บทละครนอกเรื่องสังข์ทอง

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
CrazyHOrse (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
(หน้าที่ถูกสร้างด้วย '== ข้อมูลเบื้องต้น == {{เรียงลำดับ|}} [[หมวดหมู่:วรรณคดี…')
แตกต่างถัดไป →

การปรับปรุง เมื่อ 04:24, 19 ตุลาคม 2552

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

บทประพันธ์

===ตอนที่ ๑ กำเนิดพระสังข์===
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงท้าวยศวิมลไอศวรรย์
ไร้บุตรสุดวงศ์พงศ์พันธุ์วันหนึ่งนั้นไปเลียบพระนคร
ราษฏรร้องว่าให้หาบุตรพระทรงภุชร้อนจิตดังพิษศร
มิได้เสวยสรงสาครนั่งนอนร้อนใจใช่พอดี
ประชาชนจนจิตไม่คิดหวังยิ่งประดังพลุกพล่านทั้งกรุงศรี
เวทนาเป็นพระยาสมบัติมีมาไร้ที่โอรสยศไกร
จึงดำรัสตรัสเล่ามเหสีถ้วนถี่ชี้แจงแถลงไข
เจ้ามาช่วยพี่คิดนะดวงใจค้นคว้าหาไปดูตามบุญ
บวงสรวงซ่องเซทุกเวลารักษาศีลด้วยช่วยอุดหนุน
ถ้วนทุกนางในให้พร้อมมูลเกลือกบุญของใครได้สร้างมา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นมเหสีมิได้คิดอิจฉา
คำนับรับราชบัญชาพระอย่าระคางหมางใจ
จะพึ่งพ่อขอฝากดวงชีวันหาคิดเกียดกันฉันทาไม่
ตามแต่กุศลของใครให้สิ้นสงสัยพระทัยปอง
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังนาฏพิศวาสในน้ำคำสนอง
สั่งท้าวนางในดังใจปองให้แต่งของบูชาบรรณาการ
พลบค่ำย่ำแสงสุริยายกมาเตรียมไว้ในสถาน
บอกเหล่าสาวศรีบริวารสั่งการให้ทั่วทุกตัวนาง
จัดแจงแต่งเครื่องบูชาธูปเทียนชวาลาต่างต่าง
ทุกวันทุกเวรอย่าเว้นว่างนอนปรางค์ข้างที่เราทุกคน
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นภูวไนยมีพระทัยขวายขวน
เห็นนางในนอนทั่วทุกตัวคนตรัสบอกยุบลสนทนา
ดูก่อนเหล่านางทั้งหลายเราหมายมุ่งมาดปรารถนา
จำนงจะประสงค์ลูกยาไม่เห็นแก่หน้าฉันทาใคร
ชวนกันตั้งจิตพิษฐานบนบานตามชอบอัชฌาสัย
ใครเกิดบุตรายาใจเวียงชัยจะให้แก่ลูกรัก
ตรัสพลางทางเข้าแท่นที่ชวนพระมเหสีมีศักดิ์
บวงสรวงเทวาสุรารักษ์ในห้องทองสุรศักดิ์ตำหนักชัย
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
</sup>สระบุหรง<\sup>
๏ จึงจุดธูปเทียนประทีปแล้วเพริศแพรวพร้อมที่ศรีใส
ทั้งสองพระองค์จำนงในตั้งใจบริสุทธิ์ดุษฎี
นอบน้อมพร้อมจิตพิษฐานเดชะสมภารข้าสองศรี
ปกป้องไพร่ฟ้าประชาชีโดยดีเป็นธรรม์นิรันดร์มา
ข้าไซร้ไร้บุตรสุดสวาทจะบำรุงราษฏร์ไปภายหน้า
พระเสื้อเมืองเรืองชับได้เมตตาขอให้เกิดบุตรายาใจ
เสร็จแล้วพระแก้วก็ไสยาทรงศีลห้าทุกวันหาขาดไม่
ทศธรรมไม่ลำเอียงใครภูวไนยเข้าที่บรรทมพลัน
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ มาจะกล่าวบทไปสุราลัยในดาวดึงส์สวรรค์
เมื่อผลจะสิ้นพระชนม์นั้นอัศจรรย์ร้อนรนเป็นพ้นไป
รัศมีศรีตนก็หม่นหมองสิ่งของของตัวก็มัวไหม้
เทวาตระหนกตกใจแจ้งในพระทัยจะวายชนม์
แล้วจึงตรึกตรองส่องเนตรแจ้งใจในเหตุเภทผล
พระเจ้าท้าวยศวิมลให้พรากจากดาวดึงส์สวรรค์
อย่าเลยจะจุติพลันอย่าให้เทวัญทันนิมนต์
ลงไปเกิดในมนุสสาแสวงหาศีลทานการกุศล
คิดแล้วกลั้นใจให้วายชนม์ปฏิสนธิ์ยังครรภ์กัลยา
ฯ ๑๐ คำ ฯ คุกพากย์
</sup>ช้า<\sup>
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลฝันว่า
วันเมื่อจะได้พระลูกยาเข้าที่นิทราในราตรี
ฝันเห็นเป็นเทพสังหรณ์ทินกรจะใกล้ไขสี
สะดุ้งตื่นฟื้นพลันทันทีจำได้ถ้วนถี่ในนิมิต
ฯ ๔ คำ ฯ
</sup>ร่าย<\sup>
๏ พอรุ่งสางสว่างสุริยงสระสรงทรงเครื่องไพจิตร
ออกท้องพระโรงชัยอำไพพิศสถิตบัลลังก์กระจังทอง
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ เสนาข้าเฝ้าก็กราบกรานจึงมีโองการสารสนอง
กับโหรผู้ใหญ่ดังใจปองท่านจงตรึกตรองดูในสุบิน
ฝันว่าอาทิตย์ฤทธิรงค์ตกลงตรงพักตร์ข้างทักษิณ
ดาวน้อยพลอยค้างอยู่กลางดินเราผินพักตร์ฉวยเอาด้วยพลัน
มือซ้ายได้ดวงดารามือขวาคว้าได้สุริย์ฉัน
แล้วหายไปแต่พระสุริยันต่อโศกศัลย์ร่ำไรจึงได้คืน
สักสามยามหย่อนค่อนรุ่งเราสะดุ้งคว้าหาผวาตื่น
ดีร้ายทายตามอย่ากล้ำกลืนตาหมี่นโหราจงว่าไป
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นยอดโหราหามีเสมอไม่
คิดคูณหารดูรู้แจ้งใจภูวไนยจะเกิดบุตรา
จึงทูลทายทำนายตามสุบินว่าพระปิ่นนางในฝ่ายขวา
จะทรงครรภ์พระราชบุตราบุญญาธิการมากมี
แต่จะพลัดพรากไปจากวังภายหลังจึงจะคืนกรุงศรี
ดาราคือพระบุตรีจะเกิดที่สนมอันควร
ฝันว่าพระทรงโศกาจะได้ชมลูกยาเกษมสรวล
ทายตามสุบินสิ้นกระบวนถี่ถ้วนจงทราบพระบาทา
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ ฟังทูลพระไพบูลย์ภิรมย์หรรษา
แย้มโอษฐ์โปรดตรัสแก่โหราแม้นเหมือนท่านว่าจะรางวัล
ราษฏร์ฟ้องร้องว่าให้หาบุตรสุดคิดที่เราจะผ่อนผัน
บัดสีกับใจใครจะทันว่าแล้วผายผันเข้าวังใน
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงแจ้งกับองค์มเหสีถ้วนถี่ชี้แจงแถลงไข
พระค่อยเป็นสุขสนุกใจทรามวัยงานขึ้นทุกคืนวัน
เปล่งปลั่งมังสาดังทาทองพระเต้าคล้ำมัวหมองทั้งสองถัน
เส้นพาดพานทรวงดวงจันทร์แจ้งว่าทรงครรภ์มั่นคง
ผิวพรรณผุดผ่องละอองพักตร์พระแสนสุดที่รักนวลหง
จัดเลือกแสนสาวที่รูปทรงมาห้อมล้อมโฉมยงอนงค์นวล
แล้วหยอกถามว่าใครอย่างไรบ้างได้การแล้วหรือยังพระแย้มสรวล
อุตส่าห์ทาแป้งแต่งนวลสำรวลสรวลวสันต์บันเทิงใจ
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ จึงเห็นจันเทวีพระสนมเนื้อนมครัดเคร่งเร่งสงสัย
แจ้งว่ามีครรภ์มั่นแม่นใจจัดแจงแต่งให้นางเทวี
นางใดที่ไม่มีครรภ์แก้ฝันเห็นของก็หมองศรี
ก้มเกล้ากราบลาพระจักรีจันทาเทวีก็ลีลา
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ ฝ่ายนางจันทามาถึงห้องเศร้าหมองตรองจิตคอยอิจฉา
อาบเอิบกำเริบด้วยโภคาผ่านฟ้าว่าใครมีครรภ์
สมบัติจะยกให้ลูกครองมีสองต้องคิดผิดผัน
ท่านมียศศักดิ์จะรักกันลูกเต้าเหล่านั้นจะหมองมัว
ที่ไหนจะได้พระบุรีสาวศรีจะชวนกันยิ้มหัว
ยิ่งตรึกยิ่งตรองยิ่งหมองมัวจึงเรียกนางแม่ครัวเข้าห้องใน
สาวศรีเจ้าจงเอ็นดูเราเบี้ยข้าวเงินทองจะกองให้
จงช่วยปิดงำอำไว้เอาทองไปให้แก่โหรา
เขียนหนังสือลับกำชับสั่งเราหวังไว้ใจเจ้าหนักหนา
ถอดแหวนสั่งให้มิได้ช้านี่ข้าถึงใจให้พลาง
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสาวใช้ได้กินสินจ้าง
เคารพนบนอบแล้วตอบพลางลูกแล้วอย่าหมางระคางใจ
สู้ตายจะตายด้วยแม่เจ้าลูกเล่าหาพีงผู้ใดไม่
แม่ได้ดีลูกนี้จะดีใจลากห่อทองได้ใส่แหวนมา
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ มาถึงซึ่งบ้านโหรเฒ่าจู่เข้าไปได้ในเคหา
ไหว้แล้วแก้ทองของจันทาคุณแม่ให้มาแต่ในวัง
ว่าคุณตายาใจปรานีด้วยจงช่วยให้สมอารมณ์หวัง
จงเห็นไมตรีให้จีรังแล้วยื่นหนังสือให้มิได้ช้า
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นโหรใหญ่สงสัยเป็นหนักหนา
รับเอาหนังสือที่มือมาใส่แว่นตาดูก็รู้ความ
นิ่งนึกตรึกตรองอยู่ในใจโลภเห็นแต่จะได้ไม่เกรงขาม
แม้นภูมิรับกลับความทองคำสามชั่งจะคืนไป
ถ้ากูแก้ไขนางจันทาเงินตราห้าชั่งนั้นจะได้
จึงว่ากับสาวศรีด้วยดีใจพอแก้ไขได้เป็นไรมี
แลเหลียวเปลี่ยวคนที่บนเรือนอิดเอื้อนจะใคร่ประสมศรี
สาวใช้เจ้าเข้าไปในที่วานหยิบบุหรี่ที่ริมเตียง
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ สาวใช้อดสูก็รู้เท่าไฮ้คุณตาเจ้าช่างกล่าวเกลี้ยง
ใครจะเข้าไปถึงในเตียงข้าวของรายเรียงจะหายไป
สะบัดมือได้แล้วไหว้ลาอย่านะฉันหาอะไรไม่
จึงวิ่งผลุนหนีพลันทันใดมายังวังในไปแจ้งความ
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ เมื่อนั้นมเหสีโฉมฉินปิ่นห้าม
ค่อยเพียรรักษาพยายามพระครรภ์โฉมงามได้สิบเดือน
จวนใกล้ฤกษ์พานาทีนาภีใหญ่น้อยก็คล้อยเคลื่อน
ระดมลมเส้นก็เต้นเตือนลูกน้อยคล้อยเคลื่อนเลื่อนลง
เจ็บครรภ์กระสันขึ้นทุกทีพ่างเพียงชีวีจะผุยผง
ร้องเรียกแสนสาวเหล่าอนงค์มาพร้อมล้อมองค์นางเทวี
เรียกพลางทางป่วนครวญครรภ์ช่วยกันเร็วเร็วนางสาวศรี
องค์สั่นยัยยุดทรุดอินทรีย์มเหสีโอดโอยโรยแรง
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นฝูงนางผู้รักษากล้าแข็ง
ฝืนท้องต้องนางยังคลางแคลงเห็นแข็งไปสิ้นไม่ดิ้นรน
กลมกลมกลิ้งกลิ้งยิ่งสงสัยหลากใจไม่เห็นตัวทั่วค้น
บ้างไปทูลองค์ทรงสกลให้ทราบยุบลกิจจา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงกราบทูลพระภูมินทร์ว่าพระปิ่นนางในฝ่ายขวา
จะคลอดสมเด็จพระลูกยาขอเชิญผ่านฟ้าเสด็จไป
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลเร่งผ่องใส
จะได้เห็นลูกน้อยกลอยใจในวันนี้แล้วแก้วตา
รีบไปด้วยไร้โอรสพระทรงยศแสนโสมนัสสา
นางในใครรู้ก็ตรูมาโฉมนางจันทาก็ตามไป
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
จึงกล่าวเอาใจมเหสีเจ้าพี่อย่าพรั่นหวั่นไหว
ลูกของเทวัญท่านให้ไว้แข็งใจขบฟันกลั้นทน
นักเทศจงไปสั่งการพนักงานของใครให้ขวายขวน
เตรียมไว้ในพระราชมณฑลขนมาประโคมพระลูกเรา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นมเหสีป่วนปั่นพระครรภ์เจ้า
มิได้วายว่างบางเบาเจ็บราวกับเขาผูกคร่าร้า
เป็นกรรมตามทันมเหสีจะจากที่สมบัติวัตถา
ยามปลอดก็คลอดพระลูกยากุมารากำบังเป็นสังข์ทอง
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา มโหรี
๏ มเหสีตระหนกอกสั่นสาวสรรค์หวั่นไหวทั้งในห้อง
ผ่านฟ้าดังเลือดตานองแตรสังข์แซ่ซ้องประโคมพลัน
พระทัยวาบสำเนียงเสียงศรีภูมีขับเหล่านางสาวสรรค์
ภูมินทร์เพียงจะสิ้นชีวันอับอายสาวสรรค์กำนัลใน
จึงตรัสแก่องค์มเหสีเจ้าพี่เราจะคิดเป็นไฉน
ไม่พอที่จะเป็นก็เป็นไปเมื่อหาลูกไม่ก็ทุกข์ทน
อุตส่าห์บนบานศาลกล่าวครั้นมีมาเล่าไม่เป็นผล
อับอายไพร่ฟ้าข้าคนพี่จะใคร่กลั้นชนม์ให้พ้นอาย
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังตรัสดังใครตัดเศียรเด็ดกระเด็นหาย
สองกรข้อนทรวงเข้าฟูมฟายนางถวายบังคมก้มโศกา
พ่อเจ้าพระคุณของเมียเอ๋ยกรรมสิ่งไรเลยเป็นหนักหนา
เสียแรงอุ้มทองประคองมาดีใจหมายว่างามหน้าเมีย
มิรู้ว่ามาได้อัปยศพลอยยศพระคุณให้สูญเสีย
พระองค์ทรงพระขรรค์ฟาดฟันเมียตายเสียอยู่ขายบาทบงสุ์
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นจันทาได้ช่องต้องประสงค์
กับโหรดูรู้กันไว้มั่นคงครั้นเข้าเฝ้าองค์พระทรงชัย
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ทูลว่าอนาถประหลาดจิตข้าคิดพิศวงสงสัย
ลูกคนเป็นหอยน่าน้อยใจหาเยี่ยงอย่างไม่แต่ก่อนมา
มีครรภ์เหมือนกันก็พรั่นตัวดีชั่วก็ยังกังขา
เดิมว่าโหรทายทำนายมาแต่แรกชายาจะทรงครรภ์
ว่าโอรสนั้นจะมีบุญได้เพ็ดทูลไว้ตามทำนายฝัน
เข้าไฟให้หายโรคันแล้วทรงธรรม์ตรัสถามเนื้อความดู
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังคำผลกรรมจะพรากจากคู่
แยบคายภายในมิได้รู้จริงอยู่โหรทายทำนายมา
ว่าจะมีท้องทั้งสองนั้นแม่นมั่นจริงจังดังปากว่า
เคยได้นับถือลือชาลูกยามาเป็นเช่นนี้ไป
จริงแล้วจะถามความก่อนให้แน่นอนว่าเห็นเป็นไฉน
จึงให้ทรามชมบรรทมไฟคลาไคลออกท้องพระโรงพลัน
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ ให้หาโหราเข้ามาเฝ้าพระเจ้าตรัสถามเนื้อความฝัน
เดิมทายโฉมยงว่าทรงครรภ์ก็แม่นมั่นเหมือนคำจำนรรจา
เหตุไรลูกน้อยเป็นหอยสังข์พลาดพลั้งบิดเบือนไม่เหมือนว่า
จะเป็นชายทายทูลว่าบุญญาถ้อยคำท่านว่านั้นผิดไป
ให้ดูแลหมายว่าจริงจังเลือดตากูดังจะย้อยไหล
เป็นเหตุเภทพาลประการใดโหราว่าไปอย่าอำพราง
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นโหรใหญ่ได้กินสินจ้าง
สมจิตคิดไว้จะให้นางพลัดพรากจากปรางค์ไปทางไกล
ทำค้นตำรามาดุแลบิดเบือนเชือนแชแก้ไข
แล้วทูลพระองค์ผู้ทรงชัยทายไว้มิใคร่จะคลาดคลา
เพราะบ้านเมืองร้ายต้องกลายกลับพระองค์ว่ากับโอรสา
เป็นกรรมตามทันกัลยาแม้นพระบุตราเป็นมนุษย์
จะเลิศเรืองเฟื่องฟุ้งงทั้งกรุงไกรเคราะห์ร้ายกลายไปเสียสิ้นสุด
บ้านเมืองก็จะล่มโทรมทรุดม้วยมุดฉิบหายวายปราณ
แม้นขับไล่ไปไกลบุรีธานีจะเย็นเกษมศานต์
อย่าไว้พระทัยให้เนิ่นนานเพลิงกาฬจะเผาเอาพารา
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ ฟังโหรทายดังจะวายชีวังสังขาร์
กระนั้นจริงเจียวหรือโหราอนิจจาหลัดหลัดมาพลัดกัน
ว่าพลางสะท้อนถอนใจกลั้นน้ำพระเนตรไว้แล้วผายผัน
คืนเข้าห้องแก้วแพรวพรรณหามิ่งเมียขวัญทันใด
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ ครั้นถึงจึงทิ้งพระองค์ลงบอกพลางทางทรงกันแสงไห้
โอ้กรรมเราทำไว้ปางใดจะไกลกันไปแล้วนะแก้วตา
มิพอที่จะเป็นก็มาเป็นเกิดเข็ญเพราะลูกเสน่หา
โหรทายร้ายนักเจ้าพี่อาว่าแก้วกัลยาเป็นกาลี
อยู่ไปจะได้แค้นเคืองบ้านเมืองจะยับต้องขับหนี
พี่จะขาดใจม้วยด้วยเทวีไม่มีความผิดสักนิดเลย
แสนสงสารนักด้วยรักใคร่จะจากกันฉันใดได้เฉยเฉย
อยู่อยู่ดีดีเจ้าพี่เอยไม่รู้ตัวเลยจะจากกัน
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังเอยฟังสารดังคนผลาญชีวาให้อาสัญ
นางตระหนกตกใจดังไฟกัลป์อกสั่นขวัญหนีไม่มีใจ
สวมสอดกอดบาทของผัวแก้วข้อนทรวงเข้าแล้วก็ร้องไห้
เมียให้ฆ่าฟันให้บรรลัยรักใคร่เมตตาไม่ฆ่าตี
โหรามันว่าเป็นคำสองพ่อตรองให้ควรถ้วนถี่
ขับไล่ไม่มาฆ่าตีเหมือนม้วยชีวีไปจากกัน
ร่ำพลางนางเกลือกเสือกกายดังจะวายชีวาด้วยโศกศัลย์
ซบพักตร์กับตักพระทรงธรรม์หวาดหวั่นนิ่งไปไม่พาที
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ เอะเอยเอะน้องแก้วผิดแล้วองค์เย็นดังเป็นผี
ร้องไห้นิ่ไปไม่พาทีอยู่บนตักพี่ไม่หายใจ
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ โอ้จันท์เทวีเจ้าพี่เอ๋ยทรามเชยเงยหน้าอย่าร้องไห้
อกของผัวรักจักหักไปลุกขึ้นดูใจปราศรัยกัน
พี่พูดด้วยเป็นไรไม่เจรจาแน่แล้วแก้วตาพี่อาสัญ
เจ้าอ้อนวอนพี่ให้ฆ่าฟันจะทำกันฉันใดไฉนนา
ถึงพลัดพรากลำบากกายมิตายได้เห็นกันวันหน้า
ไม่เงยพักตร์ขึ้นบ้างสั่งพี่ยาแก้วตามาตีตัวตาย
ตัดช่องน้อยไปแต่ตัวทิ้งผัวเสียได้น่าใจหาย
ร่ำพลางกอดพลางฟูมฟายระทวยกายกอดซบสลบพลัน
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นจันทาแสนกลคนขยัน
เห็นสองสลบทบทับกันผันผินรินน้ำกุหลาบมา
ชโลมองค์ทรงทาทั้งสองศรีค่อยได้สมประดีที่โหยหา
แล้วโลมเล้ากล่าวคำด้วยหยาบช้าเคราะห์กรรมทำมาจะโทษใคร
โหรเล่าใช่เขาจะชั่วช้าเคยนับถือมาแต่ไหนไหน
จำไปให้สิ้นเคราะห์ภัยเกลือกไปเคราะห์นั้นจะบรรเทา
ไม่ม้วยดับชีพสูญหายมิใช่ล้มตายอะไรเล่า
แต่พอเคราะห์นั้นค่อยบรรเทาแล้วเราจึงรับกันกลับมา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระฤาสายค่อนคลายที่โหยหา
ได้ฟังถ้อยคำนางจันทาตรึกตราสะท้อนถอนใจ
เห็นจริงไม่กริ่งถ้อยคำด้วยเวรากรรมมาทำให้
จึงมีวาจาว่าไปเจ้าเอาใจด้วยช่วยจัดแจง
ให้องค์นงเยาว์เจ้าไปกินทรัพย์สินเงินทองของแห้ง
สั่งเสนาในให้จัดแจงเรือแผงม่านวงให้จงดี
ส่งไปให้พ้นขอบเขตจะเนรเทศยอดรักมเหสี
ตรัสพลางดูนางแล้วโศกีภูมีเมินอายนางจันทา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางจันทาตัวคิดริษยา
ดีใจรับสั่งบังคมลาทำเช็ดน้ำตาแล้วคลาไคล
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ มิได้จัดแจงแต่งของเงินทองข้าวปลาไม่หาให้
กระซิบสั่งสาวศรีที่ร่วมใจเอาเงินไปให้แก่เสนา
ว่าเอ็นดูด้วยช่วยเราพาเอานางไปอย่าไว้หน้า
ไกลคนพ้นแดนพาราเสนาฆ่าเสียให้วอดวาย
สุดแต่อย่าให้มันครองวังปิดความกำบังให้สูญหาย
จะทดแทนคุณให้มากมายเจ้าอย่าแพร่งพรายให้ใครฟัง
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เสร็จสรรพกลับเข้าปราสาทศรีทูลความตามที่รับสั่ง
เงินทองของกินสิ้นยังเตรียมแล้วพร้อมพรั่งทั้งนาวา
บัดนี้ไพร่ฟ้าข้าเมืองลือเลื่องฮึกฮักหนักหนา
มันจะกลุ้มรุมกันทั้งพาราโกรธว่าจะพาให้ยากเย็น
ว่าช้าไปมิใคร่จะจากวังมันจะพังบ้านเมืองเคืองเข็ญ
น้ำตาข้าน้อยพลอยกระเด็นกรรมเวรเป็นไปทุกสิ่งอัน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังข่าวพระร้อนเร่าฤทัยไหวหวั่น
หลงกลด้วยกรรมาตามทันสำคัญว่าจริงทุกสิ่งไป
พินิจพิศพักตร์อัคเรศคลอเนตรสะท้อนถอนใจใหญ่
จะออกปากก็คับอับใจด้วยความรักใคร่ชายา
ครั้นจะมิให้เจ้าไปเล่าร้อนเร่าด้วยคำจันทาว่า
บ่ายเบื้อนเยื้อนออกวาจาเจ้าแก้วตาของพี่ผู้มีกรรม
เจ้าเคยพรากสัตว์ให้พลัดคู่เวรมาชูชุบอุปถัมภ์
แม้นมีกรรมไม่ไปใช้กรรมไพร่ฟ้ามันจะทำย่ำยี
มิใช่พี่ไม่รักน้องร่วมห้องอกสั่นกันแสงศรี
ไม่ยับดับสูญบุญมีเคราะห์ดีสิ้นกรรมจะเห็นกัน
ตรัสพลางดูนางมิใคร่ได้ชลนัยน์ไหลรินแล้วผินผัน
เดินเข้าห้องแก้วแพรวพรรณรูดพันม่านทองเข้าโศกา
ฯ ๑๒ คำ ฯ เสมอ โอด
๏ เมื่อนั้นมเหสีตีทรวงไห้โหยหา
พ่างเพียงจะสิ้นชีวาโศกาไม่เป็นสมประดี
ครั้นจะอ้อนวอนผ่อนผันทรงธรรม์ก็เมินดำเนินหนี
ทุกข์แค้นแสนโศกโศกีพระพันปีหนีเมียเสียว่าไร
มีกรรมจำจากพระบาทแล้วน้องแก้วหาขัดขืนไม่
จะขอผัดผ่อนต่อนอนไฟมิให้ช้านักสักเจ็ดวัน
แต่พอให้แห้งเหือดเลือดลมจะซุกซมซ่อนไปในไพรสัณฑ์
พ่อไม่ขึ้งโกรธโทษทัณฑ์เหตุไรไม่ทันบัญชา
ว่าพลางนางข้อนทรวงไห้เพียงขาดใจม้วยด้วยโหยหา
เหล่ากำนัลไม่กลั้นน้ำตาชวนกันโศการิมแท่นทอง
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นจันทาตัวดีไม่มีสอง
สมจิตคิดไว้ดังใจปองได้ช่องให้หน้าแล้วว่าไป
กับนางสาวศรีที่ร่วมคิดว่ารับสั่งทรงฤทธิ์เป็นใหญ่
ให้พาโฉมยงเจ้าลงไปมอบองค์ส่งให้แก่เสนี
ช้าไปไพร่ฟ้าจะขึ้งโกรธจะคุมโทษโลภแย่งเอากรุงศรี
ตามบุญตามกรรมของเทวีช้าไปบูรีจะมีภัย
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสาวใช้ผู้ร่วมอัชฌาสัย
รู้กันในกลยลในลอบเข้าไปใกล้นางชายา
ทูลว่าภูมินทร์ปิ่นเกล้าอาวรณ์ร้อนเร่าหนักหนา
ด้วยกลัวไพรีจะบีฑาเตือนมาให้พาแม่คลาไคล
จะมีโทษแต่ข้าน้อยดับความโศกสร้อยละห้อยไห้
มีกรรมจำเป็นเข็ญใจอย่าให้ข้าไทต้องภัยโพย
ฯ ๖ คำ ฯ
</sup>ร่าย<\sup>
๏ ฟังคำนางโศกช้ำรัญจวนหวนโหย
อนิจจังทั้งสิ้นมาดิ้นโดยโพยภัยมิให้แก่ใครมี
คิดว่าพอผัดผ่อนได้เมื่อไม่โปรดเกล้าเกศี
ตามแต่เวราของข้านี้สาวศรีอย่าได้ทุกข์ทน
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ ว่าพลางยกเอาลูกน้อยน้ำเนตรหยดย้อยดังฝอยฝน
ร้องทูลพระองค์ทรงสกลน้องคนมีกรรมจะขอลา
ดูรูปจำร่างเสียยังแล้วพระแก้วจะไม่ได้เห็นหน้า
จะไม่คืนคงอย่าสงกามิได้รองฝ่าพระบาทไป
สิ่งใดเมียได้พลาดพลั้งแต่หลังให้ขัดอัชฌาสัย
เมียขอสมาอาภัยอย่าได้เป็นเวราเลย
ให้พ่ออยู่ยืนได้หมื่นปีโรคาอย่ามีพ่อคุณเอ๋ย
ไม่เยี่ยมม่านทองดูน้องเลยทำเฉยเสียได้ไม่นำพา
นิ่งได้ให้เขามาสั่งเสียตัดเมียเสียได้ไม่ดูหน้า
ว่าแล้วนางแก้วบังคับลาสาวใช้ซ้ายขวาก็ตามไป
ค่อยอยู่เถิดเจ้านางสาวศรีบุญน้อยแล้วมิอยู่ด้วยได้
ข้าได้เรียกขานวานใช้อภัยอย่าได้เป็นกรรมกัน
ว่าพลางนางอุ้มลูกยาจันทาพยักหน้านางสาวสรรค์
เดินทรงโศกามาพลันกำนัลจันทาก็พาไป
ฯ ๑๔ คำ ฯ เพลง เจรจา
๏ บัดนั้นเสนีที่ร่วมอัชฌาสัย
รับเอาโฉมงามทรามวัยสาวใช้ขึ้นไปยังในวัง
กินเหล้าเมาโป้งโฉงเฉงไม่เกรงไม่ขวยด้วยโอหัง
เชิญแม่มาไปให้พ้นวังรับสั่งจะช้าอยู่ว่าไร
ทำให้คนยากลำบากด้วยคราวรวยหาทักรู้จักไม่
ที่มีปัญญาก็ว่าไปนี่พูดอะไรไม่ต้องการ
ว่าพลางเชิญนางลงนาวามิช้าบ่ายบากจากสถาน
ทางสิบห้าวันกันดารพ้นบ้านไกลที่ไม่มีคน
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงส่งนางเทวีดูน่าปรานีระเหระหน
เสนีที่ได้กินสินบนขัดสนด้วยคนเขามากมาย
จะฆ่าเทวีก็มิได้มารยาว่าไปดังใจหมาย
ไหนไหนไม่พ้นเป็นคนตายจะลองดาบกรายเล่มนี้ดู
เพื่อนกันช่วยฉุดยุดไว้ผิดไปไม่ได้อย่าจู่ลู่
ตามกรรมตามเวรนางโฉมตรูจู่ลู่จะพากันวุ่นวาย
ไม่คิดถึงตัวกลัวกรรมเวรามาทำเองง่ายง่าย
ถึงชั่วดีเล่าเป็นเจ้านายจะทำผิดคิดร้ายก็ไม่ดี
กลับไปบ้านเราจะดีกว่าว่าพลางทางลานางโฉมศรี
ที่ใจเมตตาปรานีบ้างข้าวของมีก็ให้ทาน
แล้วออกนาวาคลาไคลดูไปใจหายน่าสงสาร
ฝ่ายว่าเสนีที่เป็นพาลงุ่นง่านไม่ไหว้ไม่ลาใคร
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นมเหสีโศกาอยู่ป่าใหญ่
ขึ้นมาจากท่าชลาลัยไม่รู้ที่จะไปแห่งใดเลย
ฯ ๒ คำ ฯ โอ้ ชาตุม
๏ เดินพลางทางอุ้มลูกพลางเห็นทุกข์แม่บ้างพ่อสังข์เอ๋ย
บุกป่าฝ่าไพรแม่ไม่เคยเพราะกรรมทรามเชยเจ้าเกิดมา
เป็นคนหรือจะได้มาเป็นเพื่อนมีเหมือนไม่มีโอรสา
ทั้งนี้เพราะอีจันทากับอ้ายโหรามันรู้กัน
ทั้งอีสาวศรีมันร่วมใจมันเร่งรัดให้แม่ผายผัน
ทั้งอ้ายเสนาจะฆ่าฟันอัศจรรย์ใจแม่นี้แน่แล้ว
พระร่วมห้องของน้องยังอาลัยเหตุไรไม่เกรงทูลกระหม่อมแก้ว
พ่อหลงกลมนตร์มันแน่แล้วเดินพลางนางแก้วก็โศกี
เสียงเสือแรดช้างกวางทรายใจหายอกสั่นขวัญหนี
เล็ดลอดกอดลูกเข้าโศกีเทวีอุ้มสังข์ดำเนินไป
ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลง
๏ เดินมาสุริยาร้อนแรงแสงใส
แลเห็นบ้านป่าพนาลัยโฉมยงดีใจเข้าไปพลัน
พบสองเฒ่าปลูกถั่วงานางนั่งวันทาขมีขมัน
ฝ่ายว่าสองราดูหน้ากันยายถามตานั้นทันใด
ตานี่ดีร้ายจะไม่ตรงมั่นคงกูคิดหาผิดไม่
นัดแนะกันมาหรือว่าไรตาเอาใจออกนอกกัน
น้อยหรือนั่นรูปร่างอย่างกินนรยายค้อนตาผัวจนตัวสั่น
ฝ่ายตาโกรธยายเอาไม้รันมึงเห็นสำคัญด้วยอันใด
คราวลูกคราวหลานก็ไม่ว่ามันบ้าอย่าถือแม่ข้าไหว้
มาแต่ตำบลหนใดบอกให้แจ้งใจยายตา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ นางเล่าแต่ต้นจนปลายตายายพาไปยังเคหา
จัดเหย้าเรือนให้มิได้ช้าด้วยความเมตตาปรานี
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ เจรจา
๏ เมื่อนั้นโฉมจันท์กัลยามารศรี
อยู่ด้วยยายตาได้ห้าปียากแค้นแสนทวีทุกเวลา
ครั้นค่ำตักน้ำตำข้าวครั้นรุ่งเช้าเจ้าเข้าป่า
เก็บผักเที่ยวหักฟืนมากัลยาค้าขายได้เลี้ยงตัว
อุ้มเอาลูกน้อยหอยสังข์สุดกำลังแม่แล้วพ่อทูลหัว
เลี้ยงไว้ว่าจะได้เป็นเพื่อนตัวทูนหัวไม่ช่วยแม่ด้วยเลย
เนื้อเย็นเป็นคนนะลูกแก้วห้าหกขวบแล้วนะลูกเอ๋ย
กำดัดจะภิรมย์ชมเชยลูกเอ๋ยจะเบาทุเลาแรง
นางมิได้เอนองค์ลงนิทราสุรียารุ่งรางสว่างแสง
วางลูกไว้ไปจัดแจงลากแผงออกวางที่กลางดิน
เอาข้าวออกตากแล้วฝากยายจับหาบผันผายเข้าไพรสิณฑ์
เที่ยวเก็บผักหญ้าเป็นอาจิณโฉมฉินซอนซนต้นมา
ฯ ๑๒ คำ ฯ เพลง
๏ ยานี
มาจะกล่าวบทไปเทพไทสิงสู่อยู่พฤกษา
สงสารนางจันท์กัลยาเจ้ามาเหนี่อยยากลำบากกาย
เทพบุตรจุติมาบังเกิดกำเนิดผิดพ้นคนทั้งหลาย
บุญญาธิการนั้นมากมายจะล้ำเลิศเพริศพรายเมื่อปลายมือ
ถึงจะตกน้ำก็ไม่ไหลตกในกองกูณฑ์ไม่สูญชื่อ
จะได้ผ่านบ้านเมืองเลื่องลืออึงอื้อดินฟ้าบาดาล
คู่สร้างกับนางรจนามารดาจะสุขเกษมศานต์
นิ่งไว้จะยากลำบากนานกุมารซ่อนตนจะดลใจ
จึงบันดาลให้เป็นไก่ป่ากินมารดาหาช้าไม่
ขันก้องร้องตีกันมี่ไปคุ้ยเขี่ยข้าวให้กระจายดิน
ฯ ๑๐ คำ ฯ คุกพาทย์
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ซ่อนอยู่ก็รู้สิ้น
พระแม่ไปป่าเป็นอาจิณในจิตคิดถวิลทุกเวลา
จะใคร่ออกช่วยพระแม่เจ้าสงสารผ่านเกล้าเป้นหนักหนา
เหนื่อยยากลำบากกายากลับมาจนค่ำแล้วร่ำไร
ไม่ว่าลูกน้อยเป็นหอยปูอุ้มชูชมชิดพิสมัย
พระคุณล้ำลบภพไตรจะออกให้เห็นตัวก็กลัวการ
ไก่ป่าพาฝูงมากินข้าวของพระแม่เข้าอยู่ฉาวฉาน
คุ้ยเขี่ยเรี่ยรายทั้นดินดานพระมารดามาเห็นจะร่ำไร
เยี่ยมลอดสอดดูทั้งซ้ายขวาจะเห็นใครไปมาก็หาไม่
ออกจากสังข์พลันทันใดฉวยจับไม้ได้ไล่ตี
ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
๏ กอบเก็บข้าวหกที่ตกดินผันผินลอยลับขยับหนี
เหลืยวดูผู้คนชนนีจะหนีเข้าสังข์กำบังตน
หุงข้าวหาปลาไว้ท่าแม่ดูแลจัดแจงทุกแห่งหน
ช่วยขับไก่ป่าประสาจนสาละวนเล่นพลางไม่ห่างดู
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงฉิ่ง เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระมารดานึกในพระทัยอยู่
คิดถึงลูกน้อยหอยปูเดินไปสักครู่แล้วจู่มา
เก็บได้ฟืนผักเผือกมันสารพันกินได้ที่ในป่า
ใส่หาบหาบเดินดำเนินมาไม่ช้าครู่หนึ่งก็ถึงเรือน
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
๏ จึงเห็นลูกแก้วแววไวลูกใครคนนี้ไม่มีเหมือน
มานั่งเล่นอยู่ประตูเรือนพักตร์ดังดวงเดือนเลื่อนลอย
พระสังข์แลเห็นชนนีแล่นหนีตกใจเข้าในหอย
ประหวั่นพรั่นใจมิใช่น้อยเศร้าสร้อยคอยฟังพระมารดา
มารดรวางหาบตามติดเห็นผิดเปิดห้องมองหา
รีบร้นค้นดูกุมารากัลยาไม่เห็นประหลาดใจ
หรือว่าผีเรือนเป็นเพื่อนร้อนแกล้งหลอกหลอนเล่นเป็นไฉน
จึงสาบสูญกายหายไปคิดวนเวียนในพระทัยนาง
ข้าวปลาสุกสรรพเก็บปิดเห็นผิดเร่งคิดอางขนาง
โฉมตรูมาดูข้าวพลางแล้วนางมาถามตายาย
ไม่กินข้าวปลาอาหารเยาวมาลย์รำพึงคะนึงหมาย
คอยดูให้รู้แยบคายอุ้มเอาลูกชายไม่สงกา
พินิจพิศดูแล้วทูนเกศน้ำเนตรหลั่งไหลทั้งซ้ายขวา
จวนรุ่งพุ่งแสงพระสุรียาทำเป็นไปหาสาแหรกคาน
ลงจากกระท่อมแล้วด้อมมองค่อยย่องแอบไม้ไม่ไกลบ้าน
แอบซ่อนมองดูอยู่ช้านานนงคราญกลั้นไว้ไม่พูดจา
ฯ ๑๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระกุมารเยี่ยมหอยแลหา
ไม่แจ้งว่าองค์พระมารดาแฝงฝาคอยอยู่ไม่รู้กาย
สงัดเงียบผู้คนไม่พูดจาเล็ดลอดออกมาแล้วผันผาย
นั่งที่นอกชานสำราญกายเก็บกรวดทรายเล่นไม่รู้ตัว
มารดาซ่อนเร้นเห็นพร้อมมูลอุแม่เอ๋ยพ่อคุณทูนหัว
ซ่อนอยู่ในสังข์กำบังตัวพ่อทูนหัวของแม่ประหลาดคน
ย่างเข้าในห้องทับจับได้ไม้ก็ต่อยสังข์ให้แหลกแตกป่น
พระสังข์ตกใจดังไฟลนจะหนีเข้าหอยตนก็จนใจ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง โอ้
๏ สวมสอดกอดบาทพระมารดาซบเกศาพลางทางร้องไห้
แม่ต่อยสังข์แตกแหลกไปร่ำไรเสียดายไม่วายคิด
เหมือนแม่ฆ่าลูกให้ม้วยมรณ์มารดรไม่รักแต่สักนิด
พระแม่ต่อยสังข์ดังชีวิตจะชมชิดลูกนี้สักกี่วัน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฟังเอยฟังลูกว่าพระมารดาเสียวใจไหวหวั่น
กอดจูบลูบเนตรเกศกรรณร่วมวันขวัญตาพ่อว่าไย
สิ้นเคราะห์สิ้นกรรมทำมาลูกยาอย่าว่าแม่เสียวไส้
ตกทุกข์ได้ยากลำบากใจเพราะอ้ายหอยสังข์มันจังฑาล
มันมาหุ้มห่อเอาพ่อไว้ทำไมให้โหรามันว่าขาน
บิตุรงค์หลงกลอีคนพาลไม่ช้าไม่นานจะคืนวัง
ยากเย็นเห็นหน้ากันแม่ลูกอย่าพันผูกโศกสร้อยถึงหอยสังข์
รักใคร่มันไยไม่จีรังหอยสังข์เช่นนี้มีถมไป
ว่าพลางนางเรียกยายตาเล่ากิจจาแจ้งแถลงไข
ตั้งแต่เบื้องต้นจนปลายไปทั้งสองสงสัยไม่เชื่อนาง
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นตายายให้คิดอางขนาง
พากันเข้าไปในทับนางแลเห็นรูปร่างกุมารา
ตะลึงขึงแข็งไปทั้งตัวทูนหัวน่ารักเป็นหนักหนา
พ่อคุณเป็นบุญของยายตาเกิดมายังไม่ได้ยินเลย
พึ่งพบพึ่งเห็นเป็นเที่ยงแท้ลูกของเจ้าแน่หรือแม่เอ๋ย
บุญหนักศักดิ์ใหญ่กระไรเลยพ่อเอ๋ยรูปร่างช่างสร้างมา
ชั่วปู่ชั่วย่าชั่วตายายล้มตายไม่เห็นเป็นหนักหนา
กอดจูบลูบไล้ทั้งยายตาสองราเกษมเปรมปรีดิ์
ฯ ๘ คำ ฯ
             

ตอนที่ ๒ ถ่วงพระสังข์

</sup>พญาโศก<\sup>
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลหมองศรี
ไสยาสน์เหนืออาสน์รูจีคิดถึงมเหสีที่จากไป
ยกหัตถ์พาดพักตร์พูนเทวษน้ำเนตรอาบหมอนถอนใจใหญ่
โอ้เจ้างามทรามกอดยอดจิตใจเจ้าจะเป็นฉันใดไม่รู้เลย
จะตกระกำลำบากยากเย็นหรือวอดวายตายเป็นนะน้องเอ๋ย
หลายปีมิได้ข่าวเจ้าเลยน้องเอ๋ยจะด้นไปหนใด
ลูกเสียเมียช้ำไปจากร่างโอ้กรรมตามล้างแต่ปางไหน
ครวญคร่ำกำสรดสลดใจมิได้สระสรงคงคา
โอ้จันท์เทวีเจ้าพี่เอ๋ยทรามเชยเคยเคียงเรียงหน้า
เช้าเย็นเคยเห็นนกันมาเคยร่วมนิทราทุกราตรี
เห็นแต่ที่นอนหมอนเปล่าขวัญข้าวของผัวเอาตัวหนี
เคยล้อมพร้อมหน้าทุกนารีแก้วพี่หนีกายไปหายองค์
กอดเอาหมอนนางพลางพิลาปชลนัยน์ไหลอาบดังโสรจสรง
เจ้าจะเป็นฉันใดที่ในดงกอดหมอนแนบองค์เข้าร่ำไร
ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด
</sup>ร่าย<\sup>
๏ เมื่อนั้นจันทาตัวเข็ญจะเป็นใหญ่
ยังไม่เหมือนจิตที่คิดไว้มุ่งมาดหมายใจอยู่ไปมา
จึงเรียกสาวใช้เข้าในห้องปรองดองตรองตรึกปรึกษา
จะคิดฉันใดไฉนนาให้ข้าสมจิตที่คิดปอง
ลอยเมฆเป็นเอกมเหสีอย่าให้ใครมีเสมอสอง
พระฤาสายไม่วายตรึกตรองเศร้าหมองคะนึงคิดถึงเมีย
นางจันท์เทวียังมิตายดีร้ายเสนาไม่ฆ่าเสีย
แม้นว่าพระจะกลับไปรับเมียจะเสียการเราเจ้าคิดดู
หรือว่าหอยกลายไปเป็นคนเหตุผลอย่างนี้ก็มีอยู่
อย่าได้ไว้ใจแก้ไขดูให้สิ้นรู้เราอย่าเบาความ
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสาวใช้ใจเพชรไม่เข็ดขาม
จึงทูลแถลงให้แจ้งความจะครั่นคร้ามขามใจไปไยมี
แม่เรียกธิดามาสอนสั่งความหลังทั้งมวลให้ถ้วนถี่
เฝ้าองค์ทรงศักดิ์พระจักรีทูลพ่อขอที่มารดร
ด้วยพระสัญญาว่าไว้แก้ไขโดยดีกระนี้ก่อน
ซึ่งพระโศกาอาวรณ์แม่ผันผ่อนแนมเหน็บให้เจ็บใจ
แม้นมิสมคะเนเล่ห์กลเอาด้วยเวทมนตร์ให้หลงใหล
คนดีมีถมอย่าตรมใจข้าได้ข่าวอยู่สุเมธา
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ ได้เอยได้ฟังสมดังใจจิตอิจฉา
ร้องเรียกบุตรีจันทีมาเสี้ยมสอนให้ว่าสารพัน
แล้วให้สระสรงทรงเครื่องรุ่งเรืองเพราเพริศเฉิดฉัน
พี่เลี้ยงนางนมระดมกันผัดพักตร์ดังจันทร์เมื่อวันเพ็ญ
แต่งลูกแล้วแต่งตัวนางชำระสระสางให้ปลั่นเปล่ง
แสนสาวชาวแม่แช่แข็งรีบเร่งอุ้มพาธิดาตาม
มาถึงซึ่งที่พระบรรทมชื่นชมในจิตไม่คิดขาม
แหวกม่านเห็นองค์พระทรงนามก้มเกล้ากราบงามสามลา
ทั้งพระบุตรีพี่เลี้ยงนบนอบหมอบเคียงเรียงหน้า
แล้วจึงสะกิดพระธิดาพยักหน้าเข้าไปให้ใกล้องค์
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระทรงธรรม์รัญจวนครวญหลง
เห็นลูกโฉมฉายก็อายองค์ผันพักตร์สบตรงนางจันทา
ขวยเขินเมินเช็ดชลนัยน์เคืองใจมิใคร่จะดูหน้า
บ่ายเบือนเยื้อนทักพระธิดารับมาวางตักพระพักตร์เชย
จูบพลางทางคิดถึงหอยสังข์กรรมตามแต่หลังนะลูกเอ๋ย
เป็นคนจะได้ไว้ชมเชยลูกเอ๋ยพี่น้องจะครองกัน
มิให้พ่อแม่ได้ลำบากพลัดพรากวิโยคโศกศัลย์
จึงถามธิดาวิลาวัณย์แม่ขวัญเมืองมาจะว่าไร
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางจันทีศรีใส
จำคำมารดาที่สอนไว้ถือใจไม่รู้ว่าขุ่นเคือง
ทูลว่าประสาทารกหยิบยกข้อความตามเรื่อง
บิดาว่าไว้จะให้เมืองราวเรื่องระบือลือชา
ลูกเกิดเพริดพลัดเป็นสตรีไม่ควรที่สมบัติวัตถา
จะขอที่ประทานให้มารดาให้เลื่องชื่อลือชาสถาวร
แทนที่แม่หนีไปจากวังแต่งตั้งแทนตนแม่คนก่อน
ยกหน้าข้าบาทประสาทพรแม่ก่อนบิดาอย่าอาลัย
เมื่อโหรเขาว่าเป็นกาลีชั่วดีอื่นพอจะเลี้ยงได้
เลือดก้อนออกแล้วก็แล้วไปร้องไห้ใครรู้จะดูแคลน
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ฟังลูกเจ็บปวดดังถูกหลาวแหลน
ใครสอนให้ว่าเจรจาแทนมั่นแม่นตัวกูพอรู้ทัน
ยิ่งกว่าลูกเล็กเด็กน้อยตะบอยสาระวอนทุกสิ่งสรรพ์
เหน็บแนมแกมกลปนกันเด็กนั้นว่าได้เมื่อไรมี
ความหลังแต่ยังไม่เกิดมามันว่าทั้งมวลเป็นถ้วนถี่
สอนบ้างหรือไม่เล่าอีเหล่านี้กาลีกาลำมารำพัน
หรือหนึ่งแม่แสนงอนเจ้าสอนลูกเรียนผูกเรียนแก้ช่างแปรผัน
เป็นกรรมจึงจำจากกันทุกวันเหมือนเงาอยู่วาวแวว
เว้นแต่จะจับไม่ถูกต้องคนมันคอยปองพระน้องแก้ว
ได้ทีที่ทางว่างอยู่แล้วสอนลูกแก้วมาให้พาที
น้อยหรือน้ำใจใหญ่หลวงโจมจ้วงเอาดวงพระสุริย์ศรี
กูไม่ให้ปันอีจันทีเจ้าของเขามียังมิตาย
สิ้นเคราะห์จะรับเจ้ากลับมาแม่นางจันทาเจ้าอย่าหมาย
จงพากันไปให้สบายลูกเต้าบ่าวนายบรรดามา
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นจันทาเสียวไส้อยู่ในหน้า
เสียใจทูลไปด้วยปัญญาอนิจจาเคราะห์ร้ายให้อายคน
นั่งอยู่ดีดีก็มีโทษได้โปรดซักไซ้ให้เห็นหน
วอนมาเฝ้าองค์ทรงสกลให้คนพลอยผิดนางคิดดี
ลูกเต้าน่าแค้นมันแสนงอนใครสอนอย่าบอกออกมานี่
บนบานเจ้าไว้เมื่อไรมีหยิกตีเท่าไรก็ไม่จำ
เก็บเอาเขาพูดที่ไหนไหนทูลให้ติดต่อเป้นข้อขำ
นี่ใครสั่งสอนฉะอ้อนคำเที่ยวจำเค้ามูลมาทูลเอง
ไม่จ้วงไม่เจิ้นให้เกินหน้ามันว่าออเซาะไม่เหมาะเหม็ง
เมื่อพระสัญญาว่าไว้เองจึงครื้นเครงไปเขาได้ยิน
ใครมองปองล้างมเหสีเฆี่ยนตีซักไซ้เอาให้สิ้น
แล่เนื้อเกลือทาให้กากินมันเป็นเสี้ยนแผ่นดินจะไว้ไย
ใครได้ชิงชังนางยอดสร้อยเมื่อไปก็พลอยน้ำตาไหล
อาภัพกลับกลายหายไปจัดแจงแต่งให้ทุกสิ่งอัน
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ ฟังคำซอกซ้ำหมกมุ่นหุนหัน
เห็นจับไม่ได้ไล่ไม่ทันแดกดันเล่นได้เป็นไรมี
กระนั้นนานไปจะใช้ทุนเจ้าทำบุญคุณมเหสี
รักใคร่ตกใจไปไยมีตัวดีอยู่แล้วก็แล้วไป
อีจันท่ไม่มีใครสอนสั่งมันชั่งต่อติดประดิษฐ์ได้
จริงอยู่สัญญาว่าไว้ลูกใครเป็นชายจะให้วัง
นางแม่จะแร่เอายศถาใครได้สัญญามาแต่หลัง
ไม่รับกลับเถียงเสียงดังแฝงหลังบังเงากูเข้าใจ
ยังไม่ทันได้ยศศักดิ์ฮึกฮักลิ้นลมคารมใหญ่
ดูเหมือนเพื่อนกันหรือฉันใดไสหัวลงไปอีใจพาล
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ฟังตรัสสะบัดพักตร์ควักค้อนแล้วตอบสาร
ผิดแผกเปล่าเปล่าไม่เข้าการแกล้งพาลพาโลโกรธา
เพราะคิดถึงเมียจึงเสียใจมิรับมาไยใครเขาว่า
แม้นเกิดกลีมีมายากเย็นเป็นข้าคนอื่นไป
ต้องขับต้องไล่ไสหัวไม่รู้ตัวว่าโกรธาข้าโทษใหญ่
ยั่งยืนว่ากลืนแก้วไว้ขับไล่ยิ่งกว่าเป็นกาลี
แค้นด้วยลูกเต้ามาเข้าท้องจองหองแอบพักตร์ศักดิ์ศรี
ต่อเป็นผู้ชายจะได้ดีเสียทีเลี้ยงเปล่าไม่เข้ายา
จะใคร่หักคอใส่หม้อฝังแต่ยังแดงแดงไม่แข็งกล้า
ยังชั่วตัวตีนมันมีมาคิดว่าหอยสังข์สิจังไร
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ได้ฟังมืดกลุ้มคลุ้มคลั่งดังเพลิงไหม้
เหม่อีจันทาชะล่าใจจะเกรงกลัวใครก็ไม่มี
จองหองพองขนเป็นพ้นนักเยื้องยักแยบคายใส่สี
เพราะเกิดลูกเต้าด้วยเท่านี้พาทีเกินตัวไม่กลัวตาย
เหมือนหนึ่งกิ่งก่าได้ทาทองยกย่องหัวหูดูเฉิดฉาย
มึงประจานใครให้ได้อายแยบคายทบเทียบเปรียบมา
หัวจะปลิวไปไม่ทันรู้มึงดูถูกเล่นเป็นหนักหนา
ฉวยพระแสงพลันมิทันช้าจันทาลุกวิ่งเป็นสิงคลี
พระฟาดฟันผิดติดทวารบ้างล้มลุกคลุกคลานทะยานหนี
มึงอย่าเข้ามาพันอีจันทีพระบุตรีฉวยฉุดยุดกร
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นจันทาหนีองค์พระทรงศร
เข้าห้องโศกาอาวรณ์ทุกข์ร้อนอดสูแก่หมู่นาง
จึงเรียกสาวศรีที่สนิทเจ้าคิดไว้เหมาะช่วยเสาะสาง
คนดีที่เจ้าว่าอย่าพรางสู้เสียสินจ้างให้ล้างอาย
ไปหาพามาเวลาเย็นอย่าให้ใครเห็นเงื่อนสาย
หยูกยาเสร็จสรรพสำหรับกายเบี่ยงบ่ายเล็ดลอดดอดมา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสาวใช้ว่องไวใจกล้า
กำชับรับคำแล้วอำลาเที่ยวเสาะสืบมาก็พบพาน
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ ถึงเรือนยายเฒ่าก็เข้าไปพูดจาปราศรัยด้วยอ่อนหวาน
เที่ยวเสาะสืบมาช้านานบุญหลานจึงพบประสบยาย
เอาลาภมาให้ใหญ่หลวงจะล่อลวงว่านั้นอย่าหมาย
แล้วค่อยงุบงิบกระซิบยายแต่ต้นจนปลายทุกสิ่งอัน
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ ฝ่ายว่ายายเฒ่าสุเมธาฟังสาวศรีว่าเกษมสันต์
เต็มใจเห็นจะได้รางวัลจึงว่าไปพลันทันใด
เจ้าหวังตั้งใจออกมาหาจะหาญหักผลักหน้ากระไรได้
ตามรู้ตามเห็นจะเป็นไรพอแก้ไขได้อย่าปรารมภ์
ว่าพลางทางผลัดผ้านุ่งหยิบถุงย่ามยากับผ้าห่ม
ออกจากประตูแล้วดูลมเห็นสมดังใจแล้วไคลคลา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงซึ่งราชวังในสาวใช้พายายเข้ามาหา
โปร่งปลอดกำนัลกัลยาก้มเกล้าวันทาเทวี
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางจันทามเหสี
ปราศรัยด้วยยายยินดีมานั่งถึงนี่อย่าก้มคลาน
ข้าเห็นหน้ายายค่อยหายไข้ยินดีมีใจเกษมศานต์
จงช่วยให้เสร็จสำเร็จการยายเมตตาหลานจะแทนคุณ
เงินทองจะกองให้ยายเฒ่าขวัญข้าวค่ายามิให้สูญ
หยูกยาหามาพร้อมมูลจะพูนราคาค่ายายาย
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสุเมธาแย้มยิ้มกระหยิ่มหมาย
เรียนตอบนอบนบอภิปรายตกพนักงานยายอย่าปรารมภ์
จะให้สมดั่งจิตคิดปองให้พระทองมาอยู่สู่สม
ด้วยฤทธิ์วิทยาอาคมเอาให้หลงงมซมไป
เห็นชั่วดีกันในวันนี้แม้นมิลงมาสัญญาได้
ขวัญข้าวค่ายาจะว่าไปทิ้งลูกเสียได้เมื่อไรมี
เวลาก็ควรจวนเย็นจะทำให้แม่เห็นเป็นถ้วนถี่
แก้ย่ามยาพลันทันทีหัวผีโหงพรายที่เอามา
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
</sup>เชิญ<\sup>
๏ ว่าแล้วจุดเทียนเข้าติดพานโหงพรายลนลานหาญกล้า
ปลุกเสกด้วยฤทธิ์วิทยามิช้าลุกขึ้นทั้งโหงพราย
ยายเฒ่าจึงลนเอาน้ำมันต่อหน้านางจันท์น่าขวัญหาย
ขี้ผึ้งปิดปากผีพรายปั้นเป็นรูปกายพระภูมี
กับนางจันทาให้กอดกันแล้วผูกพันไปด้วยด้ายผี
เอาใส่ใต้ที่นอนนางเทวีน้ำมันผีเสกใส่ในเครื่องทา
ลงชื่อใส่ไส้เทียนตามสองยามให้หลงลงมาหา
เสกหมากพลูไว้ให้มิได้ช้ามิมาอย่านับข้าสืบไป
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้วบอกมนตรามหาละลวยเป่าให้งวยงงหลงใหล
เพ็ดทูลเชื่อฟังดังใจว่าไรเห็นจริงทุกสิ่งอัน
เชิญแม่สระสรงทรงทาตัวข้าจะลาผายผัน
เก็บหัวโหงพรายใส่ย่ามพลันลานางจอมขวัญไปทันที
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นนวลนางจันทามารศรี
สุริยนสนธยาราตรีเข้าที่สระสางสำอางองค์
ตกแต่งทาแป้งน้ำมันยายเฉิดฉายผิวผ่องละอองผง
หอมฟุ้งรุ่งเรืองด้วยเครื่องทรงผุดผาดประหลาดองค์แต่ก่อนมา
แล้วจุดเทียนชัยเข้าในที่ชุลีกรวอนไหว้ทั้งซ้ายขวา
ทรามวัยมิได้นิทราวิญญาณ์ผูกพันมั่นใจ
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๏ เมื่อนั้นภูวดลหม่นหมองไม่ผ่องใส
คุณยาอาคมระดมใจร้อนรนพระทัยดังไฟลาม
อยู่ในไสยาสน์อาสน์อ่อนดังนอนที่ฟากขวากหนาม
ลุกขึ้นนั่งฟังฆ้องได้สองยามลมชวยรวยตามพระบัญชร
หอมแป้งน้ำมันของจันทายิ่งกว่ากลิ่นทิพเกสร
อบอาบซาบใจขจายจรอาวรณ์ใฝ่ฝันถึงจันทา
ขับไล่ด่าทอไม่พอที่กูนี้ได้คิดผิดหนักหนา
เสงี่ยมหงิมจิ้มลิ้มทั้งกายาจะหาเปรียบแก้วตาไม่มีเลย
อีจันท์เทวีนี้ชั่วชาติหลงคิดพิศวาสนะอกเอ๋ย
จันทาหน้านวลเจ้าควรเชยควรร่วมเขนยเสวยวัง
ทั้งจริตกิริยามารยาทสมชาตินางในข้างฝ่ายหลัง
งามปลอดยอดฟ้าสง่าวังควรกูจะตั้งแต่งนาง
พุ่มพวงดวงเนตรจะน้อยใจมิไปง้อน้องจะหมองหมาง
เสน่หาประหวัดกำหนัดนางเงียบปรางค์ย่างย่องมองมา
ฯ ๑๔ คำ ฯ เพลง
๏ ครั้นถึงแลเห็นแสงไฟแอบแฝงองค์ไว้ไม่กังขา
เกาะเกาะค่อยเคาะทวาราแก้วตาเปิดรับพี่ฉับไว
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางจันทาอัชฌาสัย
ฟังดูรู้แจ้งไม่แคลงใจเชื่อในคุณฤทธิ์วิทยา
ดับเทียนเสียพลันมิทันนานชื่นบานสมมาดปรารถนา
ทำแกล้งแต่งกลมารยาย่อมมาค่อยชักสลักกลอน
แล้วกลับเข้าไปในแท่นที่ข้างพระบุตรีศรีสมร
ค่อยค่อยวางองค์ลงนอนนิ่งซ่อนกายอยู่จะดูที
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ น้องเอยน้องแก้วหลับแล้วหรือโกรธโทษพี่
งามพริ้งนิ่งได้ไม่พาทีเมื่อกี้แจ่มแจ้งเห็นแสงไฟ
ว่าพลางทางผลักทวาราเปิดเปล่าเข้ามาหาช้าไม่
เยื้องย่องจรลีด้วยดีใจห้องในมืดล้นพ้นประมาณ
ถึงเตียงค่อยนั่งลงข้างองค์พบลูกโฉมยงยอดสงสาร
แล้วคว้าคลำซ้ำปะเยาวมาลย์สั่นองค์นงคราญไม่ฟื้นกาย
ค่อยค่อยกระซิบเจรจาลุกขึ้นเถิดพี่มาหาโฉมฉาย
จงดับความโศกสร้อยค่อยคลายนางแกล้งแฝงกายไม่ฟื้นองค์
ค่อยยกลูกแยกเข้าแทรกกลางพระพลางป่วนจิตพิศวง
ไล้ลูบจูบน้องประคององค์โฉมยงของพี่อย่าขี้เซา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระบุตรีภูมีโฉมเฉลา
ผวาตื่นฟื้นองค์นงเยาว์คว้าเอาบิดาว่ามารดร
คลำหาพระเต้าเจ้าจะกินผิดกลิ่นตกใจร้องไห้อ้อน
ใครนี่แม่ขาเข้ามานอนแทรกซ้อนซ่อนแม่ข้าไว้ใย
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฝ่ายนางจันทาอายจิตเปลื้องปลิดกรทิ้งไม่นิ่งได้
ค่อยลัดหลีกองค์พระทรงชัยกอดลูกปลอยให้เสวยนม
อดสูสาวสรรค์กัลยากล่าวแกล้งแสร้งว่าไม่เห็นสม
ขวัญอ่อนนอนเถิดอย่าเตรียมตรมเจ้าปรารมภ์ด้วยแม่เมื่อกลางวัน
ท่านจะสังหารผลาญชีวิตหวาดจิตละเมอเพ้อฝัน
แมวคราวไต่ราวมาเป็นพันกลัวมันกินตับจงหลับไป
หลอนพลางทางยกเอาลูกน้อยถดถอยออกมาหาช้าไม่
เรียกสั่งสาวศรีที่ร่วมใจเอาไปแกว่งไกวให้หลับนอน
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นภูวไนยมีใจสโมสร
ด้วยคุณฤทธิ์วิทยาให้อาวรณ์ง้องอนเดินตามนางงามมา
คว้าไปไม่พบประสบน้องร่วมห้องเจ้าแกล้งแฝงฝา
โลมลูบรับขวัญกัลยาแก้วตาอย่าละห้อยน้อยใจ
ผัวผิดจึงตามมาง้องอนจะตัดรอนโกรธขึ้นไปถึงไหน
รู้ตัวชั่วแล้วแก้วกลอยใจโมโหมืดไปไม่ทันคิด
จึงบุกลงมาสารภาพให้หายบาปหายกรรมที่ทำผิด
มาไปบรรทมชมชิดจะม้วนมิดซ่อนพี่อยู่นี่ไย
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ผ่านเอยผ่านเกล้าจะมาเฝ้าเย้ายวนหาควรไม่
ทรพลคนชั่วกลัวภัยจึงไม่อาจใจอยู่ใกล้องค์
ศักดิ์ต่ำแล้วซ้ำเป็นคนโทษมีโปรดโกรธกริ้วจะผุยผง
หนีทันชีวันจึงคืนคงหาไม่กลิ้งลงกับกลางดิน
ลูกน้อยจะพลอยเป็นกำพร้าน้ำตาก็จะไหลเป็นสายสินธุ์
หากปลอดทอดอยู่จึงภูมินทร์ดัดแปลงแต่งลิ้นมาเจรจา
ถึงว่าจะตายก็ไม่คิดเจ็บช้ำน้ำจิตที่ร่ำด่า
อายคนเป็นพ้นคณนาเสด็จมาพระเดชพระคุณนัก
จนใจจะให้ไปร่วมเรียงนั่งเตียงเคียงชมไม่สมศักดิ์
จะอยู่ตามอำเภอเสมอพักตร์พระองค์ทรงศักดิ์จงโปรดปราน
ฯ ๑๐ คำ ฯ โอ้โลม
๏ ดวงเอยดวงสมรสมนามงามงอนอ่อนหวาน
ตัดพ้อล้อเล่นเป็นประมาณเผ็ดร้อนอ่อนหวานระคนกัน
จนจิตด้วยผิดเป็นล้นเหลือจะนอนให้เจ้าเถือจนเนื้อสั่น
งามชื่นจะขืนมารำพันคุ้มโทษทัณฑ์อยู่ไม่รู้แล้ว
ว่าพลางตะโบมโลมลูบจับจูบพุ่มพวงดวงแก้ว
พี่จะให้ประเสริฐเพริศแพร้วน้องแก้วแววตาอย่าเกียจกล
กรกอดสอดอุ้มขึ้นแท่นที่ฤดีเตือนเต้นไม่เห็นหน
สมสนิทจิตปองทั้งสองคนที่ทุกข์ทนโพยภัยก็หายกัน
ฯ ๘ คำ ฯ โลม
๏ เมื่อนั้นจันทาดังได้ไอศวรรย์
คุณยาอาคมระดมกันรุ่งแจ้งแสงฉันทันใด
สระสรงสำเร็จเสร็จแล้วนางแก้วหยิบหมากที่ยายให้
ถวายแก่พระองค์ทรงชัยภูวไนยเสวยชมเชยนาง
พระองค์งงงวยด้วยมารยาจันทาแนบชิดสนิทข้าง
ร่ายมนต์ยายเฒ่าเป่าพลางได้ทางทูลแอบด้วยแยบคาย
ทุกวันนางจันท์เทวีบัดนี้ลือหลากมามากหลาย
อยู่ป่าผาสุกสนุกสบายฉวยได้ลูกชายที่ไหนมา
พันผูกว่าลูกของภูธรราษฎรนับถือระบือว่า
ให้อับอายขายบาทบาทาหอยที่ชั่วช้าว่าเป็นคน
แม้นมิสังหารผลาญเสียนานไปเมียเห็นไม่เป็นผล
มันเสี้ยนพาราจลาจลนานไปใหญ่ตนจะปล้นเมือง
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ ฟังสารภูบาลผ่านกรุงฟุ้งเฟื่อง
เศร้าหมองต้องคุณจึงขุ่นเคืองฟังเรื่องเห็นจริงทุกสิ่งไป
หอยหรือจะรื้อมาเป็นคนเล่ห์กลมันแกล้งแต่งใส่
พี่รู้เพราะเจ้าจึงเข้าใจเสียแรงรักใคร่อาลัยมัน
ชะรอยได้ลูกชู้สู่หาไม่กลัวชีวาจะอาสัญ
เอาแต่ลูกยามาฆ่าฟันแต่แม่มันงดไว้ให้ได้ความ
เจ้าจงเป็นเอกมเหสีแต่นี้สืบไปพี่ไม่ห้าม
ให้แก่โฉมยงนงรามว่ากล่าวเอาตามอำเภอใจ
จูบพลางทงลุกไคลคลาพักตรามัวคล้ำดำไหม้
ออกนั่งยังท้องพระโรงชัยพรั่งพร้อมล้อมไปด้วยเสนี
ฯ ๑๐ คำ ฯ เสมอ
๏ จึงมีโอกาสประภาษสั่งแก่ตำรวจวังทั้งสี่
จงเร่งไปป่าพนาลีที่จันท์เทวีมันอยู่กิน
จับเอาลูกยาไปฆ่าฟันใครอย่าเกียดกันผันผิน
ว่าเป็นลูกกูดูหมิ่นผิดเภทแผ่นดินแต่ก่อนมา
หอยกลายเป็นคนฉงนใจที่ไหนมีบ้างมันช่างว่า
แม้นมิย่อยยับอย่ากลับมาตามแต่จะฆ่าให้วายปราณ
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นเสนาได้ฟังรับสั่งสาร
ลูบอกตกใจลนลานบังคมก้มกรานคลานออกมา
ไม่เห็นว่าจะเป็นประการใดตกใจชวนชักพยักหน้า
พาบ่าวเข้าในพนาวาเสาะหามาบ้านนางเทวี
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงซึ่งบ้านตายายวางรายคนไว้มิให้หนี
ซ่อนเร้นแลเห็นนางเทวีเสนีรู้จักไม่ทักทาย
ซูบผอมผ้าผ่อนก็ปะปุขาดทะลุปรุโปร่งน่าใจหาย
ชะแง้แลเห็นพระลูกชายก็มาดหมายสำคัญสัญญา
เพ่งพิศพินิจดูรูปทรงเหมือนองค์ทรงศักดิ์หนักหนา
ลูกท่านมั่นคงไม่สงกาเราจะออกปากว่าก็จนใจ
หยอกเย้าเคล้าอยู่กับมารดาวิงวอนเจรจาปราศัย
น่ารักปากคอเป็นพ้นไปจะคิดอย่างไรไฉนดี
สงสารมารดาจะเกลือกกลิ้งเรานิ่งให้ไปเสียไพรศรี
คิดพร้อมยอมกันทันทีเสนีลัดแลงแผงกาย
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นมเหสีมีกรรมระส่ำระสาย
หาสู่ลูกเต้าทุกเพรางายเมื่อวันอันตรายมาถึงตัว
จูบสั่งลูกแก้วแววไวอยู่ดูกาไก่พ่อทูนหัว
เสือแผ้วแมวคราวจะเอาตัวนอกรั้วกลัวมันอย่าออกไป
ปั้นวัวควายเล่นแต่ในร่มถูกต้องแดดลมจะล้มไข้
ลูกเอ๋ยมีกรรมก็จำไปเงินเฟื้องเบี้ยไพก็ไม่มี
ว่าพลางทางจับสาแหรกคานจากบ้านเข้าสู่ไพรศรี
พุพองสองเท้าไม่มีดีมเหสีเกียกกายชังตายไป
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
๏ บัดนั้นเสนีผู้มีอัชฌาสัย
เห็นนางกัลยาเจ้าคลาไคลทำเดินเข้าไปแต่ผู้เดียว
ยืนมองร้องเรียกกุมาราออกมาหาน้าสักประเดี๋ยว
เจ้านั่งเล่นอยู่แต่ผู้เดียวปั้นวัวควายเปลี่ยวไม่แงะงาม
น้าเอามาฝากเป็นหนักหนาตุ๊กตาม้าไก่อยู่ในย่าม
แต่ล้วนดีดีงามงามในย่ามดีกว่าของเจ้าทำ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ได้ฟังพระสังข์หลงกลคนขำ
ดีใจไว้เนื้อเชื่อคำผลกรรมจะจากพระมารดา
สำคัญว่าจริงไม่กริ่งใจหน่อไทไม่รู้ว่าหลอกหลอน
เสนีพยักหน้ากวักกรบังอรมิได้กลัวเกรง
จริงจริงหรือขาน้าจะให้รูปร่างอย่างไรว่าเหมาะเหม็ง
ลุกวิ่งทิ้งของของเอ็งเหมาะเหม็งอย่างไรจะใคร่แล
อยู่ไหนจะให้ก็ใส่มือน้ารู้จักหรือกับพระแม่
ต่อเย็นจึงมาหาแกนี่มาแต่ตำบลหนใด
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ เสนาเห็นงงงวยก็ฉวยมือวิ่งฮิ่อกันมาหาช้าไป
พระสังข์ตระหนกตกใจร้องไห้เรียกหาตายาย
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ ตาร้องด่าพลันมิทันรู้ใครทำหลานกูไอ้ฉิบหาย
วิ่งพันกันมาทั้งตายายเห็นเขาวุ่นวายก็ตกใจ
ระรัวตัวสั่นดังตีปลากลับวิ่งหนีมาหาช้าไม่
ปากตัวกูชั่งเป็นพ้นไปด่าให้หากเขามิได้ยิน
เสนาท่านมาแต่ในเมืองราวเรื่องเขารู้อยู่สิ้น
เรามาเลี้ยงดูให้อยู่กินสืบสาวเอาสิ้นจะถึงใคร
เข้าในใต้ร้านฟักทองตาลอดลอดมองแล้วร้องไห้
สงสารหลานน้อยกลอยใจค่อยค่อยร่ำไรมิให้ดัง
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์กุมารน้อยหอยสังข์
จะร้องไห้เท่าไรเขาไม่ฟังอีกทั้งตายายก็หายไป
แม่เจ้าประคุณของลูกยาเมื่อไรจะมาแต่ป่าใหญ่
พวกเผ่าเหล่าโลนโจรไพรจับลูกทำไมไม่รู้เลย
ข้ามีแต่ผักฟักแฟงเอาไปแกงกินบ้างเถิดน้าเอ๋ย
เงินทองของดีไม่มีเลยลุงตาน้าเอ๋ยได้เอ็นดู
แม่ข้ายากจนเป็นพ้นนักมีแต่ฟืนผักอักโขอยู่
พลัดบ้านเมืองมาน้าก็รู้เอ็นดูบาปกรรมอย่าทำเรา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เสนีเดินหน้าน้ำตาไหลสุดใจปากคอแล้วพ่อเจ้า
น้าใช่พวกไพรใจเบาข้าเฝ้าเจ้านายท่านใช้มา
ให้พาตัวเจ้าเข้าไปพ่ออย่าร้องไห้ฟังน้าว่า
ปลอบพลางทางอุ้มกุมาราขึ้นใส่บนบ่าแล้วพาไป
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นมาถึงวัดท้ายเมืองลือเลื่องบกเรือเหนือใต้
หยุดพักสำนักที่ต้นไทรเอาใจปลอบโยนกุมารา
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ฝ่ายฝูงหญิงชายประชาชนเกลื่อนกล่นพรั่งพรูมาดูหน้า
งุบงิบซุบซิบกันเจรจาว่าเหมือนผ่านฟ้าเป็นพ้นไป
กำเนิดเกิดเป็นเช่นี้มิควรที่พระองค์จะสงสัย
แต่เรารู้แจ้งไม่แคลงใจดูไหนไม่ผิดพระบิดา
สงสารเวทนาน่ารักยังเด็กเล็กนักหนักหนา
บ้างให้กล้วยอ้อยน้อยหน่าข้าวปลาขนมนมเนย
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ ฝ่ายพระกุมารชาญชัยรับของมาไว้ไม่เสวย
น้ำตาหลั่งไหลไม่เสบยน้าเอ๋ยข้าคิดถึงมารดร
ขนมท่านให้ยังไม่กินกลับบ้านถิ่นของข้าก่อน
จะได้แบ่งปันให้มารดรอ้อนวอนเสนาให้พาไป
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เสเอยเสนาฟังถ้อยคำว่าน้ำตาไหล
ปลอบว่าพ่ออย่าร่ำไรเย็นหน่อยค่อยไปพนาวา
หาองค์สมเด็จพระมารดรหลับนอนเสียงบ้างฟังข้าว่า
หาไม่ก็ไม่ไคลคลาถ้าแม้นนิทราจะพาไป
ว่าพลางทางปูผ้าผ่อนขับต้อนคนผู้ไม่อยู่ใกล้
ล่อลวงหลอกหลอนให้นอนไปหมายใจเสนาจะฆ่าตี
อาเพศด้วยเดชกุมาราเทวารักษาพระไทรศรี
ออกช่วยป้องกันทันทีเมื่อเสนีมันทุบด้วยท่อนจันทน์
ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ พระสังข์ตกใจตื่นฟื้นผวากึกก้องร้องจ้าไม่อาสัญ
น้าทำไมนี่มาตีรันขึ้งโกรธโทษทัณฑ์ด้วยอันใด
แม่เจ้าประคุณของลูกยาจะติดตามลูกมาก็หาไม่
ลูกรักจักม้วยบรรลัยโจรไพรไปลวงมาฆ่าตี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาน้ำตาไหลรี่
เหตุไรไม่ม้วยชีวีเสนีกลัวราชอาชญา
บอกว่าตัวน้าไม่ชิงชังรับสั่งให้ลงโทษา
เป็นผลกรรมพ่อทำมาอย่าเป็นเวรากับข้าไป
ว่าพลางทางถอดหอกดาบเมียงเดินเคียงเข้ามาหาช้าไม่
พระสังข์ตระหนกตกใจร้องไห้เกลือกกลิ้งวิงวอน
เสนาขืนทำด้วยจำเป็นหอกหักกระเด็นเป็นสองท่อง
ดาบบิ่นสิ้นคมระทมบอนมิได้ม้วยมรณ์เร่งสงกา
เหตุไรมาเป็นเช่นนี้เสนีตริตรึกแล้วปรึกษา
ของดีจะมีในกายาฟันฆ่าอย่างไรจึงไม่ตาย
เห็นวิปริตผิดประหลาดรับสั่งให้พิฆาตมาดหมาย
ตามแต่จะฆ่าให้วอดวายมิตายไม่พ้นพระอาญา
ฯ ๑๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เสนีคิดพร้อมยอมกันเบิกช้างน้ำมันตัวกล้า
แก้ปลอกกรอกเหล้าแล้วเอามามิช้าก็ไสให้ทิ่มแทง
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ช้างร้องระรัวตัวสั่นงาดันปักดินดิ้นแหยง
ควาญไสเท่าไรก็ไม่แทงยิ่งคิดยิ่งแหนงแคลงใจ
วิปริตผิดกาลกิณีของดีจะมีก็หาไม่
บุญญาธิการชาญชัยจึงทำอย่างไรไม่ม้วยมรณ์
จำเราจะเข้าไปทูลแถลงให้แจ้งแห่งน้ำพระทัยก่อน
เอาช้างส่งยังโรงกุญชรผันผ่อนเฝ้าองค์พระทรงชัย
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงจึงเห็นพระผ่านฟ้ากับนางจันทาพิสมัย
ออกนั่งยังหน้าบัญชรชัยเข้าไปบังคมคัลทันที
จึงทูลสมเด็จภูวนาถขอพระบาทจงโปรดเกศี
ซึ่งใช้ให้ไปป่าพนาลีบัดนี้ก็จับได้ตัวมา
ทำตามรับสั่งให้สังหารกุมารชาญชัยไม่สังขาร์
หลากจิตผิดคนทั้งโลกาสาตราอาวุธก็หักไป
จึงเอาช้างร้ายเข้าให้แทงงาปักดินแหยงไม่แทงได้
บัดนี้ชุมนุมคุมตัวไว้ภูวไนยจงทราบบาทบงสุ์
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ ฟังเอยฟังเหตุบิตุเรศรำพึงตะลึงหลง
หลากจิตผิดใจให้งวยงงเร่งคิดพิศวงสงกา
อัศจรรย์ต้องกันกับหอยปูลูกกูจริงจังกระมังหนา
วิปริตผิดคนในโลกาเป็นมาแต่ต้นจนปลาย
เสนาเอ็งว่าให้มั่นคงเราสงสัยอยู่ไม่รู้หาย
เมื่อพบประสบลูกชายมีใครใกล้กรายกุมารา
รินเรียงเคียงบ้านมารดรหลับนอนกินอยู่สู่หา
รูปทรงส่งศรีกิริยากุมาราประมาณสักปานใคร
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนาทูลแจ้งแถลงไข
เมื่อพบโฉมงามทรามวัยที่ในบ้านไร่ไพรวัน
มีเรือนตาเฒ่ายายแก่แคร่ริมชายคาฝากั้น
กระท่อมของเจ้าสักเท่านั้นเห็นแต่จอมขวัญกับลูกยา
ไม่มีผู้ใดมาใกล้กรายอยู่จนโฉมฉายออกไปป่า
จึงเข้าจับกุมกุมาราร้องอ้อนวอนว่าน่าปรานี
เรียกหาตาเฒ่าเจ้าเรือนต่างคนต่างเชือนเอาตัวหนี
เด็กนักสักห้าหกปีเหมือนพระภูมีดังพิมพ์เดียว
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังทูลพระอาดูรในจิตคิดเฉลียว
แน่แล้วลูกแก้วพ่อคนเดียวจึงเหลียวถามพลันกับจันทา
น้องรักเจ้าจะเห็นเป็นไฉนพี่จะให้ไปรับโอรสา
กับนางนงเยาว์เจ้าเข้ามาสิ้นเคราะห์พาราที่กาลี
โหราดูว่าเป็นมนุษย์จะสูงสุดเฟื่องฟุ้งทั้งกรุงศรี
ลูกข้าบุญญาบารมีล้างผลาญชีวีจึงไม่ตาย
แล้วตรัสสั่งเสนาพฤฒามาตย์เอ็งเร่งประกาศบาตรหมาย
รับนางกัลยาที่ตายายกับลูกชายของเราให้เข้ามา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นจันทาทูลทัดขัดว่า
เป่ามนต์จนสิ้นตำราร้องห้ามเสนาอย่าเพ่อไป
พระองค์หลงรับมันมาเถิดจะก่อเกิดความเข็ญหาเห็นไม่
แต่เป็นหอยสังข์ยังจัญไรกลับเป็นคนไปอย่าชื่นชม
มิใช่มนุษย์แต่ผลุดมาว่ามีบุญญาไม่เห็นสม
มันจะให้บ้านเมืองเคืองระทมด้วยผิดบูรมบูราณไป
ฆ่าฟันมันจึงไม่ปลดปลงจะมาล้างพระองค์ให้จงได้
แม้นทอดทิ้งลงคงคาลัยมีบุญจริงไซร้คงไม่ตาย
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังเอยฟังความครั่นคร้ามขามจิตคิดหมาย
จริงแล้วเมียแก้วเจ้าทักทายเสนาทั้งหลายอย่าไปเลย
มันคือตัวการมาผลาญกูจริงอยู่เขาว่าเสนาเอ๋ย
เราหลงไหลไปกระไรเลยหากนางทรามเชยเจ้าตักเตือน
เนื้อเย็นควรเป็นมเหสีปัญญาพาทีไม่มีเหมือน
เสนาดูแลอย่าแชเชือนตักเตือนจองจำให้มั่นคง
พรุ่งนี้แกกูจะดูไปบุญมันฉันใดไม่ผุยผง
ว่าพลางทางชวนนางโฉมยงสององค์คืนเข้าปราสาทชัย
ฯ ๘ คำ ฯ เสมอ
๏ เมื่อนั้นนางจันท์มารดาอยู่ป่าใหญ่
เขม่นเนตรเหตุมีไม่แจ้งใจเก็บได้ผักฟืนก็คืนมา
หาบเดินดำเนินมาตามทางนกกาลางบินลัดสกัดหน้า
เศียรพองสยองโลมาตรึกตราหวาดหวั่นพรั่นใจ
หาวนอนอ่านเศียรให้เวียนวังยืนนิ่งพิงหลับกับไม้ใหญ่
ฝันว่าขุนมารชาญชัยตัดเอาเกล้าไปไม่ปรานี
หาบหกตกผลุกสะดุ้งตื่นนางฝืนองค์สั่นขวัญหนี
จิตผูกลูกแก้วแล้วโศกีจับหาบตะลีตะลานมา
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
๏ ถึงเรือนเรียกลูกด้วยผูกพันยังมิทันปลงหาบลงจากบ่า
เจ้าไปไหนไม่ขานพระมารดาส้มสูกลูกหว้าพ่อมาเอา
ทิ้งหาบวาบใจเข้าในทับงามสรรพเปิดห้องมองเปล่า
ดังใครมาแขวะแคะเอาล้วงดวงใจเจ้าไปจากองค์
ทูนหัวของแม่หายไปไหนหลากใจให้คิดพิศวง
ปั้นวัวควายเล่นอยู่เป็นวงหรือพ่อลงเรือนไปแห่งไร่นา
ขวายขวนชลนัยน์เจ้าฟูมฟองแลเหลียวเที่ยวมองร้องหา
เต้เคร่งเต่งทรวงของมารดากินนมแม่ราพ่อยาใจ
ใต้ต้นสะดือลมอื้อเย็นลูกเอ๋ยเคยเล่นหาเห็นไม่
ผีเสื้อเสือสางที่กลางไพรเอาลูกข้าไปหรือไรนา
วู่วามมาถามตายายหลานชายไปไหนไม่เห็นหน้า
หาจบไม่พบพระลูกยาอยู่ที่ยายตาหรือว่าไร
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นสองเฒ่าเล่าพลางร้องไห้
แม่อย่าค้นคว้าหาไปสุดใจยายตาจะป้องกัน
เสนาท่านมาแต่ในกรุงแย่งยุ่งอลหม่านพระหลานขวัญ
ใส่บ่าพาไปแต่กลางวันไม่รู้ว่าโทษทัณฑ์ประการใด
เห็นทีจะมีรับสั่งเมียผัวกลัวดังจะตักษัย
มุดนอนซ่อนดูอยู่แต่ไกลดังจะขาดใจม้วยด้วยหลานยา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ได้ยินล้มผางกลางดินไม่เงยหน้า
สองกรข้อนทรวงเข้าโศกากัลยากลิ้งเกลือกเสือกองค์
แน่ไปไม่ได้สมประดีเกศีติดต้องละอองผง
ตายายนวดฟื้นคืนคงโฉมยงจับมีดกรีดคอ
ตาฉวยยายชิงทิ้งขว้างนางง้างเถาวัลย์จะพันศอ
สองเฒ่าเข้าปล้ำน้ำตาคลอแก้จากคอนางพลางร่ำไร
ฯ ๖ คำ ฯ
</sup>โอ้<\sup>
๏ นางทุ่มทอดกายสยายเกศชลเนตรแถวถั่งหลั่งไหล
พ่อคุณทูนหัวแม่หนักใจอัศจรรย์หวั่นไหวแต่ในดง
แม่รีบมาไม่เห็นหน้าเจ้าดังใครตัดเกล้าให้ผุยผง
ลูกแก้วไม่แคล้วจะปลดปลงมั่นคงทั้งนี้อีจันทา
แม่ไม่ขออยู่จะสู้ม้วยจะตายตามไปด้วยพระลูกข้า
ครวญคร๋ำทางร่ำพรรณนาโศกาแน่นิ่งไม่ติงกาย
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นนางจันท์กัลยาโฉมฉาย
คิดพลางทางผลุนวุ่นวายตายายห้ามไว้ก็ไม่ฟัง
ค่ำมืดดึกดื่นก็ตามทีตายเป็นเห็นผีพ่อหอยสังข์
วิ่งหนีตายายเข้าในวังคลุ้มคลั่งพระทัยร้องไห้มา
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ สิบห้าวันกันดารฝูงคนเทพย่นหนทางที่กลางป่า
คืนหนึ่งมาถึงพระพาราแฝงฟังกิจจาพระลูกชาย
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลฤาสาย
ไสยาสน์เหนืออาสน์พรรณรายไม่วายคำนึงถึงลูกยา
หรือจะเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขจึงล้างผลาญอย่างไรไม่สังขาร์
วิปริตผิดคนในโลกาบุญญาธิการชาญชัย
จำกูจะดูกุมารารูปร่างหน้าตาเป็นไฉน
พระมิได้บรรทมภิรมย์ในจนรุ่งแจ้งแสงใสพรายพรรณ
เข้าที่ชำระสระสรงสำอางค์องค์ทรงเครื่องแล้วผายผัน
เสด็จออกยังท้องพระโรงคัลจันทรเฉิดฉันก็ตามไป
จึงดำรัสตรัสแก่เสนีเรานี้ยังพะวงสงสัย
กุมารารูปร่างนั้นอย่างไรเสรีเร่งไปเอาตัวมา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ ฝ่ายว่ามหาเสนีรับสั่งวางรี่ออกไปหา
เบิกพระกุมารพลันมิทันช้าแล้วพามาเฝ้าองค์พระทรงชัย
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลเป็นใหญ่
ผาดเห็นลูกยาเข้ามาในท้าวไทพิศเพ่งเล็งแล
ทรวดทรงส่งศรีนรลักษณ์พิศพักตร์ผ่องช่วงดังดวงแข
แก้มเนตรเกศกรรณผันแปรดูละม้ายคล้ายแม่ที่ขับไป
ทั้งจริตกิริยามารยาทเชื้อชาติผู้ดีไม่มีไพร่
พระจึงดำรัสตรัสไปเราไซร้ขอถามกุมารา
เดิมเหตุเภทพาลประการใดเป็นไฉนจึงได้ไปอยู่ป่า
พ่อแม่ชื่อไรไฉนนาชันษาเจ้าได้สักกี่ปี
เราเห็นใช่ทรพลเป็นพ้นนักเห็นสมศักดิ์พักตราเป็นราศี
บอกพ่อเถิดราอย่าโศกีเจ้านี้มีนามกรใด
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ไหว้พลางทางร้องไห้
แม่ข้าอยู่ป่าพนาลัยเก็บผักหักไม้ด้วยยากจน
แม่ข้าว่าพ่อเสวยวังเกิดมาข้ายังไม่เห็นหน
แม่ข้าคลอดมาประหลาดคนหอยสังข์บังตนข้าออกมา
คนยุบิดาให้ขับไล่แม่ข้าพาไปอยู่ในป่า
อยู่หลังข้าออกจากสังข์มามารดาตีแตกให้แหลกไป
แม่ข้าชื่อจันท์เทวีข้านี้ชื่อสังข์ตามวิสัย
ด้วยความยากจนเป็นพ้นใจข้านี้เขาไปจับเข้ามา
ลุงหรือเขาลือว่าเป็นเจ้าใช้เขาไปจับเอาตัวข้า
กริ้วโกรธโทษภัยไฉนนาจำจองขื่อคาดังข้าไท
ลุงโปรดปล่อยข้าไปหาแม่ป่านนี้ตั้งแต่จะร้องไห้
ใครจะช่วยหาหม้อก่อไฟเฝ้าทับขับไล่ไก่กา
ฯ ๑๒ คำ ฯ
๏ ได้ฟังชลเนตรไหลหลั่งทั้งซ้ายขวา
แน่แล้วลูกแก้วของพ่ออาให้ถอดลูกยาออกทันใด
รับมาใส่ตักแล้วชมเชยลูกเอ๋ยมาเป็นเช่นนี้ได้
สงสารมารดามาแต่ไพรไม่เห็นจะไห้โศกี
จูบพักตร์ลูบพลางทางรับขวัญทรงธรรม์ไม่วายกันแสงศรี
ลืมคำจันทาพาทีภูมีพิศวาสเพียงขาดใจ
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นจันทาตัวเข็ญเป็นใหญ่
เดือดฟุ้งพลุ่งพล่านทะยานใจเข้าใกล้แฝงหลังบังองค์
ว่ายมนต์เป่าพลางทางทูลมาอนิจจาผ่านฟ้านี้คนหลง
เหตุไรจึงให้งวยงงหลงเชื่อฟังมันฉันใด
เพลิงกาฬจะมาผลาญพระบุรีเพราะลูกคนนี้หรือมิใช่
แม้นมิถ่วงลงคงคาลัยภูวไนยจะม้วยมรณา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ ฟังเมียแก้วจริงแล้วลืมเสียที่เจ้าว่า
เสื่อมสร่างวางองค์พระลูกยาเหวยเหวยเสนาเอาตัวไป
ผูกมัดรัดถ่วงให้มรณาจะงดใว้ช้านานไม่ได้
เพลิงกาฬจะมาผลาญเอาเวียงชัยเร่งไปบัดนี้อย่าได้ช้า
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นเสนารับสั่งใส่เกศา
เคืองแค้นแสนสันนางจันทากระซิบด่าในใจใม่เว้นคน
พระทรงฤทธิ์ผิดกว่าแต่ก่อนกลับกลอกยอกย้อนไม่เป็นผล
กลัวพระกาฬจะมาผลาญอยู่ลานลนต่างคนต่างพาเอาตัวไป
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฝ่ายว่าสังข์ทองเจ้าร้องจ้าน้าขาจะพาข้าไปไหน
ทุบตีฆ่าฟันหรือฉันใดข้าไหว้อย่าพาข้าไปเลย
ลุงเจ้าขาจงมาช่วยฉันด้วยลูกจะม้วยจริงแล้วพ่อคุณเอ๋ย
แม่ข้าไม่มาตามลูกเลยลุงตาน้าเอ๋ยไม่เห็นใคร
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ฝ่ายว่าองค์พระบิตุเรศสังเวชไม่กลั้นกันแสงได้
ตรัสสั่งมหาเสนาในอย่าพาไปเลยเจ้าเอากลับมา
จันทาทูลพลันทันทีตรัสเล่นเช่นนี้ดีหนักหนา
แม้นมิถ่วงมันให้มรณาข้าจะกินยาตายไม่อยู่เลย
พระดำรัสตรัสสั่งเสนีเอาไปเถิดสิเสนาเอ๋ย
เอาไว้กูไม่สบายเลยกรรมเอ๋ยเวรใดได้ทำมา
ล้างผลาญอย่างไรก็ไม่ม้วยกูจะไปดูด้วยเมื่อเข่นฆ่า
สั่งพลางชวนนางจันทาเสนานำไปที่หน้าแพ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เสนาจูงมาผูกมัดฝูงคนแออัดอยู่เซ็งแซ่
แล้วใส่นาวาไปหน้าแพด้วยกระแสรับสั่งพระภูวไนย
ฯ ๒ คำ ฯ โล้
๏ เมื่อนั้นนางจันท์ชนนีศรีใส
ได้ข่าวลูกแก้วแววไวดังจะขาดใจตายด้วยลูกยา
สองกรข้อนทรวงเข้าผางผางดังนางจะม้วยสังขาร์
ผุดลุกหันหุนหมุนมาตรงไปยังท่าชลาลัย
บาทาแตกคุพุพองหนามต้องตามติดหาปลิดไม่
ล้มลุกคลุกคลานทะยานไปกลัวจะไม่เห็นองค์พระลูกยา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงเห็นองค์พระลูกแก้วทอดองค์ลงแล้วก็โหยหา
เสือกสนบนฝั่งชลธาร์ไม่รู้ว่าจะทำประการใด
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ฝ่ายองค์พระสังข์กุมารน้อยตั้งแต่ละห้อยโหยไห้
แลเห็นมารดามาแต่ไกลดีใจร้องเรียกพระมารดา
แม่คุณจงช่วยลูกด้วยทีเขาผูกมัดรัดตีแล้วทุบด่า
แล้วมิหนำซ้ำมัดรัดกรมามารดานิ่งได้ไม่ปรานี
เขาจะโยนลูกลงในคงคาไม่ช้าจะม้วยไปเป็นผี
แม่วานเขาส่งลงมาทีชนนีนิ่งได้ไม่เอ็นดู
ลูกอยากขนมนมแม่น้าแก้ปล่อยให้ไปสักครู่
เสนาน้ำตาลงไหลพรูที่พาลข่มขู่ด้วยกลัวภัย
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฟังลูกว่ามารดาข้อนทรวงเข้าร้องไห้
มิได้คิดชีวิตจะขาดใจจะโจนน้ำลงไปมิได้นาน
คนดูที่รู้จักองค์ยุดห้ามโฉมยงด้วยสงสาร
นางเสือกเกลือกกลิ้งกับดินดานเยาวมาลย์ข้อนทรวงเข้าโศกี
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ แล้วแลเห็นองค์ผัวขวัญยอกรอภิวันท์เหนือเกศี
ลูกข้ากระจิริดผิดไม่มีขอประทานชีวีพระลูกชาย
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวยศวิมลฤาสาย
พะว้าพะวงไม่ตั้งกายแว่วเสียงโฉมฉายเจ้าเรียกมา
ชะแง้แลเห็นมเหสีเทวีบังคมเหนือเกศา
จำได้มั่นคงไม่สงกาพระราชาพยักกวักกร
เร่งเรียกสำเหนียกแก่เสนาให้ถอยนาวาเข้ามาก่อน
เสนากลับท้ายพายคอนจันทาโบกกรไปทันที
ไม่กลัวหัวจะขาดหรือไฉนโยนมันลงไปให้เป็นผี
ไว้ใยให้นานจนป่านนี้อ้ายนี่ขัดรับสั่งหรือฉันใด
เสนาตกใจอยู่ลนลานอุ้มพระกุมารมาหาช้าไม่
ผูกหินโยนพลันทันใดสองกษัตริย์สลบไปทั้งสองรา
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิดฉิ่ง โอด
๏ เมื่อนั้นจันทาดีใจเป็นหนักหนา
เห็นพระสลบซบพักตราต้องดูรู้ว่าไม่บรรลัย
เอาน้ำสุคนธามาลูบพักตร์ผัวรักค่อยฟื้นคืนมาได้
ร่ายมนต์เป่าพลางทางทูลไปจะโศกาอาลัยไปไยมี
เชื่อว่าบุญหนักศักดิ์ใหญ่พอโยนลงไปก็เป็นผี
มันเสี้ยนทรชนคนไพรีแม้นดีลูกชายจะตายไย
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระภูวดลยังหม่นไหม้
แสนสงสารบุตรนั้นสุดใจน้ำพระเนตรหลั่งไหลลงนองแนว
ขุ่นข้องต้องมนต์ของจันทาเสื่อมสร่างวิญญาณ์ถึงน้องแก้ว
เจ้าว่าถูกทุกสิ่งจริงแล้วคลาดแคล้วคืนหลังเข้าวังใน
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้นฝูงคนถ้วนหน้าน้ำตาไหล
แลเห็นโฉมงามทรามวัยเกลือกกลิ้งนิ่งไปไม่ไหวองค์
จึงวักตักเอาชลธีประพรมโฉมศรีไม่ผุยผง
ครั้นเจ้าค่อยฟื้นคืนคงปลอบโยนโฉมยงให้ไคลคลา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นโฉมศรีมีจิตคิดโหยหา
ชะแง้แลดูพระลูกยานางข้อนอุราเข้าร่ำไร
ฯ ๒ คำ ฯ โอ้ร่าย
๏ พ่อคุณทูลกระหม่อมของแม่เอ๋ยทรามเชยทิ้งแม่ให้โหยไห้
เช้าเย็นแม่จะเห็นหน้าใครดังกาเหยี่ยวเฉี่ยวไปก็เหมือนกัน
ลูกเอ๋ยเคยรับพระมารดาเมื่อมาแต่ป่าพนาสัณฑ์
พูดพลอดกอดแม่ไม่วายวันกินนมชมกันทุกเวลา
ตัวกรรมันตามมาล้างผลาญพลัดบ้านเมืองแล้วยังมิสา
ยังมิหน้ำซ้ำพรากจากลูกยาอนิจจามีกรรมต้องจำไกล
รำพันพลางนางลาคนทั้งปวงเจ้าเหงาง่วงเดินมาน้ำตาไหล
เปล่าจิตผิดทางชังตายไปดั้นด้นพงไพรร้องไห้มา
ฯ ๘ คำ ฯ เพลง
๏ เมื่อนั้นพระสังข์โอดโอยโหยหา
จมลงตรงปล่องนาคาฟุมฟายน้ำตาจาบัลย์
แม่เจ้าประคุณทูลกระหม่อมแก้วจะกลิ้งเกลือกอยู่แล้วเป็นแม่นมั่น
เพราะแม่ต่อยหอยสังข์ไม่ยั้งทันจึงพลัดพรากจากกันกับลูกยา
ที่นี้จะได้ผู้ใดเล่าอยู่ด้วยช่วยผ่านเกล้าเฝ้าเคหา
อยู่ทับขับไล่ไก่กาแม่มาเย็นเย็นจะเห็นใคร
ว่าพลางทางซบเกศเกล้าคิดถึงแม่เจ้าแล้วร้องไห้
สลบซบซอนอ่อนใจอยู่ในใต้น้ำไม่ทำลาย
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
             

ตอนที่ ๓ นางพันธุรัตเลี้ยงพระสังข์

๏ เมื่อนั้นท่านท้าวภุชงค์องค์สหาย
กับดักกระตักโหรคนทายล้ำเลิศเพริศพรายในบาดาล
ปรากฎพระยศศักดิ์ศรีบรรดานาคีไม่ต่อต้าน
ศาลารักษาศีลทานอยู่ใต้บาดาลพิมานชัย
เทพเจ้าเข้าในใจดลท่านท้าวกำพลหม่นไหม้
ด้วยพระสังข์ทองยองใยลำบากยากใจในคงคา
จะใคร่ไปตามวิสัยนาคออกจาเปลวปล่องช่องผา
ระวังตัวด้วยกลัวครุฑาทอดตาเหลียวดูมาแต่ไกล
ฯ ๘ คำ ฯ กลม
๏ เที่ยวเล่นมาเห็นกุมารนอนจมดินดานธารไหล
เห็นศิลาผูกมาก็แจ้งใจลูกใครทิ้งถ่วงลงคงคา
โฉมศรีบริสุทธิ์มนุษย์น้อยกระจ้อยร่อยน่ารักหนักหนา
ภุชงค์สงสารกุมาราเข้าต้องดูรู้ว่าไม่บรรลัย
จับกรช้อนองค์เห็นกงจักรน้อยหรือบุญหนักศักดิ์ใหญ่
จะเกิดเหตุเภทพาลประการใดใครช่างทำได้ไม่ปรานี
จะเอาเจ้าไปไว้เป็นลูกยาเห็นว่าบุญหนักศักดิ์ศรี
แล้วแก้ศิลาพลันทันทีนาคีอุ้มพาไปบาดาล
ฯ ๘ คำ ฯ      เชิด
๏ ครั้นถึงจึงวางบนแท่นแก้วผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
บอกเมียรักพลันมิทันนานบริวารแวดล้อมอยู่พร้อมเพรียง
พี่ไปได้มาแต่วารีจมในชลธีไม่มีเสียง
ช่วยแก้ไขให้คืนจะได้เลี้ยงกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงไว้เอาบุญ
ว่าพลางตั้งสัตย์อธิฐานถ้าบุญเรากับกุมารเคยอุดหนุน
แต่ชาติหลังทั้งสองเคยค้ำจุนเดชะบุญกุมารไม่วอดวาย
เสี่ยงพลางพลางเอาสุคนธ์ทิพย์ลูบหลังดังหยิบให้เหือดหาย
ค่อยฟื้นคืนสมประดีคลายโฉมฉายเป่ามนต์ด้วยฤทธี
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
๏ เมื่อนั้นพระสุวรรณสังข์เรืองศรี
ฟื้นองค์หลงว่ายวารีแลเห็นนาคีก็ดีใจ
รูปร่างโสภาเป็นมนุษย์ทรงภุชบังคมประนมไหว้
ผินผันอั้นอ้นฉงนใจกล่าวความถามไปกับนาคา
ข้าเจ้าเขาเอามาถ่วงน้ำบาปกรรมทำไว้เป็นหนักหนา
ผู้ใดเอาข้าเจ้ามาโปรดช่วยชีวาให้คืนคง
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวนาคีมีจิตพิศวง
ตรัสถามเนื้อความไปโดยจงเจ้าเชื้อแถวแนววงศ์พระองค์ใด
ใครเล่าถ่วงเจ้าลงวารีโฉมศรีโทษทัณฑ์นั้นไฉน
เราช่วยจึงไม่ม้วยลรรลัยจึงพามาไว้ในบ้านเมือง
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระสังข์เล่าความตามเรื่อง
บิดาข้าไซร้ได้ผ่านเมืองราวเรื่องแม่ว่าให้ข้าฟัง
เมียน้อยมันชื่อนางจันทามารดาคลอดข้าเป็นหอยสังข์
เขาขับไล่ให้ไปอยู่ไพรรังมันชิงชังทูลว่าข้าจัญไร
อยู่หลังข้าออกมานอกหอยเขาคอยจับข้าหาช้าไม่
ทุบตีฆ่าฟันไม่บรรลัยจึงให้ถ่วงข้าลงสาคร
บอกพลางทงทรงโศกีคิดถึงชนนีสะอื้นอ้อน
พระองค์ช่วยส่งให้มารดรวิงวอนร่ำไห้อยู่ไปมา
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นท้าวภุชงค์สงสารเป็นหนักหนา
ได้ฟังทั้งนางนาคาเสน่หาฟักฟูมอุ้มองค์
บุญญาธิการก็มากมีจึงเข่นฆ่าร้าตีไม่ผุยผง
แกล้งเดียดฉันท์กันเป็นมั่นคงยุยงชิงชังว่าจังไร
อยู่ด้วยแม่เถิดจะเลี้ยงเจ้าร่วมวันขวัญข้าวอย่าโหยไห้
ชนนีเจ้านั้นมิบรรลัยนานไปจะพบประสบกัน
จึงให้ชำระสระล้างล้อมข้างดังนางในสวรรค์
เอมโอชโภชนาสารพันนึกสิ่งใรนั้นก็มีมา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ ฝ่ายท้าวภุชงค์ทรงศักดิ์คิดถึงแม่รักยักษา
อย่าเลยจะให้กุมาราไปเป็นบุตรายาใจ
ผัวตายเป็นม่ายมาช้านานลูกหลานยักษีหามีไม่
จึ่งบอกพระสังข์ทองยองใยพ่อไซค้มิใช่เป็นมนุษย์
ถึงรักเจ้าเอาไว้ไม่ได้ด้วยจะชูช่วยบำรุงให้สูงสุด
ไปกว่าบิดาจะม้วยมุดสิ้นสุดทุกข์ภัยที่ได้มา
เจ้าคิดถึงบิดาจะมาถึงครู่หนึ่งบัดใจจะไปหา
ว่าพลางทางสั่งนาคาตกแต่งกายาให้อ่าองค์
ทองกรอ่อนห้อยสร้อยสะอิ้งเพริศพริ้งเฟื่องฟูดูระหง
นาคาข้าพร้อมล้อมวงอุ้มองค์พามาจากบาดาล
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ ขึ้นจากฟากฝั่งพระสมุทรพ้นแดนมนุษย์สุดสถาน
ริมสะดือทะเลคะเนการหมายมุ่งกรุงมารไม่ใกล้ไกล
จึงนฤมิตด้วยฤทธาเป็นมหาสำเภาทองผ่องใส
โภชนาสารพันทันใดพร้อมไปในลำสำเภาทอง
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
๏ จึงอุ้มลูกน้อยกลอยสวาทนาคราชทูนเกล้าเศร้าหมอง
วางไว้ในลำสำเภาทองทั้งสองโศกาด้วยปรานี
แล้วเอาแผ่นสุวรรณบันทึกจารึกเป็นราชสารศรี
สั่งลูกชายพลันทันทีจงส่งให้ยักษีที่ลงมา
แล้วเธอตั้งสัตย์อธิษฐานขุนมารอันคิดริษยา
จะจับลูกอย่าให้ถูกลำเภตราให้ตรงซึ่งพาราอย่าขัดไป
เสี่ยงพลางทางเลือกสำเภาทองลอยล่องในท้องทะเลใหญ่
สงสารลูกแก้วแววไวแล้วกลับหลังวังในสู่ไพชน
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นพระสุวรรณสังข์ระเหระหน
คว้างเคว้งมาในกลางทะเลวนทุกข์ทนแลเหลียวเปลี่ยวใจ
มีอยู่แต่น้ำกับฟ้าจะแลเห็นฝั่งฝาก็หาไม่
ดูเป็นหมอกมัวออกทั่วไปหวั่นไหวไม่เคยไปมา
เห็นฉนากฉลามตามกันดาษดื่นหมื่นพันล้วนมัจฉา
เงือกงูราหูเหราทั้งกระโห้โลมาปลาวาฬ
มังกรลอยล่องท้องน้ำคลื่นซัดซัดน้ำมาฉ่าฉาน
คิดถึงพระแม่อยู่แดดาลเหมือนม้วยวายปราณไปจากกัน
ลูกรักพลัดไปแห่งใดแม่อยู่หนไหนไม่ผายผัน
มิตายใหญ่กล้าจะมาพลันเสาะหาแม่นั้นให้พบพาน
ร่ำไรอยู่ในเภตราเทวาพิศวงน่าสงสาร
ช่วยส่งให้ตรงเมืองมารเข้ายังสถานด่านแดน
ฯ ๑๒ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้นกุมภัณฑ์ยักษาอยู่กว่าแสน
ลาดตะเวณเกณฑ์กันปันแดนแว่นแคว้นนางมารชาญชัย
ยืนเยี่ยมหอคอยลอยลิ่วเห็นกระโดงธงทิวปลิวไสว
แลลิบลิบพริบตามาไวไวเข้าใกล้แลเห็นเป็นสำเภา
คิดว่าข้าศึกมาฮึกฮักขุนยักษ์วุ่นวายทั้งนายบ่าว
ออกรับจะจับเอาสำเภาเร่งป่าวร้องเสร็จระเห็จมา
ฯ ๖ คำ ฯ กราว
๏ ตรูกันลงหาดทรายชายฝั่งเห็นสำเภายังไม่กังขา
ทองคำทั้งลำทำมาคนในเภตราก็ไม่มี
เห็นอยู่แต่กุมารน้อยแช่มช้อยจรัสรัศมี
แจ้งใจมิใช่ไพรียักษีตรูกันมาทันใด
เผ่นโผนโจนฉวยด้วยความอยากอ้าปากแลบลิ้นน้ำลายไหล
เร่งรีบฉวยพลันทันใดประหลาดใจไม่ถูกเภตรา
ทะลึ่งโลดโดดคว้าผวาเปล่าเหมือนหนึ่งจับดาวในเวหา
ลอยเด่นเห็นอยู่แก่ตายักษากริ้วโกรธพิโรธใจ
ดีด้วยกระบองก้องเวหาจะถูกลำเภตราก็หาไม่
ล้อมรุมกลุ้มกันเข้าทันใดเปล่าไปไม่ปะปะทะกัน
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นสุวรรณสังข์นรังสรรค์
เห็นหมู่อสูรกุมภัณฑ์คร้ามครั่นพรั่นอกตกใจ
แต่ละตัวหัวพริกหยิกหยองดำกาตาพองท้องใหญ่
เขี้ยวขาวยาวรีไม่มีใจคิดได้ถึงท้าวนาคี
แล้วจึงตั้งสัตย์อธิษฐานอย่าให้ขุนมารยักษี
มาทำอันตรายราวีแก่ตัวข้านี้เลยนา
คิดแล้วเท่านั้นมิทันนานจึงโยนแผ่นทองสารให้ยักษา
แผ่นทองลอยละลิ่วปลิวมาคอยท่ายักษีดังมีใจ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ ยักษาโลดโผนโจนจับกลอกกลับรับราชสารได้
คืนเข้าฝั่งพลันทันใดหอบรวนหายใจอยู่ไปมา
จึงรู้สาราที่จารึกมิใช่ข้าศึกจึงปรึกษา
สารทองของท้าวเจ้านาคาเภตราเขียนลายระบายทอง
จำเพาะให้โฉมยงลงมารับเราจึงจู่จับมิได้ต้อง
ปรึกษาแล้วนำเอาแผ่นทองนายรองระเห็จเตร็ดมา
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงซึ่งราชธานีจึงนำสารศรีเข้าไปหา
บอกแจ้งแถลงกิจจาแก่ท่านมหาเสนาใน
ฯ ๒      คำ ฯ
๏ เสนารับสารใส่พานแก้วคลาดแคล้วพามาหาข้าไม่
เข้าเฝ้านางมารชาญชัยที่ในพระโรงอันรูจี
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ มาถึงจึงคลานเข้าไปเฝ้าก้มเกล้าบังคมเหนือเกศี
แล้วทูลไปพลันทันทีท้าวนาคีมีราชสารมา
ให้ราชฑูตมนุษย์น้อยล่องลอยสำเภาไม่เข้าหา
ทองคำทั้งลำทำมาคนในเภตราก็ไม่มี
จับต้องจะถูกก็หาไม่โยนให้แต่ราชสารศรี
ผิดอย่างปางก่อนบห่อนมีเทวีจงทราบพระบาทา
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นนางพันธุรัตยักษา
เร่งคิดถวิลจินตนาทูตถือสาราประหลาดใจ
จึงสั่งสาวศรีที่หมอบเฝ้ารับเอาสาราเข้ามาให้
แล้วอ่านดูพลันทันใดที่ในพระราชสารา
ฯ ๔ คำ ฯ เอกบท
๏ สารท้าวภุชงค์ทรงศักดิ์คิดถึงแม่รักยักษา
แต่สหายวายปราณนานมาชั่วช้ามิได้มาเยี่ยมเยือน
องค์ท้าวกุมภัณฑ์ที่บรรลัยความสมัครรักใคร่ใครจะเหมือน
เจ้าน้อยใจที่ไม่เยี่ยมเยือนรักเจ้าเท่าเทียมเหมือนกัน
เป็นหญิงครองเมืองมณฑลเสนีรี้พลจะเดียดฉันท์
เราไซร้ได้บุตรบุญธรรม์มนุษย์จ้อยน้อยนั้นถือสารไป
เจ้าจงเลี้ยงไว้เป็นลูกรักเราเห็นบุญหนักศักดิ์ใหญ่
จะได้ครอบครองพระเวียงชัยเลี้ยงไว้ค้ำชูแทนหูตา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ อ่านจบแจ้งในสารศรีคิดถวิลยินดีเป็นหนักหนา
เอาสารทูนเกล้าไว้มิได้ช้าขอบใจหนักหนาท้าวนาคี
องค์ท้าวกุมภัณฑ์ที่บรรลัยยังคิดรักใคร่ไม่หน่ายหนี
ซื่อตรงต่อองค์พระสามีคุณของนาคียังบิดา
แล้วตรัสแก่มหาเสนาในใครเห็นอย่างไรให้ปรึกษา
มนุษย์น้อยจ้อยในเภตรานาคาให้มาให้รับรอง
ให้เลี้ยงต่างลูกดวงใจบุญหนักศักดิ์ใหญ่ไม่มีสอง
เรานี้มีจิตคิดปองจะใคร่รับรองกุมารา
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ บัดนั้นกุมภัณฑ์โหรใหญ่ฝ่ายขวา
พินิจคิดคูณแล้วทูลมาโหราขอโทษได้โปรดปราน
อย่าเพ่อชื่นชมภิรมย์ใจมิได้สงสัยที่ในสาร
ตำราทายว่าพระกุมารมิใช่ลูกหลานท้าวนาคา
มนุษย์กับยักษ์จะรักกันห้ามปรามกวดขันเป็นหนักหนา
เหมือนหนึ่งดุเหว่าเหล่กาเลี้ยงรักษาได้เมื่อไรมี
ทำนองเมรีกับพระรถลักหยูกยาหมดแล้วลอบหนี
โฉมยงเหมือนองค์เมรีรับมาน่าที่จะวายปราณ
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ ได้เอยได้ฟังมืดคลุ้มกลุ้มคลั่งดังเพลิงผลาญ
เหม่อ้ายโหรใหญ่ใจพาลช่างเปรียบเทียบทัดทานด้วยมารยา
มึงนี้ผูกจิตคิดคดจะขบถจริงจังกระมังหนา
กูไซร้จะได้ลูกยากีดหน้าขวางตาหรือว่าไร
กูไซร้ใช่นางเมรีหลงด้วยโลกีย์หาดีไม่
อันท้าวภุชงค์ทรงชัยชั่วแล้วที่ไหนจะให้มา
ว่าพลางทางสั่งสาวสวรรค์จงช่วยกันขับไล่ไสเกศา
แต่นี้สืบไปอย่าให้มามันว่ากูเล่นให้เป็นลาง
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้วสั่งกุมภัณฑ์ให้จัดแจงตกแต่งเร่งรัดอย่าขัดขวาง
อีกทั้งข้าเฝ้าท้าวนางต่างต่างแผลงฤทธิ์นิมิตกาย
ให้เป็นมนุษย์สุดสิ้นตรัสพลางเทพินผันผาย
เข้าที่นฤมิตบิดเบือนกายเฉิดฉายโสภาอ่าองค์
ออกจากวังแก้วแพรวพรรณกำนัลพรั่งพรูดูระหง
แห่แหนแน่นอัดจัตุรงค์เสนาพาลงไปคงคา
ฯ ๖ คำ ฯ กลองโยน เชิด
๏ มาถึงหาดทราบชายทะเลเห็นเภตราลอยคอยท่า
ลดองค์ลงริมชลธาร์หัตถาจบน้ำได้สามที
แล้วนางตั้งจิตพิษฐานกุมารบุญหนักศักดิ์ศรี
จะมาเป็นลูกข้าในครานี้เทวัญจันทรีจงเล็งแล
ขอให้ลอยเข้ามาถึงฝั่งเหมือนหนึ่งยังข้าเห็นให้เป็นแน่
เสี่ยงพลางแล้วนางผันแปรลุกยืนชะแง้แลไป
สำเภาลอยเลื่อนเคลื่อนคลาไม่ทันพริบตาเข้ามาใกล้
เกยยังฝั่งพลันทันใดบัดใจเห็นทั่วทุกตัวมาร
ฯ ๘ คำ ฯ สาธุการ
๏ แล้วนางย่างลงในเภตรามิช้าเห็นองค์น่าสงสาร
พินิจพิศดูพระกุมารงามปานรูปทรงดังองค์อินทร์
ฝ่ายว่าพระสังข์ก็บังคมชื่นชมในจิตคิดถวิล
แม่นยำเหมือนคำท้าวนาคินเสร็จสิ้นทุกสิ่งไม่กริ่งใจ
นางมารฟักฟูมอุ้มองค์โฉมยงยินดีจะมีไหน
ลงจากเภตราคลาไคลสำเภาหายไปมิได้นาน
สาวศรีรับรองประคองเคียงพร้อมเพรียงพิศวงสงสาร
เบียดเสียดกันดูพระกุมารคืนเข้าสถานสำราญใจ
ฯ ๘ คำ ฯ เชิด
๏ มาถึงวังพลันทันทีวางยังแท่นมณีศรีใส
จึงดำรัสตรัสถามความในพ่อเป็นลูกหลานใครไฉนนา
จึงพระยาภุชงค์ทรงศักดิ์ส่งองค์ลูกรักให้แก่ข้า
เหตุผลต้นปลายอย่างไรมาลูกยาทรงนามกรใด
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ทูลแจ้งแถลงไข
คิดถึงมารดายิ่งอาลัยร่ำไรทูลความแต่หลังมา
อันพระบิตุรงค์ทรงภพประเสริฐเลิศลบจบทิศา
เมียน้อยนั้นชื่อจันทาเขายุยงบิดาให้ฆ่าตี
จับลูกถ่วงท้องชลาลัยตัวแม่ขับไล่อยู่ไพรศรี
บุญช่วยจึงไม่ม้วยชีวีท้าวนาคีจึงใส่สำเภามา
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ ฟังเอยฟังการนางมารสงสารเป็นหนักหนา
รับขวัญไม่กลั้นน้ำตาลูบหลังลูบหน้าให้ปรานี
แม่จะถนอมกล่อมเกลี้ยงจะเลี้ยงเจ้าเป็นบุตรนะโฉมศรี
พ่ออย่าได้กังขาราคีพระบุรีจะให้แก่ลูกยา
จูบพลางนางอุ้มขึ้นใส่ตักความรักแสนสุดเสน่หา
ดังดวงฤทัยนัยนาแล้วสั่งมหาเสนาใน
ท่านจงเร่งรัดจัดแจงตกแต่งพาราอย่าช้าได้
จะสมโภชลูกแก้วแววไวบาดหมายกันไปอย่าได้นาน
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นเสนารับราชบรรหาร
แล้วถวายบังคมก้มกรานมาสั่งการตามมีพระบัญชา
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ ให้แต่งโรงราชพิธีเทียนชัยบายศรีทั้งซ้ายขวา
หุ่นละครโขนหนังช่องระทาเครื่องเล่นนานาบรรดามี
ทั้งระเบ็งระบำปล้ำมวยพร้อมด้วยสังคีตดีดสี
งิ้วง้าวเสภาชาตรีมโหรีครึ่งท่อนมอญรำ
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ แล้วกลับมาทูลความตามเรื่องบ้านเมืองแต่งอร่ามงามขำ
ราชวัติฉัตรธงโยงรำพร้อมสำเร็จแล้วพระเทวี
ฯ ๒ คำ ฯ ช้า ร่าย
๏ ฟังเอยฟังสารนางมารปรีดิ์เปรมเกษมศรี
ครั้นว่าสนธยาราตรีก็เข้าที่บรรทมภิรมย์ใน
ฯ ๒ คำ ฯ ตระ
๏ ครั้นรุ่งแจ้งแต่งองค์ลูกยาภูษาอย่างดีศรีใส
ทองกรสังวาลตระการใจแล้วมุ่นจุไรใส่ชฎา
สรรพเสร็จเสด็จจรลีสาวศรีไสวทั้งซ้ายขวา
เชิญเครื่องตามกันเป็นหลั่นมายาตราสถิตยังพิธี
ฯ ๔ คำ ฯ ร้องเพลงมหาชัย
๏ ร่าย
ได้เอยได้ฤกษ์นางมารให้เบิกบายศรี
ลั่นฆ้องกลองชัยเภรีดีดสีตีทับฉับพลัน
จุดแว่นเวียนซ้ายย้ายขวาโห่ขึ้นสามลาขมีขมัน
เซ็งแซ่แตรสังข์ประดังกันฆาตฆ้องกลองลั่นสนั่นไป
ฯ ๔ คำ ฯ มโหรี
๏ เวียนเทียนสำเร็จเสร็จสรรพโบกจับจุณเจิมเฉลิมให้
แล้วนางอำนวนอวยชัยทุกข์โศกโรคภัยอย่าให้มี
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ ฝ่ายเจ้าพนักงานการเล่นทั้งมวยปล้ำรำเต้นถ้วนถี่
โขนละครไก่ป่าชาตรีเป่าปี่ตีกลองกึกก้องไป
หกคะเมนไต่ลวดกวดขันเจ็ดคืนเจ็ดวันหวั่นไหว
ครั้นราตรีมีดอกไม้ไฟหนังจีนหนังไทยดอกไม้กล
อีกทั้งครึ่งท่อนมอญรำจับระบำรำท่าโกลาหล
งิ้วง้าวฉาวแฉ่งแต่งตนเกลื่อนกล่นอื้ออึงคะนึงไป
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ นางมารสมโภชพระลูกแก้วผ่องแผ้วยินดีจะมีไหน
จึงชวนลูกยาคลาไคลเข้าในวังพลันทันที
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงจึงขึ้นบนแท่นแก้วผ่องแผ้วปรีดิ์เปรมเกษมศรี
แล้วจัดแจงนักเทศน์ขันทีนางนมทั้งสี่พี่เลี้ยง
กำนัลนางมโหรีขับไม้สำหรับให้ขับกล่อมพระเนื้อเกลี้ยง
แม่มอบให้พระสังข์ทั้งวังเวียงใครทุ่มเถียงจงเฆี่ยนฆ่าตี
นางถนอมกล่อมเกลี้ยงรักษามิให้พระลูกยาเจ้าหมองศรี
จนพระชันษาสิบห้าปียังทวีความรักอยู่ทุกวัน
นางค่อยเคลื่อนคลายสบายใจจะใคร่ไปเที่ยวป่าพนาสัณฑ์
เผอิญใจทึกทึนนึกผูกพันคิดพรั่นกลัวลูกจะหนีไป
อย่าเลยจะแสร้งแกล้งล่อลวงอย่าให้ล่วงหมายคำสำคัญได้
ว่าไปช้าแล้วกลับมาเร็วไวถึงจะหนีไปไม่พ้นกร
แม่จะไปป่าเจ็ดราตรีพันปีจงฟังแม่สั่งสอน
บ่อน้ำซ้ายขวาเจ้าอย่าจรหอข้างหัวนอนเจ้าอย่าไป
สั่งลูกแล้วพบันมิทันช้าพรั่งพร้อมทหารหน้าห้องใหญ่
ออกจากพาราคลาไคลแปลงไปเป็นยักษ์ฉับพลัน
ฯ ๑๔ คำ ฯ กราว
๏ ครั้นมาถึงป่าพนาลัยจับได้ช้างเสือเนื้อสมัน
ฟาดฟันล้มตายวายชีวันได้ห้าหกตัวนั้นไม่พอพุง
ครั้นเหลือบเห็นช้างฝูงใหญ่ดีใจฟาดด้วยกระบองผลุง
หักคอตายกลาดฟาดดังปุงทหารหอบพะรุงพะรังมา
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ วางกองไว้หน้าศาลาลัยแล้วนางไปสรงน้ำที่เพิงผา
แล้วขึ้นนั่งบนบัลลังก์ศิลาเสวยสัตว์นานาทันที
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
มาจะกล่าวบทไปถึงองค์พระสังข์เรืองศรี
อยู่ในไพชนอสุรีมีจิตคิดถึงมารดา
เหตุไฉนไปไพรกรุ่นกรุ่นพระคุณไปไยที่ในป่า
ว่าไปวันเดียวจะกลับมาไม่เหมือนวาจาที่ว่าไว้
เหตุใดถ้อยคำฟั่นเฟื่อนคลาดเคลื่อนคืนวันหามั่นไม่
ตรัสว่าจะไปคืนเดียวไซร้เจ็ดวันจึ่งได้กลับมา
ครั้นว่าจะไปเจ็ดวันกลับพลันวันเดียวไม่เหมือนว่า
ผิดแล้วถ้อยคำพระมารดาดีร้ายจะมาต่อเจ็ดวัน
ห้ามไว้มิให้ไปที่ครัวไฟอะไรจะมีอยู่ที่นั่น
ลับตาสาวใช้ลอบไปพลันได้เห็นสำคัญในทันที
ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลง
๏ เห็นโครงเสือช้างกวางทรายทั้งกายมนุษย์กับซากผี
ตกใจไม่เป็นสมประดีผิดแล้วชนนีเห็นสำคัญ
พระมารดาว่าบ่อที่ปิดไว้จะมีอะไรเป็นแม่นมั่น
ลอบหนีพี่เลี้ยงลงไปพลันเปิดบ่อซ้ายนั้นขึ้นทันใด
ค่อยเอานิ้วพระหัตถ์ชี้จุ่มจี้บ่อเงินที่ผ่องใส
เปิดบ่อขวาพลันทันใดแจ่มใสสว่างอยู่เรืองรอง
เอานี้วชี้ที่เป็นเงินนั้นจิ้มลงดูพลันเป็นทองผ่อง
คิดตกใจเจ้าเฝ้ามองเช็ดทองด้วยกลัวพระมารดา
จะเช็ดสีเท่าใดก็ไม่ออกพระแม่มาจะบอกกระมังหนา
รีบมาคิดได้ด้วยมารยาฉีกผ้าพันนิ้วพระหัตถ์ไว้
แล้วพระจึงซ่องฝูงนางมาดูที่ปรางค์ปราสาทใหญ่
แลเห็นรูปเงาะเหมาะสุดใจพระจึงสวมใส่เข้าลองดู
สอดใส่เกือกแก้วทั้งซ้ายขวาประดับเพชรพรายตาทั้งคู่
จับไม้เท้าทองลองฤทธิ์ดูเหาะวู่ตามช่องบัญชรชัย
ฯ ๑๔ คำ ฯ เชิด
๏ เหาะลองดูเล่นพอเห็นดีกลัวพระชนนีไม่ช้าได้
ถอดออกแล้ววางดังเก่าไว้ดีใจสอดมองดูมารดา
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ทีเอยทีนี้ชอบที่จะหนีแม่ยักษา
จะเหาะไปหาพระมารดาถึงไร่ยายตาที่เลี้ยงเรา
ฯ ๒ คำ ฯ โอ้ร่าย
๏ โอ้อนิจจาพระชนนีป่านฉะนี้จะร่ำโศกเศร้า
จะข้อนทรวงสลบซบเซาพระเกิดเกล้าลูกเอ๋ยจะโศกา
ตัวกูมาอยู่ในเมืองนี้พระชนนีเลี้ยงเป็นยักษา
ไว้ใจยากนักถ้าฉวยช้าไหนจะหนีมารดาไปได้เลย
เห็นจะวายชีวิตเสียเปล่าเปล่าโอ้พระเกิดเกล้าของลูกเอ๋ย
จะแทนคุณชนนีมิอยู่เลยเงยเห็นพี่เลี้ยงซ่อนทันที
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพี่เลี้ยงวิ่งหาพระโฉมศรี
ตกใจไม่เห็นอยู่ในที่วิ่งตีอกหาประหม่าใจ
เมื่อกี้วิ่งเล่นก็เห็นตัวทูนหัวเอ๋ยซ่อนอยู่แห่งไหน
มองมาพบพระองค์ก็ดีใจพี่เลี้ยงสาวใช้ก็เปรมปรีดิ์
ฯ ๔ คำ      ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นนางพันธุรัตยักษี
เล็ดลอดสอดหามฤดีได้เจ็ดราตรีอยู่ไพรวัน
สายัณห์ตะวันรอนรอนใกล้จะลับสิงขรพนาสัณฑ์
รำลึกถึงลูกใจผูกพันเร่งรีบเร็วพลันระเห็จมา
ฯ ๔ คำ ฯ      เชิด
๏ ถึงรับขวัญอุ้มพระลูกรักจูบพักตร์เศียรเกล้าเกศา
กอดชมดังดวงนัยนานางแสนเสน่หาดังดวงใจ
แลเห็นนิ้วหัตถาพันผ้าเอ็ววันของแม่เป็นไฉน
ผ้าผูกนิ้วถูกอะไรเป็นไรหรือพ่อจงบอกมา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ได้ฟังคำว่า
ครั้นแม่จับนิ้วทำมารยากลัวพระมารดาจะเคืองใจ
ทำผิดลูกกลัววพระแม่ตีลูกนี้ไม่มีอัชฌาสัย
จับมีดเข้ามาผ่าไม้บาดเลือดซับไหลฝนไพลทา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ได้เอยได้ฟังชะนางพี่เลี้ยงช่างให้ไม้ผ่า
จับมือพิศดูพันผ้าทูนเหนือเกศารำคาญใจ
จะมากหรือน้อยแม่ขอดูนิ่งอยู่หาทำให้เจ็บไม่
กำมิดปิดซ่อนแม่ทำไมบาดแผลน้อยใหญ่ไฉนนา
ฯ ๔ คำ ฯ
สังข์เอยสังข์ทองทำร้องกุมนิ้วพันผ้า
อุยอุยพระแ ม่อย่าแก้นาเจ็บปวดหนักหนาเป็นพ้นไป
โลหิตติดกรังผ้าอยู่เจ็บปวดพ้นรู้ไม่แก้ได้
ลูกลวนลามเล่นจึงเป็นไปพระแม่จงได้ปรานี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ ได้เอยได้ฟังนางมารโกรธพี่เลี้ยงสาวศรี
น้ำตาคลอตาด้วยปรานีให้มัดตีพี่เลี้ยงนางใน
นางนมพี่เลี้ยงเรียงหน้ามึงไม่นำพาเอาใจใส่
ให้เล่นมีดแล่นพร้าผ่าไม้ตีให้บรรลัยประเดี๋ยวนี้
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ ได้เอยได้ฟังพระสังข์บังคมขอโทษพี้
อ้อนวอนกราบไหว้ทั้งโศกีมิให้ต้องตีชิงไม้ไว้
ลูกแข็งเขาห้ามแล้วไม่ฟังเขารักข้าหาชังลูกน้อยไม่
ถ้าเขาต้องโทษโพยภัยไหนเขาจะรักลูกน้อยนี้
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา กล่อม
             

ตอนที่ ๔ พระสังข์หนีนางพันธุรัต

</sup>ช้า<\sup>
๏ มาจะกล่าวบทไปถึงนางพันธุรัตยักษี
แต่ว่างเว้นเป็นม่ายมาหลายปีสามีมอดม้วยด้วยไข้พิษ
ได้ลูกน้อยหอยสังข์มาเลี้ยงไว้รักใคร่เป็นบุตรสุจริต
ฟักฟูมอุ้มชูชมชิดลืมคิดถึงผัวของตัวตาย
เมื่อเวรามาติดตามทันนางนั้นจะสิ้นบุญสูญหาย
ให้ร้อนเนื้อเดือดใจไม่สบายผันผายไปป่าพนาวัน
ฯ ๖ คำ ฯ
</sup>ร่าย<\sup>
๏ จึงอุ้มองค์พระสังข์นั่งตักโลมลูบจูบพักตร์แล้วรับขวัญ
วันนี้แม่จะลาไปอารัญสายัณห์เลี้ยวลับจะกลับมา
แล้วกำชับสาวศรีพี่เลี้ยงจงถนอมกล่อมเกลี้ยงโอรสา
ตามใจอย่าให้โกรธาเคืองขัดอัธยาสิ่งใด
สั่งพลางย่างเยื้องยุรยาตรจากปราสาทเรืองรองผ่องใส
มาลับตาลูกน้อยกลอยใจอรไทเปลี่ยนแปลงกายา
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๏ บัดใจรูปร่างเป็นนางยักษ์ล่ำสันคึกคักหนักหนา
ถือตระบองป้องพักตร์ทำศักดาดั้นดงตรงมาพนาลี
ฯ ๒ คำ ฯ กราวใน เชิด
๏ ครั้นถึงหิมวาป่าสูงเห็นฝูงเนื้อเบื้อเสือสีห์
นางยักษ์อยากกินก็ยินดีเข้าไล่ตีเลี้ยวลัดสกัดสแกง
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ พิฆาตฆ่าโคกระทิงมหิงสาด้วยกำลังฤทธากล้าแข็ง
โจนจับฉับเฉียวเรี่ยวแรงหักแข็งขาไว้ในดงดาน
ตัวไหนพ่วงพีมีมันเลือกสรรกินเล่นเป็นอาหาร
กระดูกกระเดี้ยวเคี้ยวป่นไม่ทนทานคชสารควายวัวตัวละคำ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ นางกินเหลือล้นจนเรอท้องไส้เอ้อเร้ออิ่มหนำ
ลงล้างปากล้างคอในบ่อน้ำพอพลบค่ำย่ำแสงสนธยา
จึงไปยังที่หยุดพักเคยสำนักแรมทางกลางป่า
ปัดผงลงนอนในศาลานิทรากลิ้งกลับจนหลับไป
ฯ ๔ คำ ฯ ตระ
</sup>ช้าปี่<\sup>
๏ เมื่อนั้นองค์พระสังข์ทองผ่องใส
ราตรีเข้าที่บรรทมในถอนฤทัยรำลึกตรึกตรา
คิดถึงชนนีที่เกิดเกล้าจะโศกเศร้าทุกข์ทนบ่นหา
แต่มาอยู่เมืองมารก็นานช้าไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดี
ซึ่งกูจะหลงอยู่ในเมืองยักษ์แม้นมิลักรูปเงาะเหาะหนี
ที่ไหนจะได้เห็นชนนีนับปีเดือนแล้วจะแคล้วไป
จำจะคิดติดตามสืบหาให้พบพานมารดาจงได้
วันนี้แม่พันธุรัตไปแรมไพรได้ช่องคล่องใจจะไคลคลา
ฯ ๘ คำ ฯ
</sup>ร่าย<\sup>
๏ ครั้นกลางคืนดื่นดึกเดือนเที่ยงเห็นพี่เลี้ยงหลับสนิทถ้วนหน้า
ค่อยย่องลงจากเตียงเมียงออกมาจากห้องไสยาทันที
ฯ ๒ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ ลอบลงชุบองค์ในบ่อทองผิวเนื้อนวลละอองผ่องศรี
เป็นทองคำธรรมชาติชาตรีสมถวิลยินดีดังใจคิด
แล้วขึ้นไปบนปราสาทชัยที่ไว้รูปเงาะศักดิ์สิทธิ์
หยิบขึ้นแลเล็งเพ่งพิศขุกคิดขึ้นมาก็อาลัย
ฯ ๔ คำ ฯ
</sup>โอ้<\sup>
๏ โอ้อนิจจามารดาเลี้ยงเคยถนอมกล่อมเกลี้ยงรักใคร่
แสนสนิทพิศวาสดังดวงใจมิให้ลูกยาอนาทร
พระคุณล้ำลบจบดินแดนยังมิได้ทดแทนพระคุณก่อน
วันนี้จะพลัดพรากจากจรมารดรค่อยอยู่จงดี
แม้นลูกไปไม่ม้วยมรณาจะกลับมากราบบาทบทศรี
ร่ำพลางทางทรงโศกีอยู่ปราสาทเพียงขาดใจ
ฯ ๖ คำ ฯ โอด
</sup>ร่าย<\sup>
๏ ครั้นคลายทุกข์ขุกคิดขึ้นมาจะอยู่ช้าฉะนี้ก็มิได้
เกลือกว่ามารดามาแต่ไพรหนีไปไม่ทันจะเสียการ
เอารูปเงาะสวมองค์ทรงเข้าแล้วใส่เกือกแก้วถือไม้เท้าห้าวหาญ
เหาะขึ้นเวหาเหินทะยานออกจากเมืองมารรีบมา
ฯ ๔ คำ ฯ กลม เชิด
๏ เหาะระเห็จเจ็ดคืนถึงเขาหลวงสูงกว่าเขาทั้งปวงที่ในป่า
พอสิ้นกำลังวังชาเหน็ดเหนื่อยเลื่อยล้าเต็มที
จำจะหยุดพักสักหน่อยก่อนทินกรร้อนแรงแสงสี
จึงเลื่อนลงยังยอดคีรีจรลีเข้าใต้ร่มไทร
ฯ ๔ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นพวกพี่เลี้ยงนางนมน้อยใหญ่
ครั้นรุ่งแจ้งแสงสุริโยทัยนางในต่างฟื้นตื่นตา
ม้วนที่นอนหมอนข้างเก็บงำฉวยขันตักน้ำมาล้างหน้า
แล้วเข้าไปในที่ไสยาแลหาไม่เห็นพระสังข์ทอง
ตกประหม่าตาขาวคิดฉงนฝูงนางต่างตนเร่งหม่นหมอง
ชวนกันลดเลี้ยวเที่ยวมองทุกแห่งห้องตำหนักนอกใน
ฯ ๖ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
๏ ค้นคว้าหาทั่วที่เคยเล่นจะประสบพบเห็นก็หาไม่
ต่างตีอกชกหัวร่ำไรครั้งนี้ที่ไหนจะรอดตาย
แม้นแม่พันธุรัตมาแต่ป่าจะตีด่าดุเดือดไม่เหือดหาย
จะปลิ้นปลอกออกตัวยักย้ายด้วยแยบคายแก้ไขเห็นไม่ฟัง
ปรับทุกข์กันทุกคนบ้างบนผีเอ็นดูช่วยสักทีพอรอดหลัง
บ้างว่าเลี้ยงลูกเจ้าเฝ้าคลังมักมีภัยสมดังว่ามา
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นนางพันธุรัตยักษา
เที่ยวป่าเล่นสบายหลายเวลาก็เหาะกลับคืนมายังเมืองมาร
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงปราสาทมณีที่สำนักร้องเรียกลูกรักก็ไม่ขาน
แลหาแห่งไรไม่พบพานนางมารหวั่นหวาดประหลาดใจ
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นพวกพี่เลี้ยงนางนมน้อยใหญ่
เห็นนางยักษามาแต่ไพรกลัวภัยภาวนาละล้าละลัง
แต่เขยื้อนขยับลับล่อเข้าไปแล้วให้ท้อถอยหลัง
จึงก้มเกล้าเล่าเหตุให้ฟังพระลูกน้อยหอยสังข์นั้นหายไป
ข้าเที่ยวค้นหานักหนาแล้วจะพบพระลูกแก้วก็หาไม่
เล่าพลางต่างคนก็ร่ำไรขอชีวิตไว้อย่าฆ่าตี
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางพันธุรัตยักษี
ได้ฟังดังจะสิ้นลมประดีเอออะไรกระนี้อีพี่เลี้ยง
กูไว้ใจให้อยู่กับลูกรักคอยพิทักษ์ถนอมกล่อมเกลี้ยง
ช่างละให้หายไปจากวังเวียงมันน่าเสี่ยงสับซ้ำให้หนำใจ
ว่าพลางนางร่ำโศกาน้ำตาแถวถั่งหลั่งไหล
ไปเปิดดูบ่อทองเห็นพร่องไปเร่งพะวงสงสัยไม่รู้แล้ว
มาดูรูปเงาะป่าไม่ปรากฎหายหมดทั้งไม้เท้าและเกือกแก้ว
ลูกน้อยกลอยสวาทเจ้าคลาดแคล้วหนีแม่ไปแล้วนะอกอา
จะอยู่ช้าฉะนี้ก็มิได้จำจะเร็วรีบไปตามหา
จึงขึ้นหอคอยสูงลอยฟ้าตีกลองสัญญาเข้าเจ็ดที
ฯ ๑๐ คำ ฯ รัว
๏ บัดนั้นพวกพลกุมภัณฑ์ภูตผี
ทั้งหมู่อสูรศักดิ์ยักขิณีได้ยินเสียงเภรีสัญญา
ไม่แจ้งเหตุเภทผลกลใดต่างตระหนกตกใจเป็นหนักหนา
สำแดงเผลงอิทธิฤทธาชวนกันเหาะมายังเมืองมาร
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นเอยครั้นถึงจึงคลานเข้ามายังหน้าฉาน
ไหว้พลางทางถามมิทันนานเหตุการณ์อะมีจึงตีกลอง
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพันธุรัตร้อนเร่าเศร้าหมอง
จึงแถลงเล่าความตามทำนองเจ้าสังข์ทองลูกรักของเรานี้
ลอบลักรูปเงาะและเกือกแก้วสวมใส่เข้าแล้วก็เหาะหนี
เร่งไปตามหาอย่าช้าทีวันนี้ให้ได้ตัวมา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นจึงหมู่อสูรศักดิ์ยักษา
คำนับรับคำแล้วอำลานฤมิตกายากำยำ
เหาะเหินเที่ยวหาในป่ากว้างทุกทิศทุกทางเถื่อนถ้ำ
แยกไปบกบ้างไปข้างน้ำต่างสำแดงเดชเกรียงไกร
ฯ ๔ คำ ฯ กราว เชิด
๏ เมื่อนั้นพระสังข์นั่งอยู่บนเขาใหญ่
เห็นมืดมิดปิดแสงอโณทัยเสียงสนั่นหวั่นไหวนี่นัน
จึงคิดว่าดีร้ายอสุราติดตามเรามาเป็นแม่นมั่น
จวนตัวเต็มทีหนีไม่ทันจำจะผ่อนผันด้วยปัญญา
พระจึงถอดรูปเงาะออกซ่อนไว้ขึ้นนั่งบนต้นไทรสาขา
ทำเป็นเช่นรุกขเทวาพลางนึกภาวนาอยู่ในใจ
ฯ ๖ คำ ฯ รัว เชิด (ยักษ์ออก)
๏ บัดนั้นหมู่มารทหารน้อยใหญ่
เห็นพระสังข์นั่งอยู่บนต้นไทรมิได้รู้จักแต่สักตน
เพ่งพิศดูพลางไม่วางตาคิดว่าเทวาในไพรสนฑ์
ผิวพรรณผุดผาดประหลาดคนให้งวยงงฉงนสนเท่ห์ใจ
จึงถามว่าดูก่อนเทวาเห็นเจ้าเงาะเหาะมามั่งหรือไม่
อย่าแกล้งกล่าวคำอำไว้จงบอกไปตามจริงบัดนี้
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ฟังคำยักษี
บอกพลางทางยกมือชี้เห็นเหาะไปทิศนี้นะขุนมาร
ฯ ๒ คำ ฯ
๏ บัดนั้นยักษาได้ฟังว่าขาน
ดีใจเสือกสนลนลานเหาะทะยานติดตามไปพลัน
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ตริตรึกนึกพรั่น
แต่กูเหาะระเห็จมาเจ็ดวันมันยังตามทันด้วยฤทธิไกร
จะอยู่ก็ใช่ไม่ชอบกลหนีไปจะพ้นมันที่ไหน
ให้คิดขัดสนจนใจจะแก้ตัวต่อไปอย่างไรดี
พลางตั้งจิตพิษฐานด้วยสัจจาคุณพระมารดาปกเกศี
จงค้ำชูช่วยข้าครานี้อย่าให้มีอันตรายสิ่งใด
ถึงแม่พันธุรัตจะพบข้าขออย่าให้ขึ้นมาบนเขาได้
ให้ลูกแก้วตัวรอดปลอดภัยพลางยกมือไหว้ภาวนา
ฯ ๘ คำ ฯ ตระ
๏ เมื่อนั้นนางพันธุรัตยักษา
เรียกเหล่าบ่าวไพร่มิได้ช้าออกจากพารารีบตามไป
ฯ ๒ คำ ฯ เชิด
๏ มาเอยมาถึงซึ่งเนินบรรพตภูเขาใหญ่
แลไปเห็นคนบนต้นไทรงามวิไลผิวผ่องดังทองทา
ยืนพินิจพิศเพ่งอยู่เป็นครู่ลูกรักของกูแล้วสิหน่า
ตบมือหัวเราะทั้งน้ำตาร้องเรียกลูกยาด้วยยินดี
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ นั่งอยู่ไยนั่นพ่อขวัญข้าวขัดเคืองอะไรเล่าเจ้าจึงหนี
มาเถิดทูนหัวอย่ากลัวตีดูเอาเถิดซียังมิมา
นางร้องไห้ร่ำแล้วซ้ำเรียกปืนตะกายตะเกียกขึ้นไปหา
ด้วยเดชะอำนาจสัตยาเผอิญให้เลื่อยล้าสิ้นกำลัง
พลัดตกหกล้มนอนตะแคงขาแข้งสีข้างขัดขึ้นดัดหลัง
โศกีตีอกเพียงจะพังทรุดนั่งกระแทกก้นจนใจ
ลูกน้อยกลอยสวาทของมารดาแม่บำรุงเลี้ยงมาจนใหญ่
มิให้ระคายเคืองสิ่งใดเจ้าหนีแม่มาได้ช่างไม่คิด
แม่อุตส่าห์มาตามด้วยความรักเจ้าไม่พูดไม่ทักแต่สักหนิด
อกแม่จะแตกตายวายชีวิตสุดคิดอยู่แล้วนะลูกยา
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ แม่เอยแม่เจ้าเลี้ยงข้ามาแต่เยาว์จนใหญ่
พระคุณล่ำลบภพไตรจะเปรียบด้วยสิ่งใดนั้นไม่มี
ใช่ลูกจะเคืองแค้นแสนเข็ญด้วยความจำเป็นดอกจึงหนี
เหตุด้วยมารดาขอข้านี้ทุกข์ร้อนไร้ที่พึ่งพา
จะยากเย็นเป็นตายก็ไม่แจ้งจะไปสืบเสาะแสวงทุกแห่งหา
ครั้นจะบอกออกอรรถตามสัจจาก็คิดกลัวเกลือกว่ามิให้ไป
ลูกจึงลักรูปเงาะเหาะหนีโทษผิดทั้งนี้เป็นข้อใหญ่
อย่าพิโรธโกรธขึ้งขัดใจถึงไปไม่ช้าจะมาพลัน
ฯ ๘ คำ ฯ
</sup>โอ้<\sup>
๏ เมื่อนั้นพันธุรัตฟังว่าเพียงอาสัญ
ฟูมฟายน้ำตาจาบัลย์เจ้าไปแล้วไหนนั่นจะกลับมา
คิดอ่านอุบายจะหน่ายหนีเอาเหตุชนนีนั้นมาว่า
ถึงไปก็ไม่ขัดอัธยาเชิญลงมาหาแม่แต่สักน้อย
พอแม่ได้ชมโฉมเจ้าให้สบายบรรเทาที่เศร้าสร้อย
แต่ร่ำร้องไห้หาเลือดตาย้อยอุตส่าห์สู้ติดต้อยห้อยตาม
อย่านึกแหนงแคลงเลยว่าเป็นยักษ์มาเถิดลูกรักอย่าเกรงขาม
ถึงจะอยู่จะไปก็ให้งามเจ้าผู้ทรามรักร่วมชีวา
อันรูปเงาะไม้เท้าเกือกแก้วแม่ประสิทธิ์ให้แล้วดังปรารถนา
ยังมนต์บทหนึ่งของมารดาชื่อว่ามหาจินดามนต์
ถึงจะเรียกเต่ปลามัจฉาชาติฝูงสัตว์จัตุบาทในไพรสณฑ์
ครุฑาเทวัญชั้นบนอ่านมนต์ขึ้นแล้วก็มาพลัน
เจ้าเรียนไว้สำหรับเมื่ออับจนจะได้แก้บนตนที่คับขัน
แม่ก็คงจะตายวายชีวันจงลงมาให้ทันท่วงที
ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด
๏ ร่าย
เมื่อนั้นพระสังข์ฟังคำยักษี
ยิ่งพะวงสงสารแสนทวีแต่รีรอท้อฤทัยรันทด
จะลงไปก็ให้เกรงกริ่งเกลือกว่าไม่จริงจะแกล้งปด
คิดพลางทางกล่าวมธุสรอย่ากำสรดโศกาอาวรณ์
ลูกนี้เหนื่อยยากลำบากกายจะนั่งเล่นให้สบายบนนี้ก่อน
ตะวันเที่ยงอยู่ยังกำลังร้อนพอให้แดดอ่อนอ่อนจะลงไป
ซึ่งมนต์ของชนนีว่าดีนักลูกรักก็อยากจะใคร่ได้
เมตตาลูกแล้วจงเขียนไว้ที่ในแผ่นพื้นพสุธา
ฯ ๘ คำ ฯ
</sup>โอ้<\sup>
๏ เมื่อนั้นพันธุรัตขัดสนเป็นนักหนา
แหงนดูลูกพลางทางโศกาดังหนึ่งว่าชีวันจะบรรลัย
โอ้ลูกน้อยหอยสังข์ของแม่เอ๋ยกรรมสิ่งใดเลยมาซัดให้
จะร่ำร้องเรียกเจ้าสักเท่าไรก็ช่างเฉยเสียได้ไม่ดูดี
สิ้นวาสนาแม่นี้แน่แล้วเผอิญให้ลูกแก้วเอาตัวหนี
จะขอลาอาสัญเสียวันนี้เจ้าช่วยเผาผีมารดา
อันพระเวทวิเศษของแม่ไซร้ก็จะเขียนลงให้ที่แผ่นผา
จงเรียนร่ำจำไว้เถิดขวัญตารู้แล้วอย่าว่าให้ใครฟัง
เขียนพลางทางเรียกลูกน้อยมาหาแม่สักหน่อยพ่อหอยสังข์
แต่พอให้ได้ชมเสียสักครั้งขอสั่งสักคำจะอำลา
แม่อ้อนวอนว่านักหนาแล้วน้อยหรือลูกแก้วไม่มาหา
ทุ่มทอดตัวลงทรงโศกาสองตาแดงเดือดดังเลือดนก
ทั้งรักทั้งแค้นแน่นจิตยิ่งคิดเคืองขุ่มมุ่นหมก
กลิ้งกลับสับส่ายเพ้อพกนางร่ำร้องจนอกแตกตาย
ฯ ๑๔ คำ ฯ โอด
</sup>ร่าย<\sup>
๏ บัดนั้นพวกยักษาข้าไททั้งหลาย
เห็นนางมารม้วยมอดวอดวายต่างร่ำรักนายไม่สมประดี
ฯ ๒ คำ ฯ โอด
๏ เมื่อนั้นพระสังข์ทรงสวัสดิ์รัศมี
เห็นมารดาล้มดิ้นสิ้นชีวีตกใจแล่นตะลีตะลานมา
เข้าไปนั่งใกล้ดังใจจงกราบลงแทบเท้าทั้งซ้ายขวา
ชลเนตรคลอคลองนัยนาโศการ่ำรักชนนี
ฯ ๔ คำ ฯ โอด
๏ โอ้ปี่
โอ้ว่ามารดาของลูกเอ๋ยพระคุณเคยปกเกล้าเกศี
รักลูกผูกพันแสนทวีเลี้ยงมาไม่มีให้เคืองใจ
จะหาไหนได้เหมือนพระแม่เจ้าดังมารดาเกิดเกล้าก็ว่าได้
สู้ติดตามมาด้วยอาลัยจนจำตายอยู่ในพนาวัน
โทษลูกนี้ผิดเป้นนักหนาดังแกล้งผลาญมารดาให้อาสัญ
ทั้งนี้เพราะกรรมมาตามทันจึงสุดสิ้นชีวัตบรรลัย
พระคุณล้ำลบจบดินแดนยังไม่ทันทดแทนสนองได้
ร่ำพลางโศกีพิรี้พิไรซบพักตร์สะอื้นไห้ไปมา
ฯ ๘ คำ ฯ โอด
</sup>ร่าย<\sup>
๏ ครั้นคลายวายโศกเศร้าหมองพระจึงร้องสั่งเหล่ายักษา
ท่านจงเชิญศพพระมารดาคืนไปพาราของเรา
แล้วตระเตรียมการไว้ให้เสร็จสรรพคอยท่าข้ากลับมาจึงเผา
การพระเมรุใหญ่อยู่อย่าดูเบาท่านจงเอาใจใส่ไตรตรา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นเสนีตัวนายซ้ายขวา
จึงเชิญศพใส่วอช่อฟ้ากลับไปพาราทันที
ฯ ๒ ฯ เชิด
</sup>สมิงทอง<\sup>
๏ เมื่อนั้นพระโฉมยงทรงสวัสดิ์รัศมี
ครั้นพวกพลยักษาไปธานีจึงเรียนเอามนต์ที่เขียนไว้
เวียนเฝ้าสาธยายอยู่หลายตลบแต่ต้นจนจบก็จำได้
ครั้นเสร็จเสด็จขึ้นไปบนยอดเขาใหญ่มิได้ช้า
เอารูปเงาะสวมองค์ทรงเกือกแก้วถือไม้เท้าเข้าแล้วก็ป้องหน้า
เหาะระวังเห็จเตร็ดทะยานด้วยฤทธาเลื่อนล่องลอยฟ้ามาไวไว
ฯ ๖ คำ ฯ เชิด
</sup>ร่าย<\sup>
๏ ถึงแดนพาราสามนต์อาณาเขตมณฑลกว้างใหญ่
ให้คิดฉงนสนเท่ห์ใจเมืองนี้ชื่อไรจะใคร่รู้
เห็นภูมิฐานบ้านช่องเยียดยัดผู้คนแออัดอื้ออึงอยู่
หรือจะเป็นพาราบิดากูจะยับยั้งฟังดูกิจจา
คิดพลางทางค่อยคลาเคลื่อนลอยเลื่อนลงจากเวหา
หยุดอยู่เนินทรายปลายทุ่งนาอาศัยร่มพฤกษาสำราญ
ฯ ๖ คำ ฯ ตระ
๏ บัดนั้นฝ่ายพวกเด็กเด็กชาวบ้าน
ล้วนแต่ลูกหลานชายนายโคบาลอยู่ปลายแดนด่านกรุงสามนต์
ครั้นกินข้าวเช้าแล้วลงจากเรือนเที่ยวร้องเรียกพวกเพื่อนสับสน
เปิดคอกไล่โคของตนถือปฏักต่างคนต้อนมา
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา เชิด
๏ ครั้นออกมาถึงที่ทำไร่จึงปล่อยโคไว้ให้กินหญ้า
เห็นเงาะยืนอยู่บนคันนาอ้ายนี่บ้าหรือมิใช่ไยอย่างนี้
รูปร่างหัวหูก็ดูแปลกลางคนว่าแขกกะลาสี
อย่าไว้ใจมันมักควักเอาดีนึกกลัวเต็มที่วิ่งหนีพลาง
บ้างว่าอ้ายนี่ลิงทะโมนใหญ่บ้างเถียงว่าทำไมไม่มีหาง
หน้าตามันขันยิงฟันฟางหรือจะเป็นผีสางที่กลางนา
คนหนึ่งไม่กลัวยืนหัวเราะนี่เขาเรียกว่าเงาะแล้วสิหนา
มันไม่ทำไม่ใครดอกวาชวนกันเมียงเข้ามาเอาดินทิ้ง
บ้างได้ดอกหงอนไก่เสียบไม้ล่อตบมือผัดพ่อล่อให้วิ่ง
ครั้งเงาะแล่นไล่โลดกระโดดชิงบ้างล้มกลิ้งวิ่งปะทะกันไปมา
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ พวกเด็กเด็กหยอกเย้าเข้าฉุดอุตลุดล้อมหลังล้อมหน้า
แล้วชวนเล่นจ้องเตเฮฮาโห่ร้องฉาวฉ่านี่นัน
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นถึงเวลากินผอกแก้ห่อข้าวออกขมีขมัน
เกลอเอ๋ยมากินด้วยกันเห็นเงาะนั้นเข้ากินก็ยินดี
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นว่าเวลาบ่ายควายเด็กเด็กทั้งหลายเข้าล้อมมี่
ไปบ้านด้วยกันหรือวันนี้เงาะเดินเชือนหนีเสียมิไป
ถ้ากระนั้นก็นอนอยู่เฝ้านาช่วยขับนกขับกาอย่าไปไหน
พรุ่งนี้จึงจะมาอย่าร้อนใจแล้วไล่โคคืนมาทันที
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
             

ตอนที่ ๕ ท้าวสามนต์ให้นางทั้งเจ็ดเลือกคู่

๏ มาจะกล่าวบทไปถึงท้าวสามนต์เรืองศรี
เสวยราชสมบัติสวัสดีในบุรีสามนต์พระนคร
อันองค์เอกอัครชายาชื่อมณฑาเทวีศรีสมร
มีธิดานารีร่วมอุทรทั้งเจ็ดนามกรต่างกัน
น้องนุชสุดท้องชื่อรจนาโสภาเพียงนางในสวรรค์
พรั่งพร้อมพระสนมกำนัลเป็นสุขทุกนิรันดร์วันคืน
ท้าวคิดรำพึงถึงเวียงชัยนานไปจะเป็นของเขาอื่น
เห็นจะไม่จิรังยั่งยืนด้วยลูกเต้าแต่พื้นเป็นธิดา
จำจะคิดปลูกฝังเสียยังแล้วให้ลูกแก้วมีคู่เสน่หา
ถ้าเขยคนใดดีมีปัญญาจะยกพารามองให้ครอบครอง
ฯ ๑๐ คำ ฯ
</sup>ร่าย<\sup>
๏ คิดพลางทางเรียกมเหสีพามาทีปรึกษาสองต่อสอง
เจ้าจงดำริตริตรองแต่เราครองราชฐานมานานช้า
ทุกวันนี้ดูพี่กับตัวเจ้าไม่เที่ยงแท้แก่เฒ่าลงนักหนา
เจ็บปวดครุ่นไปไข้ชราถอยกำลังวังชาลงทุกปี
ยิ่งคิดคิดไปให้ใจสั้นจะตายวันตายพรุ่งมิรู้ที่
พี่ปรารมภ์สมบัติของเรานี้ถ้าแม้นหากบุญพี่ไม่จีรัง
จงช่วยกันดำริตริตรองดูจะหาคู่ให้ลูกปลูกฝัง
จะแบ่งปันข้าวของในท้องคลังให้ครอบครองเวียงวันเห็นทันตา
จะจัดแจงแต่งตามอารมณ์เราเหมือนข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า
กลัวเกลือกทั้งเจ็ดธิดามันจะไม่เสน่หาก็มิรู้
ลางเนื้อชอบลางยาไม่ว่าได้ปลูกเรือนตามใจผู้อยู่
คำบุราณท่านว่าไว้เป็นครูพิเคราะห์ดูให้ต้องทำนองใน
พี่คิดจะประชุมให้พร้อมพรั่งกษัตริย์ทั้งร้อยเอ็ดหัวเมืองใหญ่
ให้บุตรีเราเลือกตามชอบใจเจ้าจะเห็นกระไรจงว่ามา
ฯ ๑๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางมณฑาเสนหา
จึงทูลสนองพระบัญชาซึ่งตรัสมานี้ต้องประเพณี
จะให้เป็นแก่นสารแก่บ้านเมืองได้ลือเลื่องไปทั่วทุกกรุงศรี
ตามแต่ภูวไนยจะเห็นดีอันน้องนี้ไม่ขัดทัดทาน
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ปรีดิ์เปรมเกษมศานต์
เสด็จจากแท่นที่มิทันนานออกพระโรงชัชวาลทันใด
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
</sup>สามไม้<\sup>
๏ ลดองค์ลงนั่งเหนือเก้าอี้ตรัสสั่งเสนีผู้ใหญ่
แต่บรรดาเมืองขืนของเราไซร้ทั้งร้อยเอ็ดเวียงชัยเคยไปมา
ผู้ใดมีโอรสรูปงามแต่ในสามสิบเศษชันษา
ที่ยังไม่มีภริยาให้จัดแจงแต่งมาทุกธานี
เราจะให้ธิดาทั้งเจ็ดองค์เลือกดูรูปทรงส่งศรี
ถ้าลูกเราชอบใจจะได้ดีจะเสกกับบุตรีให้ครองกัน
จงแต่งตราว่าตามความในให้คนเร็วรีบไปทุกเขตขัณฑ์
กำหนดไว้โดยช้าสิบห้าวันให้มาถึงพร้อมกันยังธานี
ฯ ๘ คำ ฯ เจรจา
</sup>ร่าย<\sup>
๏ บัดนั้นอำมาตย์รับสั่งใส่เกศี
ถวายบังคมคัลอัญชลีมาแต่งตราตามมีพระบัญชา
แล้วจัดเสนากว่าร้อยเคยใช้สอยคล่องแคล่วแกล้วกล้า
สั่งความตามมีในท้องตราจงรีบไปรีบมาอย่านอนใจ
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ บัดนั้นขุนหมื่นพันทนายน้อยใหญ่
ต่างรีบผายผันแยกกันไปเวียงชัยทั้งร้อยเอ็ดพลัน
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา เชิด
๏ ครั้นถึงจึงเข้าไปวันทากราบทูลกษัตราทุกเขตขัณฑ์
แจ้งตามบัญชาสารพันถวายหนังสือนั้นทันที
ฯ ๒ คำ ฯ
</sup>ช้าปี่<\sup>
๏ เมื่อนั้นฝ่ายพระยาร้อยเอ็ดบุรีศรี
คลี่สารอ่านดูรู้คดีเปรมปรีดิ์เป็นพ้นคณนา
ต่างเรียกโอรสมาบอกเล่าเป็นลาภเราแล้วลุกเสน่หา
จงตรวจตราบ่าวไพร่เร่งไคลคลาไปพาราสามนต์ให้ทันการ
บ้างคิดมุยุลูกให้หย่าเมียจำจะทิ้งเปรี้ยวเสียไปกินหวาน
ที่บุตรหามีไม่ใจทะยานคิดจัดแจงแต่งหลานเปลี่ยนไป
แล้วเลือกของอย่างยิ่งทุกสิ่งสรรพ์สำหรับบรรณาการประทานให้
ต่างองค์อำนวนอวยชัยเจ้าไปให้ได้ครองพระธิดา
ฯ ๘ คำ ฯ
</sup>ร่าย<\sup>
๏ เมื่อนั้นหน่อกษัตริย์สรวลสันต์หรรษา
นบนิ้วประนมบังคมลาแล้วมาแต่งองค์อร่ามเรือง
บ้างขึ้นทรงรถคชสารขี่ม้าผ่านขาวเขียวกะเลียวเหลือง
ต่างยกโยธานองเนืองออกจากเมืองรีบร้อนสัญจรไพร
ฯ ๔ คำ ฯ เชิด
๏ ครั้นถึงพาราสามนต์จึงพักพลไว้นอกกรุงใหญ่
ชวนกันลีลาคลาไคลเข้าหาเสนาในทันที
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นอำมาตย์ผู้ใหญ่ในกรุงศรี
พูดจาปราศรัยโดยไมตรีเอาบาญชีท้าวพระยาที่มานั้น
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นได้นามทูลหน่อกษัตราเสนาสี่นายก็ผายผัน
เข้าไปในท้องพระโรงคัลอภิวันท์ทูลแถลงให้แจ้งใจ
บันนี้หน่อกษัตริย์ทุกพาราทั้งร้อยเอ็ดนั้นมาถึงกรุงใหญ่
แล้วอ่านรายชื่อเสียงเรียงลงไปตามในหางว่าวท้าวพระยา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระผู้ผ่านเขตขัณฑ์หรรษา
จึงสั่งทั้งสี่เสนาเร่งแต่งที่ข้างหน้าให้พร้อมไว้
จงนำกษัตราทุกธานีมาประชุมในที่พระโรงใหญ่
เราจะให้ทั้งเจ็ดอรไทมาเลือกตามชอบใจในพรุ่งนี้
เร่งจัดวังให้เสร็จทั้งเจ็ดแห่งจะได้แต่งตั้งการภิเษกศรี
สั่งเสร็จพระเสด็จจรลีขึ้นสู่ที่ข้างในมิได้ช้า
ฯ ๖ คำ ฯ เสมอ
๏ บัดนั้นจึงเจ้าพนักงานถ้วนหน้า
เร่งจัดแจงแต่งที่ดังบัญชาบ้างไปบอกกษัตราให้เตรียมกาย
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นพวกเหล่าท้าวพระยาทั้งหลาย
ต่างองค์กระหยิ่มพริ้มพรายให้กระสันมั่นหมายวุ่นวายใจ
บ้างหยิบผ้ายกทองนุ่งลองดูใครใครเห็นไม่สู้รูปกูได้
พรุ่งนี้มิคนหนึ่งก็คนไรจะจงจิตพิสมัยเป็นมั่นคง
บ้างนั่งนึกตริกหาอุปเท่ห์จะทำด้วยเสน่ห์ให้ลุ่มหลง
เห็นจะรุมรักเราทั้งเจ็ดองค์คิดทะนงเปรมปรี่มกระหยิ่มใจ
ลางองค์ถือมั่นโดยปัญญาวาสนาหลังส่งแล้วคงได้
สุดแท้แต่กุศลสร้างไว้จะเดือดเนื้อร้อนใจไปไยมี
บ้างเรียกหาหมอดูมาจับยามให้ทายตามชะตาราศี
จะสมคะเนหรือไม่ในพรุ่งนี้แต่เซ้าซี้ซักไซ้ไม่นิทรา
ฯ ๑๐ คำ ฯ เจรจา
</sup>โทน<\sup>
๏ ครั้นรุ่งแสงสุริย์ใสไตรตรัสทั้งร้อยเอ็ดกษัตริย์ทรงภูษา
สอดเครื่องประดับระยับตาแต่งกายาโอ่อวดประกวดกัน
บ้างถือห่อบุหงาทัดยาดมผ้าห่มชุบน้ำกุหลาบกลั่น
ต่างองค์กรายกรจรจรัลพากันเข้าไปในวัง
ฯ ๔ คำ ฯ เพลง
</sup>ร่าย<\sup>
๏ ครั้นถึงท้องพระโรงข้างหน้าอำมาตย์มาจัดแจงให้ลุกนั่ง
ต่างชิงขึ้นหน้าว่าไม่ฟังบ้างถุ้งเถียงเสียงดังอึงไป
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
</sup>ช้าปี่<\sup>
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ยิ้มแย้มเจ่มใส
จึงชวนเมียรักร่วมใจออกไปแย้มแกลแลดู
เห็นหน่อกษัตริย์ที่มานั้นหน้าตาคมสันขยันอยู่
คนข้างหลังลาดเลาเป็นเจ้าชู้ตาหูชอบกลเจ้ามณฑา
ฯ ๔ คำ ฯ
</sup>ร่าย<\sup>
๏ คนโน้นรูปร่างกระจ้อยร่อยหนุ่มน้อยน่ารักหนักหนา
คนนี้ที่ถัดกันลงมาหน้าตาเป็นประมาณพานพอดี
โน่นแน่คนนั้นอยู่ชั้นล่างรูปร่างจ้ำม่ำดำมิดหมี
เห็นหรือไม่คนนั้นขันสิ้นดีหน้างอกออกฝีประปราย
ดูพลางทางสั่งเมียรักอย่าช้านักเลยเจ้าจะจวนสาย
จงเร่งรัดจัดแจงแต่งกายบุตรีโฉมฉายขึ้นมา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางมณฑาเสน่หา
จึงพาทั้งเจ็ดธิดาไปสระสรงคงคาวารี
ฯ ๒ คำ ฯ เสมอ
</sup>ชมตลาด<\sup>
๏ แต่งตัวตั้งใจจะให้งามขมิ้นใส่ส้มมะขามขัดสี
แล้วอาบน้ำชำระอินทรีย์ทาแป้งสารภีรื่นรวย
กระจกตั้งคันฉ่องส่องเงาผิวพรรณผมเผ้างามฉลวย
ใส่น้ำมันกันกวดกระหมวดมวยผัดหน้าด้วยแป้งญวนเป็นนวลแดง
นุ่งผ้ายกอย่างต่างกันช่อชั้นเชิงชายลายก้านแย่ง
สไบหน้าเจียระบาดตาดทองแดงเข็มขัดสายลายแทนประจำยาม
สร้อยนวมสวมสอดสังวาลวรรณตาบกุดั่นเรืองรองทองอร่าม
กำไลสวมเก้าคู่ดูงามใส่แหวนเพชรแวววามครามสอดซับ
ทรงกรอบพักตร์พรรณรายพรายแพรวกรรเจียกแก้วมณีสีสลับ
ใส่ตุ้มหูห้อยพลอยระยับครั้นเสร็จสรรพขึ้นเฝ้าท้าวไท
ฯ ๑๐ คำ ฯ เพลงช้า
</sup>มูโล่ง<\sup>
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ยิ้มย่องผ่องใส
จึงตรัสแก่ธิดายาใจพ่อให้ประชุมกษัตรา
นงเยาว์เจ้าจงไปเลือกคู่ที่สมควรเป็นคู่เสน่หา
ถ้าแม้นประกอบชอบวิญญาณ์จงทิ้งมาลัยไปให้สวมมือ
พ่อจะแต่งตั้งการสยุมพรให้บังอรออกหน้าค่าชื่อ
แต่เฝ้าปลอบสองรื้อสามรื้อดูดู๋ดื้อหนักหนาน่าขัดใจ
ฯ ๖ คำ ฯ
</sup>ร่าย<\sup>
๏ เมื่อนั้นทั้งเจ็ดบุตรีศรีใส
ผูกคิ้วนิ่วหน้าไม่คลาไคลก้มแกะเสื่อลันไตไปมา
ให้นึกอัปยศอดอายจะไปเลือกผู้ชายน่าขายหน้า
ยิ่งคิดยิ่งเขิมเมินพักตรากัลยามิได้จรลี
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นองค์พระบิตุเรศเรืองศรี
กล่าวเกลี้ยงเลี่ยงปลอบให้ชอบทีวันดีแล้วแม่อย่าแชเชือน
อุตส่าห์แข็งวิญญาณ์คลาไคลพ่อจะให้พี่เลี้ยงไปเป็นเพื่อน
อะไรเฝ้าม้วนมิดบิดเบือนไม่เขยื้อนจากที่น่าตีรัน
นวลนางมณฑาช่วยว่ากล่าวลูบหลังลูกสาวแล้วรับขวัญ
ไปเถิดแม่ไปอย่าใจรั้นส่งมาลัยให้พลันทั้งเจ็ดองค์
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นพระบุตรีแน่งน้อยนวลหง
กลัวจะเคืองจิตบิตุรงค์โฉมองค์ขยัยกายแล้วอายใจ
แต่ทำม่อยม้วยกระบวนกระบิดแก้เก้อสะกิดพี่ผู้ใหญ่
ต่อบิดรเตือนซ้ำจึงจำไปกำนัลในพี่เลี้ยงเคียงมา
ฯ ๖ คำ ฯ กินนรรำ
๏ ถึงท้องพระโรงธารม่านกั้นเจ็ดนางนึกพรั่นเป็นหนักหนา
ให้อดสูผู้ชายอายวิญญาณ์หน่วงหนักชักช้าไม่คลาไคล
พี่เลี้ยงทูลเตือนให้จรลีนางหยิกตีค้อนควักผลักไส
เข้าแอบแฝงม่านกั้นชั้นในขวยเขินสะเทินใจไปมา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นหน่อกษัตริย์นั่งคอยอยู่ข้างหน้า
บ้างสะกิดเพื่อนกันจำนรรจาเมื่อไรจะออกมารำคาญใจ
ต่างคนกระหยิ่มยิ้มย่องชะเง้อคอคอยมองหาเมินไม่
แลตามตีนม่านเห็นไวไวเอ๊ะแล้วมิใช่ดอกกระมัง
ลางคนคะนองทำร้องบอกหลอนหลอกเพื่อนอยู่ข้างหลัง
ไม่เคยเห็นรูปร่างนางชาววังนิ่งนั่งตั้งสติอย่าเมินไป
ฯ ๖ คำ ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นพี่เลี้ยงกัลยาอัชฌาสัย
จึงปลอบพระธิดายาใจเอออะไรมาเป็นเช่นนี้
พระบิดาสั่งให้ไปเลือกคู่จะอดสูใครเล่านะเจ้าพี่
เราเป็นใจไปเองเมื่อไรมีไม่พอที่จะขืนขัดบัญชา
แม้นพระบิตุเรศรู้เหตุผลเห็นพี่จะไม่พ้นโทษา
ว่าพลางผลักไสให้ไคลคลารบเร้าเฝ้าว่าวิงวอน
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นทั้งเจ็ดพระธิดาดวงสมร
จำเป็นจำใจบทจรบังอรอดสูดูร้าย
ทำลับลับล่อล่อรอรั้งเบียดบังพี่เลี้ยงเมียงม่าย
ผันแปรแลหลบตาชายทั้งอายทั้งสะเทินเดินเลือกไป
ฯ ๔ คำ ฯ เพลงฉิ่ง
๏ เมื่อนั้นหน่อกษัตริย์นับร้อยน้อยใหญ่
เห็นเจ็ดพระธิดายาใจให้คิดพิสมัยในรูปทรง
ตั้งใจดูนางไม่วางตาเสน่หารุมรึงตะลึงหลง
งามโฉมชะอ้อนอ่อนเอวองค์งามขนงวงพักตร์โสภา
บ้างพูดกับเพื่อนสนิทไม่คิดอายอันน้องนุชสุดท้ายคงตายข้า
เดี๋ยวนี้และมาลัยจะลอยมาเจ้าคนนั้นกั้นหน้าข้าไว้ไย
บ้างนั่งหยัดดัดทรงดูนรลักษณ์เหลือบมาสบพักตร์ยักคิ้วให้
ครั้นนางสะเทินเมินหน้าไปแกล้งทำกระแอมไอเป็นแยบคาย
บ้างพลางโกรธขึ้งหึงเพื่อนกันนางคนนั้นของข้าใครอย่าหมาย
ต่างทะเลาะเกาะแกะกันวุ่นวายถุ้งเถียงท้าทายมากมายไป
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นทั้งเจ็ดบุตรีศรีใส
แต่เก้อเก้ออายอายวุ่นวายใจเลือกกษัตริย์น้อยใหญ่ทุกหน้ามา
อันทั้งหกเทวีพี่นางเลือกได้รูปร่างงามหนักหนา
เมียงม่ายหมายทิ้งพวงมาลาสวมหัตถ์กษัตราทั้งหกองค์
ฯ ๔ คำ ฯ เชิดฉิ่ง
๏ ฝ่ายโฉมรจนาทรามวัยนางไม่ต้องจิตคิดประสงค์
กลับมาเฝ้าบาทบิตุรงค์โฉมยงบังคมก้มพักตรา
จึงทูลว่ากษัตริย์ทั้งนั้นไซร้ลูกมิได้มุ่งมาดปรารถนา
จะขออยู่สนองรองบาทาไปกว่าชีวันจะบรรลัย
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์บ่นออดทอดใจใหญ่
ลูกเอ๋ยพ่อนี้หวังตั้งใจจะจัดแจงแต่งให้เห็นทันตา
จึงประชุมพร้อมพรั่งครั้งนี้แต่ล้วนลูกผู้ดีมียศถา
ทั้งรูปทรงส่งศรีโสภายังไม่เสน่หาอาลัย
แม่มณฑาจะคิดกระไรเล่ายังคนเดียวดอกเจ้าทำกรรมให้
มันไม่สิ้นห่วงบ่วงใยฉวยชั่วไปก็รำคาญขี้คร้านตี
พี่คิดว่าสุดแท้แต่เราเถิดไม่พักประดักประเดิดจู้จี้
แต่งพร้อมกับพี่สาวเสียคราวนี้หรือไม่เห็นด้วยพี่จงท้วงติง
ฯ ๘ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนางมณฑาหวั่นจิตคิดกริ่ง
จึงแถลงแจ้งในใจจริงอันเป็นหญิงพงศ์เผ่าเหล่ากอ
ถ้าใจไม่สมัครรักผัวมักทำชั่วให้อายขายหน้าพ่อ
พระองค์จงได้รั้งรอน้องจะขอให้ป่าวชาวพารา
ครั้งนี้อย่าเลือกว่าแก่หนุ่มหามาประชุมจงพร้อมหน้า
ให้เลือกตามใจรักอีกสักคราสุดแต่วาสนาธิดาเรา
ฯ ๖ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นท้าวสามนต์ตอบชอบแล้วเจ้า
ที่ความวิตกนั้นค่อยบรรเทาน้อยหรือนั่นขวัญข้าวเจ้าช่างคิด
ว่าพลางทางมีบัญชาตรัสเรียกเสนาคนสนิท
จงเข้ามาข้างในให้ใกล้ชิดประกาศิตสั่งไปมิได้ช้า
อันหน่อกษัตริย์ทั้งหกองค์ซึ่งลูกรักเราจงเสน่หา
ให้อยู่วังยั้งท่ารจนาจะแต่งการวิวาห์ให้พร้อมกัน
แต่พวกเมืองออกนอกนั้นไซร้ให้กลับไปนิเวศน์เขตขัณฑ์
เร่งร้องป่าวชาวเมืองทั้งปวงนั้นจนชั้นทรพลคนเข็ญใจ
ให้มันแต่งตัวตามทำนองมาประชุมหน้าท้องพระโรงใหญ่
จะให้ลูกรักร่วมฤทัยเลือกคู่ดูใหม่ในพรุ่งนี้
ฯ ๑๐ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นเสนารับสั่งใส่เกศี
มาบอกกษัตราทุกธานีตามมีพระราชบัญชา
ฯ ๒ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นหน่อกษัตริย์ทั้งหกเร่งหรรษา
นั่งสบายอารมณ์ดมมาลาหัวเราะร่าขาแข้งกระดิกเพลา
บ้างพูดจาเปรียบเปรยเย้ยเพื่อนกันอย่างไรนั่นลงนั่งกอดเข่า
วาสนาหาไม่แล้วชาวเราแต่ได้เข้ามาเห็นก็เป็นดี
หกองค์กระหยิ่มยิ้มย่องผุดผ่องพักตราราศี
ต่างต่างย่างเยื้องจรลีเสนีนำหน้าพาไปวัง
พวกที่ไม่สมปรารถนาดังจะเสียวิญญาณ์เป็นบ้าหลัง
น้อยใจด้วยผู้หญิงชิงชังวาสนาหนหลังช่างอาภัพ
ต่างแกล้งทำชื่นฝืนอารมณ์บ้างเดินหกล้มบ้างลมจับ
เหงื่อไหลอาบหน้าเอาผ้าซับขึ้นม้าช้างต่างกลับไปเวียงชัย
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ บัดนั้นเสนานายอำเภอน้อยใหญ่
ทั้งรั้วแขวงตีฆ้องร้องป่าวไปทั่วในจังหวัดนัครา
พรุ่งนี้แต่มืดขมุกขมัวจงจัดแต่งตัวให้โอ่อ่า
เข้าไปหน้าพระลานชานชาลาพระธิดาจะเลือกเป็นคู่ครอง
ฯ ๔ คำ      ฯ เจรจา
๏ บัดนั้นประชาชายรู้ทั่วทุกบ้านช่อง
บ้างเต้นบ้างรำทำคะนองกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ทุกคน
พวกนักเลงเล่นเบี้ยเสียถั่วครอบครัวอัตคัดขัดสน
ไม่มีผ้าเสื้อแสงจะแต่งตนเที่ยวซุกซนยืมหยิบเพื่อนกัน
เหล่าพวกอุตริริร่างตัดผมยักอย่างให้สอยสั้น
หวีกระจายรายเส้นเป็นแปรงชันเช็ดน้ำมันกันหน้าด้วยมีดน้อย
บ้างติดตำรับใหญ่เอาไฟอังกระจกตั้งนั่งหย่งก่งคอสอย
แค้นใจไม่ใคร่จะเรียบร้อยเฝ้าตะบอยหวีหัวมัวเมา
พวกเหล่าเจ้าชู้หัวอะกรมเผ้าผมตกแสกทำหน้าเศร้า
เชิงจะพูดจะจาคิ้วตามเพรานั่งไหนกอดเข่าเฝ้าทำทุกข์
พวกขุนนางต่างแต่งตัวลองนุ่งยกทองเกี้ยวส่านสีหมากสุก
บ้างนุ่งลายพื้นตองลองนั่งลุกดูกระปุกกระปุยกรุยกราย
ที่ป่วยไข้ได้ข่าวเขาป่าวร้องลุกขึ้นเดินได้คล่องเหมือนหนึ่งหาย
พาลโกรธภรรยาด่าแม่ยายเคืองขุ่นวุ่นวายเพราะรายนึก
ฯ ๑๔ คำ ฯ เจรจา
๏ ครั้นไก่ขันแซ่เสียงเที่ยงคืนต่างคนต่างตื่นขึ้นแต่ดึก
ตกแต่งกายาโอฬารึกอื้ออึงอึกทึกไปทุกคน
บ้างทาแป้งแต่งตัวฉุยฉายนุ่งลายนอกอย่างหางปัดสัน
บ้างนุ่งห่มสมตัวตามจนสับสนอลหม่านไม่หลับนอน
พอท้องฟ้าขาวเช้าตรู่ที่ใครอยู่บ้านใกล้ก็ไปก่อน
เนืองแน่นถนนในนครค่อยผ่อนเข้าไปในวัง
ลางคนแก่เฒ่าเกือบเข้าโลงก็เดินหอบหิ้งโครงมาข้างหลัง
ถือไม้เท้าโซเซเก้กังเข้ามาด้วยเขามั่งไม่เจียมตน
ที่เป็นง่อยเพลียเสียแข้งขาก็นั่งถดถัดมาตามถนน
เจ็บปวดไม่ว่าอุตส่าห์ทนเสลือกสลนกล่นเกลื่อนกันมา
ฯ ๑๐ คำ ฯ เชิด
๏ คับคั่งทั้งท้องพระโรงชัยผู้ดีปนเข็ญใจก็ไม่ว่า
อยากจะใคร่ได้องค์พระธิดาต่างคิดสมบัติบ้าอยู่ทุกคน
บ้างชิงที่ตีต่อยปะเตะปะตะเอะอะอึงคะนึงสับสน
ตำรวจวังถือหวายวิ่งวนไล่ขู่ผู้คนอยู่เป็นควัน
ฯ ๔ คำ ฯ เจรจา
๏ เมื่อนั้นท้าวสามานต์ปรีดิ์เปรมเกษมสันต์
จึงตรัสแก่ธิดาดวงจันทร์จอมขวัญของพ่อผู้ยอดรัก
บัดนี้ชาวเมืองมาพร้อมหน้าจงไปทัศนาให้ประจักษ์
เลือกคู่ดูให้งามพักตร์ตามแต่ใจรักเถิดลูกยา
ฯ ๔ คำ ฯ
๏ เมื่อนั้นนวลนางรจนาเสน่หา
ก้มเกล้าดุษฎีแล้วลีลาสองพี่เลี้ยงกัลยาก็ตามไป
ฯ ๒ คำ ฯ เพลง
๏ เดินดูเสนาข้าเฝ้าทั้งเหล่าเศรษฐีผู้ดีไพร่
ให้เคืองคายนัยน์เนตรนางทรามวัยมิได้ประกอบชอบวิญญาณ์
นางจึงเสด็จกลับมาฉับพลันอภิวันท์บิตุเรศนาถา
ทูลว่าชาวเมืองที่ป่าวมาลูกไม่เสน่หาอาลัย
ขออยู่ด้วยชนกชนนีที่จะมีภัสดานั้นหาไม่
เบื้องหน้าถ้าตัวลูกชั่วไปจงฆ่าเสียอย่าไว้ชีวิต
ฯ ๖ คำ ฯ
             

เชิงอรรถ

ที่มา

บทละครนอก สังข์ทอง พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สถาบันภาษาไทย กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๐

[ขอขอบคุณ คุณพิกุลแก้ว สมาชิก kaewkao.com ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน]

เครื่องมือส่วนตัว