เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
อ่าน: 21009 พญาครุฑ
GSX
บุคคลทั่วไป
 เมื่อ 10 ต.ค. 00, 12:00

อันนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับครุฑที่เขียนโดยคุณพระนาย จากpantip.comนะครับผมขอลอกมาเลยละกัน

เรื่องพญาครุฑที่จะเล่าอันนี้ ไม่เกี่ยวกับพญาครุฑที่ไปลักนางกากีนะครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วครุฑนี่
มีหลายตัวหรือเปล่า แต่ที่แน่ ๆ นักการเมืองนี่จะชอบครุฑมากแจกกันบ่อย ๆ ทำให้ได้มาเป็นนักการเมืองกันทุกรอบ
อ่ะ เริ่ม ๆ ดีกว่าเดี๋ยวเรื่องยาว
พญาครุฑนั้น ถือว่าเป็นคนมีตระกูลทีเดียว คือเป็นหลานสายตรงของพระพรหม เป็นพี่น้องต่างมารดากับพระอินทร์
แล้วก็บรรดานาคด้วยแต่ว่าทำไมครุฑกับนาคถึงต้องกลายเป็นศัตรูกันถึงขนาดครุฑต้องจับนาคกินเป็นอาหารอ่ะมาฟังต่อ
พญาครุฑนั้นเป็นลูกของพระกัสปเทพบิดร (เทพฤาษี)ซึ่งเป็นโอรสที่เกิดจากใจของพระพรหม มีหน้าที่เป็นผู้ช่วยพระพรหมสร้าง
เผ่าพันธ์ุต่อไป พระกัสปเทพบิดรมีลูกเยอะมาก ที่ดังก็คือ พระอินทร์นี่แหละ เสร็จแล้วตอนหลัง ท่านมาได้เมียสาวสองคนเป็นพี่น้องกัน
ตามธรรมดาครับ คนแก่มีเมียสาวก็ต้องเอาใจหน่อยล่ะครับ ท่านก็บอกเมียทั้งสองว่าจะให้พรกับพวกเจ้าคนละข้อให้ขอมาได้เลย
ฝ่ายสองพี่น้องนั้น คนน้องก็ขอก่อน (จำชื่อไม่ได้อีกแหละ) โดยเธอขอให้มีลูกมาก ๆ โดยให้ลูกเป็นผู้มีฤทธิมากแปลงกายได้และเป็นที่พึ่งของนางได
ท่านก็ให้ตามที่ขอ ฝ่ายคนพี่นั้นเกิดเป็นนางอิจฉาล่ะนางขอมีลูกเพียง 2 คนพอ แต่ขอให้เป็นผู้มีฤทธิเหนือ
ลูกทั้งหมดของผู้เป็นน้อง พระเทพฤาษีก็ให้แต่ยังอุตส่าห์บอกนะว่า เจ้ามีแต่ความขี้อิจฉาจึงขอพรแบบนี้
จะเป็นผลทำให้เจ้าต้องตกเป็นทาสของน้องและลูกของน้องเจ้า ท่านก็แปลกว่าแล้วแต่ไม่แก้ปล่อยให้เรื่องมันเกิด สงสัยถือว่าพรหมลิขิต
เวลาผ่านไป นางทั้งสองก็ออกลูกเป็นไข่ ไม่เข้าใจเหมือนกันครับไหงออกเป็นไข่ โดยนางผู้น้องก็ต้องดูแลไข่อยู่ถึงสองหรือสามร้อยปี (ผมไม่แน่ใจ)
นานมาก ไข่่ของนางผู้น้องก็แตกออก ลูกของนางมีถึง 500 ตน ออกมาเป็นนาค ซึ่งนาคก็มีฤทธิมากเป็นผู้ดูแลบาดาล พ่นน้ำ พ่นพิษ แปลงกายได้
ลูกของนางที่ดัง ๆ ก็มี พญาอนันตนาคราชที่ไปเป็นบัลลังกิ์ของพระนารายณ์ที่เกษียรสมุทร
ฝ่ายลูกของพี่สาวนางก็ไม่ออกมาซะที สงสัยขอให้เก่งมากเลยต้องรอนาน ในที่สุดนางใจร้อน เพราะเห็นน้องสาวหยอกล้อกับลูกเล่น เป็นที่อิจฉา
นางนี่ขี้อิจฉาจริง ๆ ครับ นางเลยไปต่อยไข่ฟองหนึ่งในสองฟองปรากฎว่าลูกของนางออกมา มีแค่ครึ่งตัวครับ แต่มีร่างกายใหญ่มาก
ลูกของนางโกรธมากบอกว่า ความใจร้อนของแม่ทำให้ข้ามีร่างแค่ครึ่งตัว ดังนั้นข้าจะสาปแม่ ให้แม่ต้องตกเป็นทาสของน้องสาวและลูกของนาง
นางก็ตกใจมากพระอรุณ (ลูกชายของนาง) จึงใจอ่อน บอกว่าเอาล่ะ คำสาปของข้าจะไม่อยู่นานนักหรอก
เมื่อไหร่ที่ลูกคนที่สองของแม่ออกมาจากไข่ เค้าจะเป็นคนช่วยแม่ให้พ้นทุกข์ได้ แม่จงต้องใช้กรรมของความริษยาและไม่มีความอดทนไปก่อนนะ
แล้วพระอรุณก็เหาะไปสมัครงานกับพระอาทิตย์ครับ เป็นคนชักรถม้าให้พระอาทิตย์ ด้วยความใหญ่โตของร่างกายพระอรุณ
จึงทำให้แสงอาทิตย์ในตอนเช้าและตอนเย็นไม่แรงกล้านัก โดยตอนเช้ายังเรียกว่าแสงอรุณด้วย (คนโบราณเข้าใจหาคำอธิบายนะเนี่ย)
ครับ ต่อมา การพนันของสองพี่น้องก็เริ่มขึ้นเพื่อนำไปสุ่เรื่องต่อ นางสองพี่น้องพนันกันว่าหางของม้าที่พระอาทิตย์ใช้ทรงรถนั้นเป็นสีอะไร
ฝ่ายพี่นั้นเคยเห็นมาแล้วบอกทันทีว่าต้องเป็นสีขาวเพราะม้าเป็นสีขาวปลอดทั้งตัว ฝ่ายน้องก็ทายเลยว่ามีสีดำที่หาง แต่ตัวเป็นสีขาว โดยผู้แพ้จะต้องยอมเป็นทาสของอีกฝ่ายหนึ่ง
พอเช้าทั้งสองฝ่ายก็ไปรอดู แต่ฝ่ายน้องนั้นฉลาดครับ ใช้ลูกของนางพวกนาคไปดูก่อน ฝ่ายพวกนาคเห็นแล้วก็รู้เลยว่า แม่จะต้องแพ้แน่ แต่ลูกที่ดีต้องมีแผนครับ
พวกนาคแปลงกายเป็นขนสีดำแซมทั่วหางของม้าครับทำให้แม่ตัวเองชนะพนัน ได้พี่สาวมาเป็นข้าทาส
ครับด้วยคำสาปของลูกและกลโกงของฝ่ายน้องสาว นางจึงต้องมาเป็นทาสของน้องและพวกนาค
จนเวลาผ่านไปเป็นพันปี (เวลาของในวรรณคดีนี่เร็วมาก ร้อยสองร้อยปีแป้บเดียว)
ไข่ใบที่สองของนางก็แตกออกมา เป็นครึ่งคน ครึ่งนกยักษ์ มีคำบรรยายความใหญ่โตของพญาครุฑไว้แต่ผมจำไม่ได้
แต่ที่จำได้คือพญาครุฑก็สำแดงเดชกางปีกออกบินขึ้นไปสูงเหนือยอดเขาพระสุเมรุซึ่งถือเป็นหลักของจักรวาลแล้ว
เปล่งรัศมีออกจากตัวเจิดจ้ามาก จนบดบังรัศมีของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จนต้นไม้และดอกไม้เข้าใจผิด
บานกันผิดเวลาและชาวบ้านก็นึกว่ากลางคืนเป็นกลางวัน จนในที่สุด พระกัสปเทพบิดรผู้เป็นพ่อก็มาบอกให้พญาครุฑลดแสงลง
พญาครุฑก็ยอมตามที่ขอ พระเทพบิดรก็บอกให้พญาครุฑไปช่วยแม่ตัวเองให้พ้นจากการเป็นทาส
พญาครุฑก็รับคำ รีบไปหาพวกนาคและเจรจาขอให้ปล่อยแม่ของตนโดยตนจะยอมทำงานให้พวกนาคแทนเอง
พวกนาคได้ทีก็ขอให้พญาครุฑ ไปขโมยน้ำอมฤต (เขียนผิดแหง) ที่จะทำให้พวกตนเป็นอมร ไม่มีวันตาย
ของพวกเทพที่ได้จากเมื่อคราวกวนเกษียรสมุทรมาให้พวกตน เพื่อเหล่านาคจะได้เป็นอมตะ
พญาครุฑก็เลี่ยงไม่ได้ต้องลอบเข้าไปในวิมานของพระอินทร์ ฝ่าด่านอันตรายมากมาย มีไฟกรด ขวางหน้า
พญาครุฑก็กระพือปีกดับไฟกรด ได้ เจอกงจักรที่จะตัดทุกอย่างที่ขวางหน้าพญาครุฑก็แปลงตัวให้เล็กกว่า
แมลงแล้วเข้าไปทำลายดุมจักรเสีย แล้วก็เข้าไปหยิบน้ำอมฤต ออกมาแล้วก็กระพือปีให้เกิดเป็นพายุใหญ่
พัดตลบทั่วสวรรค์แล้วก็บินหนีออกมา(จะเห็นว่าพระเอกเราเก่งสุด ๆ) แต่พระอินทร์ท่านก็ยังไม่เสียทีเป็นผู้นำเทวดา
ตามออกมาต่อสู้กับพญาครุฑเป็นสามารถ แต่ยังทำอะไรพญาครุฑไม่ได้แถมพญาครุฑยังไม่ได้โต้ตอบ
พูดตามสำนวนหนังจีนก็ยังต่อให้หลายกระบวนท่าอยู่ พระอินทร์เลยใช้ไม้ตายขว้างวชิระอาวุธสายฟ้าออกมา
สะเทือนไปทั้งสามโลก พญาครุฑนั้นยังไม่สะเทือน แต่ต้องการจะให้พระอินทร์ยอมแพ้เลยประกาศว่า
องค์อัมรินทร์ท่านก็ถือว่าเป็นพี่ชายเรา เราจะไม่เอาชนะท่านแล้วจริง ๆ อาวุธของท่านก็ทำอะไรเราไม่ได้
แต่วันนี้เพื่อเห็นแก่หน้าท่านเราจะยอมสละขนปีกของเราสักเส้นหนึ่งให้เห็นว่า อาวุธของท่านมีอานุภาพทำอันตราย
เราได้ สุภาพบุรุษจริง ๆ ครับ พญาครุฑคนนี้ พระอินทร์ของเราเห็นปุ๊บก็เลิกสู้เลย แต่บอกว่าน้ำอมตะนี้เอาไปไม่ได้
พญาครุฑก็บอกว่าต้องเอาไปช่วยแม่มาก่อน เอางี้ให้พระอินทร์ตามไปแล้วก็แอบไปหยิบเอาคืนมาจาก
พวกนาคหลังจากที่พญาครุฑช่วยแม่มาได้แล้ว พระอินทร์ก็ตกลง ไม่รู้จะทำไงอยู่แล้วครับสู้ไม่ได้อีกตามเคยองค์อัมรินทร์เรา
ระหว่างที่ครุฑบินไปหาพวกนาคนั่นเอง องค์พระนารายณ์ก็มาปรากฎตัวและบอกว่า ดูกรพญาปักษีผู้ทรงฤทธิ์ เราพอใจท่านมาก
อยากให้ท่านมาเป็นพาหนะของเราท่านจะว่าไง พญาครุฑก็รีบคารวะพระนารายณ์แล้วก็บอกว่า
ข้าพระองค์เต็มใจยิ่งแต่อยากจะขอพรจากพระองค์สัก 2 ข้อ พระนารายณ์ก็ตอบตกลง
พญาครุฑก็เลยขอ 1. ขอให้ตัวเองเป็นอมตะแม้ว่าจะไม่ได้ต้องดื่มน้ำทิพย์ของพวกเทวะ
2. ขอให้ตัวเองมีสิทธิจับนาคกินเป็นอาหาร พระนารายณ์ก็ประทานให้ตามคำขอโดยขอชีวิตนาคไว้บ้างโดย
ให้พญาครุฑกินนาคได้วันละตัวเท่านั้น แล้วท่านก็ให้พรเพิ่มว่าท่านจะใช้พญาครุฑเป็นพาหนะ แต่เวลาที่ท่านลงจากหลังพญาครุฑ
จะให้พญาครุฑอยู่บนที่สูงกว่าศรีษะท่านได้ แต่อยู่ทางเบื้องหลัง เพื่อเป็นการให้เกียรติกับพญาครุฑ
พญาครุฑก็ลาเจ้านายใหม่มา แล้วรีบไปช่วยแม่ ก็ไปถึงริมสระที่พวกนาคอยู่แล้วก็เลยบอกให้พวกนาคปล่อยแม่ของตนแล้วลงไปอาบน้ำให้สะอาดก่อนมาดื่มน้ำอมฤต
พวกนาคก็เชื่ีอครับ พระอินทร์มาถึงก็รีบเลยขโมยน้ำทิพย์กลับไป พวกนาคขึ้นจากน้ำมาปรากฎว่าไม่มีน้ำทิพย์แล้วแต่
เห็นมีน้ำเกาะอยู่ตามใบหญ้าคา ก็เลยรีบเลียกินปรากฎว่าใบหญ้าบาดลิ้นออกเป็น 2 แฉก ตั้งแต่นั้นมาพวกงูและสัตว์เลื้อยคลานจึงมีลิ้นสองแฉกครับผม
และนาคก็ถูกครุฑจับกินวันละตัวตั้งแต่นั้นมา แล้วพญาครุฑก็ไปรับใช้พระนารายณ์ ซึ่งก็ม่งานหนักอะไร
เพราะปกติองค์พราะนารายณ์ท่านบรรทมอยู่ที่เกษียรสมุทรตลอดไม่ค่อยไปไหน นอกจากมีใครเดือดร้อน ก่อความไม่สงบท่านถึงจะตื่นสักทีนึง
จบล่ะครับ เรื่องนี้ครุฑค่อนข้างเป็นพระเอกครับ ความเจ้าชู้ยังไม่ปรากฎ
ไม่เหมือนตอนเรื่องกากี ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นครุฑตัวเดียวกันหรือเปล่า

จากคุณ : คุณพระนาย - [3 มี.ค. 14:50:46]  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 25 ก.ย. 00, 00:00

ขอบคุณค่ะคุณ GSX  
กำลังรอคนอื่นมาแจมด้วย
 
บันทึกการเข้า
ทิด
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 25 ก.ย. 00, 00:00

รู้สึกกระทู้นี้จะเป็นกระทู้เก่าก่อนที่ผมจะเข้าไปเล่นในมองอดีตด้วยเลยไม่ได้มีโอกาสแจม
มาคราวนี้เลยขอถือโอกาสเสียเลยก็แล้วกันนะครับ ^_^
.................................................................
เคยอ่านมาจากหนังสือ "เทวกำเนิด" ว่า ตอนที่พระนารายณ์ไปห้ามพญาครุฑคราวที่ว่านั้น
มีการปะทะลองกำลังกันด้วยนะครับ ผลการประลองก็คือไม่สามารถที่จะหาผู้ที่เหนือกว่าได้
พระนารายณ์ก็เลยเกิดความนับถือในฝีมือของครุฑ ในขณะที่ครุฑเองก็เคารพองค์วิษณุอยู่แล้ว
จึงเกิดข้อตกลง Gentlemen Agreement ขึ้น อย่างที่คุณ GSX นำมาเล่าให้ฟังนั่นแหละครับ
อีกเรื่องนึงก็คือพญาครุฑตนนี้เป็นตนเดียวกับพญาครุฑในเรื่องกากีครับ เพราะมีนิวาสถาน
อยู่ที่วิมานฉิมพลี (งิ้ว) เหมือนกันครับ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 25 ก.ย. 00, 00:00

ดิฉันเข้าใจว่าครุฑมีหลายตัวนะคะ  ครุฑที่มาลักนางกากีไปชื่อเวนไตย  ไม่พบชื่อนี้ในตำนานครุฑ  คงเป็นเชื้อสายเกิดมาทีหลัง
อีกอย่างที่คิดว่าอยู่กันเป็นเผ่าพันธ์  เพราะเคยอ่านพบการกล่าวถึงลูกครุฑ  ในบทอัศจรรย์ของวรรณคดีเล่มหนึ่ง แต่จำไม่ได้ว่าของสุนทรภู่หรือใคร
ส่วนที่อยู่ของครุฑ  วิมานฉิมพลี  นั้นเป็นดงไม้งิ้วขนาดใหญ่อยู่เลยแม่น้ำสีทันดรออกไป  เรียกว่านอกฟ้าป่าหิมพานต์
บันทึกการเข้า
คุณพระนาย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 25 ก.ย. 00, 00:00

เรื่องที่ว่า พญาครุฑ สู้กับพระนารายณ์นั้น มีหลายกระแสครับ คิดว่า ผู้ปลุกกระแสนี้น่าจะเป็นฝ่ายนิกายไศวะ เพราะว่า นับถือพระอิศวร(ศิวะ) เป็นเทพสูงสุด เหนือกว่าพระนารายณ์ แต่เรื่องที่ผมเอามาเล่าน่าจะเป็นตำนานจากพวกนิกายที่เคารพพระวิษณุ ก็เลยไม่ได้พูดว่า พญาครุฑ สู้กับพระนารายณ์
เรื่องกากี คิดว่า อาจจะเป็นครุฑตัวเดียวกัน แต่แต่งขึ้นทีหลัง หลังจาก พญาครุฑ ลดความสำคัญ กลายเป็น แค่สัตว์กึ่งเทพ ในป่าหิมพานต์ แล้ว ไม่เหมือนกับตำนานแรก ๆ ที่ยกให้เก่งกาจมาก
บันทึกการเข้า
คุณพระนาง
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 26 ก.ย. 00, 00:00

ชอบ website นี้ มีประโยชน์ดีจังเลยค่ะ
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 29 ก.ย. 00, 00:00

ครุฑเป็นชื่อประเภทหรือเผ่าพันธุ์ครับ ดังนั้นจึงมีหลายตัว (ตน?) ต้นตระกูลคงจะเป็นเทวดานกตามประวัติที่คุณพระนายเล่า แต่ที่ปรากฏบทบาทในวรรณคดีเรื่องอื่นๆ อาจจะไม่ใช่พญาครุฑบุตรพระกัศยปเทพบิดรทุกตัวไป อาจจะเป็นรุ่นลูกหลานมั้ง
นมส. ท่านว่า ในต้นรากศัพท์เดิม ครุฑเป็นศัพท์ธรรมดาสามัญที่แขกเขาเรียกนกใหญ่ครับ ตั้งแต่นกอินทรี เหยี่ยว บางทีแขกบางพวกใช้เรียกตลอดไปถึงแร้งด้วย
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 29 ก.ย. 00, 00:00

อ้อ เวนไตยเป็นอีกชื่อหนึ่งของครุฑนะครับ
ถ้าจำไม่ผิด ดูเหมือนมาจากชื่อของแม่ของครุฑ ที่ว่าเป็นพี่น้องกันกับแม่นาค เอ๊ย แม่ของนาคนั่นแหละครับ  
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 29 ก.ย. 00, 00:00

นึกได้อีกอย่าง
สายการบินการูด้าของอินโดนีเซีย ก็มาจากคำว่า "ครุฑ" นี่เองค่ะ

ดิฉันเชื่อว่าความเป็นมาของครุฑกับพระนารายณ์ก็เรื่องหนึ่ง  แล้ววรรณคดีอื่นๆในชั้นหลังก็ยังติดใจนกวิเศษชนิดนี้อยู่  จึงนำมาใส่ไว้ในเรื่อง แต่สร้างบทบาทขึ้นมาใหม่
อย่างเรื่องกากี  มาจากชาดก  ไม่ใช่เรื่องของสันสกฤต  จึงคิดว่าเป็นครุฑชั้นลูกหลานค่ะ  ดูๆแล้วก็ไม่เห็นมีฤทธิ์อะไรมาก   ยังกลัวท้าวพรหมทัตจับได้เสียอีกว่าไปขโมยพระมเหสีมา
 
บันทึกการเข้า
Anonymous
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 29 ก.ย. 00, 00:00

Garuda is the vehicle of Vishnu and is son of Kasyapa and Vinata.  Shortly after his birth, he frightened the gods by his brilliant luster; they supposed him to be Agni, and requested his protection; when they discovered that he was Garuda, they praised him as the highest being, and called him fire and sun.  Aruna, the charioteer of the sun or the personified dawn, is said to be the elder (or younger) brother of Garuda.  Svaha, the wife of Agni, takes the shape of a female Garudi (ครุฑี), also called "Suparni" (สุปรรณี).
บันทึกการเข้า
Anonumous
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 29 ก.ย. 00, 00:00

For the names above,

Garuda = ครุฑ
Vishnu = พระวิษณุ
Kasyapa = ฤษีกัสยปะ
Vinata = นางวินตา
Agni = พระอัคนี
Aruna = พระอรุณ
Svaha = นางสวาหะ
Suparn = สุบรรณ (ครุฑตัวผู้)
Suparni = สุบรรณี (ครุฑตัวเมีย)
บันทึกการเข้า
Anonymous
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 29 ก.ย. 00, 00:00

"Garuda" in Pali, besides "ครุฑ", also means "นกกระไน" or "นกหัวขวาน".
บันทึกการเข้า
นิลกังขา
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 02 ต.ค. 00, 00:00

ผมยังสงสัยอยู่อีกอย่างว่า วิมานฉิมพลีของครุฑ ที่ว่าเป็นวิมานบนต้นไม้งิ้วที่นอกฟ้าป่าหิมพานต์ตามคติฮินดูนั้น ทำไมจึงไปตรงกับต้นงิ้วกะทะทองแดงในนรกตามไตรภูมิในพุทธศาสนาได้ ?
ครุฑจะอยู่วิมานทั้งทีก็น่าจะหาต้นไม้อื่นที่ดีกว่านี้หน่อยนะครับ หรือว่าจะเป็นเพราะพฤติกรรมของครุฑตัวที่ไปลักนางกากีก็ไม่รู้...
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 02 ต.ค. 00, 00:00

ผมเคยไปกรุงอูลานบาตาร์ นครหลวงของประเทศมองโกเลีย ด้วยภารกิจในหน้าที่ (แล้วหลังจากนั้นก็เคยไปเที่ยวเองอีก) ไม่เจอเพื่อนเก่าเข้าที่นั่นหลายอย่างครับ ทั้งๆ ที่มองโกเลียดูเหมือนจะอยู่ไกลจากเมืองไทยเหลือเกิน แต่เพราะทั้งคนไทยคนมองโกลรับอารยธรรมหลายๆ อย่างจากอินเดีย เลยได้ไปเจอวัฒนธรรมที่เทียบเคียงกันได้อย่างน่าสนใจมากหลายอย่าง
เทพารักษ์ผู้คุ้มครองพิทักษ์เมืองอูลานบาตาร์ คือ ครุฑ ครับ ผมยังถ่ายรูปมา ครุฑมองโกลดูไม่งามเท่าครุฑไทย (ผมก็ยังชาตินิยมอยู่ดี) แต่ก็ดูออกว่าเป็นครุฑ ยุดนาคไว่ในกรงเล็บด้วย
ภาษามองโกล ถ้าจำไม่ผิด เรียกครุฑว่า คฮังการ์ เขาว่ากร่อนมาจาก คาน-การ์ริด คาน คำหน้านั้น คือที่ไทยเขียนว่า ข่าน อย่างเจงกิสข่านนั้นเอง แปลว่า พญาหรือกษัตริย์ ส่วน การ์ริดนั้นชวนให้ผมนึกถึงคำว่า การูด้าในภาษาอินโดนีเซียขึ้นมาตะหงิดๆ ผมว่าการ์ริด นี่ คือ ครุฑ ออกเสียงแบบลิ้นมองโกล แหงๆ
บันทึกการเข้า
Anonymous
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 02 ต.ค. 00, 00:00

มีคาถาเป็นภาษาบาลีกล่าวถึงต้นไม้ประจำถิ่นทวีปต่าง ๆ ไว้ว่า...

ปาตลี สิมฺพลี ชมฺพู
เทวานํ ปาริฉตฺตโก
กทมฺโพ กปฺปรุกฺโข จ
สิรีเสน ภวติ สตฺตมํ ฯ

๑. ปาตลี [ปา-ตะ-ลี] (ต้นแคฝอย) เป็นต้นไม้ประจำอสุรโลก
๒. สิมฺพลี [สิม-พะ-ลี] (ต้นงิ้ว) เป็นต้นไม้ประจำถิ่นครุฑ
๓. ชมฺพู [ชัม-พู] (ต้นหว้า) เป็นต้นไม้ประจำถิ่นชมพูทวีป
๔. ปาริฉตฺตก [ปา-ริ-ฉัต-ตะ-กะ] (ต้นทองหลาง) เป็นต้นไม้ประจำถิ่นดาวดึงสภพน์
๕. กทมฺพ [กะ-ทัม-พะ] (ต้นกระทุ่ม) เป็นต้นไม้ประจำถิ่นอปรโคยานทวีป
๖. กปฺปรุกฺข [กัป-ปะ-รุก-ขะ] (ต้นกัลปพฤกษ์) เป็นต้นไม้ประจำถิ่นอุตตรกุรุทวีป
๗. สิรีส [สิ-รี-สะ] (ต้นจามจุรี) เป็นต้นไม้ประจำถิ่นปุพพวิเทหทวีป

หมายเหตุ :
- ทวีปต่าง ๆ ทั้ง ๗ ข้างต้นนั้นมีกล่าวไว้ในเตภูมิกถา
- ต้นแคฝอย เป็นคนละอย่างกับต้นแค--ที่ดอกนำมาใช้ทำแกงส้มดอกแค
- สิมพลี บางครั้งก็เรียก ฉิมพลี
- ชมฺพู คือต้นหว้า บางครั้งก็หมายถึงต้นชมพู่ หว้ากับชมพู่นั้นเป็นพืชวงศ์(family)และสกุล(genus)เดียวกัน แต่เป็นคนละชนิด(species)กัน
- ปาริฉตฺตก นั้น เราเรียกว่า ปาริฉัตร หรือ ปาริชาต นั่นเอง
- กทมฺพ (กะ-ทัม-พะ) = กระทุ่ม -- โปรดสังเกตชื่อของต้นไม้ชนิดนี้ในภาษาบาลีและในภาษาไทย จะเห็นว่ามีส่วนคล้ายกัน
- กัลปพฤกษ์ มีดอกสีชมพู เป็นพืชในสกุล Cassia วงศ์ Leguminosae มีหลายชนิด พบทั่วประเทศไทย
- ต้นไม้ทั้ง ๗ ข้างต้นนั้นตามตำนานบอกว่าเป็น "กัปปัฏฐายี" คือตั้งอยู่ตลอดกัลป์
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.038 วินาที กับ 19 คำสั่ง