รำพันพิลาป
จาก ตู้หนังสือเรือนไทย
การปรับปรุง เมื่อ 07:39, 9 กรกฎาคม 2552 โดย Admin (พูดคุย | เรื่องที่เขียน)
ข้อมูลเบื้องต้น
ผู้แต่ง: สุนทรภู่
บทประพันธ์
๏ สุนทรทำคำประดิษฐ์นิมิตฝัน | |||
พึ่งพบเห็นเป็นวิบัติมหัศจรรย์ | จึ่งจดวันเวลาด้วยอาวรณ์ | ||
แต่งไว้เหมือนเตือนใจจะได้คิด | ในนิมิตเมื่อภวังค์วิสังหรณ์ | ||
เดือนแปดวันจันทวาเวลานอน | เจริญพรภาวนาตามบาลี | ||
ระลึกคุณบุญบวชตรวจกสิณ | ให้สุขสิ้นดินฟ้าทุกราศี | ||
เงียบสงัดวัดวาในราตรี | เสียงเป็ดผีหวี่หวีดจังหรีดเรียง | ||
หริ่งหริ่งเรื่อยเฉื่อยชื่นสะอื้นอก | สำเนียงนกแสกแถกแสกแสกเสียง | ||
เสียงแมงมุมอุ้มไข่มาใต้เตียง | ตีอกเพียงผึงผึงตะลึงฟัง | ||
ฝ่ายฝูงหนูมูสิกกิกกิกร้อง | เสียวสยองยามยินถวิลหวัง | ||
อนึ่งผึ้งซึ่งมาทำประจำรัง | ริมบานบังบินร้องสยองเย็น | ||
ยิ่งเยือกทรวงง่วงเหงาซบเซาโศก | ยามวิโยคยากแค้นสุดแสนเข็ญ | ||
ไม่เทียมเพื่อนเหมือนจะพาเลือดตากระเด็น | เที่ยวซ่อนเร้นไร้ญาติหวาดวิญญาณ์ ฯ | ||
๏ แต่ปีวอกออกขาดราชกิจ | บรรพชิตพิศวาสพระศาสนา | ||
เหมือนลอยล่องท้องชะเลอยู่เอกา | เห็นแต่ฟ้าฟ้าก็เปลี่ยวสุดเหลียวแล | ||
ดูฟากฝั่งหวังจะหยุดก็สุดเนตร | แสนเทวษเวียนว่ายสายกระแส | ||
เหมือนทรวงเปลี่ยวเที่ยวแสวงทุกแขวงแคว | ได้เห็นแต่ศิษย์หาพยาบาล | ||
ทางบกเรือเหนือใต้เที่ยวไปทั่ว | จังหวัดหัวเมืองสิ้นทุกถิ่นฐาน | ||
เมืองพริบพรีที่เขาทำรองน้ำตาล | รับประทานหวานเย็นก็เป็นลม | ||
ไปราชพรีมีแต่พาลจังทานพระ | เหมือนไปปะบระเพ็ดเหลือเข็ดขม | ||
ไปขึ้นเขาเล่าก็ตกอกระบม | ทุกข์ระทมแทบจะตายเสียหลายคราว ฯ | ||
๏ ครั้งไปด่านกาญจน์บุรีที่กะเหรี่ยง | ฟังแต่เสียงเสือสีห์ชะนีหนาว | ||
นอนน้ำค้างพร่างพนมพรอยพรมพราว | เพราะเชื่อลาวลวงว่าแร่แปรเป็นทอง | ||
ทั้งฝ่ายลูกถูกปอบมันลอบใช้ | หาแก้ได้ให้ไปเข้ากินเจ้าของ | ||
เข้าวัสสามาอยู่ที่สองพี่น้อง | ยามขัดข้องขาดมุ้งริ้นยุงชุม | ||
ทุกเช้าค่ำลำบากแสนยากยิ่ง | เหลือทนจริงเจ็บแสบใส่แกลบสุม | ||
เสียงฉู่ฉู่หวู่ว่อนเวียนร่อนรุม | เป็นกลุ่มกลุ่มกลุ้มกัดนั่งปัดยุง | ||
โอ้ยามยากอยากใคร่ได้เหล็กไหลเล่น | ทำทองเป็นปั้นเตาเผาถลุง | ||
ลองตำราอาจารย์ทองบ้านจุง | จดเกลือหุงหายสูญสิ้นทุนรอน ฯ | ||
๏ คราวไปคิดปริศนาตามตาเถร | เขากาเพนพบมหิงส์ริมสิงขร | ||
มันตามติดขวิดคร่อมอ้อมอุทร | หากมีขอนขวางควายไม่วายชนม์ | ||
เดชะบุญคุณพระอนิสงส์ | ช่วยดำรงรอดตายมาหลายหน | ||
เหตุด้วยเคราะห์เพราะว่าไว้วางใจคน | จึ่งจำจนใจเปล่าเปลืองข้าวเกลือ ฯ | ||
๏ โอ้ยามอยู่สุพรรณกินมันเผือก | เคี้ยวแต่เปลือกไม้หมากเปรี้ยวปากเหลือ | ||
จนแรงโรยโหยหิวผอมผิวเนื้อ | พริกกับเกลือกลักใหญ่ยังไม่พอ | ||
ทั้งผ้าพาดบาตรเหล็กของเล็กน้อย | ขโมยถอยไปทั้งเรือไม่เหลือหลอ | ||
เหลือแต่ผ้าอาศัยเสียใจคอ | ชาวบ้านทอถวายแทนแสนศรัทธา ฯ | ||
๏ คิดถึงคราวเจ้านิพพานสงสารโศก | ไปพิศีโลกลายแทงแสวงหา | ||
ลงหนองน้ำปล้ำตะเข้หากเทวดา | ช่วยรักษาจึ่งได้รอดไม่วอดวาย | ||
วันไปอยู่ภูผาเขาม้าวิ่ง | เหนื่อยนอนพิงเพิงไศลหลับใจหาย | ||
ครั้นดึกดูงูเหลือมเลื่อยเลื่อมลาย | ล้อมรอบกายเกี้ยวตัวกันผัวเมีย | ||
หนีไม่พ้นจนใจได้สติ | สมาธิถอดชีวิตอุทิศเสีย | ||
เสียงฟู่ฟู่ขู่ฟ้อเคล้าคลอเคลีย | แลบลิ้นเลียแล้วเลื้อยแลเฟือยยาว | ||
ดูใหญ่เท่าเสากระโดงผีโป่งสิง | เป็นรูปหญิงยืนหลอกผมหงอกขาว | ||
คิดจะตีหนีไปกลัวไม้เท้า | โอ้เคราะห์คราวขึ้นไปเหนือเหมือนเหลือตาย ฯ | ||
๏ เมื่อขาล่องต้องตอเรือหล่อล่ม | เจียนจะจมน้ำม้วยระหวยระหาย | ||
ปะหาดตื้นขึ้นรอดไม่วอดวาย | แต่ปะตายหลายหนหากทนทาน | ||
แล้วมิหนำซ้ำบุตรสุดที่รัก | ขโมยลักหลายหนผจญผลาญ | ||
ต้องต่ำต้อยย่อยยับอัประมาณ | มาอยู่วิหารวัดเลียบยิ่งเยียบเย็น | ||
โอ้ยามจนล้นเหลือสิ้นเสื่อหมอน | สู้ซุ่มซ่อนเสียมิให้ใครใครเห็น | ||
ราหูทับยับเยินเผอิญเป็น | เปรียบเหมือนเช่นพราหมณ์ชีมณีจันท์ ฯ | ||
๏ จะสึกหาลาพระอธิษฐาน | โดยกันดารเดือดร้อนสุดผ่อนผัน | ||
พอพวกพระอภัยมณีศรีสุวรรณ | เธอช่วยกันแก้ร้อนค่อยหย่อนเย็น | ||
อยู่มาพระสิงหะไตรภพโลก | เห็นเศร้าโศกแสนแค้นสุดแสนเข็ญ | ||
ทุกค่ำคืนฝืนหน้าน้ำตากระเด็น | พระโปรดเป็นที่พึ่งเหมือนหนึ่งนึก | ||
ดังไข้หนักรักษาวางยาทิพย์ | ฉันทองหยิบฝอยทองไม่ต้องสึก | ||
ค่อยฝ่าฝืนชื่นฉ่ำดั่งอำมฤก | แต่ตกลึกเหลือที่จะได้สบาย ฯ | ||
๏ ค่อยเบาบางสร่างโศกเหมือนโรคฟื้น | จะเดินยืนยังไม่ได้ยังไม่หาย | ||
ได้ห่มสีมีหมอนเสื่ออ่อนลาย | ค่อยคลายอายอุตส่าห์ครองฉลองคุณ | ||
เหมือนพบปะพระสิทธาที่ปรารภ | ชุบบุตรลพเลี้ยงเหลือช่วยเกื้อหนุน | ||
สนอมพักตร์รักษาด้วยการุญ | ทรงสร้างบุญคุณศีลเพิ่มภิญโญ | ||
ถึงยากไร้ได้พึ่งหมือนหนึ่งแก้ว | พาผ่องแผ้วผิวพักตร์ขึ้นอักโข | ||
พระฤๅษีที่ท่านช่วยชุบเสือโค | ให้เรืองฤทธิ์อิศโรเดโชชัย | ||
แล้วไม่เลี้ยงเพียงแต่ชุบช่วยอุปถัมภ์ | พระคุณล้ำโลกาจะหาไหน | ||
ช่วยชี้ทางกลางป่าให้คลาไคล | หลวิชัยคาวีจำลีลา | ||
แต่ละองค์ทรงพรตพระยศยิ่ง | เป็นยอดมิ่งเมืองมนุษย์นี้สุดหา | ||
จงไพบูลย์พูนสวัสดิ์วัฒนา | พระชันษาสืบยืนอยู่หมื่นปี ฯ | ||
๏ เป็นคราวเคราะห์ก็ต้องพรากจากวิหาร | กลัวพวกพาลผู้ร้ายจำย้ายหนี | ||
อยู่วัดเทพธิดาด้วยบารมี | ได้ผ้าปีปัจจัยไทยทาน | ||
ถึงยามเคราะห์ก็เผอิญให้เหินห่าง | ไม่เหมือนอย่างอยู่ที่พระวิหาร | ||
โอ้ใจหายกลายกลับอัประมาณ | โดยกันดารเดือดร้อนไม่หย่อนเย็น | ||
ได้พึ่งพระปะแพรพอแก้หน้า | สองวัสสาสิ้นงามถึงยามเข็ญ | ||
คิดขัดขวางอย่างจะพาเลือดตากระเด็น | บันดาลเป็นปลวกปล่องขึ้นห้องนอน | ||
กัดเสื่อสาดขาดปรุทะลุสมุด | เสียดายสุดแสนรักเรื่องอักษร | ||
เสียแพรผ้าอาศัยไตรจีวร | ดูพรุนพรอนพลอยพาน้ำตาคลอ | ||
ถึงคราวคลายปลายอ้อยบุญน้อยแล้ว | ไม่ผ่องแผ้วพักตราวาสนาหนอ | ||
นับปีเดือนเหมือนจะหักทั้งหลักตอ | แต่รั้งรอร้อนรนกระวนกระวาย ฯ | ||
๏ ถึงเดือนยี่มีเทศน์สมเพชพักตร์ | เหมือนลงรักรู้ว่าบุญสิ้นสูญหาย | ||
สู้ซ่อนหน้าฝ่าฝืนสะอื้นอาย | จนถึงปลายปีฉลูมีธุระ | ||
ไปทางเรือเหลือสลดด้วยปลดเปลื้อง | ระคางเคืองข้องขัดสลัดสละ | ||
ลืมวันเดือนเขียนเฉยแกล้งเลยละ | เห็นแต่พระอภัยพระทัยดี | ||
ช่วยแจวเรือเกื้อหนุนทำบุญด้วย | เหมือนโปรดช่วยชูหน้าเป็นราศี | ||
กลับมาถึงผึ้งมาจับอยู่กับกระฎี | ทำรังที่ทิศประจิมริมประตู | ||
ต้องขัดเคืองเรื่องราวด้วยคราวเคราะห์ | จวบจำเพาะสุริยาถึงราหู | ||
ทั้งบ้านทั้งวังวัดเป็นศัตรู | แม้นขืนอยู่ยากเย็นจะเห็นใคร | ||
เครื่องกระฎีที่ยังเหลือแต่เสื่อขาด | เข้าไสยาสน์ยุงกัดปัดไม่ไหว | ||
เคยสว่างกลางคืนขาดฟืนไฟ | จะโทษใครเคราะห์กรรมจึ่งจำจน ฯ | ||
๏ โอ้อายเพื่อนเหมือนเขาว่ากิ่งกาฝาก | มิใช่รากรักเร่ระเหระหน | ||
ที่ทุกข์สุขขุกเข็ญเกิดเป็นคน | ต้องคิดขวนขวายหารักษากาย | ||
ได้พึ่งบ้างอย่างนี้เป็นที่ยิ่ง | สัจจังจริงจงรักสมัครหมาย | ||
ไม่ลืมคุณพูนสวัสดิ์ถึงพลัดพราย | มิได้วายเวลาคิดอาลัย ฯ | ||
๏ จะลับวัดพลัดที่กระฎีตึก | สุดแต่นึกน้ำตามาแต่ไหน | ||
เฝ้านองเนตรเช็ดพักตร์สักเท่าไร | ขืนหลั่งไหลรินร่ำน่ารำคาญ | ||
คิดอายเพื่อนเหมือนเขาเล่าแม่เจ้านี่ | เร่ไปปีละร้อยเรือนเดือนละร้อยบ้าน | ||
เพราะบุญน้อยย่อยยับอัประมาณ | เหลือที่ท่านอุปถัมภ์ช่วยบำรุง | ||
ต่อเมื่อไรไปทำทองสำเร็จ | แก้ปูนเพชรพบทองสักสองถุง | ||
จะผาสุกทุกสิ่งนอนกลิ้งพุง | กินหมูกุ้งไก่เป็ดจนเข็ดฟัน | ||
ขอเดชะพระมหาอานิสงส์ | ซึ่งรูปทรงสัจศีลถวิลสวรรค์ | ||
จะเที่ยวรอบขอบประเทศทุกเขตคัน | ขอความฝันวันนี้บอกดีร้าย ฯ | ||
๏ แล้วร่ำภาวนาในพระไตรลักษณ์ | ประหารรักหนักหน่วงตัดห่วงหาย | ||
หอมกลิ่นธูปงูบระงับหลับสบาย | ฝันว่าว่ายสายชะเลอยู่เอกา | ||
สิ้นกำลังยังมีนารีรุ่น | รูปเหมือนหุ่นเหาะเร่ร่อนเวหา | ||
ช่วยจูงไปไว้ที่วัดได้ทัศนา | พระศิลาขาวล้ำดังสำลี | ||
ทั้งพระทองสององค์ล้วนทรงเครื่อง | แลเลื่อมเหลืองเรืองจำรัสรัศมี | ||
พอเสียงแซ่แลหาเห็นนารี | ล้วนสอดสีสาวน้อยนับร้อยพัน | ||
ล้วนใส่ช้องป้องพักตร์ดูลักขณะ | เหมือนนางสะสวยสมล้วนคมสัน | ||
ที่เอกองค์ทรงศรีฉวีวรรณ | ดั่งดวงจันทร์แจ่มฟ้าไม่ราคี | ||
ทั้งคมขำล้ำนางสำอางสะอาด | โอษฐ์เหมือนชาดจิ้มเจิมเฉลิมศรี | ||
ใส่เครื่องทรงมงกุฎดังบุตรี | แก้วมณีเนาวรัตน์จำรัสเรือง | ||
รูปจริตพิศไหนวิไลเลิศ | เหมือนหุ่นเชิดโฉมแช่มแฉล้มเหลือง | ||
พอแลสบหลบชะม้ายชายชำเลือง | ดูปลดเปลื้องเปล่งปลั่งกำลังโลม | ||
ลำพระกรอ่อนชดประณตน้อม | แลละม่อมเหมือนหนึ่งเขียนวิเชียรโฉม | ||
หรือชาวสวรรค์ชั้นฟ้านภาโพยม | มาประโลมโลกาให้อาวรณ์ | ||
แปลกมนุษย์ผุดผ่องละอองพักตร์ | วิไลลักษณ์ล้ำเลิศประเสริฐสมร | ||
ครั้นปราศรัยไถ่ถามนามกร | ก็เคืองค้อนขามเขินสะเทินที | ||
ขืนถามอีกหลีกเลี่ยงหลบเมียงม่าย | เหมือนอายชายเฉยเมินดำเนินหนี | ||
นางน้อยน้อยพลอยตามงามงามดี | เก็บมาลีเลือกถวายไว้หลายพรรณ | ||
แล้วชวนว่าอย่าอยู่ชมพูทวีป | นิมนต์รีบไปสำราญวิมานสวรรค์ | ||
แล้วทรงรถกลดกั้นนางทั้งนั้น | นั่งที่ชั้นลดล้อมน้อมคำนับ | ||
ที่นั่งทิพย์ลิบเลื่อนคล้อยเคลื่อนคล้าย | พรรณรายพรายเรืองเครื่องประดับ | ||
ประเดี๋ยวเดียวเฉียวฉิบแลลิบลับ | จนลมจับวับใจอาลัยลาน ฯ | ||
๏ ซึ่งสั่งให้ไปสวรรค์หรือชันษา | จะมรณาในปีนี้เป็นปีขาล | ||
แม้นเหมือนปากอยากใคร่ตายหมายวิมาน | ขอพบพานภัคินีของพี่ยา | ||
ยังนึกเห็นเช่นโฉมประโลมโลก | ยิ่งเศร้าโศกแสนสวาทปรารถนา | ||
ได้แนบชมสมคะเนสักเวลา | ถึงชีวาม้วยไม่อาลัยเลย | ||
อยู่หลัดหลัดพลัดพรากไปฟากฟ้า | ให้ดิ้นโดยโหยหานิจจาเอ๋ย | ||
ถึงชาตินี้พี่มิได้บุญไม่เคย | ขอชื่นเชยชาติหน้าด้วยอาวรณ์ | ||
แม้นรู้เหาะก็จะได้ตามไปด้วย | สู้มอดม้วยมิได้ทิ้งมิ่งสมร | ||
เสมอเนตรเชษฐาเวลานอน | จะกล่าวกลอนกล่อมประทับไว้กับทรวง | ||
สายสุดใจไม่หลับจะรับขวัญ | ร้องโอดพันพัดชาช้าลูกหลวง | ||
ประโลมแก้วแววตาสุดาดวง | ให้อุ่นทรวงไสยาสน์ไม่คลาดคลาย | ||
ยามกลางวันบรรทมจะชมโฉม | ขับประโลมข้างที่พัดวีถวาย | ||
แม้นไม่ยิ้มหงิมเหงาจะเล่านิยาย | เรื่องกระต่ายตื่นตูมเหลือมูมมาม | ||
ไม่รู้เหาะก็มิได้ขึ้นไปเห็น | แม้นเหมือนเช่นชาวสุธาภาษาสยาม | ||
ถ้ารับรักจักอุตส่าห์พยายาม | ไปตามความคิดคงได้ปลงทอง ฯ | ||
๏ นี่จนใจไม่รู้จักที่หลักแหล่ง | สุดแสวงสวาทหมายไม่วายหมอง | ||
เมื่อยามฝันนั้นว่านึกนั่งตรึกตรอง | เดือนหงายส่องแสงสว่างดังกลางวัน | ||
เห็นโฉมยงองค์เอกเมขลา | ชูจินดาดวงสว่างมากลางสวรรค์ | ||
รัศมีสีเปล่งดังเพ็งจันทร์ | พระรำพันกรุณาด้วยปรานี | ||
ว่านวลหงส์องค์นี้อยู่ชั้นฟ้า | ชื่อโฉมเทพธิดามิ่งมารศรี | ||
วิมานเรียงเคียงกันทุกวันนี้ | เหมือนหนึ่งพี่น้องสนิทร่วมจิตใจ | ||
จะให้แก้วแล้วก็ว่าไปหาเถิด | มิให้เกิดการระแวงแหนงไฉน | ||
ที่ขัดข้องหมองหมางเป็นอย่างไร | จะผันแปรแก้ไขด้วยใกล้เคียง ฯ | ||
๏ สดับคำฉ่ำชื่นจะยื่นแก้ว | แล้วคลาดแคล้วคลับคล้ายเคลิ้มหายเสียง | ||
ทรงปักษาการเวกแฝงเมฆเมียง | จึ่งหมายเสี่ยงวาสนาอุตส่าห์คอย | ||
เหมือนบุปผาปาริกชาติชื่น | สุดจะยื่นหยิบได้มีไม้สอย | ||
ด้วยเดชะพระกุศลให้หล่นลอย | ลงมาหน่อยหนึ่งเถิดนะจะประคอง | ||
มิให้เคืองเปลื้องปลดเสียยศศักดิ์ | สนอมรักร้อยปีไม่มีหมอง | ||
แม้นมั่งมีพี่จะจ้างพวกช่างทอง | หล่อจำลองรูปวางไว้ข้างเคียง ฯ | ||
๏ คิดจนตื่นฟื้นฟังระฆังฆ้อง | กลองหอกลองทึ้มทึ้มกระหึ่มเสียง | ||
โกกิลากาแกแซ่สำเนียง | โอ้นึกเพียงขวัญหายไม่วายวัน | ||
วิสัยเราเล่าก็ไม่สู้ใฝ่สูง | นางฟ้าฝูงไหนเล่ามาเข้าฝัน | ||
ให้เฟือนจิตกิจกรมพรหมจรรย์ | ฤๅสาวสวรรค์นั้นจะใคร่ลองใจเรา | ||
ให้รักรูปซูบผอมตรมตรอมจิต | เสียจริตคิดขยิ่มง่วงหงิมเหงา | ||
จะได้หัวเราะเยาะเล่นทุกเย็นเช้า | จึงแกล้งเข้าฝันเห็นเหมือนเช่นนี้ | ||
แม้นนางอื่นหมื่นแสนแดนมนุษย์ | นึกกลัวสุดแสนกลัวเอาตัวหนี | ||
สู้นิ่งนั่งตั้งมั่นถือขันตี | อยู่กระฎีดั่งสันดานนิพพานพรหม | ||
รักษาพรตปลดปละสละรัก | เพราะน้ำผักต้มหวานน้ำตาลขม | ||
คิดรังเกียจเกลียดรักหักอารมณ์ | ไม่นิยมสมสวาทเป็นขาดรอน ฯ | ||
๏ แต่ครั้งนี้วิปริตนิมิตฝัน | เฝ้าผูกพันมั่นหมายสายสมร | ||
สาวสวรรค์ชั้นฟ้าจงถาวร | เจริญพรพูนสวัสดิ์กำจัดภัย | ||
ซึ่งผูกจิตพิศวาสหมายมาดมุ่ง | มักนอนสะดุ้งด้วยพระขวัญจะหวั่นไหว | ||
เสวยสวรรค์ชั้นฟ้าสุราลัย | ช่วยเลื่อมใสโสมนัสสวัสดี ฯ | ||
๏ ขอเดชะพระอุมารักษาสวาท | ให้ผุดผาดเพียงพักตร์พระลักษมี | ||
วิมานแก้วแววฟ้าฝูงนารี | คอยพัดวีแวดล้อมอยู่พร้อมเพรียง ฯ | ||
๏ ขอเดชะพระอินทร์ดีดพิณแก้ว | ให้เจื้อยแจ้วจับใจแจ่มใสเสียง | ||
สาวสุรางค์นางรำระบำเรียง | คอยขับกล่อมพร้อมเพรียงเคียงประคอง | ||
ขอพระจันทร์กรุณารักษาศรี | ให้เหมือนมณีนพเก้าอย่าเศร้าหมอง | ||
เหมือนหุ่นเชิดเลิศล้วนนวลละออง | ให้ผุดผ่องผิวพรรณเพียงจันทรา ฯ | ||
๏ ขอพระพายชายเชยรำเพยพัด | ให้ศรีสวัสดิ์สว่างจิตขนิษฐา | ||
หอมดอกไม้ในทวีปกลีบผกา | ให้หอมชื่นรื่นวิญญาณ์นิทรารมณ์ ฯ | ||
๏ ขอเดชะพระคงคารักษาสนอม | อย่าให้มอมมีระคายเท่าปลายผม | ||
ให้เย็นเรื่อยเฉื่อยฉ่ำเช่นน้ำลม | กล่อมประทมโสมนัสสวัสดี ฯ | ||
๏ ด้วยเดิมฉันฝันได้ยลวิมลพักตร์ | สุดแสนรักลักประโลมโฉมฉวี | ||
ถวิลหวังตั้งแต่นั้นจนวันนี้ | ขออย่ามีโทษโปรดยกโทษกรณ์ | ||
ด้วยเกิดเป็นเช่นมนุษย์บุรุษราช | มาหมายมาดนางสวรรค์ร่วมบรรจถรณ์ | ||
ขอษมาการุญพระสุนทร | ให้ถาพรภิญโญเดโชชัย ฯ | ||
๏ อนึ่งโยมโฉมยงพระองค์เอก | มณีเมขลามาโปรดปราศรัย | ||
จะให้แก้วแล้วอย่าลืมที่ปลื้มใจ | ขอให้ได้ดั่งประโยชน์โพธิญาณ | ||
จะพ้นทุกข์สุขสิ้นมลทินโทษ | เพราะพระโปรดโปรยปรายสายสนาน | ||
ให้หน้าชื่นรื่นรสพจมาน | เหมือนนิพพานพ้นทุกข์เป็นสุขสบาย | ||
บวชตะบึงถึงตะบันน้ำฉันชื่น | ยามดึกดื่นได้สังวรอวยพรถวาย | ||
เหมือนพระจันทร์กรุณาให้ตายาย | กับกระต่ายแต้มสว่างอยู่กลางวง | ||
เหมือนวอนเจ้าสาวสวรรค์กระสันสวาท | ให้ผุดผาดเพิ่มผลาอานิสงส์ | ||
ได้สมบูรณ์พูนเกิดประเสริฐทรง | ศีลดำรงร่วมสร้างพุทธางกูร | ||
อันโลกีย์วิสัยที่ในโลก | ความสุขโศกสิ้นกายก็หายสูญ | ||
เป็นมนุษย์สุดแต่ขอให้บริบูรณ์ | ได้เพิ่มพูนผาสุกสนุกสบาย | ||
ขอบุญพระจะให้อยู่ชมพูทวีป | ช่วยชุบชีพชูเชิดให้เฉิดฉาย | ||
ไม่ชื่นเหมือนเพื่อนมนุษย์ก็สุดอาย | สู้ไปตายตีนเขาลำเนาเนิน ฯ | ||
๏ โอ้ปีนี้ปีขาลบันดาลฝัน | ที่หมายมั่นเหมือนจะหมางระคางเขิน | ||
ก็คิดเห็นเป็นเคราะห์จำเพาะเผอิญ | ให้ห่างเหินโหยหวนรำจวนใจ | ||
จึงแต่งตามความฝันรำพันพิลาป | ให้ศิษย์ทราบสุนทราอัชฌาสัย | ||
จะสั่งสาวชาวบางกอกข้างนอกใน | ก็กลัวภัยให้ขยาดพระอาชญา | ||
จึ่งเอื้อมอ้างนางสวรรค์ตามฝันเห็น | ให้อ่านเล่นเป็นเล่ห์เสน่หา | ||
ไม่รักใครในแผ่นดินถิ่นสุธา | รักแต่เทพธิดาสุราลัย ฯ | ||
๏ ได้ครวญคร่ำร่ำเรื่องเป็นเครื่องสูง | พอพยุงยกย่องให้ผ่องใส | ||
ทั้งสาวแก่แม่ลูกอ่อนลาวมอญไทย | เด็กผู้ใหญ่อย่าเฉลียวว่าเกี้ยวพาน | ||
พระภู่แต่งแกล้งกล่าวสาวสาวเอ๋ย | อย่าถือเลยเคยเจนเหมือนเหลนหลาน | ||
นักเลงกลอนนอนฝันเป็นสันดาน | เคยเขียนอ่านอดใจมิใคร่ฟัง | ||
จะฝากดีฝีปากจะฝากรัก | ด้วยจวนจักจากถิ่นถวิลหวัง | ||
ไว้อาลัยให้ละห้อยจงคอยฟัง | จะร่ำสั่งสิ้นสุดอยุธยา ฯ | ||
๏ โอ้ยามนี้ปีขาลสงสารวัด | เคยโสมนัสในอารามสามวัสสา | ||
สิ้นกุศลผลบุญการุณา | จะจำลาเลยลับไปนับนาน | ||
เคยเดินเล่นเย็นลมเลียบชมรอบ | ริมแขวงขอบเขตที่เจดีย์ฐาน | ||
พระปรางค์มีสี่ทิศพิสดาร | โบสถ์วิหารการเปรียญล้วนเขียนทอง | ||
ที่หน้าบันปั้นอย่างเมืองกวางตุ้ง | ดูเรืองรุ่งรูปนกผกผยอง | ||
กระเบื้องเคลือบเหลือบสลับเหลี่ยมรับรอง | ศาลาสองหน้ารอบขอบกำแพง | ||
สิงโตจีนตีนตัวน่ากลัวกลอก | ขยับขยอกแยกเขี้ยวเสียวแสยง | ||
ที่ตึกก่อช่อฟ้าใบระกาแดง | ริมกำแพงตะพานขวางเคียงข้างคลอง | ||
เป็นพลับพลาพาไลข้างในเสด็จ | เดือนสิบเอ็ดเคยประทานงานฉลอง | ||
เล่นโขนหนังฟังปี่พาทย์ระนาดฆ้อง | ละครร้องเรื่องแขกฟังแปลกไทย | ||
ประทานรางวัลนั้นไม่ขาดคนดาษดื่น | ทั้งวันคืนครื้นครั่นเสียงหวั่นไหว | ||
จะวายเห็นเย็นเยียบเหงาเงียบใจ | โอ้อาลัยแลเหลียวเปลี่ยววิญญาณ์ ฯ | ||
๏ เคยอยู่กินถิ่นที่กระฎีก่อ | เป็นตึกต่อต่างกำแพงฝากแฝงฝา | ||
เป็นสองฝ่ายท้ายวัดวิปัสสนา | ข้างโบสถ์บาเรียนเรียงเคียงเคียงกัน | ||
เป็นสี่แถวแนวทางเดินหว่างกุฎิ์ | มีสระขุดเขื่อนลงพระสงฆ์ฉัน | ||
ข้างทิศใต้ในจงกรมพรหมจรรย์ | มีพระคันธกุฎีที่บำเพ็ง | ||
ศาลากลางทางเดินแลเพลินจิต | ประดับประดิษฐ์ดูดีเป็นที่เก๋ง | ||
จะเริดร้างห่างแหสุดแลเล็ง | ยิ่งพิศเพ่งพาสลดกำสรดทรวง ฯ | ||
๏ หอระฆังดังทำนองหอกลองใหญ่ | ทั้งหอไตรแกลทองเป็นของหลวง | ||
ปลูกไม้รอบขอบนอกเป็นดอกดวง | บ้างโรยร่วงรสรื่นทุกคืนวัน | ||
ชมพู่แลแต่ละต้นมีผลลูก | ดูดั่งผูกพวงระย้านึกน่าฉัน | ||
ทรงบาดาลบานดอกรีบออกทัน | เก็บทุกวันเช้าเย็นไม่เว้นวาย ฯ | ||
๏ เห็นทับทิมริมกระฎีดอกยี่โถ | สะอื้นโอ้อาลัยจิตใจหาย | ||
เห็นต้นชาหน้ากระไดใจเสียดาย | เคยแก้อายหลายครั้งประทังทน | ||
ได้เก็บฉันวันละน้อยอร่อยรส | ด้วยยามอดอัตคัดแสนขัดสน | ||
จะซื้อหาชาจีนทรัพย์สินจน | จะจากต้นชาให้อาลัยชา ฯ | ||
๏ โอ้ชาตินี้มีกรรมเหลือลำบาก | เหมือนนกพรากพลัดรังไร้ฝั่งฝา | ||
โอ้กระฎีที่จะจากฝากน้ำตา | ไว้คอยลาเหล่านักเลงฟังเพลงยาว | ||
เคยเยี่ยมเยือนเพื่อนเก่าเมื่อเราอยู่ | มาหาสู่ดูแลทั้งแก่สาว | ||
ยืมหนังสือลือเลื่องถามเรื่องราว | โอ้เป็นคราวเคราะห์แล้วจำแคล้วกัน ฯ | ||
๏ ฤดูร้อนก่อนเก่าทำข้าวแช่ | น่าชมแต่เครื่องกับสำรับฉัน | ||
ช่างทำเป็นเช่นดอกจอกเป็นดอกจันทน์ | งามจนชั้นกระชายทำเหมือนจำปา | ||
มะม่วงดิบหยิบดูจึ่งรู้จัก | ทำน่ารักรูปสัตว์เหมือนมัจฉา | ||
จะแลลับกลับกลายสุดสายตา | เคยไปมามิได้เห็นจะเว้นวาย ฯ | ||
๏ ตรุษสงกรานต์ท่านแต่งเครื่องแป้งสด | ระรื่นรสราเชนพุมเสนกระสาย | ||
น้ำกุหลาบอาบอุระแสนสบาย | ถึงเคราะห์ร้ายหายหอมให้ตรอมทรวง | ||
เหมือนแสนโง่โอ้เสียแรงแต่งหนังสือ | จนมีชื่อลือเลื่องทั้งเมืองหลวง | ||
มามืดเหมือนเดือนแรมไม่แจ่มดวง | ต้องเหงาง่วงทรวงเศร้าเปลี่ยวเปล่าใจ | ||
จำจากเพื่อนเหมือนจะพาน้ำตาตก | ต้องระหกระเหินหาที่อาศัย | ||
โอ้แสนอายปลายอ้อยเลื่อนลอยไป | เจ็บเจ็บใจไม่รู้หายซังตายทน ฯ | ||
๏ ที่อารีมีคุณการุญรัก | ได้เห็นพักตร์พบปะปีละหน | ||
เข้าวัสสามาทั่วทุกตัวตน | ถวายต้นไม้กระถางต่างต่างกัน | ||
ดูกิ่งใบไม้แซมติดแต้มแต่ง | ลูกดอกแฝงแกล้งประดิษฐ์ความคิดขยัน | ||
พุ่มสีผึ้งถึงดีลิ้นจี่จันทน์ | ต้นแก้วกรรณิการ์มีสารพัด | ||
ทำรูปพราหมณ์งามพริ้มแย้มยิ้มเยือน | กินนรเหมือนนางกินนรแขนอ่อนหยัด | ||
ดูนางนั่งปลั่งเปล่งดูเคร่งครัด | หน้าเหมือนผัดผ่องผิวกรีดนิ้วนาง | ||
รูปนกหกผกผินกินลูกไม้ | บ้างจับไซ้ขนพลิกพลิ้วปีกหาง | ||
นกยางเจ่าเซาจกเหมือนนกยาง | รูปเสือกวางกบกระต่ายมีหลายพรรณ | ||
ทำแปลกแปลกแขกฝาหรั่งทั้งเจ้าเงาะ | หน้าหัวเราะรูปร่างคิ้วคางขัน | ||
สุกรแกะแพะโผนเผ่นโดนกัน | ล้วนรูปปั้นต่างต่างเหมือนอย่างเป็น | ||
จะแลลับนับปีครั้งนี้หนอ | ที่ชอบพอเพื่อนสำราญจะนานเห็น | ||
ด้วยโศกสุมรุมร้อนไม่หย่อนเย็น | จงอยู่เป็นสุขสุขทุกทุกคน | ||
ขอแบ่งบุญสุนทรถาวรสวัสดิ์ | ให้บริบูรณ์พูนสมบัติพิพัฒน์ผล | ||
เกิดกองทองกองนากอย่ายากจน | เจริญพ้นภัยพาลสำราญเริง ฯ | ||
๏ โอ้สงสารหลานสาวเหล่าข้าหลวง | เคยมาลวงหลงเชื่อจนเหลือเหลิง | ||
ไม่รู้เท่าเจ้าทั้งนั้นเสียชั้นเชิง | เชิญบันเทิงเถิดนะหลานปากหวานดี | ||
ได้ฉันลมชมลิ้นเสียสิ้นแล้ว | ล้วนหลานแก้วหลอกน้าต้องล่าหนี | ||
จะนับเดือนเลื่อนลับไปนับปี | อยู่จงดีได้เป็นหม่อมให้พร้อมเพรียง ฯ | ||
๏ โอ้เดือนอ้ายไม่ขาดกระจาดหลวง | ใส่เรือพ่วงพวกแห่เซ็งแซ่เสียง | ||
อึกทึกครึกโครมคบโคมเคียง | เรือรายเรียงร้องขับตีทับโทน | ||
บ้างเขียนหน้าทาดำยืนรำเต้น | ลางลำเล่นงิ้วหนังมีทั้งโขน | ||
พวกขี้เมาเหล่าประสกตลกโลน | ร้องโยนโหยนโย้นฉับรับชาตรี | ||
ล้วนเรือใหญ่ใส่กระจาดย่ามบาตรพร้อม | ของคุณหม่อมจอมมารดาเจ้าภาษี | ||
ทั้งขุนนางต่างมาด้วยบารมี | ปี่พาทย์ตีเต้นรำทุกลำเรือ | ||
ของขนมส้มสูกทั้งลูกไม้ | หมูเป็ดไก่กุ้งแห้งแตงมะเขือ | ||
พร้าวอ่อนด้วยกล้วยอ้อยนับร้อยเครือ | จนล้นเหลือเกลือปลาร้าสารพัน | ||
แล้วเราได้ไตรดีแพรสีแสด | สบงแปดคืบจัดเป็นสัตตขันธ์ | ||
โอ้แต่นี้มิได้เห็นเหมือนเช่นนั้น | นับคืนวันปีเดือนจะเลื่อนลอย | ||
เหลืออาลัยใจเอ่ยจะเลยลับ | เหลืออาภัพพูดยากเหมือนปากหอย | ||
ให้เขินขวยด้วยว่าวาสนาน้อย | ต้องหน้าจ๋อยน้อยหน้าระอาอาย | ||
ออกวัสสาผ้าสบงกระทงเข้า | พระองค์เจ้าจบพระหัตถ์จัดถวาย | ||
ไม่แหงนเงยเลยกลัวเจ้าขรัวนาย | สำรวมกายก้มหน้าเกรงบารมี | ||
สวดมนต์จบหลบออกข้างนอกเล่า | ปะแต่เหล่าสาวแซ่ห่มแพรสี | ||
สู้หลับตามาจนสุดถึงกุฎี | เหมือนไม่มีตาตัวด้วยกลัวตาย ฯ | ||
๏ ตั้งแต่นี้มิได้หลบไม่พบแล้ว | จงผ่องแผ้วพักตร์เหมือนดั่งเดือนหงาย | ||
จะเงียบเหงาเช้าเย็นจะเว้นวาย | โอ้ใจหายหมายมาดเคลื่อนคลาดคลา | ||
เหมือนใบศรีมีงานท่านสนอม | เจิมแป้งหอมน้ำมันจันทน์ให้หรรษา | ||
พอเสร็จการท่านเอาลงทิ้งคงคา | ต้องลอยมาลอยไปเป็นใบตอง | ||
เหมือนตัวเราเล่าก็พลอยเลื่อนลอยลับ | มิได้รับไทยทานดูงานฉลอง | ||
โอ้ทองหยิบลิบลอยทั้งฝอยทอง | มิได้ครองไตรแพรเหมือนแต่เดิม ฯ | ||
๏ พระสิงหะพระอภัยพระทัยจืด | ไม่ยาวยืดยกยอชะลอเฉลิม | ||
เมื่อกระนั้นจันทน์และกระแจะเจิม | ได้พูนเพิ่มเหิมฮึกอยู่ตึกราม | ||
ครั้นเหินห่างร้างเริดก็เกิดทุกข์ | ไพรีรุกบุกเบียนเป็นเสี้ยนหนาม | ||
สู้ต่ำต้อยน้อยตัวเกรงกลัวความ | ด้วยเป็นยามยากจนจำทนทาน ฯ | ||
๏ ขอเดชะพระสยมบรมนาถ | เจ้าไกรลาศโลกามหาสถาน | ||
ทรงงัวเผือกเงือกหงอนสังวรสังวาล | ถือพัดตาลตาไฟประลัยกัลป์ | ||
ประกาศิตอิทธิเวทวิเศษประเสริฐ | ให้ตายเกิดสิ้นสุดมนุษย์สวรรค์ | ||
ตรัสอย่างไรไปเป็นเหมือนเช่นนั้น | พระโปรดฉันเชิญช่วยอำนวยพร | ||
เผื่อว่าจักรักใคร่ที่ไหนมั่ง | ให้สมหวังดังจำนงประสงค์สมร | ||
ทรงเวทมนตร์ดลประสิทธิ์ฤทธิรอน | เจริญพรภิญโญเดโชชัย | ||
ที่หวังชื่นกลืนกลั้นกระสันสวาท | อย่าแคล้วคลาดเคลือบแคลงแหนงไฉน | ||
มิตรจิตขอให้มิตรใจไป | ที่มืดไม่เห็นห้องช่วยส่องเทียน ฯ | ||
๏ ขอเดชะพระนารายณ์อยู่สายสมุทร | พระโพกภุชงค์เฉลิมเสริมพระเศียร | ||
มังกรกอดสอดประสานสังวาลเวียน | สถิตเสถียรแท่นมหาวาสุกรี | ||
ทรงจักรสังข์ทั้งคทาเทพาวุธ | เหยียบบ่าครุฑเที่ยวทวาทศราศี | ||
ขอมหาอานุภาพปราบไพรี | อย่าให้มีมารขวางระคางระคาย | ||
ที่คนคิดริษยานินทาโทษ | พระเปลื้องโปรดปราบประยูรให้สูญหาย | ||
ศัตรูเงียบเรียบร้อยจะลอยชาย | ไปเชยสายสุดสวาทไม่ขาดวัน ฯ | ||
๏ ขอเดชะพระมหาวายุพัด | พิมานอัศวราชเผ่นผาดผัน | ||
ทรงสีเหลืองเครื่องไฟประลัยกัลป์ | กุมพระขรรค์กรดกระหวัดพัดโพยม | ||
ขอเดชาวายุเวกจะเสกเวท | พอหลับเนตรพริบหนึ่งไปถึงโฉม | ||
จะสอพลอฉอเลาะปะเหลาะประโลม | เหมือนกินโสมโศกสร่างสว่างทรวง | ||
สุมามาลย์บานแบ่งแมลงภู่ | ขอสิงสู่สมสงวนไม่ควรหวง | ||
จะเหือดสิ้นกลิ่นอายเสียดายดวง | จะหล่นร่วงโรยรสต้องอดออม ฯ | ||
๏ โอ้อกเอ๋ยเชยอื่นไม่ชื่นแช่ม | เชยที่แย้มยิ้มพรายไม่หายหอม | ||
แต่หัสนัยน์ตรัยตรึงส์ท่านถึงจอม | ยังแปลงปลอมเปลื้องปลิดไพจิตรา | ||
ได้บุตรีที่รักยักษ์อสูร | สืบประยูรอยู่ถึงดาวดึงสา | ||
เราเป็นมนุษย์สุดรักต้องลักพา | เหมือนอินทราตรึงส์ตรัยเป็นไรมี ฯ | ||
๏ อย่าประมาทชาติหมู่แมงภู่ผึ้ง | ประสงค์ซึ่งเสน่หาสร้อยสาหรี | ||
ดูดอกไม้ในจังหวัดปัฐพี | ดวงใดดีมีกลิ่นรวยรินรส | ||
พอบานกลีบรีบถึงลงคลึงเคล้า | ฟุบแฝงเฝ้าเฟ้นฟอนเกสรสด | ||
สัจจังจริงมิ่งขวัญอย่ารันทด | ถ้ากลิ่นใกล้ได้รสเหลืออดออม | ||
อันโกสุมพุ่มพวงดอกดวงนี้ | สร้อยสาหรีรำเพยระเหยหอม | ||
ภมรมาดปรารถนาจึงมาตอม | ต้องอดออมอกตรมระทมทวี | ||
แม้นรับรักหักว่าเมตตาตอบ | เมื่อผิดชอบผ่ายหน้าจะพาหนี | ||
เหมือนอิเหนาเขาก็รู้ไม่สู้ดี | แต่เพียงพี่นี้ก็ได้ด้วยง่ายดาย | ||
อย่าหลบหลู่ดูถูกแต่ลูกยักษ์ | เขายังลักไปเสียได้ดั่งใจหมาย | ||
เหมือนตัวพี่นี้ก็ลือว่าชื่อชาย | รู้จักฝ่ายฟ้าดินชินชำนาญ | ||
ถึงนัทีสีขเรศขอบเขตแขวง | ป้อมกำแพงแหล่งล้อมพร้อมทหาร | ||
เดชะฤทธิ์วิทยาปรีชาชาญ | ช่วยบันดาลได้สมอารมณ์ปอง ฯ | ||
๏ จริงจริงนะจะไปอุ้มเนื้อนุ่มน่วม | ลงนั่งร่วมเรือกลพยนต์ผยอง | ||
อยู่ท้ายพระจะได้เรียงเคียงประคอง | ครรไลล่องลอยชะเลเหมือนเภตรา | ||
พอลมดีพี่จะให้ใช้ใบแล่น | ไปตามแผนที่ประเทศเพศภาษา | ||
แสนสบายสายสมุทรสุดสายตา | เห็นแต่ฟ้าน้ำเขียวเปล่าเปลี่ยวทรวง | ||
ในสายชลวนลึกโครมครึกคลื่น | สุดจะฝืนฝ่าชะเลหลวง | ||
เห็นฝูงปลานาคินสิ้นทั้งปวง | เกิดในห้วงห้องมหาคงคาเค็ม | ||
แขกฝาหรั่งมังค่าพวกพาณิช | สังเกตทิศถิ่นทางต้องวางเข็ม | ||
เข้าประเทศเขตแดนเลียบแล่นเล็ม | เขาไปเต็มตามทางกลางนัที | ||
ถ้าแม้นว่าปลาวาฬผุดผ่านหน้า | เรือไม่กล้าใกล้เคียงหลีกเลี่ยงหนี | ||
แนวชลาน่าชมน้ำลมดี | ดูเร็วรี่เรือเรื่อยไม่เหนื่อยแรง | ||
เย็นระรื่นคลื่นเรียบเงียบสงบ | มหรรณพพริบเนตรในเขตแขวง | ||
แม้นควันคลุ้มกลุ่มกลมเป็นลมแดง | เป็นสายแสงเสียงลั่นสนั่นดัง | ||
บัดเดี๋ยวคลื่นครื้นครึกสะทึกโถม | ขึ้นสาดโทรมดาดฟ้าคงคาขัง | ||
เสียงฮือฮืออื้ออึงตูมตึงตัง | ด้วยกำลังลมกล้าสลาตัน ฯ | ||
๏ แต่เรือเราเบาฟ่องถึงต้องคลื่น | ก็ฝ่าฝืนฟูสบายแล่นผายผัน | ||
แม่เห็นคลื่นครื้นเครงจะเกรงครัน | จะรับขวัญอุ้มน้องประคองเคียง | ||
จะเขียนธงลงยันต์ปักกันคลื่น | ให้หายรื่นราบเรียบเงียบเซียบเสียง | ||
จะแย้มสรวลชวนนั่งที่ตั่งเตียง | ให้เอนเอียงแอบอุ่นละมุนทรวง | ||
จะแสนชื่นรื่นรสแป้งสดหอม | เห็นจะยอมหย่อนตามไม่ห้ามหวง | ||
เหมือนได้แก้วแววฟ้าจินดาดวง | ไว้แนบทรวงสมคะเนทุกเวลา ฯ | ||
๏ ออกลึกซึ้งถึงที่ชื่อสะดือสมุทร | เห็นน้ำสุดสูงฟูมดั่งภูมผา | ||
ดูพลุ่งพลุ่งวุ้งวงหว่างคงคา | สูดนาวาเวียนวนไม่พ้นไป | ||
เรือลูกค้าพาณิชไม่ชิดเฉียด | แล่นก้าวเสียดหลีกลำตามน้ำไหล | ||
แลชะเลเภตราบ้างมาไป | เห็นไรไรริ้วริ้วเท่านิ้วมือ | ||
แม้นพรายน้ำทำฤทธิ์นิมิตรูป | สว่างวูบวงแดงดั่งแสงกระสือ | ||
ต้องสุมไฟใส่ประโคมให้โหมฮือ | พัดกระพือเผาหนังแก้รังควาน ฯ | ||
๏ แต่ตัวพี่มีอุบายแก้พรายผุด | เสกเพลิงชุดเช่นกับไฟประลัยผลาญ | ||
ทิ้งพรายน้ำทำลายวอดวายปราณ | มิให้พานพักตร์น้องอย่าหมองมัว | ||
ดูปลาใหญ่ในสมุทรผุดพ่นน้ำ | มืดเหมือนคล้ำคลุ้มบดสลดสลัว | ||
พุ่งทะลึ่งถึงฟ้าดูน่ากลัว | แต่ละตัวตละโขดนับโยชน์ยาว | ||
จะหยอกเย้าเฝ้ายั่วให้หัวเราะ | ชวนชมเกาะกะเปาะกลมชื่อนมสาว | ||
สาคเรศเขตแคว้นทุกแดนดาว | ดูเรือชาวเมืองใช้ใบไปมา | ||
เรือสลัดตัดระกำร้อยลำหวาย | ทำเรือค่ายรายแล่นล้วนแน่นหนา | ||
น้าวกระเชียงเสียงเฮสุเรสุรา | ใส่เสื้อผ้าโพกนั้นลงยันต์ราย | ||
เหมือนเรือเปล่าเสากระโดงลดลงซ่อน | ปลอมเรือจรจับบรรดาลูกค้าขาย | ||
ตัวคนได้ไม่ล้างให้วางวาย | เจาะตีนหวายร้อยส้นทุกคนไป ฯ | ||
๏ โดยหากว่าถ้าไปปะเรือสลัด | ศรีสวัสดิ์แพรวจะพรั่นประหวั่นไหว | ||
จะอุ้มวางกลางตักสะพักไว้ | โบกธงชัยให้จังงังกำบังตา | ||
แล้วจะใช้ใบเยื้องไปเมืองเทศ | ชมประเภทพวกแขกแปลกภาษา | ||
ทั้งหนุ่มสาวเกล้ามวยสวยโสภา | แต่งกายาอย่างพราหมณ์งามงามดี | ||
ล้วนนุ่งห่มโขมพัสตร์ถือสัจศิล | ใส่เพชรนิลแนมประดับสลับสี | ||
แลพิลึกตึกตั้งล้วนมั่งมี | ชาวบุรีขี่รถบทจร ฯ | ||
๏ จะเชิญแก้วแววเนตรขึ้นเขตแคว้น | จัดซื้อแหวนเพชรรัตน์ประภัสสร | ||
ให้สร่างทรวงดวงสุดาสถาวร | สว่างร้อนรับขวัญทุกวันคืน | ||
จะระวังนั่งประคองเคียงน้องน้อย | ให้ใช้สอยสารพัดไม่ขัดขืน | ||
กลืนไว้ได้ในอุระก็จะกลืน | ให้แช่มชื่นชมชะเลทุกเวลา ฯ | ||
๏ แล้วจะชวนนวลละอองตระกองอุ้ม | ให้ชมเพลินเนินมะงุมมะงาหรา | ||
ไปเกาะที่อิเหนาชาวชวา | วงศ์อสัญแดหวาน่าหัวเราะ | ||
จมูกโด่งโง้งงุ้มทั้งหนุ่มสาว | ไม่เหมือนกล่าวราวเรื่องหูเหืองเจาะ | ||
ไม่เพริศพริ้งหญิงชายคล้ายคล้ายเงาะ | ไม่มีเหมาะหมดจดไม่งดงาม | ||
ไม่แง่งอนอ้อนแอ้นแขนไม่อ่อน | ไม่เหมือนสมรเสมอภาษาสยาม | ||
รูปก็งามนามก็เพราะเสนาะนาม | จะพาข้ามเข้าละเมาะเกาะมาลากา | ||
เดิมของแขกแตกฝาหรั่งไปทั้งตึก | แลพิลึกครึกครื้นขายปืนผา | ||
เมื่อครั้งนั้นปันหยีอุ้มวียะดา | ชี้ชมสัตว์มัจฉาในสาคร ฯ | ||
๏ แม้นเหมือนหมายสายสุดใจไปด้วยพี่ | จะช่วยชี้ชมตลิ่งเหล่าสิงขร | ||
ประคองเคียงเอียงเอกเขนกนอน | ร้องละครอิเหนาเข้ามาลากา | ||
แล้วจะใช้ใบบากออกจากฝั่ง | ไปชมละเมาะเกาะวังกัลพังหา | ||
เกิดในน้ำดำนิลดั่งศิลา | เหมือนรุกขาขึ้นสล้างหว่างคีริน | ||
ชะเลรอบขอบเขาเป็นเงาง้ำ | เวลาน้ำขึ้นกระเพื่อมถึงเงื้อมหิน | ||
เห็นหุบห้องปล่องชลาฝูงนาคิน | ขึ้นมากินเกยนอนชะอ้อนเนิน | ||
ภูเขานั้นวันหนึ่งแล่นจึ่งรอบ | เป็นเขตขอบเทพเจ้าจอมเขาเขิน | ||
จะชื่นชวนนวลละอองประคองเดิน | เลียบเหลี่ยมเนินเพลินชมพนมนิล | ||
จริงนะจ๊ะจะเก็บทั้งกัลพังหา | เม็ดมุกดาคลื่นสาดกลางหาดหิน | ||
เบี้ยอี้แก้แลรอบขอบคีริน | ระรื่นกลิ่นไม้หอมมีพร้อมเพรียง | ||
สะพรั่งต้นผลดอกออกไม่ขาด | ศิลาลาดลดหลั่นชั้นเฉลียง | ||
จะค่อยเลียบเหยียบย่องประคองเคียง | เป็นพี่เลี้ยงเพียงพี่ร่วมชีวา | ||
จำปาดะองุ่นหอมกรุ่นกลิ่น | ก้าแฝ่ฝิ่นสินธุต้นบุหงา | ||
ด้วยเกาะนี้ที่ทำเลเทวดา | แต่นกกาก็มิได้ไปใกล้กราย ฯ | ||
๏ แล้วจะใช้ใบไปดูเมืองสุหรัด | ท่าคลื่นซัดซึ้งวนชลสาย | ||
ตั้งตึกรามตามตลิ่งแขกหญิงชาย | แต้มผ้าลายกะลาสีพวกตีพิมพ์ | ||
พื้นม่วงตองทองช้ำยำมะหวาด | ฉีกวิลาศลายลำยองเขียนทองจิ้ม | ||
ทำที่อยู่ดูพิลึกล้วนตึกทิม | เรียบเรียงริมฝั่งสมุทรแลสุดตา | ||
จะตามใจให้เพลินเจริญเนตร | ชมประเภทพราหมณ์แขกแปลกภาษา | ||
ได้แย้มสรวลชวนใช้ใบลีลา | ไปมังกล่าฝาหรั่งระวังตระเวณ | ||
กำปั่นไฟใหญ่น้อยออกลอยเที่ยว | ตลบเลี้ยวแลวิ่งดั่งจิ้งเหลน | ||
ถ้วนเดือนหนึ่งจึงจะผลัดพวกหัศเกน | เวียนตระเวณไปมาทั้งตาปี ฯ | ||
๏ เมืองมังกล่าฝาหรั่งอยู่ทั้งแขก | พวกเจ๊กแทรกแปลกหน้าทำภาษี | ||
แลพิลึกตึกรามงามงามดี | ตึกเศรษฐีมีทรัพย์ประดับประดา | ||
ดูวาวแววแก้วกระหนกกระจกกระจ่าง | ประตูหน้าต่างติดเครื่องรอบเฝืองฝา | ||
ล้วนขายเพชรเจ็ดสีมีราคา | วางไว้หน้าตึกร้านใส่จานราย | ||
แล้วตัวไปไม่นั่งระวังของ | คนซื้อร้องเรียกหาจึ่งมาขาย | ||
ด้วยไม่มีตีโบยขโมยขมาย | ทั้งหญิงชายเช้าค่ำเขาสำราญ | ||
นอกกำแพงแขวงเขตประเทศถิ่น | เป็นสวนอินทผาลัมทับน้ำหวาน | ||
รองอ่างไว้ใช้ทำแทนน้ำตาล | ห้องแต่งงานขันหมากเหลือหลากจริง | ||
ถึงขวบปีมีจั่นทำขวัญต้น | แต่งเหมือนคนขอสู่นางผู้หญิง | ||
แม้นถึงปีมีลูกใครปลูกทิ้ง | ไม่ออกจริงจั่นหล่นลำต้นตาย | ||
บ้านตลาดกวาดเลี่ยนเตียนตะล่ง | ถึงของหลงลืมไว้ก็ไม่หาย | ||
ไปชมเล่นเช่นฉันว่าประสาสบาย | บ้านเมืองรายหลายประเทศต่างเพศพันธุ์ ฯ | ||
๏ จะพาไปให้สร้างทางกุศล | ขึ้นสิงหลเห็นจะได้ไปสวรรค์ | ||
ไหว้เจดีย์ที่ทำเลเวฬุวัน | พระรากขวัญอันเป็นยิ่งเขาสิงคุตร์ ฯ | ||
๏ คิดจะใช้ใบข้ามไปตามเข็ม | เขียนมาเต็มเล่มแล้วจะสิ้นสมุด | ||
เหมือนหมายทางต่างทวีปเรือรีบรุด | พอสิ้นสุดสายมหาอารณพ | ||
เหมือนเรื่องรักจักประเวศประเทศถิ่น | มิทันสิ้นสุดคำก็จำจบ | ||
แม้นขืนเคืองเปลื้องปลิดไม่คิดคบ | จะเศร้าซบโศกสะอื้นทุกคืนวัน | ||
เหมือนยักษีที่สิงขรต้องศรกก | ปักตรึงอกอานภาพซ้ำสาปสรร | ||
อยู่นพบุรีที่ตรงหว่างเขานางประจัน | เสียงไก่ขันขึ้นนนทรีคอยตีซ้ำ | ||
แสนวิตกอกพระยาอุณาราช | สุดหมายมาดไม่มีที่อุปถัมภ์ | ||
ศรสะเทือนเหมือนอุระจะระยำ | ต้องตีซ้ำช้ำในฤทัยระทม ฯ | ||
๏ ถึงกระไรได้อุตส่าห์อาสาสมัคร | ขอเห็นรักสักเท่าซีกกระผีกผม | ||
พอชื่นใจได้สร่างสว่างอารมณ์ | เหมือนนิยมสมคะเนเถิดเทวัญ | ||
ถวิลหวังสังวาสสวาทแสวง | ให้แจ่มแจ้งแต่งตามเรื่องความฝัน | ||
ฝากฝีปากฝากคำที่สำคัญ | ชื่อรำพันพิลาปล้ำกาพย์กลอน | ||
เปรียบเหมือนกับขับกล่อมสนอมเสน่ห์ | สำเนียงเห่เทวัญริมบรรจถรณ์ | ||
เสวยสวัสดิ์วัฒนาสถาวร | วานฟังกลอนกลอยแก่เถิดแม่เอย ฯ | ||