เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 7243 พิภพมัจจุราช ใครถึงฆาตดับชีวัน...
ดร.แพรมน และ นายตะวัน
บุคคลทั่วไป
 เมื่อ 20 พ.ย. 01, 03:04

ชื่อหัวข้อ ก็ชวนสยอง ...
คุณเทาชมพูฝากเราสองคนพี่น้อง มาถ่ายทอดเรื่องราว มัจจุราช...กันนะจ๊ะั

พิภพมัจจุราชในวรรณคดี




   
ชื่อเรื่องตอนนี้คงทำให้ผู้อ่านหลายคนนึกย้อนไปถึงภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ที่ได้รับความนิยมหลายปีมาแล้ว และคงนึกออกว่าตัวเอกในเรื่องนั้นมีอยู่สามด้วยกัน พญามัจจุราช เลขานุการอีก ๒คนชื่อ สุวรรณเลขา มีหน้าที่จารึกความดีของมนุษย์แต่ละคนลงในแผ่นทอง และสุวาณเลขา มีหน้าที่จารึกความชั่วของมนุษย์ลงในแผ่นหนังหมา (สุวาณ แปลว่า หมา) เมื่อมนุษย์ผู้ใดผู้หนึ่งสิ้นชีพ วิญญาณจะลงนรกไปให้พญามัจจุราชตัดสินบวกลบคูณหาร ความดีความชั่วตามบัญชี แล้วจึงจะถูกส่งไปสวรรค์หรือนรก แล้วแต่ผลลัพธ์ที่ออกมา
   
วรรณคดีเกี่ยวข้องกับศาสนา โดยบันทึกความเชื่อทางศาสนาลงเป็นตัวอักษร บาปบุญคุณโทษ หรือจินตนาการสวรรค์นรกนั้นแล้วแต่สะท้อนปรัชญา และความเชื่อของคน รวมไปทั้งความก้าวหน้าหรือล้าหลังทางวิทยาศาสตร์ของคนแต่ละสมัยนั้นด้วย แต่เมื่อสำรวจดูแล้ว วรรณคดีไม่ว่าชาติใดสมัยใดย่อมมีสิ่งหนึ่งตรงกับทางศาสนา คือเชื่อในความดีความชั่ว ความเชื่อนี้ปรากฏออกมาในรูปของสวรรค์และนรก แตกต่างกันไปตามภูมิศาสตร์ และความนิยมของแต่ละชาติ
   
นรกของกรีกและโรมันนั้นเชื่อกันว่าอยู่ที่บาดาล ใต้โลกลงไป มีทางติดต่อจากโลกได้โดยทางแม่น้ำแห่งความตาย ซึ่งชารอน ชายแจวเรือจ้างเป็นผู้แจวพาวิญญาณคนตายข้ามไปสู่ยมโลก ทางเข้าจะมีสุนัขสามหัวคอยตรวจตราเป็นยาม ยมโลกนั้นบางครั้งเหมือนดินแดน บางทีก็บรรยายว่าเป็นเกาะ มีลักษณะเยือกเย็น มืดมน ปกคลุมด้วยเงาของความตายอยู่ทั่วไป วิญญาณจะเข้าสู่ที่ดินแดนนี้ และไปเฝ้าพญายม กรีกเรียกว่า เฮเดส โรมันเรียก พลูโต เฮเดสทำหน้าที่ประธานตัดสินความดีความชั่วของมนุษย์โดยมีคณะลูกขุน ล้วนแต่เป็นเทพชั้นรองในนรก ทำหน้าที่พิจารณาคดี แล้วมนุษย์ผู้ทำความผิด ก็จะถูกส่งไปลงโทษตามควรต่อไป
   
เฮเดสนั้นตามตำนานเทพเจ้ากรีก บอกว่าเป็นอนุชาของ ซีอุส (จูปิเตอร์) ราชาแห่งทวยเทพ และ โปซีดอล (เนพจูน) ซึ่งเป็นเทพสมุทร ทั้งสามพี่น้องแบ่งกันครองอาณาจักรสวรรค์และโลก ซีอุสครองฟ้า โปซีดอนเป็นเทพแห่งมหาสมุทรทั้งหมด และเฮเดสได้ส่วนใต้บาดาลลงไป คือดินแดนแห่งความตาย ชายาของเฮเดส ชื่อ เปอซีโฟนี ธิดาของแม่พระธรณี และเป็นเทวีแห่งฤดูใบไม้ผลิ เธออยู่กับเฮเดสหกเดือนในนรก และขึ้นมาอยู่บนโลกหกเดือน นักวรรณคดีเชื่อว่า นิยายตอนนี้ คือปรากฏการณ์ของธรรมชาติเกี่ยวกับฤดูทั้งสี่ ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูร้อนที่ทุกอย่างในธรรมชาติปรากฏชีวิตชีวาคือเมื่อเปอซีโฟนีอยู่บนโลก ฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ที่ต้นไม่ใบหญ้าแห้งตายหมดคือเมื่อเธอกลับไปบาดาล
   
เฮเดสแม้จะเป็นอนุชาคนเล็ก แต่ก็มีอำนาจอย่างที่เทพเจ้าทุกองค์คร้ามเกรง ไม่มีใครกล้าไปก้าวก่ายด้วย ผู้อ่านสงครามกรุงทรอย และเรื่องอื่นๆของเทพเจ้ากรีกและโรมัน คงเห็นว่าบรรดาเทพทั้งหลายนั้นลงมาวุ่นวายกับมนุษย์นอกเหนือไปจากวุ่นวายกันเอง แต่เฮเดสนั้นไม่ปรากฏว่าขึ้นมายุ่งเกี่ยวกับใคร คงครองอาณาจักรอยู่อย่างสงบ ภาพของเฮเดสมักทำเป็นชายรูปงามในชุดดำ ลักษณะสงบขรึม เย็นชา มีความเที่ยงตรงอย่างแน่วแน่ไม่ละเว้นลำเอียงกับผู้ใด สมเป็นสัญลักษณ์ของความตาย คือบันดาลความเสมอภาคในการมีชีวิตให้มนุษย์
   
ส่วนความเชื่อทางคริสต์ศาสนานั้น คือพิภพมัจจุราช อยู่ใต้โลกลงไปเช่นกันเป็นสถานที่ที่เทวดาผู้คิดกบฏต่อพระผู้เป็นเจ้าร่วงลงมาเป็นแถวจากสวรรค์ ตำแหน่งแหล่งที่นั้นไม่ปรากฏไว้ชัดอย่างของกรีก เรารู้แต่จากวรรณคดีของมิลตันว่า นรกของคริสต์ศาสนามีลักษณะคล้ายหุบเหวใต้บาดาล สว่างสะท้อนแสงแวววับด้วยเปลวไฟนรก และลูซิเฟอร์ พญามารผู้ในอดีตเป็นเทวดาชั้นผู้ใหญ่ทว่าคิดกบฏนั้นสร้างที่พำนักนั้นมาเป็นปราสาทราชวังโอฬารในนรก ในคัมภีร์ระบุแต่เพียงว่า นรกมีเปลวไฟเผาผลาญวิญญาณผู้ชั่วร้ายอยู่ชั่วนิรันดร เพราะฉะนั้นจึงพอวาดภาพได้ว่าคล้ายเตาหลอมขนาดใหญ่ มีเปลวไฟผุดแลบเลียทรมานทรกรรมผู้อยู่ในนรกตลอดกาล
   
พญามัจจุราชของคริสต์ศาสนา คือลูซิเฟอร์ รูปร่างแต่เดิมนั้นคือเทวดาผู้งดงามที่สุดในบรรดาเทวดาทั้งปวง มิลตันบรรยายไว้ใน Paradise Lost ว่าเมื่อตกจากสวรรค์ลงมาแล้วก็ยังงามอยู่เช่นเก่า มีลักษณะเช่นนักรบผู้พ่ายแพ้สงคราม ปรากฏรอยสายฟ้าฟาดเป็นแถบยาวบนดวงหน้า เป็นผลจากการรบ แต่ลูซิเฟอร์ยังทะนงเด็ดเดี่ยวอยู่กับความคิดอิสระของตน ไม่ยอมรับใช้พระเจ้า อิจฉาเคียดแค้นมนุษย์ที่พระเจ้าสร้างขึ้นมาและเริ่มวางตนเป็นพญามัจจุราช แต่บัดนั้นลูซิเฟอร์เป็นเจ้าแห่งความตายก็จริง แต่มิได้ทำหน้าที่ตัดสินลงโทษมนุษย์ เป็นแต่คอยชักจูงให้มนุษย์ทำบาปและคร่าวิญญาณลงไปอยู่เป็นเพื่อนกันในนรก นรกของคริสต์ศาสนานั้นเมื่อเข้าไปอยู่แล้วต้องอยู่เป็นการถาวร ไม่มีการขึ้นสวรรค์ได้อีก ลูซิเฟอร์อยู่แล้วก็ต้องอยู่ตลอดไป จึงอิจฉาริษยามนุษย์ ไม่อยากให้ได้ขึ้นสวรรค์เกินหน้าตัว
   
ลูซิเฟอร์นี้ มีรูปร่างเป็นงูก็ได้ ตามที่ปรากฏในไบเบิลว่าแปลงตัวเป็นงูไปหลอกลวงอีฟ จึงถูกพระเจ้าสาปให้คงสภาพนั้น อย่างไรก็ดีในยุคกลางของยุโรป นักวรรณคดีและจิตรกรเปลี่ยนรูปพญามารเป็นคนครึ่งสัตว์ประหลาดกายเป็นคน แต่มีตีนเหมือนตีนแพะ  มีหางยาวปลายเป็นรูปลูกศร และมีเขาคล้ายเขาวัวหรือแพะ ซึ่งลักษณะนี้กลับไปคล้ายเทพชั้นรองของกรีกและโรมันชื่อ แพน ผู้มีร่างกายครึ่งคนครึ่งแพะ เป็นเทพประจำป่าเขาลำเนาไพร รูปร่างน่าเกลียด น่ากลัวนี้ได้ลบสภาพความงามดั้งเดิมของพญามารเสียสิ้น ถ้าผู้อ่านเรื่องนี้เคยชมภาพยนตร์เรื่อง Rosemary’s baby คงจะนึกออกว่า มารน่าเกลียดน่ากลัวในความฝันของนางเอกนั้น ก็คือสภาพแปรมาจากมารครึ่งคนครึ่งสัตว์นี้เอง เป็นตัวเดียวกับลูซิเฟอร์
   
ในอเมริกา มีผู้นิยมลัทธิ Satanism คือบูชาพญามารเป็นพระเจ้า กระทำพิธีกันอย่างวิปริตต่างๆด้วย เชื่อว่าเป็นที่โปรดปราน ภาพยนตร์เรื่องนี้เกี่ยวกับลัทธินี้เอง คือนางเอกถูกสามีขายให้พวกบูชาลัทธินี้ เพื่อแลกกับความสำเร็จทางการงานของตน นางเอกได้รับเลือกเป็นผู้ถูกสมสู่กับมาร ให้กำเนิดบุตรของพญามาร ผู้ที่จะมาทำหน้าที่ศาสดาของลัทธิในอนาคต ผู้บูชาลัทธินี้จะได้รับสิทธิพิเศษ มีฤทธิ์ต่างๆหรือได้รับพรให้ประสบความสำเร็จตามต้องการ ลัทธินี้สืบเนื่องมาจากสมัยโบราณตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๑ คือการขายวิญญาณให้พญามาร โดยทำสัญญาว่าจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการเป็นเวลาระยะหนึ่งกี่ปีก็แล้วแต่ เมื่อครบเวลาก็จะถูกมารมารอท่าพาลงนรกไป วรรณคดีที่มีชื่อเสียงที่สุดสองเรื่องของอังกฤษ และเยอรมัน คือ Dr. Faustus ของ คริสโตเฟอร์ มาร์โลว์ กวีสมัยศตวรรษที่ ๑๖ และ Faust ของ เกอเต้ กวีเยอรมันสมัยศตวรรษที่ ๑๘ เป็นเรื่องเกี่ยวกับการขายวิญญาณให้พญามารโดยตรง เชื่อกันว่าเขียนขึ้นจากพื้นฐานความจริงในเยอรมันสมัยศตวรรษที่ ๑๓ เป็นนิทานพื้นเมืองเล่าถึงนักปราชญ์เยอรมันที่ขายวิญญาณให้มารจริงๆ
   
ชื่ออื่นๆของพญามัจจุราชในคริสต์ศาสนาคือ Satan , the Devil , the Demon , Prince of Darkness , Baalzebub เป็นต้น
บันทึกการเข้า
ดร.แพรมน และ นายตะวัน
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 17 ต.ค. 01, 21:44

ส่วนพิภพมัจจุราชของอินเดียนั้น เป็นที่ทรมานผู้ทำความชั่ว ต้องทนทุกข์ทรมานใช้กรรมได้หมดจึงพ้นจากนรก ดังนั้นจึงเป็นแต่เพียงที่อยู่ชั่วคราว ไม่ใช่ถาวรอย่างกรีกหรือคริสต์ศาสนา ผู้ที่ตกนรกนับได้ว่ายังมีความหวังอยู่ ส่วนสถานที่ของนรกนั้นคล้ายกับศาสนาอื่น คืออยู่ใต้พื้นพิภพลงไปมีอยู่ถึงยี่สิบเอ็ดชั้นด้วยกัน แบ่งสำหรับโทษชนิดต่างๆและระดับหนักเบาต่างกัน
   
พระยมของอินเดียมีรูปร่างแปลกกว่าเพื่อน กล่าวคือมีสามขา (แต่ในภาพรุ่นหลังเปลี่ยนขาให้กลายเป็นไม้เท้าไป) พาหนะที่ทรงคือกระบือ พระยมนับเป็นเทพองค์หนึ่งมีหน้าที่ปกครองนรกและตัดสินความดีความชั่วของมนุษย์
   
มัจจุราชที่ปรากฏในโทรทัศน์นั้น ท่าที่ว่าเป็นมัจจุราชของไทย ตามที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วง มีหน้าที่ปกครองพิภพมัจจุราชและตัดสินความดีความชั่วของมนุษย์ มัจจุราชของไทยนั้นไม่ค่อยยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์บนโลกยกเว้นเวลาตาย แต่ในโทรทัศน์นั้นขึ้นมาบนโลกบ่อยพอใช้ นรกที่มีในพุทธศาสนานั้นไม่ได้ปรากฏในโทรทัศน์ คนไทยคงจะเคยได้ยินกันบ่อย เช่น ต้นงิ้ว หรือ กระทะทองแดง และอีกาปากเหล็ก อันเป็นเครื่องมือทรมาน พิเศษไปจากนรกของชาติอื่น แต่เหมือนกับอินเดียตรงที่การตกนรกนั้นเป็นเพียงชั่วคราว ทำนองเดียวกับการติดคุกในเมืองไทย เมื่อใช้หนี้กรรมหมดก็พ้นจากนรกไปเกิดเป็นสัตว์โลกต่อไป
   
จักรวาลในพุทธศาสนาแบ่งเป็น ๓ระดับใหญ่ แต่ละชนิดมีระดับย่อยลงไปอีก คือกามาพจร สำหรับสัตว์นรกที่ยังคงรูปเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกิเลส รูปพจร มีรูปแต่พ้นจากสัมผัส กลิ่นและรส สำหรับผู้ตัดกิเลสไปได้ เข้าถึงญาณบางขั้น เช่น โสดาบัน และอรูปพจร คือพ้นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสเหลือแต่วิญญาณ เช่นผู้สำเร็จถึงพรหมดลกกับนรกอยู่ในระดับแรก คือ กามาพจร คือยังหลงวนเวียนอยู่ในกาม (ความต้องการ) นรกของพุทธศาสนามีอยู่ ๑๖อย่าง ร้อนแปดและเย็นอีกแปด แต่ละชนิดมีเครื่องทรมานเหมาะสมกับความผิดของมนุษย์ แจกแจงได้อย่างละเอียดตามโทษแต่ละชนิด
   
ลักษณะพิเศษอีกอย่างหนึ่ง คือ มีพระอรหันต์มาโปรดสัตว์นรกเป็นครั้งคราว ที่คนไทยได้ยินบ่อยคือพระมาลัย ผู้บรรลุถึงขั้นนิพพานแล้วแต่ด้วยความเมตตาสัตว์โลกจึงไม่ล่วงเข้าสู่นิพพาน หากแต่ยังโปรดสัตว์นรกให้พ้นความทุกข์ทรมาน เมื่อพระมาลัยเสด็จมาไฟนรกที่หมดร้อน น้ำในกระทะทองแดงก็เย็น สัตว์นรกก็ได้สงบสุขฟังคำเทศนาวาระหนึ่ง
   
ข้าพเจ้าเคยอ่านนวนิยายภาษาไทยสามเล่มที่มีพญามัจจุราชเป็นตัวเอก มีชื่อและรายละเอียดต่างออกไป แต่เค้าใจความอันเดียวกัน คือ “ก่อนอุษาสาง” ของ พนมเทียน    “เงา” ของ โรสลาเลน และเรื่อง”ขุนคลัง” แปลจาก “The sorrow of satan” ของแมรี่ คอเรลลี โดยอมราวดี และเคยได้ยินว่าเรื่องของคอเรลลีนี้ นักเขียนอาวุโสผู้ล่วงลับไปแล้วคือ คุณมาลัย ชูพินิจได้แปลไว้ในชื่อ “ค่าของคน” แต่หาต้นเรื่องมาอ่านไม่ได้จึงได้แต่เพียงสันนิษฐานไว้ ส่วนเรื่องแรกนั้นเหมือนเรื่องที่สามเกือบทุกตัวอักษร เพียงแต่เปลี่ยนฉากและชื่อจากอังกฤษเป็นไทยเท่านั้น เรื่องที่สองนั้นไม่เหมือน แต่มีเค้า ท่านชายวสวัตใน “เงา” เป็นชายรูปงาม มีชีวิตปะปนในสังคมมนุษย์ แต่เป็นพญามัจจุราช ทำหน้าที่ตัดสินความดีชั่วของมนุษย์ โดยไม่มีเลขาอย่างโทรทัศน์ มีประวัติเลวๆในเรื่องว่า เป็นเทพกึ่งสัตว์นรก เพราะมีบาปบุญอย่างละครึ่งพอดี แต่ชื่อกลับไปคล้ายพญามารวสวดีในพุทธศาสนาที่ตามผจญพระพุทธเจ้า ซึ่งพญามารนี้เป็นคนละคนกับพญายม เป็นเจ้าแห่งกิเลส ไม่ใช่ความตาย ท่านชายวสวัตนี้มีความหวังว่าวันหนึ่งจะได้พ้นทรมานขึ้นไปอยู่สวรรค์ ส่วนลักษณะหน้าตา การมาอยู่อย่างคนธรรมดา และความหวังนี้ตรงกับพญามารใน “ขุนคลัง” ซึ่งเป็นตัวลูซิเฟอร์หรือซาตานนั่นเอง แมรี่ คอเรลลีใช้จินตนาการของเธออย่างเห็นอกเห็นใจพญามาร ผู้ซึ่งถูกลงโทษให้เป็นมาร จนกระทั่งมนุษย์หลบลี้หนีกิเลสที่ตนถูกสาปให้ล่อลวงไปได้หมด จึงจะพ้นโทษกลับสู่สวรรค์ได้ ทุกครั้งที่พระเอกของ “ขุนคลัง”หรือใช้ชื่อว่า เจ้าชายลูชิโอ วิมาเนซ เห็นคนทำดีไม่ยอมถูกล่อลวงขายวิญญาณตัวเองก็ได้ก้าวขึ้นสู่เบื้องบนอีกก้าวหนึ่ง แต่ถ้าเห็นคนยอมให้ล่อลวงตกสู่หายนะ ก็จะตกลงมาอีกก้าวหนึ่ง เจ้าชายพญามารจึงมีสภาพคล้ายถูกชักคะเย่ออยู่ระหว่างความดีความชั่วไม่ได้ขึ้นสวรรค์กับเขาสักที มีสภาพเป็นเจ้าชายรูปงามจากแคว้นสมมุติในยุโรป ทำหน้าที่ชักจูงล่อลวงคนด้วยความจำใจ จนกระทั่งถึงวันที่มนุษย์ทำดีกันหมดจึงจะพ้นกรรม
   
พูดในแง่หนึ่ง พิภพมัจจุราชในวรรณคดีช่วยสะท้อนความคิดของคนในศาสนานั้นๆของคริสต์ศาสนาเฉียบขาด ไม่มีการลดหย่อนถ้าตกนรกก็ตกตลอดกาล ไม่มีการแก้ตัวใดๆ ถ้าขึ้นสวรรค์ก็ขึ้นตลอดไป ไม่มีการเกิดใหม่ มนุษย์ดูเหมือนจะต้องระวังแต่เฉพาะตอนตัดสินโทษเท่านั้นว่าจะรอดไปข้างไหน เปรียบเหมือนการสอบชนิดมีแต่ได้กับตก ไม่มีการแก้ตัวหรือทำคะแนนเพิ่ม ส่วนพุทธศาสนา แม้จะทรมานน่าสยดสยองกว่า แต่ก็มีความหวังว่าจะต้องได้พ้นทุกข์ มีความเมตตาจากพระอรหันต์มาโปรด สามารถได้รับส่วนบุญจากญาติพี่น้องส่งไปให้ได้ มีลักษณะแฝงความหวัง ความเมตตา และการให้อภัย อันเป็นลักษณะสำคัญของพุทธศาสนิกชน
บันทึกการเข้า
ราชาวดี
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 17 ต.ค. 01, 22:32

ขอบคุณ คุณเทาชมพู และ น้องแพร กับ น้องนายด้วยนะคะ ที่นําเรื่องน่าสนใจมาให้อ่านค่ะ
บันทึกการเข้า
คุณพระนาย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 17 ต.ค. 01, 22:58

ผมเคยได้ดูเรื่องเงา สมัยที่ฉัตรชัย เล่นกับ นพพล คิดว่าเป็นภาคที่ผมชอบมากที่สุด คือท่านชายวสวัตรในเรื่องนั้น มาหานพพล เพื่อ หาตัวแทนของตัวเอง เพราะว่า ที่ท่านชายต้องกลายเป็นพญายมไปเพราะว่า เป็นผู้ที่มี บาปและบุญเท่ากันพอดี เลยขึ้นสวรรค์ไม่ได้ ลงนรก ไปเลยก็ไม่ใช่ ท่านชายวสวัตร นี้เลย ต้องอยู่มีหน้าที่พาคนไปลงนรกหรือ ขึ้นสวรรค์ ในเรื่องบอกว่า ถ้าท่านชายไปพบกับคนมีบุญที่ตายไปแล้วจะขึ้นสวรรค์ ท่านชายก็จะยืนอยู่เพียงปลายเท้า แล้วเวลาที่พาไปส่ง ก็จะยืนอยู่เพียงขอบทางขึ้นสวรรค์ แต่ตัวเองเข้าไปไม่ได้ แล้วท่านชายวสวัตร เอง ยังต้องดื่มน้ำทองแดง เป็นการลงทัณฑ์ ในบาปของท่านชายเองด้วย ทางที่จะพ้นจากการเป็นพญามัจจุราช ก็มีแค่ทางเดียวคือจะต้องมีคนที่ทำความดีเท่ากับความชั่วพอดี มารับช่วงต่องานไป ซึ่งจริง ๆ ก็หายากนะครับ คนที่จะมีความดีความชั่วเท่ากันพอดี
เท่าที่ทราบความชั่วและความดี ของมนุษย์ ในทางพุทธศาสนา ไม่มีการหักล้างกันได้  ทำชั่ว ก็ต้องรับกรรมชั่ว ทำกรรมดี ก็ได้รับกรรมดี
เรียกว่า แม้จะทำดีมาบ้าง แต่ถ้ามีความชั่วอยู่ ก็อาจจะต้องตกนรกก่อน แล้วค่อยได้ขึ้นสวรรค์ หรือไปเกิดใหม่ ทางเดียวที่จะหลุดพ้นจากการขึ้นสวรรค์หรือลงนรก ซึ่งไม่จีรัง ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีก ก็คือ เข้าสู่นิพพาน
ซึ่งผมคิดว่าต่างกับศาสนาอื่น นะครับ
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 17 ต.ค. 01, 23:15

(ก๊าก ก้ากก้ากก้ากก้าก...)
พิภพ มัจจุราช ใครถึงฆาต ดับชีวี
สุวรรณก็ตรวจบัญชี ถ้าทำดีได้ไปสวรรค์...

ทำชั่ว (พระยมว่าไง) ข้าก็ส่งลงไป นรกโลกันต์ น่ะซี-

ต้นงิ้วกะทะทองแดง เอาหอกแหลมแทง ทุกวัน ทุกวัน

พญายม (ก๊าก ก้ากก้ากก้ากก้าก) สุวาน (ก๊าก ก้ากก้ากก้าก้ากก้าก) สุวรรณ -
ทำดีทำดีทำดีทำดี (ก๊าก... ฯลฯ)

รู้สึกพระยม สุวรรณ สุวาน ในโทรทัศน์ไทยจะขี้เล่นนะครับ หัวเราะร่วนตลอด ดาราผู้แสดงเป็นพระยามัจจุราชในหนังรุ่นนั้น ผมเคยจำชื่อท่านได้ แต่ลืมไปเสียแล้ว แต่ยังจำเค้าหน้าได้อยู่ ดูมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ ไม่ทราบว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ หรือไปหาพระยมตัวจริงแล้วก็ไม่รู้ ยมเทพองค์จริงถ้าได้เจอวิญญาณของท่านก็คงจะอมยิ้ม อาจจะส่งขึ้นสวรรค์ด้วยความเอ็นดู หรือถ้าเอ็นดูไม่ได้เพราะพระยมควรจะไม่มีฉันทาคติ บุญที่สร้างความสุขให้คนไทยมานานก็น่าจะมีอานิสงส์พอที่จะพาขึ้นสวรรค์ได้เอง

หลายปีมาแล้วเคยดูหนังผีไทย (หนังโรง) เป็นหนังผีตลก ล้อ ดิ เอ็กซอซิสต์ ว่าปีศาจฝรั่งมาอาละวาดเมืองไทย เจ้าของบ้านต้องหาหมอผีไทยมาปราบเท่าไหร่ๆ ก็ไม่สำเร็จ ในที่สุดต้องเอานักไล่ผีฝรั่งมาปราบ แต่ก่อนจะไปถึงนักไล่ผีฝรั่งนั้น เจ้าของบ้านเกิดไอเดียไปเชิญดาราอาวุโสท่านนี้มาไล่ผี จับแต่งเป็นพระยมเต็มยศ ดาราท่านนั้นยังบอกเลยว่า จะไล่ผีได้เหรอ ไม่มั่นใจตัวเองเลย เจ้าของบ้านก็บอกว่าไล่ได้สิ เห็นเล่นในทีวียังไล่ผีได้กระเจิง พระยมก็บอกว่าก็นั่นมันในจอทีวี ในจอทีวีผมเป็นนายผี แต่นอกจอ ผมกลัวผี...

ใครเขียนบทฉากนี้ก็ไม่รู้ น่ารักมาก ดูแล้วหัวเราะจนปวดท้อง จำขื่อเรื่องไม่ได้แล้วอีกเหมือนกัน

มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งเกี่ยวกับพระยมในหนังทีวีเรื่องพิภพมัจจุราชนี้ว่า ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกายพระยมเทพ สุวรรณและสุวาน ออกแบบให้เป็นลักษณะเทวดาไทยๆ อิงเครื่องละครไทย มีสร้อยสังวาลย์นุ่งโจงกระเบนก็จริง แต่เครื่องประดับเศียรพระยมเทพนั้นเห็นได้ว่าเอาความคิดมาจากปีศาจฝรั่ง คือเป็นมงกุฏที่มีเขาเหมือนเขาวัว ใช้ชุดนี้เป็นเครื่องแบบพระยายมมานานหลายปี แต่ตอนปีหลังๆ ก่อนที่ละครโทรทัศน์ชุดนี้จะหมดชุดไป มีคนไปติงอย่างไรไม่ทราบ เครื่องประดับเศียรพระยายมยุคหลังๆ จึงเปลี่ยนไป คล้ายๆ เครื่องประดับเศียรของเทวดาฮินดูหรือกษัตริย์โบราณฮินดูแทน (ใครที่ดูหนังแขก หรืออ่านพระมหาชนกฉบับการ์ตูนคงจะนึกออก) แต่ภาพเครื่องแบบพระยายมยุคแรกก็ติดใจคนดูเสียแล้ว กลายเป็น cultural icon อย่างหนึ่งในสังคมไทย สังเกตได้ว่าแม้หนังทีวีชุดพิภพมัจจุราชจะหมดชุดไปนานแล้วหลายปี แต่การ์ตูนขายหัวเราะยังวาดรูปให้พญายมแต่งตัวยังงั้น มีเขายังงั้น อยู่จนเดี๋ยวนี้
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 17 ต.ค. 01, 23:32

เผอิญตรงนี้มีไตรภูมิกถาอยู่ด้วย ที่เรียกว่าไตรภูมิพระร่วงนั่นแหละครับ เป็นฉบับที่ไทยเราพิมพ์แปลคู่กันเป็น 2 ภาษา ไทย -อังกฤษเผยแพร่ในวงการวรรณกรรมอาเซียน ปี 1985

เอามาฝากบางตอนครับ

..ฝูงยมบาลนั้น เมื่ออยู่ในเมืองคน บาปเขาก็ได้กระทำ บุญเขาก็ได้กระทำบ้าง เมื่อตายไป ได้ไปเกิดในนรกนั้น 15 วัน แลมียมบาลฝูงอื่นมาฆ่าฟันพุ่งแทงกว่าจะถ้วน 15 วันนั้น แล้วจึงคืนมาเป็นยมบาล 15 วันเล่า เวียนไปเวียนมาดั่งนี้...
...แลมีเมืองพระยายมราชนั้นใหญ่นักหนา อ้อมรอบประตูนรกนั้นทั้ง 4 ประตูนรกถ้วนทุกนรกนั้น พระยายมราชนั้นทรงธรรมนักหนา พิจารณาถ้อยความอันใดด้วยอันซื่อแลชอบธรรมทุกอันทุกเมื่อ ผู้ใดตายย่อมไปไหว้พระยายมราชก่อน พระยายมราชจึงถามผู้นั้นว่า มึงยังได้กระทำบุญบาปอันใดมึงเร่งคำนึงดู แลมึงว่าโดยสัตย์โดยจริง เมื่อนั้น เทพดาทั้งหลาย 4 องค์อันแต่งมาซึ่งบาญชีบุญแลบาปแห่งคนทั้งหลายนั้น ก็ไปอยู่ในที่แห่งนั้นด้วย แลถือบาญชีอยู่ ผู้ใดกระทำบุญอันใดไส้ เทพดานั้นเขียนชื่อผู้นั้นใส่ในแผ่นทองสุกแล้วทูนใส่เหนื่อหัวไปถึงพระยายมราช พระยายมราก็จบใส่หัว แล้วก็สาธุการอนุโมทนายินดีด้วย แล้วก็วางไว้ในแท่นทองอันประดับนิ์ด้วยแก้วสัตตพิธัตนะแลมีรัศมีอันเรืองงาม ผู้ใดกระทำบาปไส้ เทพดานั้นก็ตราบาญชีลงในแผ่นหนังหมา แลเอาไว้แห่งหนึ่ง...
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 18 ต.ค. 01, 19:45

เรื่องของชีวิตหลังความตายหรือโลกหน้า ในสมัยหนึ่งสะท้อนออกมาในละครทีวีไทยเมื่อ 20-30 ปีก่อน เป็นแบบพิภพมัจจุราชที่อิงอยู่กับไตรภูมิพระร่วง ดูเหมือนจะตั้งใจสร้างฉากให้เป็นถ้ำอยู่ใต้ดิน อันนี้ก็ตรงกับในไตรภูมิพระร่วง เรื่องแผ่นทองกับหนังหมาก็ใช่ พระยมไม่ใส่เสื้อ ทรงเครื่องทรงละครไทย แต่มีอิทธิพลฝรั่งตรงที่มีเขาวัวประดับเศียร สมัยต่อมา มัจจุราชในทีวีกลายเป็นท่านชายวสวัต อันนี้ก็ตามที่คุณเทาชมพูว่า คือได้อิทธิพลของมารี คอเรลลีมามากแต่เอามาแปลง ซึ่งคอเรลลีเธอก็ได้อิทธิพลจากดังเต้และไบเบิลมาอีกต่อหนึ่ง แต่ที่ให้ชื่อไทยของท่านชายวสวัตว่า "วสวัต" นั้นนับว่าน่าชมว่าเข้าใจแปลงหรือเข้าใจลากเข้าทางไทย (ของฝรั่งเดิมเป็นเจ้าชายลูซิโอซึ่งแท้จริงคือลูซีแฟร์ ซาตาน) ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด วสวัตดีมารนั้นคือพระยามาราธิราชองค์ที่ไปผจญพระพุทธเจ้าตอนจวนจะตรัสรู้ มารธรรมดาๆ อาจจะอยู่ในนรกก็จริง แต่หัวหน้ามารใหญ่ที่สุดนั้นอยู่บนสวรรค์นะครับ แต่เป็นสวรรค์ชั้นสูงสุดของสวรรค์ประเภทที่ยังนิยมยินดีในกามคุณอยู่ ส่วนพระพุทธเจ้านั้นท่านกำลังจะออกไปพ้นสูงเลยกว่าทั้งนรกทั้งสวรรค์ ไปสู่ภาวะโลกุตระ มาราธิราชที่เป็นเทวดาอยู่ด้วยองค์นี้จึงต้องมาผจญพระพุทธเจ้าเมื่อรู้สึกว่ามนุษย์คนหนึ่งกำลังจะพ้นอำนาจของตัวไป (แต่ก็แพ้พระพุทธเจ้า) เทียบได้คล้ายกับลูซีแฟร์ของคอเรลลี ซึ่งเป็นอดีตเทวดาของพระเจ้าแต่ต่อมากลายเป็นปีศาจ และถ้าเชื่อคอเรลลีก็ต้องบอกว่ายังหลงเหลือจิตใจที่ดีงามอยู่ จำใจทำหน้าที่ล่อลวงมนุษย์ไป โดยที่ที่จริงตัวเองก็ไม่ได้อยากทำ

มาอีกสมัยหนึ่งในทีวีไทย ภาพสะท้อนของโลกหน้าก็เปลี่ยนไปอีก มีละครเรื่องเทวดาตกสวรรค์ (ดูเหมือนเอามาทำสองรอบ) เทวดาในเรื่องนี้ไม่ใช่เทวดาที่แต่งเครื่องละครไทยอีกต่อไปแล้ว แต่หันมาแต่งชุดยาวๆ ขาวๆ หน้าตาเหมือนชุดเทวดาฝรั่งแทน เป็นเทวดาที่รู้สึกจะไม่ใช่เป็นคนดีที่ตายไปเกิดเป็นเทพอย่างคติพุทธ แต่เหมือนจะเป็น Angel ของฝรั่งที่ไม่เคยรู้ว่าชีวิตมนุษย์เป็นยังไง (เหมือนหนังเรื่อง City of Angels) เมื่อสวรรค์สงสัยว่าทำไมคนทำดีน้อยลง สวรรค์ลองส่งเทวดาลงมาดู ก็เลยทำอะไรแปลกๆ เปิ่นๆ กว่าคนธรรมดา
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 19 ต.ค. 01, 02:07

ดร.แพรมน ครับ รบกวนช่วยเมล์มาหาผมที่วิชาการด้วยครับ
มีเรื่องยากจะรบกวนถามหน่อยหนึ่งครับ ... (ส่วนตัวมากๆครับ ฮี่ๆๆ)
vcharkarn@vcharkarn.com
ขอบคุณล่วงหน้าครับผม
บันทึกการเข้า
ภาธร
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 19 ต.ค. 01, 07:49

ผมจำหนังทีวีเรื่องพิภพมัจุราชได้ครับ ตัวพญายมมีสองคนที่แสดงคือ สิงห์ มิลินทราสัยกับวิชิต ไวงานตามธรรมดาจะผูกขาดตัวผู้ร้าย  อดินันท์  สิงห์หิรัญเป็นสุวาณ  จรัญ พันธุ์ชื่นเป็นสุวรรณ  เทียว ธาราเป็นยมทูต  เป็นผลงานของรัชฟิล์มเจ้าของคือคุณพ่อของคุณลลิตา ฉันทศาสตร์โกศลนักเขียนบทฝีมือดีตอนนี้ เนื้อเรื่องสนุกและน่ารักน่าเอ็นดูดีจริงๆครับเพราะดารานำเกือบทุกคนเคยเป็นแต่ผู้ร้ายมาเล่นบทแบบนี้ก็ดูน่ารักเชียว
บันทึกการเข้า
ภาธร
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 19 ต.ค. 01, 07:52

มีเรื่องเล่าเก่าๆด้วยว่า องคุลีมาล ในชาติก่อนๆเคยเป็นพญายมก่อนจะจุติได้อธิษฐานขอเกิดในสมัยพระพุทธเจ้าและสามารถเข้าใจคำสั่งสอนของพระองค์จนบรรลุธรรม
บันทึกการเข้า
ลูกนวมินทรฯ
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 19 ต.ค. 01, 11:31

แล้วผู้ที่จะทำหน้าที่มัจจุราชจะต้องทำอะไรมาหรือค่ะ?
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 20 ต.ค. 01, 17:17

ใช่แล้วครับคุณสิงห์ จำได้ว่าในไตเติ้ลหนังเรื่องพิภพมัจจุราชรุ่นโน้นทำเป็นรูปลายเส้น มีรูปผี รูปโครงกระดูก รูปนรก ฯลฯ  มีลายเส้นการ์ตูนรูปหนึ่งตอนที่ขึ้นชื่อดารา ทำเป็นรูปสิงโตมีแต่โครงกระดูกประกอบชื่อคุณสิงห์ด้วย

ผมเขียนไปว่ามัจจุราชในทีวีไทยเอาเขาบนหัวมาจากปีศาจฝรั่ง แต่เมื่อคืนนี้เพิ่งนึกได้ว่า ทางตะวันออกบางวัฒนธรรม เจ้าแห่งความตายก็มีเขาบนหัวเหมือนกัน ไม่ทราบว่าเป็นแหล่งอิทธิพลให้คนออกแบบเครื่องแต่งการละครทีวีชุดนี้หรือไม่ ทางจีนเชื่อกันว่ายมบาลหรือผู้คุมในนรกมีลักษณะเป็นอสูรครึ่งคนครึ่งสัตว์ บางทีเป็นยมบาลหน้าวัว บางทีเป็นยมบาลหน้า (เป็น) ม้า (ไม่ใช่ "หน้าม้า" อย่างในโลกมนุษย์) แต่ตัวยมราชที่เป็นนายเหนือยมบาลทั้งหลายนั้นดูเหมือนจะไม่ได้มีลักษณะเป็นหน้าวัวหรือม้า ศิลปินจีนให้เป็นเจ้า ทรงเครื่องท้าวพระยามหากษัตริย์แบบจีน เป็นอ๋องหน้าตาดุดัน เรียกว่าเงี่ยมล่ออ๋องหรือเหยียนโหลวหวาง

แต่พญายมของทิเบตหรือศานาพุทธนิกายลามะนั้น ถ้าผมจำไม่ผิด หัวเป็นวัวจริงๆ มีเขาด้วย จะชื่อมหากาล หรือ ยมันตกะ ก็ลืมไปแล้ว อันนี้บังเอิญไปตรงกับซาตานฝรั่งได้ แปลกดี

ถ้าว่าตามตำนานหรือนิยายที่อิงทางพุทธ แต่จะถือว่าเป็นเปลือกหรือกระพี้ของคติพุทธก็ได้ พระยมและยมบาลทั้งหลายทำทั้งดีและชั่วครับ ตัวพระยมเองดูเหมือนทำดีอย่างยิ่งแต่ก็ทำชั่วอย่างโหดร้ายเหมือนกัน จึงต้องมาเป็นกึ่งเทพเจ้ากึ่งสัตว์นรก แต่ตำนานก็มีหลายกระแส และดูเหมือนพระยมก็จะมีหลายองค์ ที่ผมเคยอ่านที่ไหนไม่รู้จำไม่ได้ ดูเหมือนว่าจะให้พระยมชาติก่อนเป็นกษัตริย์นักรบที่แกล้วกล้าสามารถ ทำสงครามฆ่าฟันคนมากมายเป็นผักปลา แต่ก็เหมือนจะทำดีไว้มากอย่างยิ่งใหญ่ เพราะมีกำลังที่จะทำบุญได้เยอะ- เป็นกษัตริย์นี่ครับ ก็เลยต้องไปเกิดเป็นเจ้าเป็นราชาเป็นเทพ แต่อยู่ในนรกอยู่ดี เสวยทั้งสุขทั้งทุกข์ไปจนกว่าจะสิ้นกรรม (ซึ่งแปลว่าไม่ได้มีพระยมองค์เดียว แต่มีหลายองค์ได้ หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนมาดำรงตำแหน่งนี้ตามแต่กรรม พระยมเป็นแค่ตำแหน่งเท่านั้น)

ถ้าว่าทางฮินดู ดูเหมือนจะไม่ถืออย่างนั้น พระยมเทพเป็นเทพมีประวัติชัดว่าเป็นโอรสใคร มีองค์เดียว เป็นเทพแห่งความตาย มีหน้าที่ชัดเจน กำหนดกันมาแล้วให้เป็นและคงจะเป็นไปจนตลอดชั่วกัลปาวสาน ไม่รู้เหมือนกันว่าต้องทำอะไรมาก่อนจึงต้องมาเป็นพระยม อันนี้เหมือนเฮเดสของกรีก

ผมจำได้ว่าเคยอ่านเรื่องราวของพระยมตามความเชื่อของฮินดูที่ท่านเสฐียรโกเศศ - นาคะประทีป รวมรวมไว้ เพราะในรัชกาลที่ 6 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งราชทินนามบรรดาศักดิ์ใหม่ๆ หลายตำแหน่ง เอาชื่อมาจากเทพนิยายฮินดู แล้วก็โปรดเกล้าฯ ให้ท่านทั้งสองนี้ค้นเรื่องชื่อต่างๆ ในนิยายแขกถวายคำอธิบายชื่อราชทินนามไทยที่มีเดิมที่เราเอามาจากชื่อฮินดู และที่ตั้งใหม่ด้วย คำว่า ยม นี้ มาในราชทินนาม เจ้าพระยายมราช ไงครับ ท่านหนึ่งที่ได้ราชทินนามนี้คือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)
คำอธิบายนั้นรวบรวมไว้ละเอียดว่าทางฮินดูเล่าว่าพระยมเป็นลูกใครมีประวัติยังไงมีลักษณะยังไง ฯลฯ แต่ผมจำรายละเอียดไม่ได้
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 20 ต.ค. 01, 17:55

เช็คแล้วครับ
พระยมทิเบตก็ชื่อ ยม มีชายาชื่อ ยมี และมีลักษณะหัวเป็นวัวจริงๆ ด้วย

ส่วน ยมันตกะ กับมหากาล นั้น ไม่ใช่เทพแห่งความตาย แต่เป็นเทวดาหรือโพธิสัตว์อวตารที่มีฤทธิ์มาก 2 องค์ มหากาลดูเหมือนจะเป็นธรรมบาลคือเทพที่คุ้มครองรักษาพระศาสนาองค์หนึ่ง (ธรรมบาลทิเบตมีหลายองค์) ส่วนยมันตกะนั้นน่าสนใจ เพราะว่าถือว่าเป็นภาคหนึ่งของพระโพธิสัตว์มัญชุศรี ที่ทางทิเบตเชื่อว่าเป็นโพธิสัตว์แห่งปัญญา เป็นภาคดุหรือภาคแสดงอำนาจฤทธิ์ของโพธิสัตว์องค์นั้น  ชื่อ ยมันตกะ แปลว่าผู้เอาชนะพระยมได้ หรือเอาชนะความตายได้ พระลามะท่านแปลตีความทางปรัชญาไปได้อีกลึกซึ้งมากมาย แต่เอาให้ง่ายที่สุดตามประสาผม ก็ว่า ถ้ามีปัญญาแล้วก็ไม่ต้องกลัวความตาย คือเห็นว่าความตายเป็นเรื่องธรรมดา
บันทึกการเข้า
นกปิ๊ดตะลิว
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 20 พ.ย. 01, 15:04

ดาราที่เล่นเรื่องนี้เสียชีวิตไปเกือบหมดแล้วค่ะ กว่าสิบปีได้มั้งคะเหลือคุณจรัญ พันธ์ชื่นคนเดียวที่ไม่มีข่าวคราว หายไปตั้งแต่เรื่องนี้จบ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.077 วินาที กับ 19 คำสั่ง