ดังรูปบน จะเห็นได้ว่าการสร้า่งเพดานแบบนี้ หากหินก้อนบนหล่นออกไป ตัวเพดานก็จะเปิดช่องออกมาให้น้ำฝนตกเข้ามาอย่างมาก เป็นการเร่งให้การสลักหักพังเกิดได้เร็วขึ้นไปอีก
ชาวโรมซึ่งพัฒนาการสร้างตึกหินมาจากอารยธรรมตะวันออกกลาง โดยคิดวิธีทำเพดานโค้ง (vaulting) ได้ประสบความสำเร็จในการเสริมความมั่นคง ให้ตัวอาคารขึ้นอีกมาก ในระบบ vaulting นั้น หินหรืออิฐแต่ละก้อนจะรับน้ำหนักเฉลี่ยใกล้เคียงกัน หากมีก้อนใดหลุดหล่นไป ส่วนที่เหลือก็จะยังมีความม่ันคงเหลืออยู่มากพอที่จะพยุงตัวเพดานอยู่ได้ อันเป็นความรู้พื้นฐานที่ชาวยุโรปรุ่นต่อมาเอามาใช้เป็นประโยชน์ในการสร้างอาคารสูงๆอย่าง Cathedral ที่เราเห็นกันเช่น โบสถ์ Notre Dam ในประเทศฝรั่งเศส
เคยไปลงคอร์สการก่อสร้างด้วยก้อนอิฐแบบโดม คือแบบ vaulting นี้ ที่ทำให้ขยายความกว้างของห้องได้มาก และแน่นหนาทนทานมากกว่า อาจารย์ที่สอนเป็นชาวอิหร่านที่ปรับความรู้ของการก่อสร้างจากชาวเปอร์เซียโบราณ ก็บอกว่า ในสมัยโบราณ สิ่งก่อสร้างที่ทำหลังคาโดมแบบนี้ มักจะเป็นเตาเผาอิฐ (ส่วนบ้านเค้านิยมทำหลังคาจั่วสูงๆ) แถวนั้นก็มีแผ่นดินไหวมาก สิ่งก่อสร้างโบราณที่หลงเหลือมาเป็นพันๆปีได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นเตาเผาอิฐหลังคาโดมนี่แหละค่ะ
ฝากคุณ CrazyHorse ดูพวกสถาปัตยกรรมให้ด้วยนะคะ ยังไม่มีวาสนาได้ไปเห็นด้วยตาตัวเองเลยค่ะ

http://vcharkarn.com/reurnthai/uploaded_pics/RW896x007.jpg'>