มัทนะพาธา

จาก ตู้หนังสือเรือนไทย

(ความแตกต่างระหว่างรุ่นปรับปรุง)
ข้ามไปที่: นำทาง, สืบค้น
(องก์ที่ ๓)
(ตอนที่ ๑)
แถว 1,965: แถว 1,965:
===องก์ที่ ๔===
===องก์ที่ ๔===
====ตอนที่ ๑====
====ตอนที่ ๑====
 +
'''สวนหลวงข้างพระราชวัง, ในกรุงหัสตินาปุระ.'''
 +
 +
'''[ ฉากเป็นสวนดอกไม้, มีต้นไม้ร่มรื่น, และไม้ดอกปลูกเรียงรายไว้อย่างเรียบร้อย ด้านหลังมีศาลา, มีเตียงสำหรับนั่งเล่น. ในตอนนี้เป็นเวลากลางวัน.]'''
 +
 +
'''(เมื่อเปิดม่านมีชาวสวนคน ๑ กวาดใบไม้อยู่. สักครู่ ๑ อราลี, นางค่อม, ถือกระเช้าออกทางซ้าย, และจะไปเก็บดอกไม้ที่ต้น ๑, แต่ชาวสวนยกมือห้ามไว้.)'''
 +
<tpoem>
 +
'''ชาวสวน.'''  ไม่ได้ !
 +
'''อราลี.'''  ทำไมไม่ได้ ?
 +
'''ชาวสวน.'''  ไม่ได้.
 +
'''อราลี.'''  ใครห้าม.
 +
'''ชาวสวน.'''  นาย.
 +
'''อราลี.'''  นายไหน ? ชื่ออะไร ?
 +
'''ชาวสวน.'''  ศุภางค์.
 +
'''อราลี.'''  ห้ามทำไม ?
 +
'''ชาวสวน.'''  ไม่รู้.
 +
'''อราลี.'''  จะเอาไว้ให้ใครชม ?
 +
'''ชาวสวน.'''  ไม่รู้.
 +
'''อราลี.'''  จะเอาไว้ให้ใครเก็บ ?
 +
'''ชาวสวน.'''  ไม่รู้.
 +
'''อราลี.'''  ใครมอบให้ศุภางค์เป็นใหญ่ในสวนนี้ ?
 +
'''ชาวสวน.'''  ไม่รู้.
 +
'''อราลี.'''  นี่จะห้ามเสมอไป หรือห้ามจำเพาะฤดูนี้ ?
 +
'''ชาวสวน.'''  ไม่รู้.
 +
'''อราลี.'''  (ออกเคือง, พูดเสียงแข็ง.) นี่แกรู้ไหมว่าข้าคือใคร ?
 +
'''ชาวสวน.'''  ไม่รู้.
 +
'''อราลี.'''  ข้าชื่ออราลี รู้หรือยัง ?
 +
'''ชาวสวน.'''  ไม่รู้.
 +
'''อราลี.'''  เป็นข้าหลวงพระอัคคะมเหสี, รู้ไหม ?
 +
'''ชาวสวน.'''  ไม่รู้.
 +
'''อราลี.'''  ข้าเคยออกมาเก็บดอกไม้ในสวนนี้ได้เสมอ รู้ไหม ?
 +
'''ชาวสวน.'''  ไม่รู้.
 +
'''อราลี.'''  '''(โกรธ, พูดเสียงดัง.)''' แกเป็นคนที่กวนโทโสที่สุด. ไม่เห็นมีอะไรพูดนอกจาก “ไม่รู้”
 +
  ข้าขอบอกกล่าวว่าข้าจะเก็บดอกไม้ไปถวายเจ้านายของข้า. '''(จะไปเก็บดอกไม้อีก.)'''
 +
'''ชาวสวน.'''  '''(ยืนขวางหน้าและห้าม.)''' ไม่ได้ !
 +
'''อราลี.'''  ข้าจะเก็บ !
 +
'''ชาวสวน.'''  ไม่ได้ !
 +
</tpoem>
 +
<tpoem>
 +
  '''(ศุภางค์ออกทางหลืบขวา.)'''
 +
  (ฉบงง, ๑๖)
 +
'''ศุภางค์.'''  เออแน่, นางอราลี !  มาทำอวดดี
 +
  ส่งเสียงแจ้วแจ้วอยู่ไย ?
 +
'''อราลี.'''  ให้ไพร่ไปก่อนเป็นไร.
 +
'''ศุภางค์.'''  (หันไปสั่งชาวสวน.)  เอาเถิดเจ้าไป
 +
  ทำงานทางอื่นสักครา.
 +
  '''(ชาวสวนเข้าโรงทางขวา.)'''
 +
'''อราลี.'''  นี่แน่ะศุภางค์เสนา,  เมื่อกี้ตูข้า
 +
  กำลังจะเก็บดอกไม้,
 +
  แต่ชาวสวนกล่าวห้ามไว้,  เขาว่าท่านได้
 +
  สั่งเขาให้ห้ามเช่นนั้น
 +
'''ศุภางค์.'''  ถูกแล้ว
 +
'''อราลี.'''  เพราะเหตุใดกัน ?
 +
'''ศุภางค์.'''  เพราะว่าตัวฉัน
 +
  ชอบดูดอกไม้งามงาม.
 +
'''อราลี.'''  ก็ใครสั่งให้ท่านห้าม ?
 +
'''ศุภางค์.'''  ทำไมจึ่งถาม ?
 +
'''อราลี.'''  ก็เพราะดิฉันอยากรู้.
 +
'''ศุภางค์.'''  อยากรู้อยากเห็นเกินอยู่  ดังนี้ก็ตู
 +
  ข้าขอกล่าวเตือนนางว่า
 +
  ผู้ชอบประพฤติเช่นจา-  ระสัตรีข้า
 +
  มิชอบและมักหมั่นไส้
 +
  อันตูข้าเจ้านายใช้  ให้เป็นผู้ใหญ่
 +
  รักษาพระอุทยานนี้
 +
  จึ่งห้ามว่าดวงมาลี  ของท่านดีดี
 +
  มิให้ผู้ใดเก็บไป
 +
'''อราลี.'''  ก็ดิฉันนี้คือใคร ?
 +
'''ศุภางค์.'''      อันตัวนางไซร้
 +
  พิการทั้งกายและจิต !
 +
  หลังค่อมค้อมคู้ดูผิด  มนุษย์ขาบิด
 +
  แขนเบี้ยวบ่เหมือนธรรมดา
 +
  ตัวคดใจคดอิจฉา  แยงยุมุสา
 +
  ใครใครย่อมรู้ทั่ววัง
 +
  รูปชั่วตัวแสนน่าชัง  แล้วนางก็ยัง
 +
  ไม่รู้สำนึกตัวเลย.
 +
'''อราลี.'''  ชะชะอุแม่เจ้าเอ๊ย !  ช่างพูดเพ้ยเพ้ย
 +
  นะท่านศุภางค์เสนา
 +
  อวดดีนักเพราะช่างหา  หญิงสวยสวยมา
 +
  บำเรอพระมิ่งโมลี !
 +
  นี่ไปหาโสเภณี  มาซ่อนไว้ที่
 +
  ตำหนักในราชอุทยาน,
 +
  จึงต้องเกะกะระราน  เพราะว่าเกรงการณ์
 +
  จะทราบถึงพระนางเธอ !
 +
'''ศุภางค์.'''  นางอราลีนี่เออ  อวดดีเผยอ
 +
  หยิ่งเย่อเหมือนอย่างคางคก
 +
  ชาตินางยางหัวไม่ตก  ก็คงผงก
 +
  ผงาดบังอาจเอิบใจ
 +
  ไปเถิด นางค่อม รีบไป !
 +
'''อราลี.'''      ท่านจะทำไม ?
 +
  กล้าดีก็เชิญหน่อยซี
 +
'''ศุภางค์.'''  ข้าบอกว่าไปเดี๋ยวนี้ !  ไปเสียดีดี,
 +
  หาไม่จะเกิดเคืองกัน
 +
'''อราลี.'''  ไม่ไป !
 +
'''ศุภางค์.'''  ต้องไปโดยพลัน !
 +
'''อราลี.'''  ไม่ไป !
 +
'''ศุภางค์.'''  อย่าดัน !
 +
'''อราลี.'''  ไม่ไป !
 +
'''ศุภางค์.'''  เมื่ออยากอยู่นี่
 +
  ก็จะให้อยู่กับที่  เฮ้ย, ออกมานี่
 +
  ไวไวเข้าหวาอย่าช้า !
 +
  '''(ชาวสวนออกทางหลืบขวา.)'''
 +
  นี่แน่ะ, นางนี้เขาว่า  ชอบอยู่สวนนา
 +
  และข้าก็ยอมตามใจ
 +
  เจ้าจงนั่งอยู่ด้วยไซร้  ระวังอย่าให้
 +
  นางลุกไปพ้นที่นี้
 +
  แม้ห้ามมิฟังวาที  ก็เจ้าจงตี
 +
  ให้แรงด้วยด้ามไม้กวาด !
 +
  ขึ้นเสียงเถียงคำหนึ่งฟาด  สองคำสองฉาด
 +
  จริงจริงมิต้องเกรงใจ
 +
</tpoem>
 +
'''(ศุภางค์เดินจะไปทางขวาก็พอปริยัมวะทาออกมาทางนั้น.)'''
 +
<tpoem>
 +
'''ปริยัมวะทา.'''  ศุภางค์, ท่านเกรี้ยวโกรธใคร ?
 +
'''ศุภางค์.'''  (ชี้อราลีพลางตอบพลาง.)  โกรธคนจัญไร
 +
  ที่กวนโทโสสุดทน !
 +
'''ปริยัมวะทา.'''  ข้าขอโทษแทนสักหน  เพราะเขาเป็นคน
 +
  ที่มักมิยอมแพ้ใคร
 +
  อราลี, อย่ายุ่งไป  ฉันขอเถิดให้
 +
  หล่อนกลับคืนเข้าในวัง
 +
'''อราลี.'''  ดิฉันมาตามรับสั่ง  เมื่อดิฉันยัง
 +
  มิได้ทำตามท่านใช้
 +
  ดิฉันจะกลับอย่างไร ?
 +
'''ปริยัมวะทา.'''  เอาเถิดดอกไม้
 +
  ฉันเองจะเก็บมากมาย
 +
  แล้วให้คนไปถวาย
 +
'''อราลี.'''  ก็เมื่อคุณนาย
 +
  รับแล้วดิฉันขอลา
 +
  '''(เข้าโรงทางหลืบซ้าย.)'''
 +
</tpoem>
 +
<tpoem>
 +
  (ภุชงคัปปะยาตร์, ๑๒.)
 +
'''ปริยัมวะทา.'''  อราลีแหละน่ากลัว  จะก่อเรื่องระคายนา
 +
  พระนางคงจะใช้มา  และสืบเรื่องพระภูมี
 +
'''ศุภางค์.'''  เสด็จกลับนครหลวง  ก็สัปดาหะแล้วนี่
 +
  ประทับแรม ณ สวนศรี  บกลับคืนนิเวศน์ใน
 +
  จะไม่ให้มเหสี  ระแวงนั้นไฉนได้ ?
 +
  พระได้นางณป่าใหญ่  และพากลับ ณ ธานี
 +
  จะปิดความมิวามวู่  จะอยู่ได้ไฉนมี ?
 +
'''ปริยัมวะทา.'''  ดิฉันเห็นมเหษี  ธคงทราบและหึงส์หวง
 +
'''ศุภางค์.'''  พระนางเธอก็โทษา  คะติมักจะครอบดวง
 +
  หทัยอยู่และใครท้วง  ฤทักมักจะยิ่งใหญ่.
 +
'''ปริยัมวะทา.'''  ดิฉันนึกก็สงสาร  สุนงคราญพระองค์ใหม่
 +
  เพราะเรียบร้อยและดูไม่  พระโอษฐ์จัดถนัดเถียง
 +
  ดิฉันมาและรับใช้  สนิทแล้วก็เห็นเนียง
 +
  ประเสริฐแท้และควรเคียง  พระองค์ผู้ประเสริฐชาย !
 +
'''ศุภางค์.'''  ก็เหตุนั้นสิฉันจึ่ง  คะนึงอยู่มิรู้วาย
 +
  บุรุษควรจะมุ่งหมาย  มโนแต่ ณ ยอดหญิง
 +
  วิไลยโฉมและมีใจ  วิสุทธิ์ใสสะอาดยิ่ง
 +
  ฉะนั้นควรจะรักจริง  และชีวิตมิเปล่าเปลือง
 +
  ผิเลือกคู่เพราะเพ่งทาง  ประโยชน์เพียง ณ การเมือง
 +
  มิช้านานก็จำเคือง  ระคายจิตระคายตา !
 +
'''ปริยัมวะทา.'''  อ๊ะพี่ชายขยายเรื่อง  ฉะนี้เครื่องจะเลยพา
 +
  พะหูโทษะพลันมา  กระทบกายมิบังควร
 +
'''ศุภางค์.'''  ก็ฉันพูดกะหล่อนได้  เพราะไว้ใจนะนิ่มนวล
 +
  และหากหล่อนมิเล่าทวน  ละก็ใครจะรั่วรู้ ?
 +
</tpoem>
 +
'''(ท้าวชัยเสนกับมัทนาออกทางหลืบขวา, และพานางตรงไปนั่งเตียงบนพลับพลา. ศุภางค์กับปริยัมวะทา และชาวสวนคลานเข้าโรงทางหลืบขวา.)'''
 +
<tpoem>
 +
  (วสันตะดิลก, ๑๔.)
 +
'''ชัยเสน.'''  ตั้งแต่ภิเษกและอภิรมย์  ระติแนบ ณ โฉมตรู
 +
  พี่นี้ประหนึ่งรมะณิย์อยู่  ณ พิภพสุราลัย
 +
  แต่ไหนมิเคยจะฤดิรื่น  นิระโศกนิรามัย
 +
  เหมือนปัจจุบันเพราะอรไท  นะสิปลูกประมวลปรีย์
 +
'''มัทนา.'''  อ้าทูลกระหม่อมปิยะมหา  สุระราชะสามี
 +
  ข้าบาทบำเรอพระบทะศรี  ละก็ยังมีเพียงพอ
 +
  อยากมีกำลังพิริยะอีก  พละไซร้จะได้ก่อ
 +
  การอื่นบำเรอพระบทะต่อ  บมิให้ระคายเคือง !
 +
'''ชัยเสน.'''  อ้าน้องสิเป็นสุปริยะหญิง  ยุวะมิ่งและขวัญเมือง
 +
  อันพี่ก็มียะศะประเทือง  เพราะว่ะคู่วธูขวัญ
 +
'''มัทนา.'''  อ้าองค์พระปิ่นดิลกะรัฐ  ธดำรัสละยอครัน !
 +
  ข้าน้อยฤเรียกสุวะธุขวัญ  วรราชะธานี ?
 +
  แท้จริงนะหญิงก็สิริวัฑ-  ฒะนะได้เพราะสามี
 +
  หญิงโสดจะเรืองยะศะและศรี  ละก็แสนจะยากเย็น
 +
'''ชัยเสน.'''  หากพร้อมสุคุณก็ศุภะลัก-  ษณะนาริย่อมเป็น
 +
  ขวัญเมืองประดุจระตะนะเห็น  บมิต้องประกอบทอง !
 +
'''มัทนา.'''  สามีสิเป็นระตะนะเลิศ  และจุฑามณีของ
 +
  นารีและอาภะระณะผอง  บมิยิ่งสุภรรดา
 +
'''ชัยเสน.'''  อันชายจะมีสุนิธิใด  ก็บเปรียบกะภรรยา
 +
  เป็นศรีและศักดิระตะนา  ทิประดับประดาเรือน
 +
'''มัทนา.'''  สุขใดจะเปรียบปะระมะสุข  ปริยะนี้บ่มีเหมือน
 +
'''ชัยเสน.'''  เพื่อนใดจะมีประดุจะเพื่อน  ฤดีร่วมสิเนหา
 +
</tpoem>
 +
'''(พระนางจัณฑีออกทางหลืบซ้าย, มีข้าหลวงตามหลังตามสมควร. จัณฑียืนดูท้าวชัยเสนกับมัทนาอยู่ครู่ ๑ แล้วจึ่งเข้าไปบังคมท้าวชัยเสน)'''
 +
<tpoem>
 +
  (อุปชาติ, ๑๑.)
 +
'''จัณฑี.'''  ประณตยุคลบาล  นรนาถะราชา
 +
  หม่อมฉันสดับวา-  ทะระบือสนั่นไป
 +
  ถึงในนิเวศน์ว่า  พระนรินทราชไซร้
 +
  เสด็จ ณ ถิ่นไพร  พระสนุกสนานนัก
 +
  ก็คอยจะเฝ้าองค์  วรภูมิทรงศักดิ์
 +
  หลายวันพระยังพัก  ณ พระมาฬะกาคาร
 +
  ครั้นว่าจะรออยู่  ก็จะดูมิเข้าการ
 +
  จะเสียและสามาญ  ดุจะขาดสุภักดี
 +
  ฉะนั้นทะนงอาจ  ยุระยาตร์ ณ สวนศรี
 +
  ขอมิ่งมกุฎมี  กรุณาและงดโทษ
 +
  ใช่แสร้งจะมาขัด  พระหทัยฤทำโกรธ
 +
  เพราะถึงจะไม่โปรด  ฤก็คงบขาดไป
 +
  และหวังจะมาพบ  อรเอกะอำไพ
 +
  ซึ่งองค์พระทรงชัย  กรุณาและพากลับ
 +
  จากในพนารัณ-  ยะกะข้าก็มารับ
 +
  และเปล่งกระแสศัพท์  ประจุคมอุดมดี
 +
'''ชัยเสน.'''  กระไรนะแดกดัน  และประชดนะจัณฑี !
 +
  นางเป็นมเหษี  ละก็ควรจะอยู่วัง
 +
  ไม่ควรจะด่วนมา  และอุวาทะเสียงดัง
 +
  ดุดื้อจะมีหวัง  สุประโยชน์สถานใด ?
 +
  ก็ตามประเพณี  พระบิดาประสาทให้
 +
  มาเพื่อประพันธ์ไม-  ตริระหว่างประเทศสอง
 +
  แล้วฉันก็ตั้งใจ  ทะนุนางและยกย่อง
 +
  ก็คงจะคู่ครอง  บมิเริดมิร้างกัน
 +
'''จัณฑี.'''  มิเริดมิร้างจริง  ละสิจึ่งกระหม่อมฉัน
 +
  นั่งแกร่ว ณ วังจันทร์  บมิเห็นเสด็จไป
 +
'''ชัยเสน.'''  ฉันพึ่งจะกลับจาก  วนะเขตตะใหม่ใหม่
 +
  จะเข้า ณ วังใน  ก็จะอัดอุราแท้
 +
'''จัณฑี.'''  จะอัดอุราจริง  ละเพราะจำจะทิ้งแม่
 +
  รูปทองจะหมองแด  เพราะวิโยคก็เหลือทน !
 +
'''มัทนา.'''  อันว่าดะนูนี้  ฤจะยึดพระจุมพล ?
 +
  พระอยากเสด็จดล  ก็บเคยจะขืนขัด
 +
'''จัณฑี.'''  ดะนูก็รู้ว่า  พระสิโปรดนะแน่ชัด
 +
  เหตุว่านะรีรัตน์  บมิมีจะขัดขืน !
 +
  หญิงใดตระหนี่ตัว  ละก็ผัวบรักยืน
 +
  ฉะนั้นบขัดขืน  และประจบสิผัวรัก
 +
  ดะนูสิเป็นลูก  วระราชะทรงศักดิ์
 +
  ถือยศบรู้จัก  จะประจบประแจงดี
 +
  ที่ไหนจะสู้เยา-  วสุดาพระโยคี !
 +
'''ชัยเสน.'''  อ๊ะ ! อย่านะจัณฑี  วจะเธอนะเกินไป !
 +
'''มัทนา.'''  พระองค์จะตรัสห้าม  วรเทวิทำไม ?
 +
  นางเป็นสุดาไท้  อธิราชะราชัน
 +
  ถึงหากจะตรัสด่า  ก็บเจ็บกระหม่อมฉัน
 +
  เพราะองค์พระทรงธรรม์  กรุณาก็พอใจ
 +
  พระนางจะกริ้วกราด  ก็มิถึงกะบรรลัย
 +
  โดยบาระมีไท้  สิริร่มนะเกศา
 +
'''จัณฑี.'''  ถึงฉันจะไร้ซึ่ง  พระมหากะรูณา
 +
  ก็ยังมิชั่วช้า  และบหมดนะยางอาย
 +
</tpoem>
 +
<tpoem>
 +
  (สุรางคณา, ๒๘)
 +
'''ชัยเสน.'''  เหม่นางจัณฑี พูดจาครานี้ แสนจะหยาบคาย !
 +
  เธอเป็นธิดา ราชาฦาสาย ไฉนปากร้าย ราวแม้ค้าปลา ?
 +
'''จัณฑี.'''  หม่อมฉันสามาญ เพราะพระองค์ท่าน หมดพระเมตตา
 +
  หากข่าวระบือ ฦาจากพารา ถึงพระบิดา คงเสียหทัย
 +
'''ชัยเสน.'''  นี่จะมาโกรธ และมุ่งกล่าวโทษ ฉันผิดอันใด ?
 +
'''จัณฑี.'''  พระองค์ทรงฤทธิ์ จะผิดอย่างไร ? พระองค์เป็นใหญ่
 +
  เหนือผู้เหนือคน
 +
  ถึงจะรับนาง ใดใดในกลาง อรัญไพรสณฑ์
 +
  มายกมาย่อง ก็ต้องจำทน เพราะข้าเป็นคน อาภัพอัปรีย์
 +
'''ชัยเสน.'''  เธอก็มีศักดิ์ ไยพูดหยาบนัก นะนางจัณฑี  ?
 +
  ควรยังถือมั่น ฉันเป็นสามี และไม่ควรที่ กล่าวถ้อยหยาบช้า
 +
  ฉันขอบอกให้ เธอจงเข้าใจ ว่ามะทะนา
 +
  ก็เป็นนารี ศรีสุชาดา ไม่หย่อนไปกว่า ลูกท้าวมคธ
 +
  หล่อนควรเป็นคู่ เคียงตัวฉันอยู่ สมศักดิ์สมยศ
 +
  เธออย่าพูดมาก ไม่อยากฟังพจน์ ถึงท้าวมคธ จะไม่พอใจ
 +
  ใช่ว่าตัวฉัน จะนึกประหวั่น พรั่นจิตเมื่อไร
 +
  ถึงจะพิโรธ โกรธก็โกรธไป ตัวฉันมิได้ เป็นข้าขอบขัณฑ์
 +
  มคธราชา กับพระบิดา สิท่านชอบกัน
 +
  จึ่งได้ตกลง สององค์กล่าวหมั้น ตัวเธอกับฉัน ไว้แต่ยังเยาว์
 +
  ใช่ฉันตะกาย ไปรักโฉมฉาย เองเมื่อไรเล่า
 +
  สองบิดาท่าน จัดการให้เรา ฝ่ายฉันนี้เล่า กอบกะตัญญู
 +
  จึ่งยอมตามท่าน และไปทำการ แต่งกับโฉมตรู
 +
  แต่กระนั้นไซร้ ก็ได้เลี้ยงดู สมควรแก่ผู้ เป็นมหิษี
 +
  ฉันจงใจรัก และผินงลักษณ์ มีจิตไม่ตรี
 +
  คงจะไม่ต้อง ขุ่นหมองครานี้ ขอจงตริดี ก็คงแลเห็น
 +
'''จัณฑี.'''  หม่อมฉันเข้าใจ ว่าทรงเลี้ยงไว้ ก็เพราะจำเป็น !
 +
'''ชัยเสน.'''  ตามใจเถิดหนา ! ถ้าเธอนึกเช่น นั้นก็อาจเป็น เช่นเธอเข้าใจ !
 +
  มา, มะทะนา เราไปดีกว่า อยู่อีกทำไม ?
 +
  ขืนอยู่ฟังเสียง ก็เถียงกันไป ยืดยาวยิ่งใหญ่ ไม่เป็นแก่นสาร !
 +
</tpoem>
 +
'''(ท้าวชัยเสนจูงมือมัทนา พากันเข้าโรงไปทางหลืบขวา. พอสองคนนี้ไปพ้นอราลีก็ออกมาทางหลืบซ้าย.)'''
 +
<tpoem>
 +
  (อุเปนทะวิเชียร, ๑๑.)
 +
'''จัณฑี.'''  ชะฉาอะราลี  อิอะปรีย์อิตัวการ
 +
  กระไรละเหิมหาญ  บมิรู้สำนึกตัว
 +
  อิโสภิณีดี  ตะประจบสำออยผัว
 +
  แน่ะมึงนะเงาหัว  บมิมีละรู้ไหม ?
 +
  พระผัวก็มัวหลง  และพะวงอิชาวไพร
 +
  บนึกว่ะกูไซร้  สิสุดามคธราช
 +
  ผิกูจะใช้คน  จรยังชะนกนาถ
 +
  และทูลคดีกาจ  ฤวะไท้จะดูดาย ?
 +
'''อราลี.'''  พระนางพิโรธกริ้ว  นะก็ควรจะมากมาย
 +
  และเหตุก็แรงร้าย  จะมิทรงพิโรธฤา ?
 +
  ก็แต่จะพาที  บมิได้ถนัดฮือ !
 +
  เพราะเกรงจะอึงอื้อ  จะมิพ้นละโทษทัณฑ์
 +
  ฉะนั้นเสด็จกลับ  พระนิวาศะโดยพลัน
 +
  และถึงกระหม่อมฉัน  ก็จะทูลอุบายดี
 +
  และคงจะทรงชำ-  นะอมิตรละเทวี
 +
'''จัณฑี.'''  ฉะนั้นก็ไปที  เพราะจะอยู่ก็ป่วยการ
 +
</tpoem>
 +
'''(พระนางจัณฑี, อราลี, และข้าหลวงเข้าโรงทางหลืบซ้าย.)'''
 +
 +
====ตอนที่ ๒====
==ที่มา==
==ที่มา==

การปรับปรุง เมื่อ 16:13, 24 กุมภาพันธ์ 2553

เนื้อหา

ข้อมูลเบื้องต้น

แม่แบบ:เรียงลำดับ พระราชนิพนธ์: พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

คำนำ

ละครเรื่องนี้ไม่ใช่ได้เนื้อเรื่องหรือตัดตอนมาจากแห่งใด ๆ เลย จึ่งขอบอกไว้ให้ผู้อ่านทราบเพื่อไม่ต้องเสียเวลาไปเที่ยวค้นหาเรื่องนี้ในหนังสือโบราณใด ๆ แก่นแห่งเรื่องนี้ได้เคยมีติดอยู่ในใจของข้าพเจ้ามาช้านานแล้ว แต่เพราะเหตุต่าง ๆ ซึ่งไม่จำจะต้องแถลงในที่นี้ ข้าพเจ้ามิได้ลงมือแต่งเรื่องนี้ จนมาเมื่อกลางปี พ.ศ. ๒๔๖๖ เมื่อได้บังเกิดมีเหตุบังคับให้ข้าพเจ้าต้องอยู่นิ่ง ๆ เงียบ ๆ ข้าพเจ้าจึงได้หวลนึกขึ้นถึงเรื่องนี้ เมื่อนึกตั้งโครงเรื่องขึ้นได้แล้ว ข้าพเจ้าได้นำไปเล่าให้สมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระบรมราชินีและถามว่าเธอจะให้นางในเรื่องนี้ถูกสาปเป็นดอกไม้อย่างใด เธอตอบว่าต้องให้เป็นดอกกุหลาบแน่ละ เพราะเป็นดอกไม้ที่คนทั้งโลกทุกชาติทุกภาษานิยมว่างาม และหอมชื่นใจยิ่งกว่าดอกไม้อย่างอื่น ๆ ข้อนี้ก็จริงอยู่ แต่ก็ได้ทำให้ข้าพเจ้าออกอึดอัดอยู่ไม่น้อย เพราะข้าพเจ้าตรองและตรวจดูเท่าใดก็นึกไม่ออกและไม่พบ ณ ที่ใด ๆ ว่าดอกกุหลาบนั้นมีนามว่ากระไรในภาษามคธหรือสันสกฤต และเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกว่าขาดศัพท์สำหรับใช้ในกวีนิพนธ์ไปนั้นอย่าง ๑ กับอีกอย่าง ๑ ซึ่งข้าพเจ้ารู้สึกว่าสำคัญกว่า คือถ้าชื่อดอกกุหลายไม่มีในภาษามคธหรือสันสกฤตดังนั้น จะมิต้องเข้าใจละหรือว่าในภารตะวรรษ (อินเดีย) อันกำหนดจะเป็นภูมิลำเนาแห่งเรื่องนี้ มิได้เคยมีดอกกุหลาบในโบราณสมัย? ถ้าในภารตะวรรษไม่เคยมีดอกกุหลาบ จะแต่งลงไปว่ามีดูเป็นการฝ่าฝืนธรรมดาไป อาจทำให้ถูกติว่าเป็นคนตื้นได้

แต่ข้าพเจ้ายังไม่ยอมปลงใจเชื่อว่าดอกกุหลาบไม่มีชื่อในภาษามคธหรือสันสกฤต ข้าพเจ้าจึ่งได้ใช้ให้รองอำมาตย์โท ตรี นาคะประทีป เปรียญ ค้นดู นายตรี นาคะประทีปได้ไปปรึกษาพราหมณ์กุปปุสวามิ อารย ที่หอพระสมุดวชิรญาณแล้ว และ ได้รายงานมา ดังต่อไปนี้

ชั้นแรก เจตสิกของนักเรียนบาลี ผู้ได้ยินคำว่า “กุหลาบ” ย่อมนึกปราดไปถึงศัพท์ “ชปา” ตัวนายตรี นาคะประทีป ครั้นมีพราหมณ์ กุปปุสวามิ อารย เป็นที่ปรึกษาได้ความว่า “ชปา” หาใช่ “กุหลาบ” ไม่ ที่ประติเษธเด็ดขาดเช่นนี้เพราะ “ชปา” มิใช่ไม้มีหนาม และกุหลายไม่มีหนามไม่มีผลแห่งการค้นต่อไปเป็นได้ศัพท์ “กุพชก” ซึ่งโมเนียร์ วิลเลียมส์ แปลไว้ในปทานุกรมสันสกฤตอังกฤษ ว่า “Roso moschata” และซึ่งมีกล่าวในคัมภีร์ธันวันตรียนิฆัณฏุ ดังนี้

กุพฺชโก ภทฺรตรุณีพฺฤหตฺปุษฺหาติเกสรา
มหาสหา กณฺฎกาฒฺยานีลาลิกุลสํกุลา. ๑
กุพฺชก สุรภิ สฺวาทุกษายสฺ ตุ รสายน
ตฺริโทษศมโน วฺฤษยศีต สํครหโณปร. ๒
             

โศลกที่ ๑ กล่าวถึงลักษณะแห่งดอก “กุพชก” มีคำแปลว่า “กุพชกงามดังสาวรุ่น มีดอกใหญ่ มีเกสรยิ่ง ทนมาก สะพรั่งด้วยหนาม มีฝูงผึ้งเขียวเป็นกลุ่ม “

โศลกที่ ๒ กล่าวถึงสรรพคุณ มีคำแปลว่า “กุพชกมีกลิ่นหอม กินอร่อย หวาน มีรสเลิศ (เมื่อกินแล้ว) ระงับตรีโทษ (คือกำเริบแห่งลม ดี เสมหะ) เจริญราค เย็นสบายแก้วโรค เช่น ท้องร่วง “

ตามที่นายตรี นาคะประทีป ค้นได้ความมาเช่นนี้ ข้าพเจ้าคเณว่าผู้ที่เป็นนักเลงหนังสือ และนักเรียน คงจะพอใจที่จะได้ทราบด้วย ข้าพเจ้าจึงได้นำมาลงไว้ในที่นี้ และข้าพเจ้าถือเอาโอกาสนี้เพื่อขอบใจ นายตรี นาคะประทีป ในการที่ได้เอาใจใส่ค้นศัพท์นี้ได้สมปรารถนาของข้าพเจ้า

ก่อนที่ได้ทราบว่าดอกกุหลาบเรียกว่าอย่างไรในภาษาสันสกฤตนั้น ข้าพเจ้าได้นึกไว้ว่าจะให้ชื่อนางเอกในเรื่องนี้ตามนามแห่งดอกไม้ แต่เมื่อได้ทราบแล้วว่าดอกกุหลาบคือ “กุพชก” เลยต้องเปลี่ยนความคิด เพราะถ้าแม้ว่าจะให้ชื่อนางว่า“กุพชก” ก็จะกลายเป็นนางค่อมไป ข้าพเจ้าจึ่งค้นหาดูศัพท์ต่าง ๆ ที่ พอจะใช้ได้เป็นนามสตรี ตกลงเลือกเอา “มัทนา” จากศัพท์ “มทน” ซึ่งแปลว่าความลุ่มหลงหรือความรัก เผอิญในขณะที่ค้นนั้นเองได้พบศัพท์ “มทนพาธา” ซึ่งโมเนียร์ วิลเลียมส์ แปลไว้ว่า “ the pain or disquietude of love “ (ความเจ็บหรือเดือดร้อนแห่งความรัก ) ซึ่งข้าพเจ้าได้ฉวยเอาทันที เพราะเหมาะกับลักษณะแห่งเรื่องทีเดียว เรื่องนี้จึ่งได้นามว่า “มัทนะพาธา หรือตำนานแห่งดอกกุหลาบ” ด้วยประการฉะนี้

เรื่องละครนี้ ความตั้งใจเดิมของข้าพเจ้าจะแต่งขึ้นเป็นแต่หนังสือสำหรับอ่านอย่างกวีนิพนธ์เท่านั้นแต่พระราชินีเธอตรัสขอให้จัดเล่นออกโรงในงานวันฉลิมพระชนมพรรษาของเธอ ข้าพเจ้าจึงตกลงตามใจเธอ ส่วนนักประพันธ์อื่น ๆ จะรู้สึกอย่างไรก็ตาม แต่ส่วนตัวข้าพเจ้าต้องสารภาพว่า เมื่อข้าพเจ้าได้แต่งหนังสือตั้งรูปขึ้นเป็นละครแล้ว ก็ย่อมจะรู้สึกพอใจเมื่อมีผู้ขอให้เล่นเรื่องละครนั้น และถ้าแม้ว่ามิได้พอใจหรือปรารถนาที่จะให้ผู้ใดเอาเรื่องของเราไปเล่นออกโรงเป็นละคร เราจะประดิษฐ์รูปเรื่องของเราขึ้นไว้เป็นอย่างละครทำไม ?

ส่วนวิธีเล่นเรื่อง “มัทนะพาธา” นี้ ข้าพเจ้ากำหนดไว้ให้ตัวละครพูดบทของตนเอง ไม่ใช่ร้องบท นั้น ๆ อย่างแบบที่เรียกกันว่า “ละครดึกดำบรรพ์” ต่อเมื่อบทใดเป็นบทขับร้องจึ่งให้ร้อง กับให้มีดนตรีเล่นคลอเบา ๆ ในเวลาที่เจรจา และมีหน้าพาทย์กำหนดลงไว้บางแห่งเพื่อช่วยการดำเนินแห่งเรื่อง

อนึ่งเพื่อประดับหนังสือเรื่องนี้ ข้าพเจ้าได้ให้จางวางตรี พระยาอนุศาสน์จิตรกร (จันทร์ จิตรกร) เขียนภาพขึ้นเพื่อสอดไว้ในที่อันควร และข้าพเจ้าขอขอบใจพระยาอนุศาสน์จิตรกร ในที่นี้ด้วย


สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร

มหาวชิราวุธ

ทรงพระราชนิพนธ์


พระที่นั่งไวกูณฐ์เทพสถาน, พญาไท

วันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๖

คำอำนวย

๏ อ้าอินทระศักดิศะจิองค์อรเอกมเหสี
ผู้คู่หทัยและวรชี-วิตะร่วมสิเนหา
๏ อันเธอสิเปรียบประดุจกุพ-ชะกะเลิศสุมาลา
ดาลดวงฤดีสุมะทะนา-วติรื่นระตีหวาน
๏ งามใดจะเหมือนพระวรพักตร์สิริลักษณ์วิไลยลาน
ยวนเนตรระยิ่งสุมละมาลย์บริสุทธิโศภิต
๏ หอมใดจะเหมือนพระวรคุณสุวิบุลยะเนืองนิตย์
ทรงธรรมะเที่ยงและสุจริตบมิละคดีงาม
๏ อันมาลิกุพชะกะสิย่อมจะสะพรั่งสะพรึบหนาม
แต่เธอนะแสนวิมะละวามและบ่มีจะเสียใด
๏ เธอคือกุหลาบวรวิจิตรจุฑะแห่งไผทไท
ฉันขอประสาทวะจะนะให้อรรับละครนี้
๏ เป็นส่วนดนูหทยะจงจะอุทิศพะลีศรี
ตอบเธอผดุงวรฤดีดนุให้สะราญบาน
๏ ปลื้มเปรมกะมลเพราะปริยะมุ่งมนะรักษะทุกกาล
ร่วมใจบ่จืดฤดิสมานรติจวบ ณ วันตาย ฯ
             

บทประพันธ์

ตัวละคร

ชาวฟ้า

สุเทษณะเทพบุตร

จิตระเสน , หัวหน้าคนธรรพ์ของสุเทษณ์

จิตระเสน , สาระถีของสุเทษณ์

มายาวิน , วิทยาธร

มัทนา , เทพธิดา

เทพบุตร, คนธรรพ์, และอัปสร บริวารของสุเทษณ์

ชาวดิน

พระกาละทรรศิน, คณาจารย์อยู่ในป่าหิมะวัน

โสมะทัต, หัวหน้าศิษย์ของพระกาละทรรศิน

นาค และ ศุน, ศิษย์ของพระกาละทรรศิน

ท้าวชัยเสน, กษัตริย์จันทรวงศ์ผู้ทรงราชย์ในนครหัสตินาปุระ

ศุภางค์, นายทหารคนสนิทของท้าวชัยเสน.

นันทิวรรธนะ, อมาตย์ของท้าวชัยเสน,

ชาวสวนหลวง,

วิทูร, พราหมณ์หมอเสน่ห์.

พระนางจัณฑี, มเหสีของท้าวชัยเสน.

ปริยัมวะทา, นางกำนัลของท้าวชัยเสน.

อราลี, นางค่อมข้าหลวงพระนางจัณฑี.

เกศินี, ข้าหลวงพระนางจัณฑี


ศิษย์พระฤษี ; นายทหาร, พราน , ราชบริพาร, และข้าหลวง

ลำดับฉาก

องก์ที่ ๑

ลานหน้ามุขเด็จแห่งวิมานของสุเทษณะเทพบุตร, บนสวรรค์.

องก์ที่ ๒

ตอนที่ ๑ : ในกลางหิมะวัน.

ตอนที่ ๒ : ทางเดินในดง.

ตอนที่ ๓ : ลานหน้าอาศรมของพระกาละทรรศิน.

องก์ที่ ๓

ลานหน้าอาศรมของพระกาละทรรศิน

องก์ที่ ๔

ตอนที่ ๑ : สวนหลวงข้างพระราชวัง, ในกรุงหัสตินาปุระ.

ตอนที่ ๒ : ริมรั้วค่ายหลวง, ตำบลกุรุเกษตร

ตอนที่ ๓ : สวนหลวงข้างพระราชวัง, ในกรุงหัสตินาปุระ.

องก์ที่ ๕

ตอนที่ ๑ : พลับพลาในค่ายหลวงที่ตำบลกุรุเกษตร

ตอนที่ ๒ : ในกลางหิมะวัน.

หมายเหตุ

เรื่องนี้สมมติว่าเป็นไปในภารตะวรรษในโบราณสมัย.

องก์ที่ ๑

ฉาก : ลานหน้ามุขเด็จแห่งวิมานของสุเทษณะเทพบุตร์, บนสวรรค์.

[ก่อนเปิดม่าน, ตัวละครเหล่านี้ต้องพร้อมอยู่บนเวที, คือ สุเทษณะเทพบุตร์, เอกเขนกอยู่บนเตียงที่บนมุขเด็จ, มีนางอัปสรอยู่งานพัดคน ๑ ; จิตระเสนนั่งอยู่หน้ามุขเด็จ, และมีบริวารของสุเทษณ์นั่งรายเป็นแถวทั้ง ๒ ข้างเวที ; กลางเวทีมีพวกคนธรรพ์สำรับ ๑, ถือช่อดอกไม้ทั้ง ๒ มือทุกคน. พิณพาทย์ทำเพลงโหมโรงจนถึงเวลาควรจะเปิดม่าน, จึงทำเพลงเหาะ, พอเปิดม่าน, พวกคนธรร์ก็เริ่มร้องและรำอย่างแบบรำโคม, ดนตรีเล่นคลอเสียงไปตลอด, ไม่ต้องรับ. ]

บทร้องของคนธรรพ์

(ลำเหาะ)

(ยานี, ๑๑. )
      ข้าบาทผู้ภักดีต่อธุลีพระบาทา
พร้อมกันถวายอา-เศียระพาทแด่เทวัญ
      ขอจงเสวยสุขนิราศทุกข์ไร้โรคัน–
ตะรายแลภยัน-ตรายาอย่ายายี
      พระองค์ทรงมีคุณกะตะบุญบาระมี
บำเพ็ญในอตี-ตะกาลดลผลไพบูลย์
      ชาติก่อนเป็นสุกษัตร์เถลิงรัฐราไชสูรย์
ในวงศะประยูรสุระแมนแคว้นปัญจาล
      ทรงธรรมล้ำมนุษย์ฤทธิรุทมหาศาล
บำเพ็ญพะลีการทุกอย่างงามตามวิสัย
      ครั้นถึงเวลาควรภูมิศวรจากไผท
เสด็จสุราลัยเสวยสุขในแดนสรวง
      เหล่าข้าพึ่งพระเดชปกป้องเกศข้าทั้งปวง
จึ่งพร้อม ณ แดดวงภักดีหมายถวายพร
      สิ่งใดพระประสงค์จงสิทธินิรันดร
ใดองค์จอมอมรไม่โปรดปรานเร่งผ่านไป ฯ
             
(สุรางคณา, ๒๘.)
สุเทษณ์.เหวยจิตระเสน มึงบังอาจเล่น ล้อกูไฉน ?
จิตระเสน.เทวะ, ข้าบาท จะบังอาจใจ ทำเช่นนั้นไซร้ ได้บ่พึงมี.
สุเทษณ์.เช่นนั้นทำไม พวกมึงมาให้ พรกูบัดนี้
ว่าประสงค์ใด ให้สมฤดี ? มึงรู้อยู่นี่ ว่ากูเศร้าจิต
เพราะไม่ได้สม จิตที่ใฝ่ชม อกกรมเนืองนิตย์.
จิตระเสน.ตูข้าภักดี ก็มีแต่คิด เพื่อให้ทรงฤทธิ์ โปรดทุกขณะ
สุเทษณ์.กูไม่พอใจ ! ไล่คนธรรพ์ไป บัดนี้เทียวละ อย่ามัวรอรั้ง
จิตระเสน.เอวํเทวะ ! (หันไปสั่งคนธรรพ์.) เออพอแล้วนะ, พวกเจ้าจงไป.
(พวกคนธรรพ์ถวายบังคมแล้วเข้าโรง)
ข้าบาทได้เตรียม อัปสรเสงี่ยม สง่างามไว้
เพื่อร้องและรำ      บำเรอเทพไท แม้โปรดจะได้ เรียกมาบัดนี้.
สุเทษณ์.เอาเถิดลองดู เผื่อว่าตัวกู จะค่อยสุขี.
จิตระเสน.(เรียก) คณาอัปสร ผู้ฟ้อนรำดี ออกมาบัดนี้ รำถวายกร.
(พิณพาทย์ทำเพลงเร็ว. คณะอัปสรรำออกมาถึงกลางเวที,ลา, แล้วรำและร้องบทต่อไปนี้, และดนตรีเล่นคลอเสียงไปตลอด,ไม่ต้องรับ.)
             

บทร้องของอัปสร

(ลำนางนาค.)

(ฉบงง, ๑๖.)
      เหล่าข้าคณาอัปสรก้มเกศยอกร
บังคมพระเทพรังสรรค์
      พำนักเนาสุขทุกวันพระคุณอนันต์
อเนกประดุจโพธิ์ทอง
      อันเมตตาเนืองนองประดุจละออง
วะรุณระรื่นรวยเย็น
      พระกรุณาแน่เห็นดีประดุจเป็น
วายุรำเพยชื่นใจ
      พระมุทิตาแน่วในข้าบาทจึ่งได้
มานะเป็นนิตย์ในงาน
      พระอุเบกขาสมานจิตให้เบิกบาน
บ่เสื่อมบ่สูญภักดี
      เจ้านายองค์ใดในตรีโลกฤาจะมี
เหมือนพระนั่งเกศา
      ขอพึ่งยุคลบาทาไปจนเวลา
ประจวบเมื่อกัลป์บรรลัย ฯ
             

(เพลงเร็ว. อัปสรจับระบำสักสามท่าแล้ว, สุเทษณ์ยกมือห้าม, จิตระเสนก็สั่งพวกนางให้เลิกการระบำ, และพวกนางถวายบังคมแล้ว, พิณพาทย์ทำลา, พวกอัปสรเข้าโรง, พวกเทพบริวารก็คลานเข้าโรงไปด้วย.)

(ยานี, ๑๑.)
จิตระเสน.อันนางอัปสรศรีรำมิดีประการใด
ขอเทวะฤทธิ์ได้โปรดตำหนิติประทาน
สุเทษณ์.ดีแล้วทั้งการรำและลำนำขับร้องหวาน
ทั้งดนตรีประสานก็ฟังเพราะเสนาะดี
แต่กูที่ใจเศร้าและงึมเหงาอยู่เช่นนี้
ตัวเจ้าก็รู้ดีว่าเหตุนั้นเป็นฉันใด
จิตระเสน.ข้าทราบและพลอยโศกอันโรครักนี้หนักใจ
แต่ในสุราลัยสุรางค์ดีก็มีถม
ข้าเชื่อว่าพระองค์ประสงค์นางสะอางชม
คงได้สัมฤทธิ์สมหทัยแท้ทุกนงคราญ
(อันทวงส์, ๑๒.)
สุเทษณ์.จริงอยู่นะเจ้าเอยผิจะเชยสมัครสมาน
นางใด ณ แมนการก็จะสิทธิสมฤดี
เว้นเดียวก็แต่โฉมมะทะนาวิสุทธิศรี
ผู้เลิศสุรางค์มีวรรูปวิเลขวิไลย
แต่เห็นอนงค์รา-มะประเสริฐวิเศษวิสัย
ไม่มีอนงค์ใดนะจะเทียบจะเทียมจะทัน
งามผิวประไพผ่องกลทาบสุภาสุพรรณ
งามแก้มแฉล้มฉันพระอรุณแอร่มละลาน
งามเกศะดำขำกลน้ำ ณ ท้องละหาน
งามเนตรพินิจปานสุมณีมะโนหะรา
งามทรวงสล้างสองวรถันสุมนสุมา-
ลีเลศประเสริฐกว่าวรุบลสะโรชะมาศ
งามเอวอนงค์ราวสุรศิลปิชาญฉลาด
เกลากลึงประหนึ่งงวงสุระคชสุเรนทะทรง
นวยนาดวิลาศวงดุจะรำระบำระเบง
ซ้ำไพเราะน้ำเสียงอรเพียงภิรมย์ประเลง
ได้ฟังก็วังเวงบ่มิว่างมิวายถวิล
นางใดจะมีเทียบมะทะนา ณ ฟ้า ณ ดิน
เป็นยอดและจอดจิน-ตนะแน่ว ณ อก ณ ใจ
             

(จิตระรถออก, ไปไหว้สุเทษณ์, แล้วหมอบคอยฟังรับสั่ง.)

(ฉบงง, ๑๖.)
สุเทษณ์.อ้อ, จิตระรถเจ้าไป ตามที่กูใช้, สำเร็จประสงค์ฤาหวา ?
จิตระรถ.เทวะ, ข้าบาทไคลคลา ตามองค์มหา ฤษีผู้นามนารท
ไปทั่วทุกแดนสามหมด ; ในฟากฟ้าจรด จนถึงขอบนภาลัย;
ไปทั่วแดนมนุษย์สุดไกล บ่เว้นแห่งใด กระทั่งยังขอบจักรวาล
ไปทั่วในแดนบาดาล ทั่วทุกสถาน ทุกถิ่นจนจบภพไตร
ไปถึงซึ่งแคว้นแดนใด ข้าบาทก็ได้ วาดรูปอนงค์งามงอน
มาเพื่อถวายมหิศร ขอองค์อมร จงทอดพระเนตรรูปา
สุเทษณ์.มาเถิดนำรูปขึ้นมา และจงเจรจา แถลงซึ่งลักษณ์ให้กู
             

(จิตระรถเรียกคนใช้ให้นำรูปออกมา, แล้วเอาขึ้นไปถวายสุเทษณ์ทอดพระเนตรพลาง, จิตระรถแถลงลักษณะแห่งรูปไปพลาง.)

(อุปชาติ, ๑๑.)
จิตระรถ.ประถมก็รูปเท-วะธิดาสง่าตรู
มีนามะเรียกยูวะสุมาลิโสภณ
งามเนตรและเกศแก้มกลดอกกะมลสน
ธิสิ่งประเสริฐปนกิริยาสง่าศรี
วธูวิเศษเป็นวระเทพะนารี
ข้าองค์อุมาศรีสุระอัคคะเทวิน
เนาคีริไกสาส
สุเทษณ์.อ๊ะฉะนั้นจะจงจิน-
ตะนาจะราคิน,บ่มิควรคะนึงถึง
จิตระรถ.ทุตียะรูปนางสิริร่างสะอางซึ่ง
แสนงามและหากถึงจะประเทียบบ่แพ้ใคร
นางชื่อวิเลขากละภาพพิเศษไซร้
วิโรจน์วิไลยใครยละร่านระตีพูน
สะขีพระเทวีมหิษีบดีสูร
ผู้สิง ณ ไวกูณฐ์
สุเทษณ์.อ๊ะมิควรจะมุ่งหมาย
หล่อนเป็นกำนัลแห่งหริราชะนารายณ์
จะมุ่ง ณ โฉมฉายก็จะทรงพระโกรธา
จิตระรถ.ฉะนั้นถวายรูปอระเทพะกัญญา
ชื่อเมนะกาภาสะวิเลขวิไลยวรรณ
ข้าเห็น ณ สวนกลางอมะราวดีสวรรค์
วิจิตรวิศิษฎ์สรร-พะสะกนธะชวนชม
นางช่างประเลงขับวรศัพทะเริงรมย์
เปรอองค์สุโรดม
สุเทษณ์.ก็มิควรจะมุ่งมาด
ท้าวศักระทรงฤท-ธิมหิทธิ์กำแหงกาจ
ผิทรงพิโรธอาจจะประหัตประลัยลาญ
จิตระรถ.ฉะนั้นถวายรูปวรราชะนงคราญ
หน่อนาถะผู้ผ่านวรเขตตะกาศี
ปรากฏพระนามนางวิมะลาสุนารี
วิสุทธ์วิศิษฎ์ที่จะตินั้นบ่พึงหา
พระโฉมบ่แพ้โฉมสุระเทวะกัญญา
สุเทษณ์.แพ้ยอดฤดีข้าดุจุกากะเปรียบหงส์
จิตระรถ.นี่รูปธิดาท้าววรเกาศิกาพงศ์
นรินทระราชทรงบุระกานยะกุพชา
ประกาศพระนามเรียกวรเรณุกาภา
สุเทษณ์.เปรียบโฉมวิเลขามะทะนาบ่แพ้นาง
จิตระรถ.นี่รูปธิดารา-ชะวิทรรภะโศภางค์
พระนามอนงค์นางทมะยันติบังอร
สุเทษณ์.จะมัวสำแดงรูปอระเนา ณ ดินดอน
หวังหาสง่างอนฤจะเปรียบธิดาสรวง
จิตระรถ.ข้าวาดวิเลขาอระงาม ณ แดนปวง
ถวายพระปิ่นสรวงและก็สุดจะโปรดปราน
และรูปธิดานา-คะและลูกอสูรหาญ
อันเห็น ณ บาดาล,ดนุวาดถวายไว้
เพื่อทอดพระเนตรเล่นตละตนก็ผ่องใส
จะควรมิควรไซร้ฤก็สุดจะปรานี
             

(จิตระรถส่งรูปถวายสุเทษณ์, และสุเทษณ์รับไปดูผาด ๆ, แล้วส่งคืนให้แก่จิตระรถ, จิตระรถส่งให้คนใช้นำเข้าโรงไป.)

(ฉบงง, ๑๖.)
สุเทษณ์.ปวงรูปเจ้าวาดมานี้ เป็นรูปนารี ที่ล้วนประเสริฐงาม :
แต่กูดูทุกนงราม ก็ยังเห็นทราม กว่านารีรัตน์มัทนา.
ฉะนั้นแม้ไม่อาจหา เทียมเท่ามัทนา ฤากูจะกล่าวชมเชย ?
เป็นกรรมกูแล้วเจ้าเอย จำต้องชวดเชย ที่รักสมัครจริงใจ.
จิตระรถ.ฉะนั้นต้องคิดแก้ไข โดยอุบายให้ พระองค์ได้สมจินดา.
สุเทษณ์.จะแก้ฉันใดเล่าหวา ? กูหมดปัญญา
จิตระรถ. ข้าบาทขอทูลบัดนี้
ยามข้าเที่ยวไปถึงที่ ขุนโขดคีรี ศรีมันทะระงามงอน
ได้พบหนึ่งวิทยาธร เรืองวิทยากร มีนามว่ามายาวิน
ผู้นี้มีความรู้ชิน เชิงชาญโยคิน และเชี่ยวอาถารรพ์วิทยา
รู้จักใช้โยคะนิทรา ไปผูกหทยา แห่งผู้ที่อยู่แม้ไกล
อาจร่ายมนตร์เรียกมาได้.
สุเทษณ์.อ๊อ ! จริงหรือไฉน ?
จิตระรถ. ข้าบาทได้เห็นเองแล้ว
สุเทษณ์.ถ้าจริงเขาก็เป็นแก้ว !
จิตระรถ. ข้าบาททราบแล้ว จึ่งกล้านำตัวเขามา,
สุเทษณ์.พามาด้วยแล้วหรือหวา ?
จิตระรถ. หมอเอกนั้นมา คอยอยู่ข้างนอกพระลาน.
ขอได้โปรดให้ทำการ ลองเวทชำนาญ ชำนิถวายสักครั้ง
สุเทษณ์.เจ้าพูดชวนกูให้หวัง ! แม้ไม่สมดัง ปากว่าจะทำฉันใด ?
จิตระรถ.ข้าบาทเชื่อแน่แก่ใจ อยู่แล้วจึ่งได้ กล้าพามาเฝ้าทูลเทศ.
ขอโปรดทดลองดูเวท, เผื่อพระทรงเดช จะได้ดังพระจินตนา.
สุเทษณ์.ดีละ, เรียกเขาเข้ามา ชั่วดีก็น่า จะลองให้เห็นประจักษ์
(จิตระรถถวายบังคมแล้วเข้าโรงไป.)
จิตระเสน.เทวะ ! ข้าสงสัยนัก, แต่ไม่อยากทัก อยากท้วงต่อหน้าสารถี.
เวทมนตร์นั้นเขาอาจมี จริงอยู่พอที่ จะเรียกเอาใครใครมา
แต่จะบังคับหัทยา ให้รักนั้นข้า ยังนึกระแวงแคลงนัก.
หากเรียกโฉมยงนงลักษณ์ มาแล้วไม่ภัก- ดิอยู่เป็นข้าบทมาลย์
ก็จะกลับกลายเป็นการ เสื่อมเกียรติวิศาล ขององค์พระจอมเทวัญ
สุเทษณ์.เจ้าพูดถูกทุกสิ่งอัน, แต่กูอัดอั้น อุระด้วยรักรึงใจ
ฉะนั้นถึงอย่างไรอย่างไร เพียงแต่ให้ได้ เห็นวรพักตร์เลิศงาม
แห่งมัทนานงราม, ก็อาจมีความ ประโมทย์มนัสสมถวิล
(จิตระรถพามายาวินออกมา มายาวินเป็นวิทยาธร, นุ่งห่มหนังเสือ.)
จิตระรถ.เทวะ, นี่มายาวิน มาเฝ้าบดิน- ทะด้วยมะโนภักดี
สุเทษณ์.ขอบใจที่มาครานี้ เขาว่าท่านมี ซึ่งโยคะวิทยาชาญ.
หากเราจะขอให้ท่าน ช่วยเปลื้องรำคาญ จะได้ละหรือว่ามา.
มายาวิน.เทวะ, อันเวทวิทยา ข้ารู้เรียนมา เต็มใจจะใช้ฉลอง
พระเดชพระคุณละออง ธุลีบาทลอง จนเต็มสติปัญญา
สุเทษณ์.ท่านมีเวทมนตร์คาถา อาจดลหัทยา ใครใครได้หมดฤาไฉน ?
             
(ภุชงคัปปะยาตร์, ๑๒)
มายาวิน.จะทูลเทวะเกรงดูประหนึ่งตูทะนงไป
จะงำเงื่อนบทูลไซร้ก็เหมือนปิดวิชาการ.
พระจงโปรดประทานซึ่งอภัยข้าจะทูลสาร
และความจริงวิชาการก็มีอยู่ประจำตน.
อถรรพ์เวทะเจนอยู่,และมนตร์ครูก็ได้สน
มโนจำและซ้ำค้นคดีเพิ่มบเคลิ้มหลง.
ฉะนั้นอาจจะผูกจิต-ตะใครได้ประดุจจง,
และใช้โยคะแล้วคงจะเรียกให้ตะบึงมา
บนานแม้จะอยู่ถึงณ เขาจักระวาลา,
ฤอยู่สรวงฤอยู่นา-คะ โลกต่ำ ณ บาดาล.
จะเป็นหญิงฤเป็นชายก็เรียกดายมิยากนาน,
เพราะใครเลยจะทนทานพระอาถรรพมนตร์ไหว.
ฉะนั้นแม้พระองค์มีประสงค์ให้ดนูไซร้
ประชุมมนตระเรียกใครก็โปรดมีพระบัญชา
             
(สุรางคณา, ๒๘.)
สุเทษณ์.อันตัวเรานี้ จิตจ่ออยู่ที่ โฉมมะทะนา ผู้เลิศเลอสรร
ในชั้นกามา พะจรฟากฟ้า บ่มีใครทัน
ตั้งแต่เรามา เกิดในฟากฟ้า พิภพภูมิสวรรค์ เราเห็นต้องจิต
คิดอยากเชยขวัญ แต่โอ้นางนั้น หล่อนไม่ปลงใจ.
มายาวิน.ข้าบาทเล็งดู ด้วยญาณก็รู้ นางนี้คือใคร อีกทั้งรูเลศ
ว่าเหตุไฉน นงรามจึ่งไม่ ปลงใจยินดี.
สุเทษณ์.รู้ว่าอย่างไร ?
มายาวิน.หากทูลความไซร้ จงโปรดปรานี
สุเทษณ์.เอาเถิดอย่าเกรง เร่งบอกบัดนี้ มีเหตุร้ายดี จงเล่ามาพลัน
             
(อินทระวิเชียร, ๑๑.)
มายาวิน.เมื่อครั้งพระองค์เป็นวรราชะราชัน
ครองเขตประเทศขัณ-ฑะวิสุทธิปัญจาล
ตรัสใช้อมาตย์เป็นวรทูตะทูลสาร
ถึงราชะผู้ผ่านนรชาติสุราษฎร์งาม
ขอองค์ธิดาชื่อมะทะนาวิไลยราม
เป็นราชินีตามวรราชประเพณี
แต่ท้าวสุราษฎร์ไซร้บมิยอมและยินดี
ให้ซึ่งพระบุตรี,พระก็ทรงพระโกรธา
ตรัสเกณฑ์พหลกองจตุรงคะเสนา
ยกไปประชิตรา-ชะบุรีวโรดม
โจมตีบุรีป่นบ่มิทนทลายล่ม
จับได้นโรดมนรนาถสุราษฎร์มา
จึ่งมีพระโองการจะประหารพระชีวา
แต่หากธิดามาและประนอมมโนฉันท์
ยอมเป็นวธูบาทบริจาริกานันท์
ไถ่โทษะชีวันก็จะงดพระอาญา
ฝ่ายนางก็ยอมตามวรราชะบัญชา
พ่อรอดพระชนมาก็เพราะลูกสิภักดี
ครั้นนางเสด็จถึงวรมาละกาศรี
ก้มเกศและกราบที่ทวิบาทพระภูบาล
แล้วทูลแถลงโดยสิริสัจจะวาทหวาน
ว่าองค์พระนงคราญบมิอยากจะขัดไท้
แต่ได้ปะฏิญญาวรสัจจะมั่นไว้
ว่าจักมิยอมให้นรฝืนฤดีรัก
ครั้งนี้แหละสุดแสนจะประดักประเดิดนัก
เพราะว่าบิดารรักจะบรอดพระชนมา
จึ่งยอมถวายตัวและก็ไถ่พระโทษา
ขององค์ชนกนา-ถะบต้องมลายชนม์
เสร็จกิจจะการดีกรณียะเป็นผล
กราบบาทยุคลตนมะทะนาจะลาตาย
ว่าพลางยุพาชักวรขัคคะแพรวพราย
แทงตรงพระทรวงตายเฉพาะพักตร์พระภูมี
ตายแล้วกำเนิดในสุรภพพิศิษฎ์นี้
ฝ่างองค์พระภูมีก็บำเพ็ญพะลีกรรม์
จนได้สำเร็จผลจรดล ณ แดนสวรรค์
มาพบและรักกันเพราะวะเคยสิเนหา
แต่กรรมพระทำไว้ณ พระชาติอดีตมา
ข้องขัดและขวางหน้าบ่มิให้พระสมจินต์
อันถ้อยดนุทูลฤก็สัจจะทั้งสิ้น
ขอองค์พระผู้ปิ่นสุรเทวะปรานี
             
(สุรางคณา, ๒๘)
สุเทษณ์.ที่ท่านเล่าไซร้ เราขอขอบใจ ที่ท่านไมตรี และเราขอเพียง
เสี่ยงเคราะห์ดูที เผื่อโชคจะมี ดีได้สักครา
มายาวิน.แล้วแต่จะโปรด ไม่ทรงพิโรธ ก็บุญนักหนา
ขอประทานไฟ จะได้บูชา
จิตระรถ.(ร้องตะโกนสั่งไปในโรง.) เอาของออกมา ตามที่สั่งไว้
             

(คนใช้นำเครื่องทำพิธีออกมา, คือบายศรี ๑, หัวหมู เป็ด ไก่, มะพร้าวอ่อน,ขันเหมสำหรับจุดไฟ, และเทียนชนวนจุดไฟ พร้อม; ของเหล่านี้เอาไปตั้งตรงหน้ามายาวิน,และมีคนเอาหญ้าคามาทอดแล้วเอาหนังกวางปูบนหญ้าคาเป็นอาสนะ. มายาวินขึ้นนั่งขัดสมาธิบนอาสนะ, จุดไฟในขันเหม, แล้วกล่าวคำบูชาต่อไปนี้.)

(สัททุลวิกกีฬิต, ๑๙.)
มายาวิน.โอมบังคมพระคเณศะเทวะศิวะบุตร
ฆ่าพิฆนะสิ้นสุดประลัย
อ้างามกายะพระพรายประหนึ่งรวิอุทัย
ก้องโกญจนะนาทให้สะหรรษ์
เป็นเจ้าสิปปะประสิทธิ์วิวิธะวรรณ
วิทยาวิเศษสรร-พะสอน
ยามข้ากอบกรณีย์พิธีมะยะบวร
จงโปรดประทานพรประสาท
โอมนารายะณะเทพเถลิงอุระคะอาสน์
ขี่ขุนสุบรรณ์ราชจรัล
ถือศังข์จักระคะทาธรณิผัน
ปราบยักษะกุมภัณฑ์มลาย
เชี่ยวชาญโยคะวิธีพระพีระอภิปราย
ดลกิจจะทั้งหลายสะมิทธิ์
ยามข้ากอบกรณีย์พิธีมะยะวิจิตร
จงสมมะโนสิต-ธิเทอญ
             

(พิณพาทย์ทำเพลงสาธุการมายาวินไหว้บูชาสี่ทิศ,แล้วร่ายมนตร์ต่อไป.)

              (วิชชุมมาลา, ๘.)
อ้าสองเทเวศร์โปรดเกศข้าบาท
ทรงฟังซึ่งวาทที่กราบทูลเชิญ
โปรดช่วยดลใจทรามวัยให้เพลิน
จนลืมขวยเขินแล้วรีบเร็วมา
ด้วยเดขเทพไททรามวัยรูปงาม
จงได้ทราบความข้าขอนี้นา
แม้คิดขัดขืนฝืนมนตร์คาถา
ขอให้นิทราเข้าสึงถึงใจ
มาเถิดนางมาอย่าช้าเชื่องช้อย
ตูข้านี้คอยต้อนรับทรามวัย
อ้านางโศภาอย่าช้ามาไว
ตูข้าสั่งให้โฉมตรูรีบจร.
โฉมยงอย่าขัดรีบรัดมาเถิด
ขืนขัดคงเกิดในทรวงเร่าร้อน
มาเร็วบัดนี้รีบลีลาจร
มาเร็วบังอรข้าเรียกนางมา
             

(มายาวินประนมมือและนั่งบริกรรม พิณพาทย์ทำเพลงตระสันนิบาต, ทุก ๆ คน ตั้งตาคอยมองดูพอรัวท้ายตระ มัทนาเดินออกมา ตาจ้องเป๋งไม่แลดูใครและกิริยาอาการเป็นอย่างคนที่ยังหลับอยู่ และพูดหรือแสดงกิริยาอย่างคนที่ฝัน. สุเทษณ์ลุกจากบัลลังก์ลงมาต้อนรับด้วยความยินดี แต่ครั้นเห็นมัทนาจังงังอยู่ไม่ยิ้มแย้มก็ชะงัก แล้วหันไปพูดกับมายาวิน.)

(สุรางคณา, ๒๘.)
สุเทษณ์.นางมาแล้วไซร้ แต่ว่าฉันใด จึ่งไม่พูดจา ?
มายาวิน.นางยังงงงวย ด้วยฤทธิ์มนตรา แต่ว่าตูข้า จะแก้บัดนี้.
(พูดกับมัทนา)
             
(อินทะวิเชียร, ๑๑)
ดูก่อนสุชาตามะทะนาวิไลยศรี
ยามองค์สุเทษณ์มีวรพจน์ประการใด
นางจงทำนูลตอบมะธุรสธตรัสไซร้
เข้าใจมิเข้าใจฤก็ตอบพะจีพลัน
มัทนา.เข้าใจละเจ้าข้า;ผิวะองค์สุเทษณ์นั้น
ตรัสมาดิฉันพลันจะเฉลยพระวาที
(วสันตะดิลก, ๑๔.)
สุเทษณ์.อ้าโฉมวิไลยะสุปริยามะทะนาสุรางค์ศรี
พี่รักและกอบอภิระตีบมิเว้นสิเน่ห์หนัก
บอกหน่อยเถอะว่าดะรุณิเจ้าก็จะยอมสมัครรัก
มัทนา.ตูข้าสมัครฤมิสมัครก็มิขัดจะคล้อยตาม
สุเทษณ์.จริงฤานะจ้าสุมะทะนาวจะเจ้าแถลงความ ?
มัทนา.ข้าขอแถลงวะจะนะตามสุรเทวะโปรดปราน
สุเทษณ์.รักจริงมิจริงฤก็ไฉนอรไทบ่แจ้งการ ?
มัทนา.รักจริงมิจริงก็สุระชาญชยะโปรดสถานใด ?
สุเทษณ์.พี่รักและหวังวธุจะรักและบทอดบทิ้งไป
มัทนา.พระรักสมัครณพระหทัยฤจะทอดจะทิ้งเสีย ?
สุเทษณ์.ความรักละเหี่ยอุระระทดเพราะมิอาจจะคลอเคลีย
มัทนา.ความรักระทดอุระละเหี่ยฤจะหายเพราะเคลียคลอ ?
สุเทษณ์.โอ้โอ๋กระไรนะมะทะนาบมิตอบพะจีพอ ?
มัทนา.โอ้โอ๋กระไรอะมระง้อมะทะนามิพอดี !
สุเทษณ์.เสียแรงสุเทษณ์นะประดิพัทธ์มะทะนาบเปรมปรีย์.
มัทนา.แม้ข้าบเปรมปริยะฉะนี้ผิจะโปรดก็เสียแรง
สุเทษณ์.โอ้รูปวิไลยะศุภะเลิศบมิควรจะใจแขง.
มัทนา.โอ้รูปวิไลยะมละแรงละก็จำจะแขงใจ.
             

(สุเทษณ์จ้องดูนาง, แต่นางยังคงตาลอยไม่จับตาอยู่ สุเทษณ์ออกฉงน, จึงลองพูดไปอีก.)

สุเทษณ์.หากพี่จะกอดวธุและจุม-พิตะเจ้าจะว่าไร ?
มัทนา.ข้าบาทจะขัดฤก็มิได้ผิพระองค์จะทรงปอง
สุเทษณ์.ว่าแต่จะเต็มฤดิฤหากดนุกอดและจูบน้อง ?
มัทนา.เต็มใจมิเต็มดนุก็ต้องปฏิบัติระเบียบดี.
             

(สุเทษณ์ไม่พอใจในคำตอบของนาง, จึ่งหันไปพูดกับมายาวิน.)

(สุรางคณา, ๒๘)
สุเทษณ์.แน่ะมายาวิน เหตุใดยุพิน จึงเปนเช่นนี้ ?
ดูราวมะเมอ เผลอเผลอฤดี ประดุจไม่มี ชีวิตจิตใจ.
คราใดเราถาม หล่อนก็ย้อนความ เหมือนเช่นถามไป
ดังนี้จะยวน ชวนเชยฉันใด ก็เปรียบเหมือนไป พูดกับหุ่นยนต์.
มายาวิน.เทวะ, ที่นาง อาการเป็นอย่าง นี้เพราะฤทธิ์มนตร์
โยคะอันขลัง บังคับได้จน ให้ตอบยุบล ได้ตามต้องการ
แต่จะบังคับ ใครใครให้กลับ มโนวิญญาณ
ให้ชอบให้ชัง ยืนยังอยู่นาน ย่อมจะเป็นการ สุดพ้นวิสัย.
หากว่าพระองค์ มีพระประสงค์ อยู่เพียงจะให้
นงคราญฉลอง รองพระบาทไซร้ ข้าอาจผูกใจ ไว้ด้วยมนตรา
มิให้นงรัตน์ ดื้อดึงขึ้งขัด ซึ่งพระอัชฌา
บังคับให้ยอม ประนอมเป็นข้า บาทบริจา ริกาเทวัญ.
สุเทษณ์.อ๊ะ ! เราไม่ขอ ได้นางละหนอ โดยวิธีนั้น !
เสียแรงเรารัก สมัครใจครัน อยากให้นางนั้น สมัครรักตอบ
ผูกจิตด้วยมนตร์ แล้วตามใจตน ฝ่ายเดียวมิชอบ
เราใฝ่ละโมบ ประโลมใจปลอบ ให้นางนึกชอบ นึกรักจริงใจ
ฉะนั้นท่านครู คลายเวทมนตร์ดู อย่าช้าร่ำไร
หากเราโชคดี ครั้งนี้คงได้ สิทธิ์สมดังใจ รีบคลายมนตรา
มายาวิน.เอวํ เทวะ
             

(มายาวินประนมมือแล้วร่ายมนตร์ต่อไปนี้)

(วิชชุมมาลา, ๘.)
มายาวิน.อันเวทอาถรรพ์ ที่พันธ์ผูกจิต แห่งนางมิ่งมิตร อยู่บัดนี้นา
จงเคลื่อนคลายฤทธิ์ จากจิตกัญญา คลายคลายอย่าช้า
สวัสดีสวาหาย !
             

(พิณพาทย์ทำเพลงรัว. มายาวินยกมือไหว้แล้วเสกเป่าไปทางมัทนา. ฝ่ายมัทนาค่อย ๆ รู้สึกตัว, เอามือลูบตาเหมือนคนตื่นนอน, และพอจบรัวก็พอได้สติบริบูรณ์. บัดนี้นางเหลียวแลไปเห็นสุเทษณ์ก็ตกใจ, ตั้งท่าเหมือนจะหนีไป, แต่สุเทษณ์ขวางทางไว้.)

(ฉบงง, ๑๖.)
สุเทษณ์.อ้ามัทนาโฉมฉาย เฉิดช่วงดังสาย วิชชุประโชติอัมพร
ไหนไหนก็เจ้าสายสมร มาแล้วจะร้อน และรนและรีบไปไหน ?
มัทนา.เทวะ, อันข้านี้ไซร้ มานี่อย่างไร บทราบสำนึกสักนิด
จำได้ว่าข้าสถิต ในสวนมาลิต และลมรำเพยเชยใจ
แต่อยู่ดีดีทันใด บังเกิดร้อนใน อุระประหนึ่งไฟผลาญ
ร้อนจนสุดที่ทนทาน แรงไฟในราน ก็ล้มลงสิ้นสมฤดี
ฉันใดมาได้แห่งนี้ ? หรือว่าได้มี ผู้ใดไปอุ้มข้ามา ?
ขอพระองค์จงเมตตา และงดโทษข้า ผู้บุกรุกถึงลานใน.
สุเทษณ์.อ้าอรเอกองค์อุไร พี่จะบอกให้ เจ้าทราบคดีดังจินต์
พี่เองใช้มายาวิน ให้เชิญยุพิน มาที่นี้ด้วยอาถรรพ์
มัทนา.เหตุใดพระองค์ทรงธรรม์ จึ่งทำเช่นนั้น ให้ข้าพระบาทต้องอาย
แก่หมู่ชาวฟ้าทั้งหลาย ? โอ้พระฤาสาย พระองค์บทรงปรานี
             

(มัทนาร้องได้. พิณพาทย์ทำเพลงโอด สุเทษณ์ปลอบ.)

(อินทวงส์, ๑๒.)
สุเทษณ์.อ้ายอดสิเหนามะทะนาวิสุทธิศรี,
อย่าทรงพระโศกีวรพักตร์จะหม่นจะหมอง
พี่นี้นะรักเจ้าและจะเฝ้าประคับประคอง
คู่ชิดสนิทน้องบ่มิให้ระคางระคาย,
พี่รักวธูนวลบ่มิควรระอาละอาย,
อันนาริกับชายฤก็ควรจะร่วมจะรัก
รูปเจ้าวิไลยราวสุระแสร้งประจิตประจักษ์
มิควรจะร้างรักเพราะพธูพิถีพิถัน ;
ธาดาธสร้างองค์อรเพราพิสุทธิสรรพ์
ไว้เพื่อจะผูกพัน-ธนะจิตตะจองฤดี.
อันพี่สิบุญแล้วก็เผอิญประสบสุรี
แลรักสมัครมีมนะมุ่งทะนุถนอม
ขอโฉมเฉลาปลงพระฤดีประนีประนอม
รับรักและยินยอมดนุรักสมัครสมาน
หากนางมิข้องขัดประดิพัทธ์ประสมประสาน,
ทั้งสองจะสุขนานมนะจ่อบจืดบจาง.
อ้าช่วยระงับดับทุขะพี่ระคายระคาง :
พี่รักอนงค์นางผิมิสมฤดีถวิล,
เหมือนพี่มิได้คงวรชีวะชิวิติน-
ทรีย์ไซร้บ่ใฝ่จิน-ตนะห่วงและห่อนนิยม
ชีพอยู่ก็เหมือนตาย,เพราะมิวายระทวยระทม
ทุกข์ยากและกรากรมอุระช้ำระกำทวี
อ้าฟังดนูเถิดมะทะนาและตอบวจี
พอให้ดนูนี้สุขะรื่นระเริงรวย
(วสันตะดิลก, ๑๔.)
มัทนา.ฟังถ้อยดำรัสมะธุระวอนดนุนี้ผิเอออวย
จักเป็นมุสาวะจะนะด้วยบมิตรงกะความจริง
อันชายประกาศวะระประทานประดิพัทธะแด่หญิง
หญิงควรจะเปรมกะมะละยิ่งผิวะจิตตะตอบรัก
แต่หากฤดีบอะภิรมย์จะเฉลยฉะนั้นจัก
เป็นปดและลวงบุรุษะรักก็จะหลงละเลิงไป
ตูข้าพระบาทสิสุจริตบมิคิดจะปดใคร
จึ่งหวังและมุ่งมะนะสะในวรเมตตะธรรมา
อันว่าพระองค์กรุณะข้อยฤก็ควรจะปรีดา
อีกควรฉลองวรมหากรุณาธิคุณครัน
ดังนี้คะนึงฤก็ระบมอุระแห่งกระหม่อนฉัน
ที่ตนบอาจจะอภิวัน-ทะนะตอบพระวาจา
ให้ถูกประดุจสุระประสงค์ผิวะทรงพระโกรธา
หม่อมฉันก็โอนศิระ ณ บา-ทุยุคลและกราบกราน
(อินทวงส์, ๑๒.)
สุเทษณ์.ที่หล่อนมิยินยอมมะนะรักสมัครสมาน
มีคู่สมรมานอภิรมย์ฤเป็นไฉน ?
(วสันตะดิลก, ๑๔.)
มัทนา.หม่อมฉันบมีบุรุษะผู้ประดิพัทธะใดใด
เป็นโสดบมีมะนะสะใฝ่อภิรมย์ฤสมรส
(อินทวงส์, ๑๒.)
สุเทษณ์.เช่นนั้นก็เชิญฟังดนุกล่าวสิเนหะพจน์
เจ้างามประเสริฐหมดก็มิควรฤดีจะดำ
(วสันตะดิลก, ๑๔.)
มัทนา.หม่อมฉันสดับมะธุระถ้อยก็สำนึกเสนาะคำ
แต่ต้องทำนูลวะจะนะซ้ำดุจะได้ทำนูลมา
(อินทวงส์, ๑๒.)
สุเทษณ์.นี่เจ้ามิยอมรับรสะรักฉะนั้นฤจ๋า ?
ตัวฉันจะเลวสาหะสะด้วยประการไฉน ?
(วสันตะดิลก, ๑๔.)
มัทนา.อ้าองค์พระผู้สุรวิศิษฎ์พระจะผิดสถานใด ?
หม่อมฉันสิทรามเพราะบ่มิได้อนุวัตน์พระบัญฑูร
(อินทวงส์, ๑๒.)
สุเทษณ์.ยิ่งฟังพะจีศรีก็ระตีประมวลประมูล
ยิ่งขัดก็ยิ่งพูนทุขะท่วมระทมหะหัย !
อ้าเจ้าลำเพาพักตร์สิริลักษณาวิไลย
พี่จวนจะคลั่งไคล้สติเพื่อพะวงอนงค์
(วสันตะดิลก, ๑๔.)
มัทนา.โอ้โอ๋ละเหี่ยอุระสดับวรศัพทะท่านทรง
อ้อยอิ่งแสดงวรประสง-คะณตัวกระหม่อมฉัน
อยากใคร่สนองพระวรสุน-ทรคุณอเนกนั้น
จนใจเพราะผิดคติสุธรรม์สุจริตประติชญา
ขอให้พระองค์อะมะระเท-วะเสวยประโมทา
หม่อมฉันจะขอประณตะลาสุรราชลิลาศไป
             

(มัทนากราบแล้วตั้งท่าจะไป, แต่สุเทษณ์จับข้อมือไว้ด้วยกิริยาออกจะโกรธ)

(ฉบงง, ๑๖.)
สุเทษณ์.ช้าก่อน ! หล่อนจะไปไหน ?
มัทนา. หม่อมฉันอยู่ไป ก็เครื่องแต่ทรงรำคาญ.
สุเทษณ์.ใครหนอบอกแก่นงคราญ ว่าพี่รำคาญ ?
มัทนา. หม่อมฉันสังเกตเองเห็น.
สุเทษณ์.เออ ! หล่อนนี้มาล้อเล่น ! อันตัวพี่เป็น คนโง่ฤาบ้าฉันใด ?
มัทนา.หม่อมฉันเคารพเทพไท ทูลอย่างจริงใจ ก็บมิทรงเชื่อเลย
กลับทรงดำรัสเฉลย ชวนชักชมเชย และชิดสนิทเสนหา
พระองค์ทรงเป็นเทวา ธิบดีปรา- กฏเกียรติยศเกรียงไกร
มีสาวสุรางค์นางใน มากมวลแล้วไซร้ ในพระพิมานมณี
จะโปรดปรานข้าบาทนี้ สักกี่ราตรี ? และเมื่อพระเบื่อข้าน้อย
จะมิต้องนั่งละห้อย นอนโศกเศร้าสร้อย ชะเง้อชะแง้แลหรือ ?
หม่อมฉันนี้เป็นผู้ถือ สัจจาหนึ่งคือ ว่าแม้มิรักจริงใจ
ถึงแม้จะเป็นชายใด ขอสมพาศไซร้ ก็จะมิยอมพร้อมจิต
ดังนี้ขอเทพเรืองฤทธิ์ โปรดข้าน้อยนิด ข้าบาทขอบังคมลา
             
(กมล, ๑๒.)
สุเทษณ์.(ตวาด) อุเหม่ !
มะทะนาชะเจ้าเล่ห์ชิชิช่างจำนรรจา
ตะละคำอุวาทาฤกระบิดกระบวนความ
ดนุถามก็เจ้าไซร้บมิตอบณคำถาม
วนิดาพยายามกะละเล่นสำนวนหวาน
ก็และเจ้ามิเต็มจิตจะสดับดนูชวน
ผิวะให้อนงค์นวลชนะหล่อนทะนงใจ
บ่มิยอมจะร่วมรักและสมัครสมรไซร้
ก็ดนูจะยอมให้วนิดานิวาศสวรรค์
ผิวะนางเผอิญชอบมรุอื่นก็ข้าพลัน
จะทุรนทุรายศัล-ยะบ่อยากจะยินยล
เพราะฉะนั้นจะให้นางจุติสู่ ณ แดนคน
มะทะนาประสงค์ตนจะกำเนิด ณ รูปใด ?
ทวิบทจะตูร์บาทฤจะเป็นอะไรไซร้
วธุเลือกจะตามใจและจะสาปประดุจสรร
จะสถิตฉะนั้นกว่าจะสำนึกณโทษทัณฑ์
และผิวอนดนูพลันจะประสาทพระพรให้
วนิดาจรัลกลับณประเทศสุราลัย
ก็จะชอบสถานใดวธุตอบดนูมา
(สาลินี, ๑๑.)
มัทนา.อ้าเทพศักด์สิทธิ์ซึ่งพระจะลงพระอาญา
ข้าเป็นแต่เพียงข้าบมิมุ่งจะอวดดี
หม่อมฉันนี่อาภัพและก็โชคบพึงมี
จึ่งไม่ได้รองศรีวรบาทพระจอมแมน
อันทรงเมตตาควรจะประจบและตอบแทน
คุณท่านที่มากแสนคณนาประมวลมี
อันโปรดให้เลือกตามฤดิข้าณบัดนี้
ขอเป็นซึ่งมาลีรุจิเรขวิไลยวรรณ
สุดแท้แต่จอมสรวงจะประสิทธิ์ประสาทพันธุ์
ขอเพียงให้มีคัน-ธะระรื่นระรวยหอม
ด้วยกลิ่นของข้าบาทก็จะได้ประณตน้อม
ใจนิตย์บูชาจอมสุระบ่มบำเพ็ญบุญ
ข้าขอแต่เพียงให้มรุทรงพระการุญ
ให้ข้าได้ทำคุณและประโยชน์บ่อยู่หมัน
             
(ฉบงง, ๑๖.)
สุเทษณ์.ที่เจ้างอนง้อขอนั้น เราจะยอมสรร- พะสิทธิดังใจจินต์.
ดูราท่านมายาวิน นางนี้ถวิล จะถือรูปเป็นมาลี.
ก็บุปผาอย่างใดมี ที่งามทั้งสี อีกทั้งมีกลิ่นส่งไกล ?
แต่ต้องให้มีหนามไว้ ป้องกันมิให้ เหล่าเดรัจฉานผลาญยับ.
มายาวิน.เทวะ ! อันไม้งามสรรพ มีลักษณ์ต้องกับ พระองค์ดำรัสนั้นมี
ในนันทะโนทยานศรี องค์พระศจี ธโปรดเป็นยอดมาลา.
เห็นมีแต่ในฟากฟ้า ในแดนคนหา ไม้นี้มิได้แห่งไหน.
สุเทษณ์.ไม้นี้มีนามฉันใด ? ท่านจงเล่าให้ เราทราบซึ่งลักษณ์แถลง.
             
(อินทระวิเชียร, ๑๑.)
มายาวิน.ไม้เรียกผะกากุพ-ชะกะสีอรุณแสง
ปานแก้มแฉล้มแดงดรุณีณยามอาย
ดอกใหญ่และเกสรสุวคนธะมากมาย
อยู่ทนบวางวายมธุรสขจรไกล
อีกทั้งสะพรั่งหนามดุจะเข็มประดับไว้
ผึ้งเขียวสิบินไขว่บมิใคร่จะห่างเหิน
อันกุพชะกาหอม,บริโภคอร่อยเพลิน
รสหวานสิหวานเชิญนรลิ้มเพราะเลิศรส
กินแล้วระงับตรีพิธะโทษะหายหมด
คือลมและดีลดทุษะเสมหะเสื่อมสรรพ์
อีกทั้งเจริญกา-มะคุณาภิรมย์นันท์
เย็นในอุราพลัน,และระงับพยาธี
             
(ฉบงง, ๑๖.)
สุเทษณ์.ดีละ, จะให้มารศรี เป็นดอกไม้นี้ โฉมยงจะว่าฉันใด ?
มัทนา.ไหนไหนจะเป็นดอกไม้ หม่อมฉันพอใจ เป็นดอกที่ออกนามมา
ข้าขอก้มเกศวันทา ที่จอมเทวา การุญให้เลือกเช่นนี้
สุเทษณ์.ด้วยอำนาจอิทธิ์ฤทธี อันประมวลมี ณตัวกูผู้แรงหาญ
กูสาปมัทนานงคราญ ให้จุติผ่าน ไปจากสุราลัยเลิศ
สู่แดนมนุษย์และเกิด เป็นมาลีเลิศ อันเรียกว่ากุพชะกะ
ให้เป็นเช่นนั้นกว่าจะ รู้สึกอุระ ระอุเพราะรักรึงเข็ญ
ทุกเดือนเมื่อถึงวันเพ็ญ ให้นางนี้เป็น มนุษย์อยู่กำหนดมี
เพียงหนึ่งทิวาราตรี แต่หากนางมี ความรักบุรุษเมื่อใด
เมื่อนั้นแหละให้ทรามวัย คงรูปอยู่ไซร้ บคืนกลับเป็นบุปผา
หากรักชายแล้วมัทนา บมีสุขา- ภิรมย์เพราะเริดร้างรัก
และนางเป็นทุกข์ยิ่งนัก จนเหลือที่จัก อดทนอยู่อีกต่อไป
เมื่อนั้นผิว่าอรไท กล่าววอนเราไซร้ เราจึ่งจะงดโทษทัณฑ์
(จิตระปทา, ๘.)
นางมะทะนา จุติอย่านาน จงมะละฐาน สุระแมนสวรรค์
ไปเถอะกำเนิด ณ หิมาวัน ดังดนุลั่น วจิสาปไว้ !
             

(พิณพาทย์ทำเพลงคุกพาทย์, สุเทษณ์แผลงฤทธิ์, ฟ้าแลบแวบวาบตลอดเพลง พอถึงรัวท้าย มัทนาร้องกรี๊ดและล้มลมกับพื้น)


(ปิดม่าน.)

องก์ที่ ๒

ตอนที่ ๑

ฉาก : ในกลางหิมะวัน.

[เป็นลานหญ้าอยู่ในระหว่างต้นไม้ใหญ่งาม ๆ, ที่ตรงกลางแห่งด้านหลังของเวที มีต้นกุหลาบอยู่ต้น ๑, ซึ่งมีดอกแต่ดอกเดียว, เป็นดอกใหญ่, สีชมพูแก่. นอกจากต้นกุหลาบ มีต้นดอกไม้อย่าอื่นอีกบ้างก็ได้, และตามต้นไม้มีกล้วยไม้กำลังออกดอกไสวอยู่หลายช่อ.]


(เปิดม่านขึ้นเห็นเวทีว่างอยู่. แล้วนาค และศุน, ศิษย์ของพระกาละทรรศินมุนี, จึงออกมา.)

นาค.มันอยู่ทางนี้แน่ ! แกไม่ได้กลิ่นหรือ ?
ศุน.ฮือ !
นาค.จะพูดอะไรก็ไม่พูด. มีแต่ร้องฮือเท่านั้น.
ศุน.ก็จริง ๆ นี่ ให้ตายสิ ! (ลงนั่งเหยียดตีน และแสดงอาการกิริยาเหนื่อย.)
นาค.จริงอะไร ?
ศุน.อยู่ดี ๆ ใช้ให้ตามหากลิ่น ใครจะไปหาพบ. (นอนเหยียดลงกับพื้น)
นาค.ทำไมจมูกแกไม่มีหรือ ? (นั่งบนตอไม้.)
ศุน.ก็มีน่ะสิ ! แต่เกิดมายังไม่เคยรับใช้เช่นนี้เลย ข้าสูดหากลิ่นเสียจนจมูกเยิ้มแล้ว รู้ไหม ?
นาค.จมูกเยิ้มก็ดีอยู่แล้ว แปลว่าแกไม่เจ็บ.
ศุน.เอ๊ะ ! อย่างไรกัน ?
นาค.ข้าเคยสังเกตเห็นอ้ายด่างของข้า, เมื่อไรจมูกมันแห้งละก็แปลว่ามันไม่สบาย.
ศุน.อุวะ แล้วกัน ! เอาข้าไปเข้าประเภทหมาเสียแล้ว !
นาค.ก็ดีนี่นะ, หมาจมูกมันเก่งกว่าคนเราอีก.
ศุน.(ยกมือปัด) เฮ้ย ! อย่าเล่นน่า ! จั๊กกะจี้. (ผงกหัวขึ้นมอง.) เอ๊ะ ! พิกลแฮะ หมายว่าแกเล่นรังแกอีก. ที่แท้แมลงภู่น่ะเอง (นอนลงอีก)
นาค.แกว่าแมลงภู่หรือ ? เอ ! ท่าทางชอบกล ! (ลุกขึ้นเดินมอง)
ศุน.นั่นลุกขึ้นเดินไขว่อยู่ทำไม่นะ ? ข้าเวียนหัวพิลึก.
นาค.ที่ไหนมีแมลงภู่ต้องมีของหอม ฉะนั้น – (เดินค้นต่อไป.)
ศุน. (เอกเขนกขึ้น หันหน้าไปทางหลังเวที) แกนี่- (เห็นดอกกุหลาบจึ่งร้องขึ้น.) นั่นแน่ะ ! ได้ตัวแล้ว ให้ตกนรกสิ !
นาค.อะไร ?
ศุน.อ้ายของหอมของแก. (ชี้ดอกกุหลาบ.) นั่นเป็นไร.
นาค.(เดินเข้าไปยังต้นกุหลาบ.) จริงของแก อ้ายดอกนี่เอง. เอ๊ะ!เขาเรียกดอกอะไรนะ ?
ศุน.ชบา
นาค.บัดซบ! ชบาหอมมีหรือ !
ศุน.มี หอมเขียว !
นาค.มิลักขู ! หอมเขียวมีหรือ ?
ศุน.ไม่มีก็เเล้วไปสิ
นาค.อีกประการหนึ่ง ชบาไม่มีหนาม นี่หนามชุมพลึก.
ศุน.ถ้าฉะนั้นเรียกว่าอะไรล่ะ ?
นาค.ถ้าข้ารู้ข้าจะถามแกหรือ ? แต่บางทีโสมะทัตจะรู้จัก ไปบอกข่าวให้เขาทราบเห็นจะดีนะ.
ศุน.ดีสิ. แกรีบไปเถอะ.
นาค.ก็แกล่ะ ?
ศุน.ข้าจะอยู่เฝ้าตนไม้นี่. (นอนลงอีก)
นาค.ชิ ๆ ! มันจะหายไปไหนได้เทียวนะ ต้นไม้มันเดินหนีไปเองได้เมื่อไร.
ศุน.ก็เผื่อมีคนมาลักเอาไปเสียล่ะ ?
นาค.ผู้คนอะไรมีมาในป่านี้นอกจากพวกเรา.
ศุน.ก็พวกเราน่ะแหละ ถ้าแม้ว่าเราไปเสียทั้งสองคน แล้วมีคนอื่นในพวกเรามาพบต้นไม้นี่เข้า
แล้วรีบเอาความไปเรียนท่านอาจารย์ได้ก่อน เรามีขาดทุนหรือ ?
นาค.ก็จริงอยู่ แต่ว่าถ้าท่านอาจารย์ได้ทราบข่าวที่ท่านปรารถนาแล้ว ก็เป็นผลเท่ากันไม่ใช่หรือ ?
ศุน.มันจะเท่ากันอย่างไรได้ พ่อเจ้าประคุณเอ๋ย ใครเป็นผู้นำความไปบอกได้ก่อน คนนั้นก็ต้องได้บำเหน็จสิ.
นาค.ถ้าเช่นนั้นแกไปบอกข่าวเถอะ จะได้ได้บำเหน็จ.
ศุน.อ๋อ, ข้าไม่เป็นที่อยากได้บำเหน็จถึงปานนั้นดอก. แกไปเถอะ.
นาค.สรุปความก็เป็นอันว่า แกขี้เกียจเกินที่จะเดินไปรับบำเหน็จ แต่ไม่อยากให้ใครแย่งความชอบ ฉะนั้นหรือ ?
ศุน.สรุปความว่าแกมัวพูดอยู่เช่นนี้เสียเวลาเปล่า ! จะไปก็ไปเถอะ เดี๋ยวก็จะตามหาโสมะทัตไม่พบเท่านั้นเอง !
(โสมะทัต, หัวหน้าศิษย์ของพระกาละทรรศินออก.)
โสมะทัต.ได้ยินใครออกชื่อฉันหรือ ?
ศุน.(ตกใจ. รีบนั่งขึ้น.) ผมเองขอรับ ออกนามนาย. (ชี้ด้นกุหลาบ.)
ผมหาพบ ดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมได้แล้วขอรับ นั่นขอรับ.
โสมะทัต.ก็ดีแล้ว แต่ทำไมไม่รีบไปบอกฉัน ?
ศุน.ผมกำลังจะรีบไปอยู่แล้ว-
โสมะทัต.ฉะนั้นจึ่งยังนอนเหยียดยาวฉะนั้นหรือ ?
ศุน.ที่ผมเหยียดนั้นก็เพื่อให้แข้งขายืดเสียก่อน แล้วจะลุกขึ้นวิ่งไปโดยรวดเร็วเต็มฝีเท้า.
โสมะทัต.อ้อ ! ถ้าฉะนั้นเมื่อได้เตรียมพร้อมอยู่แล้วที่จะวิ่ง ก็ออกวิ่งไปเรียนท่านอาจารย์ให้ทราบเดี๋ยวนี้.
ศุน.ขอรับ ! ไปปรี๋อเป็นลมพัดเทียวละขอรับ. (ไหว้แล้วลุกขึ้นวิ่งเข้าโรงไป.)
             

(โสมะทัตไปพิจารณาดูกุหลาบด้วยความพิศวงอยู่ครู่ใหญ่ ๆ แล้วจี่งกลาวคำชม.)

(อุปัฏฐิตา, ๑๑.)
โสมะทัต.อันบุษปะประหลาด บมิเห็น ณ แห่งใด
งามสรรพะวิไล- ยะวิเศษะมาลี
สีแดงก็มิจ้าดุจะดอกชบาสี
งามดังดรุณี ยละเพลินเจริญตา
กลิ่นหอมก็ระรวย รสะลมรำเพยพา
ถึงไหนฤก็น่า จะระรื่นภิรมย์หวน
แม้แต่ศิระเกล้าวนิดาละอองนวล
เห็นแน่จะประมวล วรลักษะณานาง
ลอยภาชะนะน้ำก็จะทำอุทกพลาง
หอมรื่นระสะอย่าง สุรเทวะโอสถ
จัดภาชนะตั้ง พะลิเทวะทรงยศ
กลิ่นหอมบละลด จะประลุณเเดนสรวง
อันบุษปะประเสริฐ ณสกลพิภพปวง
งามเลิศและเหมาะดวง ฤดิเท่าบพึงหา
             

(พระกาละทรรศิน คณาจารย์ออก, มีศุนกับบริวารอื่น ๆ ถือจอบเสียมตามมาหลายคน.)

(ฉบงง, ๑๖.)
กาละทรรศิน.ไหนเล่าต้นไม้ที่ว่า มีดอกสง่า
และหอมประเสริฐส่งไกล ?
ศุน. อยู่นี่เจ้าข้า ! ข้าไซร้ เป็นผู้ที่ได
ประสบพบดอกอัศจรรย์
นาค.. ตูข้ามาด้วยพร้อมกัน
ศุน. แต่ว่าดิฉัน
เป็นผู้ประสบพบแท้
นาค.. ตูข้าเดินหาเจียนแย่ ส่วนเขานอนแผ่
สบายอยู่กลางปัฐพี
ศุน. จะนอนหรือนั่งตามที แต่เห็นของดี-
เพราะโชคเท่านั้นบันดาล !
กาละทรรศิน.มัวเถียงกันไม่เข้าการ ! ไปเก็บดวงมาลย์
มาใหัเราพลันทันใด.
             

(พระกาละทรรสินไปนั่งบนตอไม้. ฝ่ายนาคกับศุนนั้นต่างวิ่งแย่งกันไปเก็บดอกกุหลาบ นาคเปืนผู้ยื่นมือเข้าไปถูกหนามเข้าก็หดมือกลับโดยอาการตกใจ, ฝ่ายศุนหัวเราะเยาะและยื่นมือเข้าไป, ก็ถูกหนามบ้างต้องหดมือกลับออกมาเหมือนกัน.)

โสมะทัต.สองคนอย่ามัวราไร !ท่านสั่งแล้วไย
มิทำดังท่านบัญชา ?
นาค..ไม่ไหวจริงจริงเจ้าข้า
ศุน.ท่านดีลองมา
เก็บเอาไปเองเถิดหนอ.
โสมะทัต.อย่ามัวพูดจาต่อล้อต่อเถียงเราหนอ
จงเก็บดอกไมัโดยพลัน.
นาค..โอ้ช่างไม่เห็นใจกัน !ใช่ว่าดิฉัน
จะแสร้งขัดคำพี่พราหมณ์
จริงจริงอยากใคร่ทำตามแต่ว่าถูกหนาม !
ศุน.โอยเจ็บพลึกกึกกือ !
โสมะทัต.แกทิ้งสองคนหัวดื้อไร้ความนับถือ
จึ่งขัดคำเราผู้ใหญ่
ช่างเถิดไม่จำต้องใช้ !
ศุน.ดีแล้วเชิญไป
ถูกหนามเล่นบ้างแหละดี !
             

(โสมะทัตตรงเข้าไปจะเด็ดดอกกุหลาบ, ถูกหนามเข้าบ้างต้องหดมือออกมา ศิษย์สองคนหัวเราะ ซี่งทําให้โสมะทัตขัดใจ, ชักมีดเหน็บออกจะฟันกิ่งกุหลาบ.)

กาละทรรศิน.ช้าก่อน ! อย่าตัดมาลีที่งามเช่นนี้
เราอยากใคร่ใหัขุดไป
ปลูกหน้าอาศรมเพื่อได้ดูเล่นต่อไป
อีกนานสำราญฤดี
             

(โสมะทัตสั่งพวกบริวารให้ขุดต้นกุหลาบ. พอบริวารเอาเครื่องมือขุดลงก็มีเสียงเหมือนผู้หญิงร้อง "โอ๊ย !" พวกบริวารตกใจ, โจษกันต่าง ๆ นานา โสมะทัตบังคับให้ขุดอก ก็มีเสียงร้องเช่นนั้นอีกทุกคราวเล่นตลกพูดกันเองพอสมควร, แล้วในที่สุดพวกบริวารไม่มีใครกล้าขุด โสมะทัตจะลงมือขุดเอง,แต่พระกาละทรรศินยกมือห้ามไว้)

(อุเปนทะวิเชียร, ๑๑.)
กาละทรรศิน.อ๊ะ !อย่านะอย่าเพ่อผิวะมิ่งสุมาลี
จะไปกะเรานี้ละก็จึ่งจะพาไป
เพราะเราสิเล็งญา-ณะเเละทราบฉะนี้ได้
ผะกาพิเศษไซร้บมิใช่ผะกาจริง
และเป็นวะธูผู้ปะระเศรษฐะยอดหญิง
เพราะรักษะสัจยิ่งบมิยอมจะเสียธรรม์
ก็ถูกกำราบให้จุติจากณแดนสวรรค์
กำเนดประดุจพัน-ธุผกาพิเศษนี้
ณ วันพระจันทร์เพ็ญก็จะเป็นสุนารี
และคงฉะนั้นมีเฉพาะหนึ่งทิวากาล
และเอกะราตรีก็จะกลับสกนธ์ปาน
ผะกาสุคนธ์หวานรสระรื่นระรวยไซร้
ณ ถิ่นวนารัณ-ยะกะนี้สิอยู่ไกล
กุฎีและทิ้งไว้จะลำบากสกนธ์นาง
ฉะนั้นจะกล่าวชวนจระไปณสวนข้าง
กุฎีดนูพลางจะทะนุถนอมดี
             

(พระกาละทรรศินลุกขึ้นไปที่ต้นกุหลาบ แล้วพูดกับต้นกุหลาบต่อไป.)

        (สัทธะรา, ๒๑.)
อ้ามาลีเลิศฤดีเพลิน,สุวิมะละและเจริญ
ข้าจะขอเชิญผะกาไป
สู่สวนงามข้างกุฏิให้ระมะณิยะจะบำรุงไว้
เพื่อบมีภัยพิบัติปวง
ข้ารับคำว่าจะแหนหวงประดุจะวรธิดาดวง
ใจจะใฝ่ห่วงสุดาภา
อ้าเชิญไปกับบิดานา !ดรุณิอภยะครา
ขุดชะลอพาจรัลไป !
             

(พระกาละทรรศินเรียกเอาหม้อน้ำไปหลั่งที่โคนต้นกุหลาบ. พิณพาทย์ทำเพลงรัวฉิ่ง. พอพระกาละทรรศินหลั่งนํ้าเสร็จแล้ว.. สั่งให้บริวารขุดต้นกุหลาบ.คราวนื้ไม่มีเสียงร้องเช่นครั้งก่อน; พิณพาทย์ทำเพลงฉิ่งในเวลาที่ขุดตลอดจนขุดเสร็จ, และพวกบริวารจัดการยกต้นกุหลาบขึ้นจากหลุมแล้ว, พิณพาทย์จี่งหยุด)

(ฉบงง, ๑๖)
กาละทรรศิน.บัดนี้เจ้าอย่าร่ำไรช่วยกันยกไป
ยังสวน ณ อาศรมสถาน
ต้องดีอย่าได้ลนลานประคองเมื่อผ่าน
ที่เดินลำบากยากเข็ญ
จำไว้ว่าไม้นี้เป็นของวิเศษเช่น
บ่มี ณ ดินแดนใด
ตามมาข้าจะนำไปโสมะทัตไซร้
จงคอยกำกับตามมา.
             

(พิณพาทย์ทำเพลงเชิด.พระกาละทรรศิน.เดินนำเข้าโรง, บริวารนำต้นกุหลาบตามไป.)

ตอนที่ ๒

ทางเดินในดง

[ใช้เป็นม่านม้วนทิ้งระหว่างหลบ, เขียนเป็นภาพต้นไม้และกอหนาม.]

(ท้าวชัยเสนออก, พร้อมด้วยศุภางค์, กับทหารและพรานอีกสี่ห้าคน.)

(อินทะวิเชียร, ๑๑.)
ชัยเสน.เรามัวละเลิงไล่มิคะงามตะบึงบ้า
จนลึกณกลางป่าและระอิดระอาใจ
บัดนี้มิรู้ว่าดละแทบณหนใด
อีกทั้งจะเดินไปบริวารบตามทัน
เขาคงจะเป็นห่วงและวิตกเพราะเราครัน
ใครเจนพะนารัณ-ยะประเทศะถิ่นนี้ ?
             

(ศุภางค์สอบถามพวกพราน. พูดกันเบา ๆ แล้วจึงกราบทูล.)

ศุภางค์.พวกพรานกระบวนตามพระเสด็จก็ไม่มี
ผู้ใดชำนาญที่จะทำนูลถนัดได้
แต่เคยสดับซึ่งวะจะเขาแถลงไซร้
ว่ากลางอรัญใหญ่ณ ประเทศะแถบนี้
ยังมีสำนักองค์วรพรหมะโยคี
ผู้ครองคณาชีปฏิบัติตะปาการ
พรานรับจะไปค้นพระนิวาสคณาจารย์
แล้วมาแถลงการณ์ผิวะพบพระอาศรม
ชัยเสน.ดีแล้ว,และเรานี้ก็จะพักณใต้ร่ม
พฤกษาสุขารม-ยะตลอดณราตรี
เพราะว่าจะเดินต่อฤก็เหนื่อยณบัดนี้
เมื่อยล้าวะรินทรี-ยะและใคร่จะผ่อนกาย
คึนนี้ก็จวนเพ็ญศศิธรจะงามหงาย
โพยภัยและสัตว์ร้ายผิจะมาก็เห็นพลัน
จงใช้คณาพรานจรรีบณไพรสันฑ์
หาที่พระนักธรรม์ธนิวาสนกลางไพร
อีกให้ทหารบางจรย้อนวิถีไป
จนพบกระบวนใหญ่ละก็นำกระบวนมา
ที่เหลือก็ให้ถางติณะใต้สุพฤกษา
ไทรย้อยลออตาละก็คงจะพอพัก
จนกว่ากระบวนใหญ่จรพร้อมก็จึงจัก
สร้างค่ายและที่พักณประเทศะถิ่นควร
(ฉบงง, ๑๖.)
ศุภางค์.ข้าจะได้สั่งถี่ถวนตามภูมิศวร
ได้มีพระราชบัญชา.
พวกพรานจงตามเรามาบัดนี้อย่าช้า
จะใช้ไปตามมุ่งหมาย.
             

(ศุภางค์ถวายปังคมท้าวชัยเสนและเข้าโรงไปกับพวกพราน.)

(อุปชาติ, ๑๑.)
ชัยเสน.อโหระลึกขึ้นละก็สุดจะเสียดาย !
ได้เคยประสบหลายมิคะแล้วบ่เคยเห็น
กวางงามอร่ามทั่ววรกายะดังเช่น
ดนูละเลิงเล่นจรไล่ณวันนี้
ชะเนตรสนิทนิลกละนิลมะณีศรี
ยามแลชำเลืองมีกิริยาประหนึ่งอาย
เขางามประหนึ่งช่อวรวิชชุมาลย์ฉาย
และหนังระยับลายกละเลื่อมประดับวาว
ขนองสนิทดำดุจะเขียนเขม่ายาว
งามทรวงสะอาราวหิมะตกณยอดผา
ยามเดินก็งามยิ่งและจะวิ่งก็ยวนตา
จริตกิริยากละสาวสุรางค์สวรรค์
และเมื่อดนูตามมิคะใกล้จะตามทัน
โน้มน้าวธนูมั่นเหมาะและเตรียมจะยิงไป
มัวเพลินตะลึงนึ่งบมิยิงณบัดใจ
และกวางก็ว่องไวจรแผล็วณแนวพง
             

(ศุภางค์กลับออกมาถวายบังคมท้าวชัยเสน.)

(ฉบงง, ๑๖.)
ศุภางค์.ข้าได้จัดพรานดั้นดงไปตรวจตราตรง
ที่อยู่แห่งคณาจารย์
อีกจัดแบ่งพวกทหารย์อนทางที่ผ่าน
มาแล้วเมื่อไล่มฤคี
ส่วนการแผ้วถางปัฐพีสำเร็จแล้วดี
พอจะประทับอาศัย
ชัยเสน.ดีแล้ว,กูนี้อ่อนใจจึ่งอยากจะใคร่
ได้พักได้ผ่อนกายา.
             

(ท้าวชัยเสน,ศุภางค์, และบริวารเข้าโรง.)

ตอนที่ ๓

ลานหน้าอาศรมของพระกาละทรรศิน

[ด้านหลังเวทีเป็นลานมุขหน้าแห่งอาศรม, ซี่งเป็นเรือนเครื่องไม้หลังคามุงแฝก,มีบันได ๓ ขั้นขื้นจากพื้นดินไปสู่ระเบียง, และจากระเบียงมีประตูเข้าไปในอาศรม.สองข้างเวทีเป็นหลืบสวน. มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้น ๑ ค่อนไปข้างขวาแห่งเวที และใต้ต้นไม้นั้นมีแท่นศิลาอ่อน,มีหนังกวางปูลาด, พระกาละทรรศินนั่งอยูบนแท่นนี้.]

(ภุชงคัปปะยาตร์ ๑๒.)
กาละทรรศิน.เอะมีเหตุอะไรหนอจะบังเกิดอุปัทว์มา
เพราะว่าเนตระซ้ายขวาเขม่นอยู่จะเป็นลาง
อะโหนึกก็ร้อนอกวิตกถึงธิดาพลาง
ชะรอยภัยจะพานนางธิดาแน่ละครานี้
ตะแรกตรวจณฤกษ์ยามก็ดูงามและดูดี
คำนวณต่อสิเห็นมีเคราะห์ร้ายแทรกณชาตา
บรู้ที่จะทายแน่จะมีโชคและลาภา
ฤว่าร้ายและนวลนา-รืจักต้องกำสรวลศัลย์
อนิจจาจะเศร้าจิตผิเจ้ายอดสุดานั้น
เคราะห์เจ้าร้ายทำลายขวัญ,ก็รูปนี้จะพลอยโศก
เพราะรูปได้สุดามาประดุจได้ประสบโชค
ประหนึ่งเจ้าและนำโศลกประเวศแน่วณอาศรม
และหากต้องวิโยคเจ้าจะแสนเศร้าณอารมณ์
เพราะเคยเห็นและเคยชมบเว้นว่างณวันเพ็ญ
ธิดาช่างบำเรอจิตบิดาให้ฤดีเย็น
ประดิษฐ์โภชนาเช่นบเคยลิ้มณก่อนกาล
จะกินเค็มฤกินมันก็พลันสมมะโนมาลย์
จะชอบเปรี้ยวฤชอบหวานก็ปรุงรสบผิดใจ
มหาเทวะทรงศักดิ์ !ดนูภักดิต่อไท
พระจงโปรดดนูไซร้และคุ้มครองสุดาภา
             

(มัทนา,ถือกระเช้าเต็มไปด้วยดอกไม้, เดินออกมาทางขวาและตรงไปคุกเข่าลงที่ตรงหน้าแท่นศิลา, และพูดกับพระกาละทรรศิน)

(กมล, ๑๒.)
มัทนา.เอ๊ะอะไรพระพ่อบ่นวรมนตร์ฤเจ้าขา
และดิฉันละลาบมาบมิควรฤฉันใด ?
ผิวะองค์บิดามุ่งจะบำเพ็ญตะปาไซร้
ก็ดิฉันจะหลีกไปบมิอยู่และกีดขวาง
พระบิดาก็ย่อมรู้มะทะนามิอยากห่าง
ปฏิบัตติอยู่ข้างพระบิดาและพอใจ
เพราะมิใช่ดิฉันเหมือนวธุธรรมะดาไซร้
ตละเดือนก็อัดใจบมิมีฤดีสราญ
เพราะมโนสินึกเร่งศศิธรและนับวาร
ตละเดือนก็ดูกาลจิระกว่าจะวันเพ็ญ
และณปัณณรัสวา-ระก็ย่อมจะกลับเห็น
ทิวะล่วงประดุจเผ่นจรจู่บอยู่ยั้ง !
ผิวะองค์บิดาว่างมะทะนาจะขอนั่ง
ปฎิบัติบิดาดังฤดิมุ่งเสมอมา
             
(มันทักกันตา, ๑๗)
กาละทรรศิน.อ้าโฉมฉายสายสะมะระมะทะนา พ่อสิเพลินตา เพราะลูกขวัญ !
ลูกอยู่ใกล้พ่อละก็กะมละฉัน เฉกอุทกอัน ประพรมใจ
ไม่เคยมีศิษย์ดุจะอรวิไลย์ ช่างประพฤติให้ บิดาสุข
วันเพ็ญพ่อเป็นระมะณิยะบทุกข์ ปราศะเข็ญขุก และรำคาญ
ส่วนวันอื่นพ่อฤก็บมิสราญ เหมือนณวันวาร ธิดาใกล้
ดังนี้แม้ว่าสะมะระจะคระไล จากบิดาไป ก็พ่อนี้
คงต้องไร้ความสุขะเพราะวะฤดี คงบได้มี ละผ่องแผ้ว.
อ้าลูกน้อยกลอยฤดิสุมะณิแก้ว พรากธิดาแล้ว จะอาดูร !
(สัททุลวิกกีฬิต,๑๙)
ข้าขอให้สุระเทวะฤทธิอะนุกูล ฟังข้าพเจ้าทูล เถอะไท้
หากข้าเสียมะทะนาธิดาอระวิไลย์ ข้าบาทจะได้ใคร ล่ะแทน ?
อ้าเทวินทะมะหินทราธิปะติแมน ทรงวัชระแกล้วแกว่น อะมร
โปรดอย่าให้มะทะนาสุดาดรุณิอร ต้องไปอะนาทร ฤเข็ญ !
             
(ฉบงง,๑๖.)
มัทนา.เอ๊ะพระบิดานี่เป็นทุกข์ร้อนใดเห็น
บเคยแต่ก่อนดังนี้
ดูพระบิดาจะมีความวิตกที่
พระยังมิบอกลูกน้อย
เป็นไรโปรดบอกลูกหน่อย
กาละทรรศิน.อ้าลูกผู้กลอย
จิตยอดฤดีบิดา !
พ่อนี้วิตกนักหนาด้วยเกรงอยู่ว่า
ธิดาจะจากพ่อไป.
มัทนา.พระองค์จะกลัวทำไม ?ไม่,เห็นว่าใคร
จะกล้ามาพาลูกหนี,
และกล่าวส่วนตัวลูกนี้ฤๅจะอยากลี
ลาศจากบิดาการุญ ?
กาละทรรศิน.เป็นธรรมะดาของสุน-ทะระดรุณ
กุมาริย่อมยวนตา
แห่งชายหนุ่มและไม่ช้ารักก็จะพา
รักเขามาจ่อจอดใจ,
แล้วหญิงย่อมจะคลาไคลจากอกพ่อไป
สู่เคหาแห่งสามี.
มัทนา.พระพ่อไยกล่าวเช่นนี้เมื่อทราบอยู่ดี
ว่าลูกไม่เหมือนเขาเขา
แล้วก็ผู้ชายใดเล่าจะรักข้าเจ้า,
ผู้เป็นมนุษย์หนึ่งวัน
กับอีกหนึ่งคืนแล้วพลันกลับเพศแผกผัน
ไปเป็นดอกไม้มากหนาม !
ถึงหากนารีเลิศงามแม้ได้ชมทราม
สิเนหะได้เพียงแต่
หนึ่งวันหนึ่งคืนแล้วแลมิได้ชมแม้
สักนิดตลอดอีกเดือน,
ชายใดจะยอมอยู่เพื่อน ?ขืนรักก็เหมือน
รักรูปนิมิตมายา.
ฉะนั้นองค์พระบิดาจงโปรดเมตตา
และคลายวิตกด้วยพลัน.
             

(โสมะทัตพาศุภางค์ออกมาทางซ้าย ; ต่างกระทำความเคารพพ่อพระฤษี.)

(สุรางคณา, ๒๘.)
โสมะทัต.นายทหารนี้ ได้จรลี ล่วงหน้าราชัน จอมขัตติย์วงศ์
เผ่าองค์พระจันทร์ ผู้ดำรงขัณฑ์ หัสดินบุรี
เพื่อมาบอกข่าว ว่าสมเด็จท้าว ผู้จอมธานี จะเสด็จพลัน
วันทาฤษี ตามสมควรที่ กำหนดวินัย
กาละทรรศิน.อันภูมินาถ เสด็จประพาส พักแรมหนไหน ?
ศุภางค์.พระร้อนแรมมา ในพนาลัย สำราญแห่งใด ประทับแห่งนั้น.
กาละทรรศิน.อันอาตะมะ เต็มใจที่จะ ตอนรับจอมขัณฑ์
จะตั้งเครื่องที่ มีในอรัญ ถวายราชัน เสวยสำราญ
แน่โสมะทัต แล้วเจ้าจงจัด รับบริพาร
ส่วนโภชนา โอชาอาหาร จะใหันงคราญ จัดแต่งเตรียมไว้
ไปเถดธิดา, เข้าในศาลา เตรียมเครื่องทันใด
อีกทั้งจัดของ สำรองพร้อมไว้ เลี้ยงพวกข้าไท ผู้บริพาร
ศุภางค์.อันกระบวนหลวง ก็พร้อมทั้งปวง เสบียงอาหาร.
กาละทรรศิน.แต่ว่าตัวเรา เป็นเจัาของบาน ตัองขอเลี้ยงท่าน. มาเถิดธิดา.
             

(พระกาละทรรศินกับมัทนาเดินไปขื้นบันไดและหายเข้าไปในอาศรม.)

(สาลินี, ๑๑.)
ศุภางค์.ขอโทษเถิดหากดูดนุไร้กิรียา
แต่ข้าขอถามว่าวธุนั้นนะคือใคร ?
ได้ยินท่านเรียกว่าวรบุตริท่านไซร้
ลูกจริงฤๅฉันใด.ฤวะบุตริบุญธรรม ?
โสมะทัต.หากข้าบอกความให้ฤก็ท่านจะเห็นคำ
ข้าตอบเป็นข้อขำและบยอมจะเชื่อฟัง
นางนี้เป็นต้นพฤก-ษะประดิษฐะอยู่ยัง
กลางดงใกล้ที่ตั้งวรบรรณะศาลนี้
อาจารย์ท่านเชิญมาและสถิตณสวนศรี
แลเมื่อถึงวันที่ศศิเพ็ญก็เป็นคน
ดังนี้สันนิษฐานวธุเป็นสุรางค์บน
ถูกสาปจึ่งจำทนทุขะอยู่ฉะนี้นา
ศุภางค์.ที่ท่านไดัเล่านี้นะก็แปลกละเจ้าข้า
แต่ครั้นเมื่อพิศพาฤดิเห็นจะเป็นจริง
ดัวยนางนี้มีสุน-ทะระลักษณายิ่ง
ยวดกว่าบรรดาหญิงณมะนุสสะโลกแท้
ผืวนางนั้นผุดผ่องกละนวลสะกาวแข
เกศาดำแม่นแท้กละฟ้าณราตรี
สองเนตรเหมือนดารา-กะระในนะภาศรี
สองแก้มเปรียบรัศมีพระอรุณแอร่มฉาย
เอออันว่าชายใดผิวะได้ประสบสาย
ใจคงไม่มีคลายรสะรักณดวงแด !
โสมะทัต.ท่านเอยอย่าฝันใฝ่บมิเป็นประโยชน์แท้
นางนั้นไม่พึงแลและบพูดกะชายใด
นอกจากท่านอาจารย์วนิดาบรักใคร
เพียรพูดเท่าใดใดบมิพึงจะไยดี
ศุภางค์.อ้าท่านอย่าเข้าใจวะจะผิดณบัดนี้ !
ข้าเองไม่หวังที่จะประโลมสุดาสวรรค์
ข้านึกไปถึงองค์วรราชะราชัน
ผู้เป็นเจ้าครองขัณ-ฑะประเทศะธานี
ท่านเป็นซึ่งเผ่าพัน-ธุพระจันทะเรืองศรี
หากเห็นซึ่งเทวีธก็คงจะโปรดปราน
แต่หากนางเป็นบาทบริจาริกาท่าน
ข้าเกรงคงเกดการทุมะนัสละแน่นอน
ฝ่ายท่านไม่ใช่ข้าวรบาทพระภูธร
ข้าเจ้าทำปากบอนบมิควรณทีนี้
จึงจำต้องของดอธิบายะไว้ที
ขอท่านอย่าได้มีฤดิขึ้งดนูหนอ
โสมะทัต. ตูข้าเป็นคนต่ำบมิจงทะนงขอ
ท่านจงกล่าวแต่พอดำริควรแถลงสาร.
             

(พิณพาทย์ทำเพลงพระยาเดิน. ท้าวชัยเสนออก. พร้อมด้วยบริวาร พระกาละทรรศินออกมาจากในอาศรม ลงบันไดมาต้อนรับท้าวชัยเสน; พิณพาทย์หยุด.)

(เมฆวิปผุชชีตา ๑๙.)
กาละทรรศิน.ชโยข้าขอกล่าวคำประจุคะมะนะการ
แด่พระผูผ่านมไหหศวรรย์
ชโยขอให้องค์ท้าวนะระปติพระชัน-
มายุร้อยพรร-ษะกาลยง
ชโยขอให้มีชัยชำนะอริทะนง
สมประสงค์องค์อธีราช
ชโยขอให้องค์ขัตติยะนิกะระนาถ
สิทธิสมมาดณกิจการ
ชโยขอจงทรงเกษมสุขะฤดิสราญ
ทุกทิวากาลและราตรี
ชโยขอจงองค์ท้าวปิยะนะระบดี
คงพะลังมีนิรันดร
             
(อินทะวิเชียร, ๑๑)
ชัยเสน.ข้าขอประณตน้อมศิระเกล้าและรับพร
อีกขอประนมกรและจะถามพระโยคี
ท่านอยู่ณไพรสาณฑ์พหุการกุศลดี
แลท่านบได้มีภยบางฤอย่างไร ?
อันมูลผลาหารบริบูรณ์ฤฉันใด
ยุงริ้นและเหลือบไรบมิกวนฤเจ้าขา ?
สัตว์สิงสมิงไพรบมิเบียนและบีฑา
แลศิษย์พระสิทธาสุขะทั่วฤนักธรรม ?
กาละทรรศิน.ข้าขอถวายพรสิริโสตถิราชัน.
อันว่าดำรัสนั้นดนุตอบพระดังนี้
ข้าอยู่ณไพรสาณฑ์พหุการกุศลดี
แลข้าบได้มีภยพาลประการใด
อันมูลผลาหารบริบูรณะสมใจ
ยุงริ้นและเหลือบไรบมิกวนณกายา
สัตว์สิงสมิงไพรบมิเบียนและบีฑา
อีกศิษยะของข้าสุขะโสตถิทั่วกัน
             

(มัทนาออกมาจากในอาศรม. ท้าวชัยเสนเห็นก็จ้องจนตะลึง.)

(ฉบงง, ๑๖.)
มัทนา.บิดาเจ้าขาดิฉันเตรียมเสร็จซึ่งสรร-
พะโภชนาจำนง
อีกได้เตรียมนํ้าโสดสรงสำหรับพระองค์
วิสุทธิราชฦๅชัย
ทั้งเตรียมน้ำมันพร้อมไว้เพื่อพระจะได้
ทรงทาแก้เมื่อยวรกาย
ขอเชิญบิดาผันผายพร้อมพระฦๅสาย
เข้าสู่ศาลาบัดนี้
             

(กราบพระกาละทรรศิน, และกราบท้าวชัยเสน แล้วกลับเข้าโรง)

(อุเปนทะวิเชียร. ๑๑.)
ชัยเสน.(พูดกับศุภางค์)
เอ๊ะกูสุบินเห็นฤวะจริงนะเมื่อกี้
ฤเทวะนารีธเสด็จณศาลา ?
และเจ้าก็แลเห็นเพราะฉะนั้นสิตอบมา
จะเป็นสุดาฟ้าฤวะเป็นนะรีใด ?
ศุภางค์.พระทอดพระเนตรเห็นดรุณีวิเศษไซร้
มุนีธเลี้ยงไว้ดุจะปรียะบุตรี
และนางถนัดนามมะทะนาวิสุทธี
เสด็จประเวศที่วรบรรณะศาลา
ก็คงจะได้เห็นวธุนั้นนะอีกครา
เพราะหล่อนก็คงมาปฏิบัติพระภูบาล
ชัยเสน.พธูประดามีณบุรีฤไพรสาณฑ์
จะหาวิไลยปานฤก็กูบเคยเห็น
และหากว่ากูได้ก็จะรื่นฤดีเย็น
จะรักและยกเป็นภริยาภิรมย์สม
ทิวาและราตรีบมิหน่ายมิแหนงชม
จะเร้าระตีรมยะระรื่นระรวยใจ
             

(พระกาละทรรศินยืนคอยอยู่จนเห็นท้าวชัยเสนตรัสกับนายทหารจบลงจี่งพูดขื้น)

(ฉบงง, ๑๖.)
กาละทรรศิน.ข้าขอทูลเชิญทรงชัยเสด็จเข้าใน
อาศรมสราญร่มเย็น.
จริงอยู่เรือนข้าก็เป็นเพียงเรือนอย่างเช่น
บุคคลชาวป่าอาศัย
แต่ว่าอาตมะเต็มใจตอนรับท้าวไท.
ชัยเสน.ข้าขอขะมาเถิดท่าน!
ข้าเจ้านี้มัวสั่งงานกับนายทหาร
จึ่งดูประหนึ่งเพิกเฉย
ที่แท้ใช่เช่นนั้นเลย
(หันไปพูดกับศุภางค์)
นี่แน่ะเจ้าเอ๋ย
เข้าใจกูแล้วฤๅไฉน ?
รีบปลูกซึ่งพลับพลาใหญ่ณ ที่ใกล้ใกล้
อาศรมสถานที่นี้
ศุภางค์.ข้าพระบาทเข้าใจดีและได้เลือกที่
ไว้แต่เมื่อล่วงหน้ามา
ได้สั่งเขาปลูกพลับพลาซึ่งในไม่ช้า
ก็คงสำเร็จเสร็จได้
เมื่อมาฬกเเล้วเมื่อใดข้าบาทจะได้
นำความขึ้นกราบทูลพลัน
ชัยเสน.ข้าแต่องค์พระนักธรรม์อันตัวดิฉัน
ขอพักอยู่ใกล้อาศรม
เพราะมาเมื่อยล้าระทมได้ผ่อนอารมณ์
ณ ที่สำราญเช่นนี้
คงจะพอเป็นสุขี.ไม่ช้าข้านี้
ก็คงจะลากลับไป
แต่หากว่าข้าอยู่ใกล้จะรบกวนไซร้
ก็จะได้รีบแปรสถาน
กาละทรรศิน.ราชะ, อันพระภูบาลก็เป็นผู้ผ่าน
พิภพและทรงคุ้มครอง
ฉันใดพระองค์จะต้องเกรงข้าผู้ครอง
เพียงเขตอรัญพงพี ?
อันโปรดตำบลหนนี้อาตะมะมี
ความปลื้มกมลพ้นไป
เพราะข้าโยคีชีไพรนานนานจะได้
เฝ้าพระบรมบพิตร
หากกล่าวตามอำเภอจิตพระองค์สถิต
ยิ่งนานก็ยิ่งยินดี
ชัยเสน.ฉะนั้นเชิญพระมุนีทำทางจรลี
ข้าเจ้าจะตามท่านไป
             

(พระกาละทรรศินกับท้าวชัยเสนเดินหายเข้าไปในอาศรม.)

(อินทะวิเชียร, ๑๑.)
ศุภางค์.นึกน่าอนาถจิตก็จะคิดประการใด ?
นึกแล้วว่ะทรามวัยฤก็ควรกะทรงศักดิ์
นึกเล่าก็สงสารวนิดายุพาพักตร์
นึกถึงจะต้องหนักอุระแน่ละนงคราญ !
             

(ศุภางค์เดินก้มหน้าเข้าโรงไปทางหลืบซ้าย,คนอื่น ๆ ยืนจ้องดูตามไป.)

(ปีดม่าน)

องก์ที่ ๓

ฉาก : ลานหน้าอาศรมของพระกาละทรรศิน

[คือฉากเดียวกันกับตอนที่ ๓ แห่งองก์ที่ ๒ นั่นเอง,แต่หนังกวางที่ปูบนแท่นศิลาใต้ต้นไม้นั่นเก็บไปเสีย ; และสมมติว่าเป็นเวลากลางคืน, มีแสงเดือนหงายแจ่มอย่างในวันเพ็ญ.]


(ท้าวชัยเสนออกทางหลืบซ้าย.)

(อินทะวิเชียร, ๑๑.)
ชัยเสน.โอ้โอ๋กระไรเลยบมิเคยณก่อนกาล !
พอเห็นก็ทราบซ่านฤดิรักบหักหาย
ยิ่งยลวะนิดาละก็ยิ่งจะรัอนคล้าย
เพลิงรุมประชุมภายณอุราบลาลด
พิศไหนบมีทรามวะธุงามสง่าหมด
จนสุดจะหาพจน์สรเสริญเสมอใจ
องค์วิศวะกรรมันนะสิปั้นวะธูไซร้
พอเสร็จก็เทพไทพิศะรูปสุรางค์เพลิน
ยืนเพ่งและนั่งพิศวรพักตร์บหมางเมิน
งามใดบงามเกินมะทะนาณโลกสาม
แลวิศวะกรรมันผิจะปั้นวะธูตาม
แบบอีกก็ไม่งามดุจะโฉมอนงค์นี้
เหตุนี้สินงคราญณสถานพิภพตรี
จึ่งไม่ประสบที่สิริรูปะเทียมทัน
งามเกินมนุษย์จริงกละหญิงนิมิตฝัน
จนแรกประสบนั้นดนุจวนจะปลุกตัว
นึกว่าสนิทนิทร์นยนาก็แน่วนัว
แต่นึกก็ออกกลัวจะผวาและไม่เห็น
ครั้นเมื่อสดับศัพ-ทะสำเนียงก็เยือกเย็น
ราวดื่มอุทกเพ็ญรสะรื่นระรวยใจ
เสียงเจ้าสิเพรากว่าดุริยางคะดีดใน
ฟากฟ้าสุราลัยสุรศัพทะเริงรมย์
ยามเดินบเขินขัด,กละนัจจะน่าชม
กรายกรก็เร้ารม-ยะประหนึ่งระบำสวย
ยามนั่งก็นั่งเรียบและระเบียบบเขินขวย
แขนอ่อนฤเปรียบด้วยธนุก่งกระชับไว้
พิศโฉมและฟังเสียงละก็เพียงจะขาดใจ
โอ้นอนจะหลับไหลฤฉะนี้นะอกเอ๋ย
ขืนนอนก็ร้อนเร่าฤดีเฝ้าคะนึงเชย
หากขืนจะนอนเฉยอุระอาจจะพังภิน
จำมาณที่นี้เพราะว่ะใกล้สุนาริน
โอ้เราบสมจิน-ตะนะได้ฤฉันใด ?
ช้าก่อน!ดนูเห็นณประตูสิรำไร
ดังหนึ่งจะมีใครจระจากพระอาศรม
อ้าขอถวายอัญชลิองค์สุโรดม
ขอให้ดนูชมวธุเลิศเถอะสักที !
             

(ท้าวชัยเสนเลี่ยงเข้าไปแฝงอยูหลังกอไม้ข้างซ้าย มัทนาเดินออกมาจากอาศรมและมายืนพงเสาระเบียง, มองดูดวงเดือน.)

(อินทวงส์, ๑๒.)
มัทนา.โอ้ว่าอนาถใจละไฉนนะเป็นฉะนี้ ?
แต่ไรก็ไม่มีมะนะนึกระเหระหน
ไม่เคยจะเชื่อว่าระตินั้นจะสัปดน
มาสู่ณใจตนและจะต้องระทมระทวย
เมื่อก่อนสิชายรักก็มิพักจะเออจะอวย
อวดดีและอวดด้วยบมิเคยจะลุ่มจะหลง
ทั้งเคยเยาะเย้ยหยันนระผู้พะว้าพะวง
ว่าเขานะเขลาคงจะบพ้นระอิดระอา
เคยว่าบุรุษกล่าววจะลวงยุพาและพา
ไปร่วมสิเนหาบมิช้าก็ทอดก็ทิ้ง
ดังนั้นสิแม้ชายอภิปรายและอ้อยและอิ่ง
เราจึ่งมิสุงสิงและบรักสมัครสมาน
คราวนี้สิพบชายวรรูปวิเศษวิศาล
ใจวาบและหวามปานฤดินั้นจะโลดจะลอย !
เธอนั้นฤเจียมตัวกิริยาก็เรียบก็ร้อย
ไม่มีละสักน้อยจะแสดงณท่วงณที
ว่าเธอประสงค์จะอภิรมย์ฤดีระตี
เป็นแต่ชำเลืองที่ดนุบางณครั้งณคราว
คราใดประสบเนตรฤก็เราละร้อนและหนาว
เธอไกลก็ดูราวนภะไร้ตะวันและเดือน
โอ้ว่าณครานี้แหละฤดีจะฟั่นจะเฟือน
ด้วยรักกระทำเชือนละฉะนี้จะทำไฉน ?
(สาลินี, ๑๑.)
ชัยเสน.(พูดปรารภ.)
ฟังคําที่หล่อนบ่นก็กะมลบ่มั่นได้
ว่าคำที่พูดไซร้วธุม่งณตัวเรา
หากเรานี้หาญตอบผิวะขัดฤดีเจ้า
โฉมยงคงรีบเข้าณพระบรรณะศาลา
คอยฟังเผื่อพูดอีกเถอะนะเห็นจะดีกว่า
เพียงฟังเจ้าแก้วตาก็ระรื่นระเริงใจ !
มัทนา.(ยังไม่เห็นท้าวชัยเสน, พูดคนเดียว.)
โอ้นึกขึ้นมาเเล้วละก็แทบจะร้องไห้
พอหมดคืนนี้ไซร้ก็จะชวดละโอกาส
เออทำฉันใดดีนะจะให้พระทรงราชย์
อยู่ต่อไม่ลีลาศจระจากณที่นี้ ?
หากว่าไม่ได้เป็นยุวะพรหมะจารี
คงกล้าแลพาทีพจะทูลพระภูธร
ให้คงแรมอยู่อีกณประเทศะนี้ก่อน
แลหากว่าทูลวอนพระก็อาจะเดารู้
ว่าเรานี่ภักดีและก็คงจะเอ็นดู
ตัวเราจักได้อยู่ปฎิบัติพระบาทา
โอ้อยากให้ท่านรู้ณฤดีดนูนา !
อยู่ก่อนเถิดราชา !
ชัยเสน.(พูดตอบคำของมัทนา.)ดนุเองก็เต็มใจ !
อยากอยู่เพื่อชมโฉมยุวะดีมณีมัย
ผู้เป็นเจ้าของใจ.
มัทนา.เอ๊ะ!ก็ใครนะพาที
มาจากในที่มืดมละแฝง ณ แห่งนี้ ?
ชัยเสน.ข้าเองซึ่งหล่อนมีมะนะมุ่งจะให้ยั้ง
             

(เดินออกจากที่แฝงมายืนหน้าอาศรม.)

มัทนา.อ้าจอมมงกุฎเกล้า !ก็กระไรพระมาบัง
พุ่มไม่แลทรงฟังวะจะของกระหม่อมฉัน
ผู้บ่นดังคนเพ้อและมะเมอประหนึ่งฝัน
ไม่ควรสมเด็จธรร-มิกะราชจะทรงยิน
ชัยเสน.ยินเเล้วข้าชื่นจิตดุจะหล่อนและให้กิน
น้ำทิพย์ที่ควรจิน-ตะนะแท้นะนงคราญ
มัทนา.หากว่าหม่อมฉันทราบพระเสด็จณหน้าศาล
ปากคงไม่อาจหาญเพราะก็ย่อมจะมีอาย
อันหญิงย่อมไม่อยากจะกระทำประดุจขาย
ความรักให้แก่ชายเพราะว่ะเกรงจะดูแคลน
อันชื่อของหม่อมฉันฤก็สุดจะหวงแหน
เกลียดหญ่งที่แปร๋แปร้นกละชวนบุรุษชม
ครานี้พันเอินองค์อธิราชนะโรดม
ทรงยินคำปรารม-ภะเเละบ่นณราตรี
คงทรงนึกอยู่ว่าดนุทรามและสิ้นดี
ราวนางโสเภณีบมิเขินมิขวยใจ
แล้วคงทรงดูถูกดนุนี้ละยิ่งใหญ่
ว่าเป็นผู้หญิงไร้คุณะธรรมะอันควร
หม่อมฉันขอทูลลานรนาถบดีศวร
ยิ่งอยู่คงยิ่งกวนวรบาทพระภูธร
(อุปัฏฐิตา, ๑๑.)
ชัยเสน.อ้าโฉมมะทะนาบริสุทธิบังอร
ข้าฤๅจะติหล่อนเพราะสดับวจีหวาน ?
ชื่นจิตตะสดับมธุรสฤดีบาน
ทราบว่ายุวะมาลย์กรุณาณข้านี้
พอเห็นวรพักตร์วนิดาวะรางคี
บัดนั้นฤก็มีฤดิท่วมสิเนหา
เหมือนโฉมดะรุณีนะแหละยื่นสุหัตถ์มา
ล้วงใจดนุคร่าและกระลึงหทัยไว้
แต่นั้นก็อนงค์นะสิยังบคืนให้
กำดวงฤดิในวรหัตถะแน่นครัน !
หากนางบมิชอบและจะคืนหะทัยนิ้น
ข้านี้ก็จะศัล-ยะพิลาปพิไรวอน
ขอให้วนิดากรุณาดะนูก่อน
อย่าเพ่อสละรอนระติราญสุไมตรี
ถึงหล่อนจะมิรักก็จะขอกะโฉมศรี
ให้ยอมดนุมีฤดิรักพะธูไป
จนกว่าจะประจัก-ษณะจิตตะหล่อนไซรั
แล้วยกฤดิให้ดนุผู้พยายาม
อ้าโฉมมะทะนาผิวะหล่อนจะยอมตาม
ใจพี่ละก็ความสุขะพี่จะพูนพี
แต่หากมะทะนาบมิรักก็พี่นี้
เหมือนตกอะวิจีทุขะท่วมบรู้วาย
(ภุชงสัปปะยาตร์, ๑๒.)
มัทนา.กระหม่อมฉันสดับคำดำรัสแห่งพระฦๅสาย
ประณตนอบระยอบกายและกราบแทบพระบาทา
ก็รสใดจะหวานแม้นสุรสแห่งพระวาจา
กระแสทราบณทรวงข้าพระบาทปลื้มบลืมรส
และรู้สึกพระการุณ-ยะภาพแห่งพระทรงยศ
จะฝังใจบไดัลดฤลืมจนณวันมรณ์
ก็แต่ว่ากระหม่อมฉันฤเป็นชาวพะนาดร
จะเทียบชาวนครค่อนจะเสียเปรียบบ่ควรหวัง
สนมนางกำนันในสถิตแทบณเวียงวัง
ฉวีนวลสะกาวปลั่งประดับแก้ววราภา
และรู้จักบำเรอครบประจบองค์พระราชา
กระหม่อมฉันสิชาวป่าจะสู้เขาบไดัแท้
ชัยเสน.อ๊ะ จริงจริงนะแก้วตาดนุนี้บอยากแล
ฤเชยนาริอื่นเเม้กนิษฐาประนอมรัก
เพราะนารีณวังในบมีใครจะงามพักตร์
ฤงามรูปวิไลยลักษณ์เสมอเจ้าบพึงมี
คณานางสนมเปรียบประหนึ่งกาและถ่อยที
วธูยอดฤดีพี่ประหนึ่งหงส์สุพรรณ์พรรณ
ก็พี่นี้สิเคยชมวิหคหงสะเลอสรรค์
จะกลับชมอิกานั้นบได้แล้วนะแก้วตา !
มัทนา.กระหม่อมฉันก็เคยทราบสุภาษิตบุราณว่า
บุรุษยามสิเนหาก็พูดได้ละหลายลิ้น
ประจบนางและพลางกอดพะนอพลอดและปลอดปลิ้น
และหลอกเยาวะนาริน.
ชัยเสน.ผิลิ้นพี่จะมีหลาย
ก็ทุกลิ้นจะรุมกล่าวแสดงรักณโฉมฉาย
และทุกลิ้นจะเปรยปรายประกาศถ้อยปะฏิญญา
พะจีว่าจะรักยืดบจางจืดสิเนหา
สบถให้ละต่อหน้าพระจันทร์แจ่มณเวหน
มัทนา.พระกล่าวอ้างพระจันทร์นี้ชะรอยทีมิชอบกล
ชัยเสน.เพราะเหตุใดละหน้ามน ?
มัทนา.เพราะเดือนนั้นมิมั่นคง
ณข้างขึ้นสิหงายแจ่มกระจ่างสดและกลดทรง,
ณ ข้างแรมบเห็นองค์พระจันทร์เจ้าณราตรี !
ชัยเสน.ฉะนั้นขอสบถต่อสุดาราจำรัสศรี
วะแวววับระยับที่นภากาศพะแพรวพราย
มัทนา.ก็เห็นว่ามิชอบกลละอีกแล้วพระฦๅสาย
เพราะเมื่อใดพระจันทร์ฉายก็ขับดาวละลายไป
ชัยเสน.ฉะนั้นเจ้าจะให้พี่สบถโดยสุเทพใด ?
มัทนา.ก็หากทรงประทานให้กระหม่อมฉันนะเลือกสรร
จะขอให้พระสาบานณองค์เทวะเทวัญ
พระองค์ใดก็ไม่มั่นฤดีเท่าพระจอมเกศ
พระองค์ทูลกระหม่อมแก้วก็สมมตสุเทเวศร์
ฉะนั้นแม้พระทรงเดชดำรัสคำปฏิญญา
กระหม่อมฉันก็จงรักและภักดีและเป็นข้า
ไฉนเล่าจะสงกา ?
ชัยเสน.ฉะนั้นพี่ก็ยินดี ?
             

(ท้าวชัยเสนไปจูงมือมัทนาจากระเบียงและจูงมากลางเวที.)

(โตฎก, ๑๒.)
มะทะนาดนุรักวรยอดยุพะดี
และจะรักบมิมีฤดิหน่ายฤระอา
ผิวะอายุจะยืนศะตะพรรษะฤกว่า
ก็จะรักมะทะนาบมิหย่อนฤดิหรรษ์
นยะนาก็จะชมวธุต่างมะณิพรรณ
และจะสูดสุวะคันธ์ระสะต่างสุผะกา
ผิวะตื่นก็จะดูยุวะดีสิริมา
ผิวะหลับฤก็ข้าจะสุบินฤดิเพลิน
ทิวะราตริจะนอน,ฤจะนั่งฤจะเดิน
บมิมีละจะเหินฤจะห่างมะทะนา
บมิเห็นวรพักตร์ก็จะหนักอุระว้า
ขณะเคียงพะนิดาก็ระรื่นฤดิศานต์
ผิวะเจ้าก็สมัครและจะรักดนุนาน
จระสู่อุทะธารเถอะนะเราก็จะวัก
อุทะกล่าวสุประทานเฉพาะเทพสุรศักดิ์
และฉะนั้นละก็จักดุจะหมั้นจะวิวาห์
มัทนา.ผิพระโปรดละก็ข้อยบมิขัดวะจะนา
และจะตามพระลิลาจระทั่วปะฐะพี
             

(บัดนื้สมมติว่าเริ่มจะรุ่ง,ฉะนั้นให้มีแสงแดงขื้นที่ท้องฟ้า, แล้วคอยเปิดไฟขาวมากขึ้นทีละน้อย ๆ ระหว่างเวลาที่สองคนพูดกันต่อไปนื้.)

(อีทิสะ, ๒๐.)
ชัยเสน.อ้าอรุณแอร่มระเรื่อรุจีประดุจมโนภิรมย์ระตี
ณแรกรัก !
แสงอรุณวิโรจน์นภาประจักษ์แฉล้มเฉลาและโศภินัก
นะฉันใด
หญิงและชายณยามระตีอุทัยสว่างณกลางกมลละไม
ก็ฉันนั้น
แสงอุษาสะกาวพะพราวณสรรค์ก็เหมือนระตีวสุทธิอัน
สว่างจิต !
อ้าอนงคะเชิญดำเนินสนิทณข้างดนูประดุจสุมิตร
มโนมาน
ไปกระทั่งณฝั่งอุทกอะจีระธารและเปล่งพะจีณสัจจะการ
ประกาศหมั้น
ต่อพระพักตร์สุราภิรักษะอันเสด็จสถิตณเขตอะรัณ-
ยะนี่ไซร้
ว่าดนูและน้องจะเคียงคระไลและครองตลอดณอายุขัย
บ่คลาดคลา
มัทนา.สูรยะส่องสว่างณกลางนภาก็พลอยสว่างณภูมิหล้า
แหละฉันใด,
อันพระโปรดก็จิตตะข้าก็ได้สว่างกระจ่างและสดและใส
ณ บัด นี้
ข้าพระบาทจะสุขสราญฤดีก็ย่อมจะโดยพระบารมี
ธปกเกล้า
พึ่งพระคุณกะรุณยะค่ำและเช้าจะปราศะโศกบมีณเศร้า
ฤทุกขํ
ใจจะอิ่มจะเอมเพราะเปรมปริยํและรื่นณรสระตีจรํ
ระรวยใจ
ทูลกระหม่อมเสด็จณเทศะใดก็ข้าพระบาทจะตามธไป
พระเจ้าข้า !
             

(ท้าวชัยเสนกับมัทนาจูงมือเดินเข้าโรงทางหลืบซ้าย.)


(บัดนื้สว่างแจ้งแล้วเวทีว่างอยู่สักครู่ ๑. เสียงไก่ขันและนกร้องในโรง แล้วมีพวกบริวารของพระกาละทรรศิน.ออกมากวาดลานหน้าอาศรม, ศุนเป็นผู้กำกับ พวกทำงาน. อีกสักครู่ ๑ นาค.จี่งออกจากทางหลืบขวา, หน้าตาตื่น.)

นาค.มันเกิดเรื่องพิกลเสียแล้วละเพื่อน.
ศุน.พิกลอะไร ?
นาค.ต้นนั่นน่ะ.
ศุน.ต้นนั่นอะไร ? พูดให้เหมือนคนหน่อยไม่ได้เทียวหรือ ?
นาค.ต้นไมัวิเศษของท่านอาจารย์อย่างไรล่ะ.
ศุน.กุพชะกะ ! ขัาเพียรท่องชื่อเสียเป็นนานจึ่งจำได้.แล้วก็มันเป็นอะไรไปล่ะ ?
นาค.หายไปแล้ว !
ศุน.บัดซบ ! ก็วันเพ็ญต้นนั่นกลายเป็นนางนี่เพื่อน
นาค.แกสิบัดซบ ! เมื่อวานนี้ต่างหากวันเพ็ญ. วันนี้แรมค่ำ ๑.
ศุน.เออ,จริงแฮะ ! นางควรจะกลับเป็นต้นไม้อีกแล้ว.
นาค.ก็นั่นสิ ; แต่เดี๋ยวนี้ต้นไม้ไม่ได้อยู่ตามที่เคยอยู่.
ศุน.ข้าว่าแล้วไหมล่ะว่าต้นไม้นี่มันเป็นต้นไม้ผี. ถ้าเปิดกลับไปอยู่ป่าเสียอีกละก็จะทำความลำบากกับพวกเราอีกละนะ
นาค.จริง ! ข้าก็ต้องถูกขนาบแย่เท่านั้น.
ศุน.แน่ละ ! แก่มันเป็นหน้าที่บำรุงรักษาต้นไม้นั้นอยู่ด้วย.
นาค.จะทำอย่างไรกันดีล่ะเรา ?
ศุน.อย่ามาลากเอาข้าเข้าไปด้วยเลย. ข้าไม่ขอแบ่งโทษของแกดอก, เชื่อเถอะ.
นาค.เอาเถอะ โทษทัณฑ์ข้ารับคนเดียวก็ได้ ขอแต่ให้ช่วยออกความคิดหน่อยเถอะ.
ศุน.เปิด !
นาค.เปิดอะไร ?
ศุน.เปิดหนีน่ะสิ !
นาค.หนีไปไหน ?
ศุน.อนิจจํอนิจจา ! หนีไปไหนก็ต้องถามด้วย ดงออกกว้างขวาง จะหนีไม่พ้นเทียวหรือ ?
นาค.ถ้าเสือไม่กินเสียก็คงอดตายเท่านั้น ไปคนเดียวจะเอาเสบียงอาหารไปได้พอหรือ ?
ศุน.คนเอ๋ยคน เกิดมาทำไมจึงโง่เช่นนี้ ?
นาค.โง่อย่างไร ?
ศุน.ค่ายหลวงตั้งอยู่กับแค่จมูกแกไม่เห็นหรือ ?
นาค.แล้วก็อย่างไรล่ะ ?
ศุน.ก็เราเข้าไปสามิภักดิ์กับเขาว่าจะขอตามเสด็จกลับไปกรุงด้วย เท่านั้นก็สิ้นเรื่องกัน.
นาค.จะสิ้นเรื่องอย่างไร ? เวลานี้ก็ยังไม่มีกำหนดที่จะเสด็จกลับ ฉะนั้นถึงข้าจะไปสามิภักดิ์ ก็คงยังไม่ได้ไปพ้นที่นี่
ศุน.แล้วกัน !ก็แกเข้าไปปน ๆ อยู่เสียในพวกทหารก็แล้วกัน แล้วก็เมื่อไรได้ยินเขาเที่ยวตามหาตัวก็แอบเสียก็ได้ ใครจะกล้าไปค้นคว้าหาแกในค่ายหลวง
นาค.ช้าก่อน !
ศุน.จะช้าอยู่อีกทำไม ? แกนี่วอนจะถูกทำโทษหรือ ?
นาค.ไม่ใช่ ! ข้านึกอะไรขึ้นมาออกอย่างหนึ่ง. ผู้คนตามเสด็จเจ้านายมามาก, บางทีจะได้มีผู้มาลักเอาต้นไม้วิเศษไปเสียละกระมัง
ศุน.เออ ! ก็แล้วแกจะคิดอย่างไรล่ะ ?
นาค.เราต้องสืบดูเค้าเงื่อนสิ
ศุน."เรา" อีกแล้ว ! ขอเสียทีเถอะ อย่าพูดแทนคนอื่นหน่อยเลย แกเป็นผู้มีหน้าที่รักษาตันไม้วิเศษ เมื่อทำต้นไม้ของท่านหาย
ก็เป็นหน้าที่ของแกที่จะสืบแสวงหาเอากลับคืนมา หรืออย่างน้อยก็สืบให้ได้ร่องรอยว่าใครเป็นผู้ร้าย.
นาค.ก็จะไปสืบด้วยกันไม่ได้หรือ ?
ศุน.ต้องขอตัวเสียทีละเพื่อน ! ข้ากลัวหัวแตก
นาค.ทำไมจะตัองหัวแตก ?
ศน.เพราะถ้าพวกทหารได้ลักเอาไปจริง ก็คงเป็นเพราะเขาอยากได้, และถ้าเขาอยากได้เขาก็คงไม่อยากให้เราไปพบ และเอากลับคืน
เพราะฉะนั้นขืนเข้าไปสืบไปถามเขาก็คงแพ่นเอากระบาลแยะ แต่ถ้าเขาไม่ได้ลักเอาไป และเราเข้าไปสืบไปถามเขาก็คงโกรธว่าหาความร้ายใส่เขา
แล้วก็คงแพ่นเอา กระบาลแยะเหมือนกัน.
นาค.ที่แกพูดนี่ก็ชอบกลอยู่.
ศุน.ชอบกลสิข้าจึ่งได้พูด; แล้วก็เพราะเห็นว่ามีแต่ท่าทางที่จะต้องหัวแตกทั้งนั้น ข้าจึ่งขอตัวไม่ไปกับแก แต่อย่าวิตก
เสียแรงเราเป็นเพื่อนกันมานาน, ถ้าแกถูกตีหัวแตกแล้วละก็กลับมาเถอะ ข้าจะคัดเลือดใหั.
นาค.เมื่อไม่ไปด้วยกันก็ตามใจ ข้าจะต้องรีบไปเดี๋ยวนี้
ศุน.ช้าก่อน ! ไม่ต้องรีบร้อนไปข้างไหนละ. (ชี้ทางซ้าย.) นายทหารคนสนิทของเจ้านายกำลังเดินมานี่แล้ว. คอยพบพูดกับท่านที่นี่ก็ได้.
นาค.จริง แล้วก็บางทีถ้าท่านใจดีก็อาจจะช่วยให้ความสะดวกแก่เราด้วย.
ศุน.ก็เช่นนั้นน่ะสิ ! แกนี่ถ้าไม่มีข้าคอยเป็นที่ปรึกษาคงเอาตัวไม่รอด
นาค.เอาเถอะ ข้าไม่อยากเถียงกับแก่เวลานี้
(ศุภางค์ออกทางหลืบซ้าย ศิษย์ทั้ง ๒ ตรงเข้าไปไหว้.)
ศุน.ใต้เท้าขอรับ กระผมขอความกรุณาสักหน่อย.
ศุภางค์.มีธุระอะไรหรือเพื่อน ?
ศุน.ธุระน่ะมีอยู่ขอรับ แต่มันไม่ใช่ธุระของกระผม มันเป็นธุระของเพื่อนกระผม ดังที่เพื่อนกระผมจะได้กราบเรียนเอง.
(ดันหลังเพื่อนให้ออกไป)
นาค.กระผมมีความทุกข์ร้อนอยู่มาก จึ่งอยากจะขอความกรุณาต่อใต้เท้า. คือว่าบัดนี้ได้เกิดเหตุ-
ศุน.(แย่งพูด) ขอรับ เป็นเหตุใหญ่ ทำให้เป็นที่วิตกแก่พวกกระผมมาก      ดังเพื่อนกระผมจะได้กราบเรียนต่อไป.
(กระตุ้นหลังเพื่อน)
นาค.นั่นแหละขอรับ ตามที่ใต้เท้าได้ทราบแล้ว-เอ้อ-เอ้อ-
ศุภางค์.ฉันจะทราบอย่างไรได้ เมื่อแกยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฉันเลยจนอย่างเดียว !
ศุน.กระผมต้องขอรับประทานอภัยแทนเพื่อนของกระผม. เขาเป็นคนที่ขี้ประหม่า และพูดจาไม่ใคร่จะเป็น
เพราะไม่ใคร่จะเคย พบเห็นคนสำคัญเช่นใต้เท้า.
ศุภางค์.ฉันเห็นแล้วว่าแกเป็นคนที่เก่งกว่าเพื่อนแกมาก ฉะนั้นแกเล่าเรื่องให้ฉันฟังก็แล้วกัน.
ศุน.เรื่องก็มีอยู่สั้นนิดเดียว ซึ่งเมื่อรวบรัดตัดความและสรุปหัวข้อแล้ว ก็-ก็-มีข้อสรุปดังที่เพื่อนกระผมจะได้กราบเรียนต่อไป
(กระตุ้นหลังเพื่อนอีก.)
ศุภางค์.ใครจะเล่าก็เล่าเสียคนเถอะเพื่อน. มัวเกี่ยงกันอยู่เช่นนี้เสียเวลานัก
นาค.คือว่าพระอาจารย์ท่านมีต้นไม้วิเศษอยู่ต้นหนึ่ง-
ศุน.ซึ่งชื่อกุพชะกะ ตามที่ใต้เท้าได้ทราบอย่แล้ว.
ศุภางค์.เปล่า ฉันยังไม่ได้ทราบเลยว่าชื่ออย่างนั้น แต่ก็ช่างเถอะ เล่าต่อไป.
นาค.ท่านรักต้นไมันี้มาก และปลูกไว้กลางสวนข้างอาศรม-
ศุน.แต่บัดนี้ไม่อยู่ที่นั่นแล้ว เพราะว่า-เอ้อ-ดังเพื่อนกระผมจะได้กราบเรียนต่อไป.
ศุภางค์.ถ้าแกจะมัวแต่แย่งกันพูดอยู่เช่นนี้ เห็นจะไม่มีวันได้เรื่อง เพราะฉะนั้นฉันจะขอลองสันนิษฐานเรื่องดูเอง.
ต้นไมัที่แกกล่าวถึงนี้ คือต้นที่กลายเป็นนางทุก ๆ วันเพ็ญใช่ไหม ?
ศุน.ใต้เท้ามีความปรีชาสาไถย-เอ๊ย-สามารถมาก จึ่งได้-
ศุภางค์.พอที ! ฉันถามตรง ๆ ขอให้ตอบตรง ๆ
ศุน.ตอบตรง ๆ ก็คือว่าใต้เท้าทายถูกแล้ว.
ศุภางค์.ก็แล้วอย่างไรล่ะ ?
นาค.แล้วก็วันนี้แรม ๑ ค่ำแล้วขอรับ แต่-
ศุน.แต่ต้นไม้นั้นไม่อยู่ที่กลางสวนตามเคย,
ศุภางค.เออ,แล้วก็จะให้ฉันทำอย่างไรล่ะ ?
นาค.ก็สุดแท้เเต่ใต้เท้าจะโปรดกรุณาเถอะขอรับ เพราะว่า-เออ-เออ-
ศุน.เพราะว่าเพื่อนกระผมสงสัยว่าพวกของใต้เท้า อาจจะได้มาเอาต้นไม้นั้นไป เท่านั้นแหละขอรับ.
ศุภางค.(หัวเราะ) ชอบกล ! ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันเองก็ออกจะสงสัยอยู่ว่า พวกของฉันผู้หนึ่งเป็นต้นเหตุทำให้ต้นไม้วิเศษของแกหายไป.
ศุน.ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าคงจะกรุณาโปรดช่วยให้ได้ต้นไม้นั้นคืนมาละสิขอรับ ?
ศุภางค์.อ๋อ, ฉันรับรองเช่นนั้นไม่ได้ดอกเพื่อน เพราะถ้าผู้ที่ลักต้นไม้ไปนั้นเป็นคนที่ฉันสงสัยละก็ฉันไปเอาคืนมาให้แก่ไม่ได้ดอก !
เออ, ฉันเห็นโสมะทัต.มาทางนี้แล้ว ฉันขอพูดกับเขาสักหน่อย
(โสมะทัต.ออกทางหลืบขวา.)
             
(ฉบงง,๑๖.)
โสมะทัต.ข้าเคารพท่านเสนา !อันตัวท่านมา
แห่งนี้ทำไมแต่ตรู่ ?
ศุภางค์.เรามีธุระร้อนอยู่มาหาท่านผู้
เป็นศิษย์ผู้ใหญ่ที่นี้
โสมะทัต.พวกเจ้าจงหลีกไปที !เรากับเสนี
มีกิจจะพูดจากัน
             

(พวกศิษย์และบริวารเข้าโรงทางหลืบขวาทั้งหมด)

บัดนี้มีข้อสำคัญใดจงบอกพลัน
เสนีมิต้องเกรงใจ
ศุภางค์.ท่านเคยได้เล่าเรื่องให้ว่านางทรามวัย
ผู้เห็นอยู่เมื่อวันวาน
นั้นโดยปรกะติกาลเป็นพฤกษะบาน
มาลีสุคนธ์หอมเย็น
และต่อเมื่อถึงวันเพ็ญนางจึ่งจะเป็น
นงคราญวิสุทธิ์ศรีใส
ดังนั้นถูกฤาฉันใด ?
โสมะทัต.ถูกเช่นนั้นไซร์
ศุภางค์.แล้วก็เมื่อครบหนึ่งวัน
กับอีกหนึ่งคืนนางนั้นก็กลับกลายพลัน
เป็นพฤกษะอีกทันที
ถูกไหมเข้าใจเช่นนี้
โสมะทัต.ถูกแล้วเสนี.
ศุภางค์.เมื่อกี้พวกศิษย์บอกข้า
ว่ากุพชะกะพฤกษาหายไปแล้วนา
ท่านทราบเหตุแล้วฤาไฉน ?
โสมะทัต.พอตื่นแล้วบูชาไฟแล้วข้าก็ไป
ยังสวนที่ข้างอาศรม
ตั้งจิตตรงไปใฝ่ชมกุพชะโกดม
แต่เดินไปถึงย่านกลาง
สวนนั้นก็เห็นหลุมว่างพฤกษาสำอาง
มิอยู่ ณ ที่เคยอยู่
ข้าเที่ยวค้นคว้าหาดูเผื่อจะไปอยู่
แห่งอื่นเพื่ออาศัยร่ม
ไม่พบตระหนกอกกรมจึ่งมาอาศรม
เผื่อจะได้พบภายใน
ศุภางค์.น่ากลัวป่วยการเข้าไป !
โสมะทัต.เอ๊ะ ! เพราะเหตุใด ?
โปรดบอกให้รู้กิจจา.
(ยานี , ๑๑ )
ศุภางค์.เมื่อดึกข้าตรวจยามเมื่อย่ำสามแล้วไม่ช้า
เดินผ่านหน้าพลับพลาเห็นคนลงจากมาฬก
ท่าทางนั้นเห็นได้ว่าตั้งใจจะปิดปก
แฝงกายกำบังรกและรีบเดินดุ่มดุ่มพลัน
ข้าเห็นก็สงสัยจึ่งเตรียมออกสกัดกั้น
แต่พอแสงเดือนพลันส่องกระจ่างสว่างไซร้
ข้ามองไปดูหน้าแล้วตูข้าก็จำได้
จึ่งยอมให้ครรไลจากค่ายหลวงบห้ามปราม
แต่พอพ้นตรงหน้าอันตูข้าก็เดินตาม
เพื่อป้องกันซึ่งความประทุษฐ์อันอาจเกิดมี
โสมะทัต.ข้าฟังก็พอเดาว่าท่านเล่าถึงใครนี่
หากเป็นผู้อื่นทีท่านคงจับเป็นแน่นอน
ศุภางค์.ท่านเดาคงไม่ผิดจงตั้งจิตฟังข้าก่อน
อันผู้ที่ข้าจรสะกดรอยและตามมา
เมื่อถึงก็ยืนกลางระหว่างลานและเจรจา
พร่ำบ่นประหนึ่งว่าคนมะเมอและเพ้อฝัน !
ต่อนั้นจึ่งเห็นนางออกมาจากข้างในบรร-
ณะศาลและยืนผันพักตร์ชะแง้แลดูเดือน
แล้วบ่นอยู่คนเดียวดังหนึ่งจิตจะฟั่นเฟือน
ฝ่ายชายได้ฟังเพื่อนก็พูดตอบพจีพลัน
แล้วต่างก็แลกรักสมัครจิตสนิทกัน
ข้าเห็นว่าอยู่นั่นมิควรแล้วจึ่งถอยห่าง
ครั้นเมื่ออรุณฉายอุษาพรายพื้นนะภางค์
เห็นคู่สิเน่ห์พลางจับหัตถ์จูงกันจากลาน
มุ่งตรงลงไปยังณ ที่ฝั่งอุทกธาร
แต่นั้นกระทั่งกาลบัดนี้ยังมิกลับมา
ขอบอกให้ท่านรู้เพื่อตรองดูจงดีว่า
อันโฉมนงพงาจะกลับร่างฤาอย่างไร
ฤาว่าพอมีคู่เป็นเชิงชู้ที่ชอบใจ
นางนั้นจะมิได้กลับรูปเป็นเหมือนเช่นเคย ?
โสมะทัต.ข้อนี้ไม่เคยรู้ทั้งมิได้คำนึงเลย
เพราะเห็นนางทรามเชยไม่เคยชอบในเชิงชู้
แต่เมื่อท่านถามมาข้าก็เห็นชอบกลอยู่
จำเป็นต้องเรียนครูให้ท่านทราบซึ่งกิจจา
ขอท่านจงคอยก่อนข้าจะรีบเข้าไปหา
และเรียนพระสิทธาเล่าแถลงแจ้งคดี
             

(โสมะทัตขึ้นสู่อาศรมแล้วหายเข้าโรงไปทางประตูอาศรม ฝ่ายศุภางค์ไปนั่งแท่นศิลาใต้ต้นไม้, ท่าทางรำพึงอยู่. สักครู่ ๑ นาคกับศุนจึงพากันย่องออกมาทางหลืบขวา, และตรงไปไหว้ศุภางค์.)

นาค.ใต้เท้าขอรับ.
ศุภางค์.อ้าว ทำไมกันอีกล่ะเพื่อน ?
นาค.ก็คือว่า-
ศุน.เพื่อนกระผมตั้งใจจะกราบเรียนว่า เรื่องที่ได้กราบเรียนแล้วเมื่อกี้นี้นั้น มันมีข้อความต่ออีก ดังเพื่อนกระผมจะได้กราบเรียนต่อไป
(สะกิดเพื่อน)
ศุภางค์.เพื่อไม่ให้ต้องเปลืองเวลาเปล่า ฉันขอบอกให้เพื่อนทราบว่าเรื่องที่เพื่อนจะเล่านั้นฉันได้รู้เพียงพอที่ฉันอยากจะรู้แล้ว
และฉันขอแนะนำว่าในส่วนตัวเพื่อนทั้งสอง ก็ไม่ควรอยากรู้อยากเห็นอะไรยิ่งไปกว่าที่ได้รู้ได้เห็นอยู่แล้ว เข้าใจไหม ?
นาค.ไม่เข้าใจขอรับ !
ศุภางค์.(พูดกับศุน.) แต่ส่วนเพื่อนเป็นคนฉลาดคงเข้าใจแล้วละสินะ ?
ศุน.เข้าใจแล้วขอรับ.
ศุภางค์.เข้าใจว่ากระไร ?
ศุน.เข้าใจว่าใต้เท้าไม่อยากพูดกับกระผมและเพื่อนกระผมอีก.
ศุภางค์.(หัวเราะ) ฉันว่าแล้วว่าแกเป็นคนฉลาด !
             

(พระกาละทรรศินออกทางประตูอาศรมมายืนอยู่ที่ระเบียง : โสมะทัตตามออกมาด้วย. ศุภางค์ลุกขึ้นกระทำความเคารพ. ฝ่ายนาคและศุนเลี่ยงเข้าโรงทางหลืบขวา)

(ยานี, ๑๑.)
กาละทรรศิน.อ้อ, โสมะทัตเล่าให้เราแล้วละเสนี
และเรามิได้มีความเดือดร้อนเท่าใดนัก
เพราะเราเข้าใจว่ามะทะนาบุตรีรัก
ครานี้บางทีจักได้ปลื้มปลาบสิ้นสาปสรรพ์
หากนางจะมีโชคโดยสมเด็จพระทรงธรรม์
โปรดปรานนงคราญนั้นก็ควรที่จะดีใจ
และมาจนบัดนี้ยังคงรูปเป็นนางไซร้
ไม่กลายเป็นต้นไม้ไปดังเช่นที่เคยมา
ตามที่ได้เล็งญาณเราทราบแล้วเป็นแน่ว่า
นางนี้ไม่ใช่นาริเลวทรามสถานใด
เป็นเทวะธิดาจุติจากสุราลัย
และในปางก่อนไซร้ก็เป็นราชะบุตรี
ของจอมสุราษฎร์ผู้ธำรงยศและศักดิ์ศรี
จึ่งควรพระภูมีจะทรงรับเป็นคู่ครอง
เมื่อทราบอยู่เช่นนี้ควรยินดีที่สมปอง,
แต่เราสิมาตรองก็เกิดความวิตกใจ
ครั้นจะอธิบายก็ยากอยู่หาน้อยไม่
ท่านฤาจะเข้าใจ ?
ศุภางค์.พระคุณเจ้าได้เล็งญาณ
แล้วคงจะทราบสิ้นณ เหตุซึ่งจะรำคาญ
และข้าผู้รู้การก็ออกนึกวิตกอยู่ !
ข้าใคร่จะบอกกล่าวให้นางสาวนั้นได้รู้
แต่นึกอีกทีดูจะเป็นการอวดดีไป
อนึ่งถึงแม้บอกก็อาจเปล่าประโยชน์ได้
กาละทรรศิน.จริงนา, เห็นว่าไร้ประโยชน์เปล่ามิชอบกล
ความรักเหมือนโรคาบันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยลอุปะสัคคะใดใด.
ความรักเหมือนโคถึกกำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดจากคอกไปบยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่งบหวนคิดถึงเจ็บกาย
ดังนี้พยายามจะห้ามปรามนางโฉมฉาย
คงมีแต่ผลร้ายและปราศจากซึ่งผลดี
             

(ท้าวชัยเสนกับมัทนาจูงมือกันออกทางหลืบซ้าย, ไปเคารพพระกาละทรรศิน)

(วสันตะดิลก. ๑๔.)
ชัยเสน.ข้าขอประชุมนะขะประณตวรบทมุนีศรี
ด้วยข้าและโฉมสุระนะรีสิละเมิดพระสิทธา
เหตุด้วยละเลิงกะมละร่านระติรึงณวิญญาณ์
ข้าเจ้าและเยาวะมะทะนาสิประพฤติบบังควร
แต่กามะเทวะนะสิแผลงศะระแกมผกามวล
มาต้องกมลอุภะยะชวนฤดิรักสมัครกัน
พอข้าประสบวิมละพักตร์มะทะนานะรีขวัญ
อั้นอึ้งประหนึ่งสุมิคะอันศะระเสียบณกลางใจ
พิษกามะศรประดุจะพิษระอุอัคคิเผาใน
อกผลาญและรานกะมละไหม้บมิอาจจะดับลง
ยามกลับณมาละกะก็จิตบมิวายพะวงหลง
เหลือที่จะหักระติก็ตรงติระสู่พระอาศรม
หวังเพียงจะดูวรกุฎีก็จะรื่นระรวยรมย์
พันเอินกะนิษฐะก็ผะทมบมิหลับและออกมา
ยืนยังระเบียงและอระเปล่งวรพจน์แสดงว่า
นางเองก็น้อมกะมละมาอภิรมยะเช่นกัน
ข้าฟังก็เปรมกะมละชอบและก็ตอบพจีพลัน
แล้วต่างแสดงสุปิยะนัน-ทะนะพจน์พิเศษหวาน
แล้วจึ่งประนอมมะนะสะจรดละยังอุทกมาน
มานัสและกล่าววรประทานวิธิถูกประเพณี
บัดนี้ประนอมกะมละมาอภิวาทะจอมชี
ขอให้กระทำวรพิธีอภิเษกะสมรส
เพื่อเป็นสุวัตถิสิริมง-คะละการะปรากฏ
สมศักดิ์และสมสุวรยศมะทะนาและข้านี้
(ฉบงง, ๑๖.)
กาละทรรศิน.ราชะ ! อันพระวาทีกลมกล่อมถ่อมดี
และรูปถวายพระพร
อันองค์พระปิ่นนิกรกับองค์บังอร
ที่แท้ก็คู่ควรกัน
เพราะนางมิใช่สามัญเป็นธิดาสวรรค์
จุติมาจากฟากฟ้า
อีกในชาติก่อนนั้นมาก็เป็นธิดา
แห่งจอมกษัตริย์ทรงดิน
ดังนี้ควรพระภูมินทร์จะยกนาริน
ขึ้นเป็นพระอัครชายา
ข้าจะทำการอาวาห์ดังทรงปรารถนา
สวัสดิ์พิพัฒน์ผ่องใส
แน่ะโสมะทัตจงไปนำเพลิงที่ใน
เตาคาร์หะปัตย์ออกมา
จะได้ก่อเพลิงบูชาทวยเทพเทวา
ตามแบบคัมภีร์โบราณ.
             

(โสมะทัตไหว้แล้วเข้าโรงไปทางประตูอาศรม)

ชัยเสน.ศุภางค์เรียกนายทหารมาเป็นพยาน
ในการพิธีอาวาห์
รีบไปอย่าได้รอข้า
ศุภางค์.ข้ารับบัญชา
และรีบไปในบัดนี้
             

(ศุภางค์เข้าโรงทางหลืบซ้าย.)

ชัยเสน.อ้าพระผู้ยอดโยคีพระคุณปรานี
แก่ข้าเป็นล้นพ้นไป
กาละทรรศิน.อันอาตะมะนี้ไซร้ทุกเมื่อจงใจ
สนองพระคุณราชา
เมื่อเห็นทรงพระเมตตาแด่มะทะนา
ก็พลอยมีจิตยินดี
เพราะรักเหมือนเป็นบุตรีและบุตรได้ดี
บิดาก็ต้องพอใจ
             

(โสมะทัตกับพวกศิษย์ออกมาเตรียมการพิธี, คือบางคนเอาหญ้ามาโรยบนแท่นศิลา แล้วเอาหนังกวางปูทับอีกที ๑ ; บางคนยกแท่นกูณฑ์ออกมาตั้งตรงหน้าแท่นศิลา, เอาโถน้ำมันและช้อนมาวางบนแท่นศิลา และขนเชื้อเพลิงมากองไว้พร้อมข้างแท่นกูณฑ์ ; บางคนเครื่องสังเวยเทวดา, สังข์สำหรับรดน้ำ, และแป้งเจิมมาตั้ง. ระหว่างที่เตรียมการนี้, พระกาละทรรศินเรียกท้าวชัยเสนกับมัทนาขึ้นไปสนทนากันเบา ๆ ที่บนระเบียงอาศรม, เพื่อให้โอกาสให้พวกที่จัดเตรียมพิธีได้พูดกันตามควร. เมื่อจัดของต่าง ๆ ตั้งตามที่แล้ว, พวกศิษย์ยกตั่ง ๒ อันมาตั้งตรงหน้าแท่นกูณฑ์, แล้วโสมะทัตเรียกนักสวด ๔ คน กับคนเป่าสังข์ ๒ คน มาคอยไว้. ฝ่ายศุภางค์บัดนี้ก็นำนายทหารและบริวารของท้าวชัยเสนออกทางหลืบซ้าย, และนั่งเรียงรายทางด้านซ้ายแห่งเวที. พอพร้อมหมดแล้ว, พระกาละทรรศินชวนท้าวชัยเสน และมัทนาลงมาจากระเบียงอาศรม, พาคู่บ่าวสาวไปนั่งตามที่, คือหันหน้าไปทางแท่นกูณฑ์ทั้ง ๒ คน ให้ท้าวชัยเสนนั่งตั่งขวา, มัทนานั่งตั่งซ้าย, แล้วพระกาละทรรศินไปนั่งบนแท่นศิลา. โสมะทัต นำไต้จุดไฟออกมาจากในอาศรมไปส่งให้พระกาละทรรศิน พระกาละทรรศินรับไปจบ แล้วก่อไฟในกูณฑ์พลาง, เสกมนตร์เบา ๆ พลาง. บัดนี้นักสวดจึ่งยืนขึ้นและสวดดังต่อไปนี้.)

บทสวด
(สรภัญญะ.)
(อินทะวิเชียร, ๑๑.)
      อ้าองค์พระอัคนีวรศรีประภาใส
เป็นเอกอุดมในหุตะกิจพะลีการ
      ข้าขอประณตองค์สุระทั้งณตรีสถาน
ทุกภาคพิเศษมานมนะมุ่งณการยัญ
      หนึ่งคือสุรีย์แจ่มสุจรัสณภูมิสวรรค์
ส่องโลกมนุษย์นัน-ทะนะอุ่นระอุกาย
      ที่สองประภาปรา-กะฏะในนะภาพราย
คือวิชชุโชติ์ฉายรุจิแลบณเมฆา
      ที่สามก็คือไฟนระก่อณเคหา
เพื่อกอบสุภักษาและประกอบพะลีพูน
      องค์นี้และได้เชิญพระเสด็จณแท่นกูณฑ์
ด้วยพรอ้มมโนมูลจะกระทำหุตาการ
      อ้าองค์พระทรงเมษสุระเดขตระการฉาน
โปรดเอื้อและเอาภารธุระด้วยสุไมตรี
      ยามเริ่มพะลีกรร-มะสุยัญญะการนี้
จงสิทธิด้วยดีดุจะข้าทำนูลวอน
      ช่วยนำพะจีถึงสุระเทพณอัมพร
มารับพะลีกรดนุได้ผจงสรรพ์ ฯ
             
(กุสุมิตลดา, ๑๘.)
กาละทรรศิน.ข้าขอไหว้อัคคีอธิปะติสุพรร-ณาทิทูตสวรร-
คะเรืองเดช
จงโปรดนำคำทูลปะระมะสุรเศรษฐ์วิศวะเทเวศร์
มหาศาล
โอมอัญเชิญนารายะณะพระหริชาญ-ชัยบำราบมาร
ปะราชัย
พร้อมด้วยเทวีศรีภะคะวะติวิไลยวรรณะผ่องใส
วิมลเนตร
โอมอัญเชิญองค์ตรีศุลิศิวะมเหศร์นั่งณะยอดเขต-
ตะจอมผา
อีกแม่เจ้าสวรรค์บรรพะติวะระอุมาผู้พระชายา
อุดมศักดิ์
โอมอัญเชิญธาดาปะติจะตุระพักตร์เพ่งพินิศรัก-
ษะสี่ทิศ
ทั้งโฉมชายายอดสุธิระศุภะวิทย์ศิลปะสอนจิต
จรุงใจ
อีกขอเชิญท้าวศักระอมะระวิชัยจอมสุราลัย
มหิทธี
พร้อมองค์เทวินปิ่นอมะระยุวะดีอินทระศักดิ์ศรี
ศะจีอร
อีกขอเชิญองค์เทพระวิและศะศิธรสองอะมรยอด
พยานกรรม
อีกขอเชิญเทวานิกะระฐิติธรรมสิงสถิตอัม-
พะรากาศ
ทั้งทวยเทพที่สิงณปะฐวิอาจรักษะทวยราษฎร์
ณแดนคน
เชิญทุกเทพเจ้าผู้สิริวรวิมลมาณมณฑล
พิธีเทอญ
(ฉบงง, ๑๖.)
บทพากย์ของนักสวด
อ้าทวยเทพฟังคำเชิญแล้วโปรดอย่าเมิน
มโนจงน้อมพร้อมกัน
ฟังคำข้าทูลเทวัญผู้ทรงมหันต์
มหิทธิเดชเกรียงไกร
ด้วยองค์สมเด็จจอมไอ-ศวรรยาธิปไตย
ดำรงซึ่งรัฐหัสดิน
ทรงนามชัยเสนนริน-ทะราชเรืองศิล-
ปะศาสตรรณเชี่ยวชำนาญ
แจ้งเจนไตรเพทพิศาลอีกทั้งปุราณ
คัมภีร์ก็รู้ตามควร
อีกว่องไวในกระบวนอาวุธถี่ถ้วน
ทุกอย่างในทางยุทธกล
สันทัดอัศวะโกศลพระรูปวิมล
สิริโสภาคย์สรรพางค์
พระคุณสมบัติสำอางรูปสมบัติสล้าง
และโภคะสมบัติบูรณ์
เทวานุเคราะห์เกื้อกูลแก่นเรนทร์สูร
จึ่งทรงสวัสดิ์แสนดี
สิ่งทรามใดใดไป่มีมากลั้วณที่
พระองค์สมเด็จภูบาล
บัดนี้พระหฤทัยท่านเมตตานงคราญ
วิสุทธิศักดิ์โสภา
อันมีนามะไธยยาว่ามะทะนา
วิเศษสุลักษณานวล
ทั่วทั้งสรรพางค์นางยวนเนตรชมอีกชวน
ให้เพ่งและเพลินเจริญใจ
มารยาทเรียบร้อยและใครยลชมอรไท
ว่าแสนประเสริฐเลิศดี
สมควรเป็นองค์เทวีคู่บาระมี
สมมติเทพรังสรรค์
พระงามนางงามสมกันทั้งคุณอนันต์
อเนกะเท่าทั้งสอง
ข้าขอทวยเทพทั้งผองพร้อมกันปรองดอง
ประทานพระพรเพิ่มศรี
แด่ราชาธิบดีอีกองค์เทวี
วิสุทธิคู่สมรส
บัดนี้องค์พระดาบสจะถวายรด
อุทกประกอบคาถา
อีกเฉลิมพระพักตราเพิ่มมังคะลา
ธิการณกิจพิธี
ขอจงสององค์ทรงศรีศุภะสวัสดี
ครองคู่กันอยู่จีระกาลฯ
             

(ในระหว่างที่สวดบทข้างบนนี้ พระกาละทรรศิน นั่งบริกรรม, ตักน้ำมัน เนย หยอดในไฟเป็นครั้งคราว ; พอถึงบทที่เริ่มด้วยคำว่า “แด่ราชาธิบดี ฯลฯ “ พระกาละทรรศินรินน้ำจากหม้อกลศลงในสังข์ และเปิดตลับแป้งเจิม, ส่งสังข์ให้โสมะทัตและตลับแป้งเจิมให้ศิษย์อีกคน ๑ ถือตาม, แล้วเดินไปยังที่คู่บ่าวสาวนั่ง. พอเขาสวดว่า “จะถวาย ฯลฯ” พระกาละทรรศินก็รดน้ำให้คู่บ่าวสาว, และพราหมณ์เป่าสังข์เมื่อรับตะโพน; ในระหว่างเขาสวดว่า “อีกเฉลิมพระพักตรา ฯลฯ “ พระฤาษีเจิมคู่บ่าวสาว, และพราหมณ์เป่าสังข์เช่นครั้งก่อน; ในระหว่างเวลาที่เขาสวดบทสุดท้ายนั้น, พระฤษีกลับไปนั่งแท่นตามเดิม. แล้วคู่บ่าวสาวจึ่งยืนขึ้นและกล่าวคำปฏิญญาดังนี้.)

(จิตรปทา, ๘.)
ชัยเสน.ข้าชัยเสน อธิเบนทร์พงศ์ จันทะประสงค์ พิธิสมรส
กับมะทะนา วธุปรากฏ กอบวระยศ สิริเท่ากัน ;
ข้าจะถนอม ทะนุพร้อมพรั่ง สมดุจะดัง มหิษีอัน
เป็นภริยา สหชาติกัน เป็นอรขวัญ ณนิเวศน์ใน !
มัทนา.ข้ามะทะนา วนิดายอม มอบฤดิน้อม ณพระทรงชัย
เป็นวระราช มหิษีใฝ่ ภักดิณไท้ บมิลดลา.
             

(พราหมณ์เป่าสังข์. คู่บ่าวสาวจูงมือกันเดินประทักษิณเวียนรอบไฟและพระฤษี ๓ รอบช้า ๆ. ในระหว่างที่คู่บ่าวสาวเดินประทักษิณดังนี้ นักสวดสี่คนสวดฉันท์สดุดีดังต่อไปนี้.)

บทสวด
(ทำนองสดุดีสังเวย.)
(วสันตะดิลก, ๑๔.)
อ้าหญิงและชายฤดิสมัครมะนะร่วมสิเนหา
พร้อมจิตผสมสะมะระมาอภิเษกะสมรส
เหมือนหนึ่งประมวญสะริระอีกมะนะรวมก็ยงยศ
ยงศักดิเกียรติคุณะหมดเพราะผสมกำลังกัน
ผู้ใดสมัครสะมะระสม-ระสะร่วมมโนฉันท์
ปวงไทสุเทวะมรุสรร-พะอำนวยพระพรพูน
หญิงชายกระทำวิธิวิวา-หะสิมุ่งผดุงกูล
วงศาคณาคณะประยูรบมิเสื่อมมิทรามหาย
เทวาประสิทธิวรบุตรและธิดาประดุจหมาย
ให้ทรงและสืบสกุลละสายสุวพันธุพืชงาม
ขอทวยสุเทวะสุระฤท-ธิมะหิทธิเรืองราม
โปรดช่วยบำรุงวรวิศาม-ปะติอีกพระชายา
ให้ทรงเจริญสิริสุวัต-ถิพิพัฑฒะนาอา-
ยูวรรณะสุขพละและสา-ระวิสุทธิศฤงคาร
ขอพรประสิทธิบมิขาดณ พระราชะสมภาร
อีกเทวิองค์อระวิศาลสิริสิทธิภีย์โย ฯ
             

(คู่บ่าวสาวประทักษิณไฟเสร็จแล้ว, ไปยืนประนมมืออยู่ที่ตรงหน้าพระกาละทรรศิน, และพระกาละทรรศินอำนวยพรเป็นภาษามคธดังต่อไปนี้.)

(สามัญคาถา.)
กาละทรรศิน.สาธุ เทวานุภาเวนสทา โสตฺถี วิวฑฺฒโน
ทีฆายุโก จ นิทฺทุกฺโขนิพฺภโย จ นิรามโย ฯ
สิทฺธิ กิจฺจญฺจ กมฺมญฺจสิทฺธิ ลาโภ ชโย ชโย
ชยเสนมหาราช-วรสฺส ภวตุ สพฺพทา. ฯ *
             

(ปิดม่าน)

* คำแปลคาถาข้างบนนี้

ดังข้าวิงวอน ขอ (พระเจ้าชัยเสนมหาราช) จงทรงพระสวัสดี ทรงพระเจริญพิเศษ ทรงพระชนมายุยืนนาน ปราศจากทุกข์, ปราศจากภัย, ไร้ความไม่สำราญ, ด้วยอานุภาพเทวดา ทุกเมื่อ ฯ ขอกิจที่สำเร็จ, การงานที่สำเร็จ, ลาภที่สำเร็จ, ชัยชนะชัยชนะที่สำเร็จ, จงมีแด่พระเจ้าชัยเสนมหาราชผู้ประเสริฐ ในกาละทั้งปวง ฯ

องก์ที่ ๔

ตอนที่ ๑

สวนหลวงข้างพระราชวัง, ในกรุงหัสตินาปุระ.

[ ฉากเป็นสวนดอกไม้, มีต้นไม้ร่มรื่น, และไม้ดอกปลูกเรียงรายไว้อย่างเรียบร้อย ด้านหลังมีศาลา, มีเตียงสำหรับนั่งเล่น. ในตอนนี้เป็นเวลากลางวัน.]

(เมื่อเปิดม่านมีชาวสวนคน ๑ กวาดใบไม้อยู่. สักครู่ ๑ อราลี, นางค่อม, ถือกระเช้าออกทางซ้าย, และจะไปเก็บดอกไม้ที่ต้น ๑, แต่ชาวสวนยกมือห้ามไว้.)

ชาวสวน.ไม่ได้ !
อราลี.ทำไมไม่ได้ ?
ชาวสวน.ไม่ได้.
อราลี.ใครห้าม.
ชาวสวน.นาย.
อราลี.นายไหน ? ชื่ออะไร ?
ชาวสวน.ศุภางค์.
อราลี.ห้ามทำไม ?
ชาวสวน.ไม่รู้.
อราลี.จะเอาไว้ให้ใครชม ?
ชาวสวน.ไม่รู้.
อราลี.จะเอาไว้ให้ใครเก็บ ?
ชาวสวน.ไม่รู้.
อราลี.ใครมอบให้ศุภางค์เป็นใหญ่ในสวนนี้ ?
ชาวสวน.ไม่รู้.
อราลี.นี่จะห้ามเสมอไป หรือห้ามจำเพาะฤดูนี้ ?
ชาวสวน.ไม่รู้.
อราลี.(ออกเคือง, พูดเสียงแข็ง.) นี่แกรู้ไหมว่าข้าคือใคร ?
ชาวสวน.ไม่รู้.
อราลี.ข้าชื่ออราลี รู้หรือยัง ?
ชาวสวน.ไม่รู้.
อราลี.เป็นข้าหลวงพระอัคคะมเหสี, รู้ไหม ?
ชาวสวน.ไม่รู้.
อราลี.ข้าเคยออกมาเก็บดอกไม้ในสวนนี้ได้เสมอ รู้ไหม ?
ชาวสวน.ไม่รู้.
อราลี.(โกรธ, พูดเสียงดัง.) แกเป็นคนที่กวนโทโสที่สุด. ไม่เห็นมีอะไรพูดนอกจาก “ไม่รู้”
ข้าขอบอกกล่าวว่าข้าจะเก็บดอกไม้ไปถวายเจ้านายของข้า. (จะไปเก็บดอกไม้อีก.)
ชาวสวน.(ยืนขวางหน้าและห้าม.) ไม่ได้ !
อราลี.ข้าจะเก็บ !
ชาวสวน.ไม่ได้ !
             
(ศุภางค์ออกทางหลืบขวา.)
(ฉบงง, ๑๖)
ศุภางค์.เออแน่, นางอราลี !มาทำอวดดี
ส่งเสียงแจ้วแจ้วอยู่ไย ?
อราลี.ให้ไพร่ไปก่อนเป็นไร.
ศุภางค์.(หันไปสั่งชาวสวน.)เอาเถิดเจ้าไป
ทำงานทางอื่นสักครา.
(ชาวสวนเข้าโรงทางขวา.)
อราลี.นี่แน่ะศุภางค์เสนา,เมื่อกี้ตูข้า
กำลังจะเก็บดอกไม้,
แต่ชาวสวนกล่าวห้ามไว้,เขาว่าท่านได้
สั่งเขาให้ห้ามเช่นนั้น
ศุภางค์.ถูกแล้ว
อราลี.เพราะเหตุใดกัน ?
ศุภางค์.เพราะว่าตัวฉัน
ชอบดูดอกไม้งามงาม.
อราลี.ก็ใครสั่งให้ท่านห้าม ?
ศุภางค์.ทำไมจึ่งถาม ?
อราลี.ก็เพราะดิฉันอยากรู้.
ศุภางค์.อยากรู้อยากเห็นเกินอยู่ดังนี้ก็ตู
ข้าขอกล่าวเตือนนางว่า
ผู้ชอบประพฤติเช่นจา-ระสัตรีข้า
มิชอบและมักหมั่นไส้
อันตูข้าเจ้านายใช้ให้เป็นผู้ใหญ่
รักษาพระอุทยานนี้
จึ่งห้ามว่าดวงมาลีของท่านดีดี
มิให้ผู้ใดเก็บไป
อราลี.ก็ดิฉันนี้คือใคร ?
ศุภางค์.อันตัวนางไซร้
พิการทั้งกายและจิต !
หลังค่อมค้อมคู้ดูผิดมนุษย์ขาบิด
แขนเบี้ยวบ่เหมือนธรรมดา
ตัวคดใจคดอิจฉาแยงยุมุสา
ใครใครย่อมรู้ทั่ววัง
รูปชั่วตัวแสนน่าชังแล้วนางก็ยัง
ไม่รู้สำนึกตัวเลย.
อราลี.ชะชะอุแม่เจ้าเอ๊ย !ช่างพูดเพ้ยเพ้ย
นะท่านศุภางค์เสนา
อวดดีนักเพราะช่างหาหญิงสวยสวยมา
บำเรอพระมิ่งโมลี !
นี่ไปหาโสเภณีมาซ่อนไว้ที่
ตำหนักในราชอุทยาน,
จึงต้องเกะกะระรานเพราะว่าเกรงการณ์
จะทราบถึงพระนางเธอ !
ศุภางค์.นางอราลีนี่เอออวดดีเผยอ
หยิ่งเย่อเหมือนอย่างคางคก
ชาตินางยางหัวไม่ตกก็คงผงก
ผงาดบังอาจเอิบใจ
ไปเถิด นางค่อม รีบไป !
อราลี.ท่านจะทำไม ?
กล้าดีก็เชิญหน่อยซี
ศุภางค์.ข้าบอกว่าไปเดี๋ยวนี้ !ไปเสียดีดี,
หาไม่จะเกิดเคืองกัน
อราลี.ไม่ไป !
ศุภางค์.ต้องไปโดยพลัน !
อราลี.ไม่ไป !
ศุภางค์.อย่าดัน !
อราลี.ไม่ไป !
ศุภางค์.เมื่ออยากอยู่นี่
ก็จะให้อยู่กับที่เฮ้ย, ออกมานี่
ไวไวเข้าหวาอย่าช้า !
(ชาวสวนออกทางหลืบขวา.)
นี่แน่ะ, นางนี้เขาว่าชอบอยู่สวนนา
และข้าก็ยอมตามใจ
เจ้าจงนั่งอยู่ด้วยไซร้ระวังอย่าให้
นางลุกไปพ้นที่นี้
แม้ห้ามมิฟังวาทีก็เจ้าจงตี
ให้แรงด้วยด้ามไม้กวาด !
ขึ้นเสียงเถียงคำหนึ่งฟาดสองคำสองฉาด
จริงจริงมิต้องเกรงใจ
             

(ศุภางค์เดินจะไปทางขวาก็พอปริยัมวะทาออกมาทางนั้น.)

ปริยัมวะทา.ศุภางค์, ท่านเกรี้ยวโกรธใคร ?
ศุภางค์.(ชี้อราลีพลางตอบพลาง.)โกรธคนจัญไร
ที่กวนโทโสสุดทน !
ปริยัมวะทา.ข้าขอโทษแทนสักหนเพราะเขาเป็นคน
ที่มักมิยอมแพ้ใคร
อราลี, อย่ายุ่งไปฉันขอเถิดให้
หล่อนกลับคืนเข้าในวัง
อราลี.ดิฉันมาตามรับสั่งเมื่อดิฉันยัง
มิได้ทำตามท่านใช้
ดิฉันจะกลับอย่างไร ?
ปริยัมวะทา.เอาเถิดดอกไม้
ฉันเองจะเก็บมากมาย
แล้วให้คนไปถวาย
อราลี.ก็เมื่อคุณนาย
รับแล้วดิฉันขอลา
(เข้าโรงทางหลืบซ้าย.)
             
(ภุชงคัปปะยาตร์, ๑๒.)
ปริยัมวะทา.อราลีแหละน่ากลัวจะก่อเรื่องระคายนา
พระนางคงจะใช้มาและสืบเรื่องพระภูมี
ศุภางค์.เสด็จกลับนครหลวงก็สัปดาหะแล้วนี่
ประทับแรม ณ สวนศรีบกลับคืนนิเวศน์ใน
จะไม่ให้มเหสีระแวงนั้นไฉนได้ ?
พระได้นางณป่าใหญ่และพากลับ ณ ธานี
จะปิดความมิวามวู่จะอยู่ได้ไฉนมี ?
ปริยัมวะทา.ดิฉันเห็นมเหษีธคงทราบและหึงส์หวง
ศุภางค์.พระนางเธอก็โทษาคะติมักจะครอบดวง
หทัยอยู่และใครท้วงฤทักมักจะยิ่งใหญ่.
ปริยัมวะทา.ดิฉันนึกก็สงสารสุนงคราญพระองค์ใหม่
เพราะเรียบร้อยและดูไม่พระโอษฐ์จัดถนัดเถียง
ดิฉันมาและรับใช้สนิทแล้วก็เห็นเนียง
ประเสริฐแท้และควรเคียงพระองค์ผู้ประเสริฐชาย !
ศุภางค์.ก็เหตุนั้นสิฉันจึ่งคะนึงอยู่มิรู้วาย
บุรุษควรจะมุ่งหมายมโนแต่ ณ ยอดหญิง
วิไลยโฉมและมีใจวิสุทธิ์ใสสะอาดยิ่ง
ฉะนั้นควรจะรักจริงและชีวิตมิเปล่าเปลือง
ผิเลือกคู่เพราะเพ่งทางประโยชน์เพียง ณ การเมือง
มิช้านานก็จำเคืองระคายจิตระคายตา !
ปริยัมวะทา.อ๊ะพี่ชายขยายเรื่องฉะนี้เครื่องจะเลยพา
พะหูโทษะพลันมากระทบกายมิบังควร
ศุภางค์.ก็ฉันพูดกะหล่อนได้เพราะไว้ใจนะนิ่มนวล
และหากหล่อนมิเล่าทวนละก็ใครจะรั่วรู้ ?
             

(ท้าวชัยเสนกับมัทนาออกทางหลืบขวา, และพานางตรงไปนั่งเตียงบนพลับพลา. ศุภางค์กับปริยัมวะทา และชาวสวนคลานเข้าโรงทางหลืบขวา.)

(วสันตะดิลก, ๑๔.)
ชัยเสน.ตั้งแต่ภิเษกและอภิรมย์ระติแนบ ณ โฉมตรู
พี่นี้ประหนึ่งรมะณิย์อยู่ณ พิภพสุราลัย
แต่ไหนมิเคยจะฤดิรื่นนิระโศกนิรามัย
เหมือนปัจจุบันเพราะอรไทนะสิปลูกประมวลปรีย์
มัทนา.อ้าทูลกระหม่อมปิยะมหาสุระราชะสามี
ข้าบาทบำเรอพระบทะศรีละก็ยังมีเพียงพอ
อยากมีกำลังพิริยะอีกพละไซร้จะได้ก่อ
การอื่นบำเรอพระบทะต่อบมิให้ระคายเคือง !
ชัยเสน.อ้าน้องสิเป็นสุปริยะหญิงยุวะมิ่งและขวัญเมือง
อันพี่ก็มียะศะประเทืองเพราะว่ะคู่วธูขวัญ
มัทนา.อ้าองค์พระปิ่นดิลกะรัฐธดำรัสละยอครัน !
ข้าน้อยฤเรียกสุวะธุขวัญวรราชะธานี ?
แท้จริงนะหญิงก็สิริวัฑ-ฒะนะได้เพราะสามี
หญิงโสดจะเรืองยะศะและศรีละก็แสนจะยากเย็น
ชัยเสน.หากพร้อมสุคุณก็ศุภะลัก-ษณะนาริย่อมเป็น
ขวัญเมืองประดุจระตะนะเห็นบมิต้องประกอบทอง !
มัทนา.สามีสิเป็นระตะนะเลิศและจุฑามณีของ
นารีและอาภะระณะผองบมิยิ่งสุภรรดา
ชัยเสน.อันชายจะมีสุนิธิใดก็บเปรียบกะภรรยา
เป็นศรีและศักดิระตะนาทิประดับประดาเรือน
มัทนา.สุขใดจะเปรียบปะระมะสุขปริยะนี้บ่มีเหมือน
ชัยเสน.เพื่อนใดจะมีประดุจะเพื่อนฤดีร่วมสิเนหา
             

(พระนางจัณฑีออกทางหลืบซ้าย, มีข้าหลวงตามหลังตามสมควร. จัณฑียืนดูท้าวชัยเสนกับมัทนาอยู่ครู่ ๑ แล้วจึ่งเข้าไปบังคมท้าวชัยเสน)

(อุปชาติ, ๑๑.)
จัณฑี.ประณตยุคลบาลนรนาถะราชา
หม่อมฉันสดับวา-ทะระบือสนั่นไป
ถึงในนิเวศน์ว่าพระนรินทราชไซร้
เสด็จ ณ ถิ่นไพรพระสนุกสนานนัก
ก็คอยจะเฝ้าองค์วรภูมิทรงศักดิ์
หลายวันพระยังพักณ พระมาฬะกาคาร
ครั้นว่าจะรออยู่ก็จะดูมิเข้าการ
จะเสียและสามาญดุจะขาดสุภักดี
ฉะนั้นทะนงอาจยุระยาตร์ ณ สวนศรี
ขอมิ่งมกุฎมีกรุณาและงดโทษ
ใช่แสร้งจะมาขัดพระหทัยฤทำโกรธ
เพราะถึงจะไม่โปรดฤก็คงบขาดไป
และหวังจะมาพบอรเอกะอำไพ
ซึ่งองค์พระทรงชัยกรุณาและพากลับ
จากในพนารัณ-ยะกะข้าก็มารับ
และเปล่งกระแสศัพท์ประจุคมอุดมดี
ชัยเสน.กระไรนะแดกดันและประชดนะจัณฑี !
นางเป็นมเหษีละก็ควรจะอยู่วัง
ไม่ควรจะด่วนมาและอุวาทะเสียงดัง
ดุดื้อจะมีหวังสุประโยชน์สถานใด ?
ก็ตามประเพณีพระบิดาประสาทให้
มาเพื่อประพันธ์ไม-ตริระหว่างประเทศสอง
แล้วฉันก็ตั้งใจทะนุนางและยกย่อง
ก็คงจะคู่ครองบมิเริดมิร้างกัน
จัณฑี.มิเริดมิร้างจริงละสิจึ่งกระหม่อมฉัน
นั่งแกร่ว ณ วังจันทร์บมิเห็นเสด็จไป
ชัยเสน.ฉันพึ่งจะกลับจากวนะเขตตะใหม่ใหม่
จะเข้า ณ วังในก็จะอัดอุราแท้
จัณฑี.จะอัดอุราจริงละเพราะจำจะทิ้งแม่
รูปทองจะหมองแดเพราะวิโยคก็เหลือทน !
มัทนา.อันว่าดะนูนี้ฤจะยึดพระจุมพล ?
พระอยากเสด็จดลก็บเคยจะขืนขัด
จัณฑี.ดะนูก็รู้ว่าพระสิโปรดนะแน่ชัด
เหตุว่านะรีรัตน์บมิมีจะขัดขืน !
หญิงใดตระหนี่ตัวละก็ผัวบรักยืน
ฉะนั้นบขัดขืนและประจบสิผัวรัก
ดะนูสิเป็นลูกวระราชะทรงศักดิ์
ถือยศบรู้จักจะประจบประแจงดี
ที่ไหนจะสู้เยา-วสุดาพระโยคี !
ชัยเสน.อ๊ะ ! อย่านะจัณฑีวจะเธอนะเกินไป !
มัทนา.พระองค์จะตรัสห้ามวรเทวิทำไม ?
นางเป็นสุดาไท้อธิราชะราชัน
ถึงหากจะตรัสด่าก็บเจ็บกระหม่อมฉัน
เพราะองค์พระทรงธรรม์กรุณาก็พอใจ
พระนางจะกริ้วกราดก็มิถึงกะบรรลัย
โดยบาระมีไท้สิริร่มนะเกศา
จัณฑี.ถึงฉันจะไร้ซึ่งพระมหากะรูณา
ก็ยังมิชั่วช้าและบหมดนะยางอาย
             
(สุรางคณา, ๒๘)
ชัยเสน.เหม่นางจัณฑี พูดจาครานี้ แสนจะหยาบคาย !
เธอเป็นธิดา ราชาฦาสาย ไฉนปากร้าย ราวแม้ค้าปลา ?
จัณฑี.หม่อมฉันสามาญ เพราะพระองค์ท่าน หมดพระเมตตา
หากข่าวระบือ ฦาจากพารา ถึงพระบิดา คงเสียหทัย
ชัยเสน.นี่จะมาโกรธ และมุ่งกล่าวโทษ ฉันผิดอันใด ?
จัณฑี.พระองค์ทรงฤทธิ์ จะผิดอย่างไร ? พระองค์เป็นใหญ่
เหนือผู้เหนือคน
ถึงจะรับนาง ใดใดในกลาง อรัญไพรสณฑ์
มายกมาย่อง ก็ต้องจำทน เพราะข้าเป็นคน อาภัพอัปรีย์
ชัยเสน.เธอก็มีศักดิ์ ไยพูดหยาบนัก นะนางจัณฑี?
ควรยังถือมั่น ฉันเป็นสามี และไม่ควรที่ กล่าวถ้อยหยาบช้า
ฉันขอบอกให้ เธอจงเข้าใจ ว่ามะทะนา
ก็เป็นนารี ศรีสุชาดา ไม่หย่อนไปกว่า ลูกท้าวมคธ
หล่อนควรเป็นคู่ เคียงตัวฉันอยู่ สมศักดิ์สมยศ
เธออย่าพูดมาก ไม่อยากฟังพจน์ ถึงท้าวมคธ จะไม่พอใจ
ใช่ว่าตัวฉัน จะนึกประหวั่น พรั่นจิตเมื่อไร
ถึงจะพิโรธ โกรธก็โกรธไป ตัวฉันมิได้ เป็นข้าขอบขัณฑ์
มคธราชา กับพระบิดา สิท่านชอบกัน
จึ่งได้ตกลง สององค์กล่าวหมั้น ตัวเธอกับฉัน ไว้แต่ยังเยาว์
ใช่ฉันตะกาย ไปรักโฉมฉาย เองเมื่อไรเล่า
สองบิดาท่าน จัดการให้เรา ฝ่ายฉันนี้เล่า กอบกะตัญญู
จึ่งยอมตามท่าน และไปทำการ แต่งกับโฉมตรู
แต่กระนั้นไซร้ ก็ได้เลี้ยงดู สมควรแก่ผู้ เป็นมหิษี
ฉันจงใจรัก และผินงลักษณ์ มีจิตไม่ตรี
คงจะไม่ต้อง ขุ่นหมองครานี้ ขอจงตริดี ก็คงแลเห็น
จัณฑี.หม่อมฉันเข้าใจ ว่าทรงเลี้ยงไว้ ก็เพราะจำเป็น !
ชัยเสน.ตามใจเถิดหนา ! ถ้าเธอนึกเช่น นั้นก็อาจเป็น เช่นเธอเข้าใจ !
มา, มะทะนา เราไปดีกว่า อยู่อีกทำไม ?
ขืนอยู่ฟังเสียง ก็เถียงกันไป ยืดยาวยิ่งใหญ่ ไม่เป็นแก่นสาร !
             

(ท้าวชัยเสนจูงมือมัทนา พากันเข้าโรงไปทางหลืบขวา. พอสองคนนี้ไปพ้นอราลีก็ออกมาทางหลืบซ้าย.)

(อุเปนทะวิเชียร, ๑๑.)
จัณฑี.ชะฉาอะราลีอิอะปรีย์อิตัวการ
กระไรละเหิมหาญบมิรู้สำนึกตัว
อิโสภิณีดีตะประจบสำออยผัว
แน่ะมึงนะเงาหัวบมิมีละรู้ไหม ?
พระผัวก็มัวหลงและพะวงอิชาวไพร
บนึกว่ะกูไซร้สิสุดามคธราช
ผิกูจะใช้คนจรยังชะนกนาถ
และทูลคดีกาจฤวะไท้จะดูดาย ?
อราลี.พระนางพิโรธกริ้วนะก็ควรจะมากมาย
และเหตุก็แรงร้ายจะมิทรงพิโรธฤา ?
ก็แต่จะพาทีบมิได้ถนัดฮือ !
เพราะเกรงจะอึงอื้อจะมิพ้นละโทษทัณฑ์
ฉะนั้นเสด็จกลับพระนิวาศะโดยพลัน
และถึงกระหม่อมฉันก็จะทูลอุบายดี
และคงจะทรงชำ-นะอมิตรละเทวี
จัณฑี.ฉะนั้นก็ไปทีเพราะจะอยู่ก็ป่วยการ
             

(พระนางจัณฑี, อราลี, และข้าหลวงเข้าโรงทางหลืบซ้าย.)

ตอนที่ ๒

ที่มา

๑๐๐ ปี โรงเรียนวชิราวุธ จังหวัดสงขลา

(ขอขอบคุณ คุณ gignoi สมาชิก kaewkao.com ผู้พิมพ์เป็นวิทยาทาน)

เครื่องมือส่วนตัว