศ์ญาติกันได้
อย่าชักเจรจาให้ช้าไปจะชิงชัยให้เห็นฝืมือกัน
ว่าพลางทางกรายปลายทวนรำร่ายเป็นกระบวนหวนหัน
ชักอาชาชิดติดพันเข้าประจัญจ้วงโจมโถมแทง
๏ เมื่อนั้นวิหยาสะกำเข้มแข็ง
ขับม้าเลี้ยวล่อต่อแย้งกรายพระแสงทวนรำเป็นทำนอง
กลอกกระหยับกลับแทงทั้งซ้ายขวาสังคามาระตาปัดป้อง
ถ้อยทีหนีไล่รับรองเปลี่ยนท่าทวนทองแทงกัน
๏ เมื่อนั้นสังคามาระตาแข็งขัน
ขับม้าไว้ว่องป้องประจัญเป็นเชิงชั้นชิงชัยในทีทวน
ร่ายรับกลับแทงไม่แพลงพล้ำวิหยาสะกำผัดผันหันหวน
ต่างเรียงเคียงร่ายย้ายกระบวนปะทะทวนรวนรุกคลุกคลี
๏ เมื่อนั้นวิหยาสะกำเรืองศรี
ชักม้าวงวิ่งชิงทีโหมหักไพรีด้วยแรงฤทธิ์
โถมแทงแล้วแปลงเปลี่ยนกระบวนทบทวนม้าที่นั่งไม่พลั้งผิด
หมายเขม้นเข่นฆ่าปัจจามิตรตามติดต้านทานราญรอน
๏ เมื่อนั้นสังคามาระตาชาญสมร
รบรับเคี่ยวขับอัศดรยอกย้อนเป็นกลรณรงค์
กลับกลอกรำร่ายกรายพระแสงปะทะแทงทะลวงไล่พอให้หลง
แล้วทำเสียเชิงชักม้าทรงตลบองค์เวียนหันไปทันที
พระเนตร์มุ่งหมายม้าวิหยาสะกำเห็นถลำเลี้ยวไล่ได้ที่
แทงสอดลอดเกราะถูกไพรีตกจากพาชีมรณา
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงใจกล้า
เห็นโอรสต้องศาสตราตกจากอาชาบรรลัย
พระกริ้วโกรธโกรธาบ้าจิตต์จะรอรั้งยั้งคิดก็หาไม่
แกว่งหอกควบขับอาชาไนยเข้ารุกไล่สังคามาระตา
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์พงศ์อสัญแดหวา
เห็นไพรีรุกไล่อนุชาพระขับม้าถลันออกกั้นกาง
กลับกลอกหอกทรงพุ่งสกัดระตูรับผันผัดไม่ขับขวาง
พระชักอาชาไนยไว้วางสะบัดย่างเชือนชายย้ายทำนอง
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงไวว่อง
ขับม้าวงวิ่งชิงคลองแคล่วคล่องกลับกลอกหอกซัด
ขยับกรผ่อนพุ่งข้างละทีระเด่นมนตรีป้องปัด
ระตูตามติดพันด้วยสันทัดผันผัดอาวุธกันไปมา
๏ เมื่อนั้นพระผู้พงศ์เทวันอสัญหยา
รบพลางทางชักอาชารั้งรำรอไว้ไม่รอนราญ
จึงคิดว่าระตูผู้นี้ท่วงทีสามารถอาจหาญ
ทั้งอาวุธต่าง ๆ ก็ชำนาญจะผลาญบนหลังม้าเห็นยากใจ
อย่าเลยจะชวนตีกระบี่ได้ทีจะฆ่าเสียให้ได้
คิดแล้วจึงร้องประกาศไปดูก่อนภูวไนยธิบดี
เรารบกันบนหลังอาชาต่างกล้าสามารถไม่ถอยหนี
มาจะลงยังพื้นปถพีตีกระบี่ให้เห็นฝืมือกัน
ว่าพลางลงจาอัศดรพระกรทรงกระบี่ผายผัน
รำร่ายหันเหียนเวียนระวันหมายมั่นเข่นฆ่าราวี
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
จึงถอดโกลนโจนจากพาชีภูมีไม่ยั้งรั้งรา
ทรงกระบี่รำเรียงเคียงร่ายประปรายปลายกระบี่แล้วให้ท่า
กระหยับหันผันหลังออกมาแล้วกลับหน้าจ้วงโจมเข้าฟันแทง
๏ เมื่อนั้นพระสุริย์วงศ์เทวากล้าแข็ง
กลับกระบี่ให้ท่าเปลี่ยนแปลงต่อแย้งย่างท้าวก้าวชิด
แทงต้องระตูแล้วฟันซ้ำไม่ชอกช้ำผิวหนังแต่สักหนิด
ต่างทรงศักดาวราฤทธิ์เลี้ยวไล่ตามติดต้านทาน
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงห้าวหาญ
แกว่งกระบี่ผัดผันประจัญบานไม่ย่อท้อต่อต้านราญรบ
แทงทะลวงจ้วงฟันทันทีระเด่นมนตรีหลีกหลบ
กระบี่ต่อกระบี่ตีกระทบเป็นประกายกลุ้มกลบกันไปมา
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีใจกล้า
เห็นระตูต่อตีมีศักดาคงทั้งศาสตราอาวุธ
ทางหนีทีไล่ไวว่องเพลงกระบี่ตีคล่องเป็นที่สุด
ยากที่ใครจะรอต่อยุทธ์เป็นบุรุษย์ผู้หนึ่งในแดนไตร
จำกูจะสังหารด้วยกฤชซึ่งเทเวศร์ประสิทธิ์ประสาทให้
คิดพลางชักกฤชฤทธิไกรแล้วร้องว่าไปมิได้ช้า
ดูก่อนระตูภูมีเพลงกระบี่ตีกันจนสิ้นท่า
ต่างคนไม่แพ้ฤทธาเรามารำกฤชสู้กัน
ว่าพลางทางถอดกฤชกรายเยื้องย้ายร่ายรำบิดผัน
กวักพระหัตถ์ตรัสเรียกระตูพลันพระทำทีเย้ยหยันไพรี
๏ เมื่อนั้นท้าวกะหมังกุหนิงเรืองศรี
ได้ฟังชื่นชมยินดีครั้นนี้อิเหนาจะวายชนม์
อันเพลงกฤชชะวามลายูกูรู้สันทัดไม่ขัดสน
คิดแล้วชักกฤชฤทธิรนร่ายรำทำกลมารยา
กรขวานั้นกุมกฤชกรายพระหัตถ์ซ้ายนั้นถือเช็ดหน้า
เข้าปะทะประกฤชด้วยฤทธาผัดผันไปมาไม่ครั่นคร้าม
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีชาญสนาม
พระกรกรายกฤชติดตามไม่เข็ดขามคร้ามถอยคอยรับ
หลบหลีกไวว่องป้องกันผัดผันหันออกกลอกกลับ
ปะทะแทงแสร้งทำสำทับย่างกระหยับรุกไล่มิได้ยั้ง
๏ เห็นระตูถอยเท้าก้าวผิดพระกรายกฤชแทงอกตลอดหลัง
ล้มลงด่าวดิ้นสิ้นกำลังมอดม้วยชีวังปลดปลง
๏ เมื่อนั้นกะหรัดติปาตีสูงส่ง
ทั้งระเด่นดาหยนสุริย์วงศ์สุหรานากงทรงฤทธิ์
เห็นระเด่นมนตรีต่อสู้แทงระตูแม่ทัพดับจิตต์
สามองค์ทรงม้ากระชั้นชิดจะสังหารผลาญชีวิตไพรี
ต่างเข้าลุยไล่ไม่รอรั้งท้าวปาหยังประหมันผันหนี
ทหารโห่เอาชัยได้ทีตามตีโยธาฝ่าฟัน
๏ เมื่อนั้นระตูปาหยังประหมัน
สุดที่จะรับรอบป้องกันพลขันธ์พังพ่ายตายยับ
ไพร่พลัดจากนายกระจายหนีเห็นเสียทีตีม้าควบขับ
ปลอมพลปนไปในกองทัพไม่ผันหน้ามารับแต่สักคน
บ้างเข้าแบกคนละบ่าพานายวิ่งประเจียดเครื่องเปลื้องทิ้งไว้เกลื่อนกล่น
บ้างหนามเกี่ยวหัวหูไม่รู้ตนซุกซนด้นไปแต่ลำพัง
บางเหล่าทิ้งไถ้เขนงปืนลือตื่นเสียงเพื่อนกันข้างหลัง
ที่ถูกปืนป่วยขาละล้าละลังอุสส่าห์คลานซานซังซุกไป
๏ ครั้นมาถึงท้ายค่ายมั่นท้าวประหมันปาหยังเปนใหญ่
จึงหยุดปรึกษากันทันใดอันเราจะหนีไปเห็นไม่พ้น
ครั้นจะคืนเข้าค่ายรายรับไม่ทันทีกองทัพยังสับสน
จะซ้ำเสียเสนีรี้พลจำจะผ่อนให้พ้นมรณา
มาเราจะเข้าบังคมคัลพระผู้พงศ์อสัญแดหวา
จึงให้ยกธงอัปราโยธายั้งหยุดพร้อมกัน
๏ สององค์ลงจากอาชาเสด็จมากับหมู่กิดาหยัน
เสนาแวดล้อมแน่นนันต์จรจรัลมาสมรภูมิ์ชัย
๏ ครั้นถึงจึงแจ้งกิจจาแก่ตำมะหงงเสนาผู้ใหญ่
เราน้องระตูที่บรรลัยตั้งใจมาเฝ้าบาทบงสุ์
๏ บัดนั้นจึงมหาเสนาตำมะหงง
พาระตูพี่น้องทั้งสององค์มาเฝ้าพระสุริย์วงศ์ทรงธรรม์
๏ วันทาทูลแถลงแจ้งคดีบัดนี้ท้าวปาหยังประหมัน
น้องระตูผู้ม้วยชีวันมาบังคมคัลภูวไนย
๏ เมื่อนั้นสองระตูตัวสั่นหวั่นไหว
กราบบาทมูลแล้วทูลไปภูวไนยได้ทรงพระเมตตา
ข้าบาททั้งสองเป็นไพรีโทษผิดครั้งนี้หนักหนา
จงโปรดปรานขอประทานชีวาไว้เป็นข้าใต้เบื้องบทมาลย์
ขอเอาพระเดชปกเกศเกล้าตราบเท่าสิ้นชีพสังขาร
ถึงปีจะมีบรรณาการมาถวายตามบุราณประเพณี
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
ฟังระตูสองราพาทีภูมีจึงตรัสตอบไป
ซึ่งท่านมาวอนง้อขอโทษเราจะถือโกรธนั้นหาไม่
อันเชษฐานัดดาซึ่งบรรลัยเพราะใจโอหังกำลังพาล
ท่านจงรับศพทั้งสองนั้นพากันกลับไปยังถิ่นฐาน
บูชาเพลิงปลงส่งสักการให้พร้อมวงศ์วานในธานี
๏ ตรัสพลางย่างเยื้องยุรยาตร์องอาจดังไกรสรสีห์
สองระตูตามเสด็จจรลีไปที่วิหยาสะกำตาย
มาเห็นศพทอดทิ้งกลิ้งอยู่พระพินิจพิศดูแล้วใจหาย
หนุ่มน้อยโสภาน่าเสียดาควรจะนับว่าชายโฉมยง
ทนต์แดงดังแสงทับทิมเพริดพริ้มเพรารับกับขนง
เกศาปลายงอนงามทรงเอวองค์สารพัตรไม่ขัดตา
กระนี้หรือบิดามิพิศวาสจนพินาศด้วยโอรสา
แม้นว่าระตูจรกางามเหมือนวิหยาสะกำนี้
มิได้ร้อนรนด้วนปนศักดิ์น่ารักรูปทรงส่งศรี
ตรัสแล้วลีลาขึ้นพาชีกลับไปยังที่พลับพลาพลัน
๏ เมื่อนั้นสองระตูวิโยคโศกศัลย์
กอดศพเชษฐาเข้าจาบัลย์พิไรร่ำพรรณโศกา
๏ โอ้ว่าพระองค์ผู้ทรงยศพระเกียรติ์ปรากฏในแหล่งหล้า
สงครามทุกครั้งแต่หลังมาไม่เคยอัปราแก่ไพรี
ครั้งนี้ควรหรือมาพินาศเบาจิตต์คิดประมาทไม่พอที่
เพราะรักบุตร์สุดสวาทแสนทวีจะทัดทานภูมีไม่เชื่อฟัง
อนิจจาวิหยาสะกำเอ๋ยเวรสิ่งใดเลยแต่หนหลัง
เสียแรงเรืองฤทธีมีกำลังมาวอดวายชีวังแต่ยังเยาว์
ตั้งแต่นี้ไปไม่เห็นหน้ากลับคืนพาราจะเงียบเหงา
สองกษัตริย์กำสรดซบเซาให้ละห้อยสร้อยเศร้าวิญญาณ์
๏ ครั้นคลายวายโศกกรรแสงศัลย์ให้เชิญศพทรงธรรม์เชษฐา
กับศพศรีราชนัดดาขึ้นมหาบุษบกรถชัย
ระตูสององค์ทรงอัศดรเลิกนิกรโยธาทัพใหญ่
เข้าในพนมพนาลัยกลับไปยังราชธานี
๏ บัดนั้นเสนาดาหากรุงศรี
เห็นอิเหนามีชัยแก่ไพรีก็เผ่นขึ้นพาชีรีบมา
๏ ครั้นถึงซึ่งท้องพระโรงคัลอภิวันท์องค์ศรีปัตหรา
ทูลว่าอิเหนานัดดาเข่นฆ่าไพรีวายปราณ
๏ เมื่อนั้นพระปิ่นปักนัคเรศราชฐาน
แจ้งว่าข้าศึกประลัยลาญมีความเกษมสานต์โสมนัส
ซึ่งดาลเดือดนัดดามาแต่หลังก็ค่อยคลายแค้นคั่งเคืองขัด
เสด็จจากแท่นที่นั่งบัลลังก์รัตน์เข้าปราสาทจำรัสรูจี
๏ บัดนั้นตำมะหงงกุเรปันกรุงศรี
จึงสั่งพนักงานทันทีบัดนี้เสร็จการชิงชัย
จะเชิญเสด็จพระโฉมยงไปสรงสนานในสระใหญ่
ริมเชิงกุหนุงมาลัยเร่งไปปลูกเกยและพลับพลา
ประชุมเหล่าโหราราชครูพราหมณ์ชีบีกูประมาหนา
สำหรับราชพิธีกษัตราให้พร้อมแต่เวลาตะวันชาย
๏ บัดนั้นจึงเหล่าพนักงานทั้งหลาย
รับคำบังคับคำนับนายออกจากค่ายเข้าป่าพากันไป
๏ ครั้นถึงซึ่งฝั่งสระศรีริมเชิงคิรีเขาใหญ่
เกณฑ์กันปลูกเกยพลับพลาชัยทุกหมวดหมายนายไพร่ระดมกัน
๏ บัดนั้นตำมะหงงเสนาคนขยัน
เข้าไปเฝ้าองค์พระทรงธรรม์บังคมคัลแล้วทูลทันใด
อันประเวณีกษัตริยแต่ก่อนรณรงค์ราญรอนศึกใหญ่
แม้นชะนะไพรีมีชัยย่อมไปสระสนานสำราญองค์
ขอเชิญเสด็จพระภูวนาถลีลาศไปชำระสระสรง
ยังสระชื่อเบ็ญจบุษบงให้เป็นมงคลสวัสดี
๏ เมื่อนั้นระเด่นมนตรีเรืองศรี
ฟังคำตำมะหงงเสนีภูมีชื่นชมภิรมยา
จึงเสด็จขึ้นม้าที่นั่งทรงกับระเด่นสี่องค์วงศา
พร้อมม้าพี่เลี้ยงและเสนาม้าหมู่โยธาพลไกร
ครบถ้วนกระบวนพาชีขับขี่สะบัดย่างวางใหญ่
ควบแข่งแซงเสียดกันไปตามแถวแนวไม้ชายดง
             

เชิงอรรถ

ที่มา

  • คุณพรพรรณ วัฑฒนายน ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน
  • [1]
เครื่องมือส่วนตัว