นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 10 ม.ค. 02, 20:02
|
|
สี่ยอดหญิงงามมีหลายตำรา แต่ตำราที่เชื่อถือหรือว่าแพร่หลายกันมากที่สุดก็สี่คนชุดนี้แหละครับ ส่วนหงอกียังไม่ใช่ หรือถ้าใช่ก็ไม่ได้อยู่ในชุดนี้ อีกคนหนึ่งที่เคยได้ยินชื่อเหมือนกันก็คือเอี้ยนเฟย ก็เป็นหญิงงามมาก แบงตำราจัดเป็น 1 ใน 4 สุดยอดหญิงเหมือนกัน แต่ก็เป็นคนละชุด ไม่ใช่ชุดนี้ ชุดนี้มี ไซซี หวังเจาจวิน หยางกุ้ยเฟย และเตียวเสี้ยนครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
จอมยุทธก๊วย แห่ง ท้อฮวยเต้า
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 10 ม.ค. 02, 21:26
|
|
สำหรับในนิยายจีนนะครับ เกี่ยวกับ จูหยวนจาง - ดาบมังกรหยก ( กระบี่อิงฟ้า ดาบฆ่ามังกร)...โดยกิมย้ง แปลโดย น.นพรัตน์ - ฤทธิ์หมัดสะท้านบู้ลิ้ม ภาค 1 , 2 ...โดย โกวเล้ง แปลโดย น.นพรัตน์
เกี่ยวกับปลายหมิง - ต้นชิง - ศึกสองนางพญา - อุ้ยเสี่ยวป้อ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
จ้อ
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 11 ม.ค. 02, 06:47
|
|
อ้าวหรือครับผมเขียนเพลินไปครับ ขออภัยด้วยสำนวนจีน ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยสมควรตายหมื่นๆครั้ง ไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นกข.
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 11 ม.ค. 02, 19:18
|
|
สำนวน สมควรตายหมื่นครั้งนี่ ผมเคยคิดเล่นๆ ว่า ถ้าฮ่องเต้เกิดพระทัยดี ลดโทษให้ 9999 ครั้ง ให้ตายหนเดียวก็พอแล้วนี่ คนที่เป็น ข้าน้อย จะเอาไหม?  ? อิอิ "ข้าผู้น้อยสมควรตาย" ภาษาจีนกลางว่า หนูไฉไกสื่อ ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
กระบี่อิงฟ้า
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 12 ม.ค. 02, 16:00
|
|
เคยดูละครจีนทางทีวีช่องที่ซื้อลิขสิทธิ์เอฟเอคัพอังกฤษมาเก็บไว้เฉยๆ แล้วให้ชาวบ้านดูละครที่เป็นแหล่งกำเนิดยุง เขาใช้คำว่า "ทรงพระเจริญหมื่นๆปี" "ขอทรงมีพระชนมายุหมื่นปี" หรือเรียกฮ่องเต้ว่า พระหมื่นปี คำว่าหมื่นเป็นหน่วยเลขมากสุดของจีน ดังนั้นมันจึงมีความหมายว่ามากๆด้วย เวลาแปลเป็นไทย ผมว่าเขาแปลทับศัพท์เกินไปหน่อย ว่ามั้ยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ม่ายรุ
บุคคลทั่วไป
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 13 ม.ค. 02, 12:44
|
|
หัวข้อกระทู้กะ คห.ต่างๆทำข้าพเจ้างงเป็นยิ่งคะ แต่ก็ได้ความรู้เพิ่มเติมคะเรื่องนางงามทั้ง 4 เพราะปกติอ่านเอาสนุกไม่ได้จำซักที อ่านความเร็วสูงนะคะเอาแค่ประเด็นว่าอะไรเกิดขึ้น ที่ไหนอย่างไร แต่ไม่ค่อยจำว่าใครสักที จนทำให้หยิบนิยายเรื่องที่เคยอ่านมาแล้วมาอ่านซ้ำประจำ อ่านไปครึ่งเล่มก็เริ่มรู้สึกว่าคุ้นๆ กะพล็อต กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็เกือบจบเล่มแล้วคะ ความใจร้อนในการอ่านท่าจะแก้ยากแล้วคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เหลนนางพญา
อสุรผัด

ตอบ: 39
หมื่นลี้ ย่อมมีก้าวแรก
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 03 ม.ค. 05, 12:46
|
|
จู เหยียน จาง ในวัยเด็กต้องเสียบิดาตั้งแต่อายุเจ็ดขวบ หลังจากนั้นไม่นาน มารดาก็เสียชีวิตตามไป ทำให้ชีวิตในวัยเด็กลำบากมาก จึงต้องไปบวชเป็นสามเณรในพุทธศาสนา (แบบมหายาน)ที่วัดหววง เจว๋ และเนื่องจากได้คุ้ยเคยกับวัดและพระพุทธศาสนาในสมัยนั้น จึงได้เห็นข้อเสียต่างๆ ของวัดในสมัยนั้น (ขอเน้นว่าในสมัยนั้น) เช่น มีที่ดินเป็นของตนเองมากมาย มีผู้มาบวชเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก มีพระปลอมเป็นจำนวนมาก เนื่องจากวัดและพระ ไม่ต้องเสียภาษี ต่อมาเมื่อจู เหยียน จาง ได้ครองราชย์เป็นปฐมกบัตริย์ของราชวงศ์หมิง จึงได้หน่วยงานราชการขึ้นมาหน่วยงานหนึ่งในปี ค.ศ. 1368 เพื่อใช้เป็นสถาบันปกครองสงฆ์ มีหน้าที่ดูแลช่วยเหลือ และควบคุมคณะสงฆ์ โดยในยุคแรกได้นิมนต์พระอาจารย์หุ้ย หวิน มาทำหน้าที่เช่นพระสังฆราช
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เหลนนางพญา
อสุรผัด

ตอบ: 39
หมื่นลี้ ย่อมมีก้าวแรก
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 06 ม.ค. 05, 21:40
|
|
 ซีซือ |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เหลนนางพญา
อสุรผัด

ตอบ: 39
หมื่นลี้ ย่อมมีก้าวแรก
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 06 ม.ค. 05, 21:42
|
|
 หวางเจาจวิน |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เหลนนางพญา
อสุรผัด

ตอบ: 39
หมื่นลี้ ย่อมมีก้าวแรก
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 06 ม.ค. 05, 21:46
|
|
 เตียวฉาน |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เหลนนางพญา
อสุรผัด

ตอบ: 39
หมื่นลี้ ย่อมมีก้าวแรก
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 06 ม.ค. 05, 21:56
|
|
 หยางกุ้ยเฟย |
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ศศิศ
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 03 ต.ค. 06, 17:54
|
|
พอดีช่วงนี้บ้าหนังจีนชุด อิอิ
เลยตามมาขุดกระทู้นี้ ด้วยพอดีกับที่ช่อง ๓ นำหนังจีนชุดเรื่อง
"ดาบมังกรหยก" (ศ-ส 22.30 น. - 24.00 น.)
เทิดทูนเหนือหล้า ดาบฆ่ามังกร ประกาศิตทุกชีวิต มิกล้าฝ่าฝืน อิงฟ้าไม่มา ใครหาญกล้าต่อกร
กับ "ไท้เก๊กจางซานฟง" (ฤทธิ์หมัดสะท้านบู๊ลิ้ม) ( จันทร์ - เสาร์ เวลา 03.00 น. - 03.30 น.)
มาฉายครับผม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
- ศศิศ -
|
|
|
BLUECOLOR
อสุรผัด

ตอบ: 20
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 03 ก.พ. 09, 08:23
|
|
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แม้จะทรงเป็นสามัญชน มิได้สืบเชื้อสายจากราชวงศ์ แต่ในสมัยที่กู้อิสรภาพ ทรงปฏิบัติการในฐานะที่เป็นขุนนาง ดังนั้นหากเปรียบว่าเหมือนกันกับจูหยวนจางในแง่ของการเป็นสามัญชน คงจะไม่ตรงเสียทีเดียว
สิ่งที่สำคัญที่ เราคนไทยสมัยนี้ควรพิจารณา นอกจากรายละเอียดปลีกย่อยในประวัติศาสตร์ ที่เขาเขียน และ บอกเล่าให้เราทราบก็คือ การปฏิบัติการกู้เอกราชในสมัยนั้น เกิดจากการตัดสินพระทัยของพระเจ้าตากสิน ในขณะที่ทรงเป็นขุนนาง ตีฝ่าข้าศึกออกจากพระนครไปตั้งหลัก ด้วยทรงพิจารณาเห็นว่า หากทำเช่นนั้นจึงพอมีโอกาสในการที่จะกู้เอกราชคืนมา การตัดสินพระทัยเช่นนั้น มีความเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจาก หากพระราชภารกิจนั้นไม่สำเร็จ จะกลายเป็นกบฎในทันที และมีโทษถึงแก่ชีวิต
ต้องบอกว่านั่นคือการเสียสละ อย่างแท้จริง เพราะเป็นการปฏิบัติการจากขุนนางที่เป็นลูกไทย-จีน ซึ่งอยู่ท่ามกลางข้าราชการที่เป็นคนในพื้นที่ คือ ไทยแท้ๆ ในขณะนั้น
สิ่งที่พระเจ้าตากทรงปฏิบัติตลอดรัชสมัย สิบห้าปี ก็คือ การสู้รบเพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นให้ประเทศชาติ และ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา เพื่อให้ ประชาชนคนไทยได้อยู่อย่างผาสุขในแผ่นดินของพระองค์ หากทรงปฏิบัติการแบบประเพณีนิยมของผู้ขึ้นครองอำนาจแล้ว ก็เห็นทีว่าระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติอาจยาวนานกว่านี้ ก็เป็นได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 03 ก.พ. 09, 08:59
|
|
หลังกรุงศรีอยุธยาแตกในปี 2310 แล้ว ก็สิ้นกษัตริย์อยุธยา เพราะราชวงศ์บ้านพลูหลวงถูกโค่นโดยกษัตริย์พม่าไปแล้ว พระยาตากจะถูกมองว่าเป็นกบฎไม่ได้ เพราะไม่มีเจ้านายเหนือหัวให้ท่านถูกตราหน้าได้ว่าเป็นกบฎ เหมือนพระยาพิษณุโลก(เรือง) ก็ไม่มีใครมากล่าวหาว่าท่านเป็นกบฎ เจ้าพระฝางก็เช่นกัน กรมหมื่นเทพพิพิธก็อีกเหมือนกัน
ส่วนคำว่า กู้เอกราช ที่ใช้ในหนังสือแบบเรียนต่อๆกันมา ดิฉันเรียกว่า "ต้องการเป็นไทแก่ตัว ไม่ขึ้นกับพม่า" ตอนนั้นมีถึง ๖ ก๊กด้วยกัน ที่คิดแบบนี้
เนื่องจากการแตกของอยุธยา เป็นการแตกที่หัวใจของอำนาจ คือที่กรุงศรีอยุธยา แต่รอบๆ คือเมืองใหญ่อื่นๆ เปรียบได้กับแขนขา ยังมีเรี่ยวแรงอยู่ เช่นเมืองพิษณุโลก เมืองฝาง พวกนี้ก็รวบรวมคน ฟื้นฟูกำลังของตัวเองขึ้นมา ไม่ยอมขึ้นกับพม่า เพราะถือว่ายังมีช่องทางให้ลุกขึ้นมาได้ คนละอย่างกับการเสียกรุงครั้งแรก ที่พระมหาธรรมราชายอมอ่อนน้อม อยู่ในอำนาจของบุเรงนอง แบบผู้น้อยพึ่งผู้ใหญ่ ตอนนั้นจะเห็นได้ว่าหัวเมืองใหญ่น้อย ไม่ได้หืออือขึ้นมาเลย ยอมอ่อนน้อมตามไปหมด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
CrazyHOrse
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 04 ก.พ. 09, 11:06
|
|
พระยาตากหนีออกจากกรุงศรีอยุธยาก่อนกรุงแตกราว ๓ เดือนครับ และก่อนจะออกมาก็อยู่ในภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้คุ้มครองแนวแม่น้ำป่าสักช่วงที่เป็นคูเมืองฝั่งตะวันออกของกรุงศรีอยุธยา เพื่อไม่ให้กองทัพพม่าจากทางเหนือและทางใต้สามารถเชื่อมต่อกันได้
ช่วงนั้นเป็นช่วงเดือน ๑๒ น้ำหลากเต็มที่แล้ว และกองทัพพม่าก็เริ่มคืบรุกเข้าประชิดเกาะเมือง เหตุการณ์สำคัญที่เกิดก่อนหน้านั้นคือการปะทะกันของกองกำลังของพระยาเพชรบุรีกับทัพพม่าแถบวัดโปรดสัตว์ในลำน้ำทางตอนใต้บางกะจะลงมา จนทำให้พระยาเพชรบุรีเสียชีวิตในที่รบ
นัยว่าพระยาตากประเมินสถานการณ์แล้วเห็นว่ากรุงศรีอยุธยาไม่สามารถต้านทานทัพพม่าซึ่งจะยิ่งทำการสะดวกขึ้นเมื่อน้ำลดลงแล้ว จึงละทิ้งหน้าที่ หนีออกจากกรุงศรีอยุธยาครับ
การละทิ้งหน้าที่ในยามศึกเช่นนี้ โทษกบฎสถานเดียวครับ เพียงแต่ว่าราชสำนักอยุธยาในเวลานั้นไม่มีความสามารถที่จะดำเนินการเอาโทษใดๆได้ ลำพังต้านทานทัพพม่าก็เป็นงานที่หนักหนาสาหัสมากแล้ว แนวคูเมืองฝั่งตะวันออกที่เป็นพื้นที่รับผิดชอบของพระยาตากถูกพม่าเข้ายึดครองได้หลังจากนั้นไม่นาน และบริเวณหัวรอจุดที่โดนพม่าเผารากกำแพงจนพังทลายลงมาเป็นเหตุให้กรุงแตกก็เป็นพื้นที่ตอนเหนือสุดของพื้นที่รับผิดชอบของพระยาตากครับ
ดังนั้นจะบอกว่านี่คือการปฏิบัติการที่เสียสละเพื่อกู้เอกราช คงไม่ถูกต้องนัก เพราะเวลานั้นกรุงยังไม่แตก เอกราชยังไม่ได้เสีย การละทิ้งกรุงศรีอยุธยาในครั้งนั้นตีความได้อย่างเดียวคือ เป็นการหนีเพื่อเอาชีวิตรอดครับ
หลังกรุงแตก โทษกบฎจะมีอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว เพราะราชสำนักอยุธยาถูกล้มล้างลงอย่างสิ้นเชิง และเห็นได้ชัดว่าในเหล่าชุมนุมต่างๆ มีชุมนุมพระยาตากที่เป็นชุมนุมที่เข้มแข็งที่สุดที่มีอุดมการณ์ในการรวมแผ่นดินขึ้นมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง และก็ทำได้สำเร็จ
ภารกิจของพระเจ้ากรุงธนบุรีนั้นต่างจากจูหยวนจาง
จูหยวนจางรวมแผ่นดินได้เป็นปึกแผ่นแล้ว งานสำคัญต่อมาคือการวางรากฐานการปกครอง และพระองค์เลือกล้างบางขุนศึกข้างตัว เพื่อลดความเสี่ยงจากปัญหาการเมือง และสามารถเดินหน้าในการปกครองได้อย่างสบายใจ (ถูก ผิด ไม่ขอวิจารณ์นะครับ)
แต่พระเจ้ากรุงธนบุรี นอกจากการรวมแผ่นดินโดยการปราบปรามชุมนุมอื่นๆแล้ว ยังทำอะไรทัพพม่าศัตรูสำคัญไม่ได้ ค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้นที่ตีแตกไปนั้นเป็นเพียงค่ายเล็กที่พม่าที่ไว้ริบทรัพย์จับเชลย ตลอดรัชกาลยังต้องรับศึกพม่าอีกหลายครั้ง ช่วงต้นรัชกาลยังมีปัญหาขาดแคลนข้าวรุนแรง จนถึงกับต้องแปลงพื้นที่สวนผลไม้เป็นไร่นาเพื่อผลิตข้าว นอกจากนี้ปัญหาประชากรที่เบาบางลงไปในช่วงสงคราม บางส่วนโดนพม่ากวาดต้อนไป และบางส่วนหลบหนีไปกระจัดกระจายไปซ่อนในป่าในดง เป็นเหตุให้ทรงส่งขุนทหารคนสนิททั้งหลายขึ้นไปตั้งรวบรวมคนในหัวเมืองเหนือให้เป็นปึกแผ่น ผมมองว่าการตี พม่า ลาว เขมร และหัวเมืองปัตตานีในช่วงต่อ ธนบุรี-รัตนโกสินทร์ ส่วนหนึ่งก็เพื่อสะสมกำลังคนและยุทธปัจจัยเพื่อเสริมความแข็งแกร่งเตรรียมทำศึกกับพม่าด้วยครับ
ดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบรัชกาล ยังนึกไม่ออกว่าพระเจ้ากรุงธนบุรีจะมีโอกาสไหนให้กำจัดขุนทหารอย่างจูหยวนจางเลยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
|
|
|
|