เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
อ่าน: 887 เรื่องสั้น "ทำคุณ...."
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
 เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:29

เขียนเรื่องสั้น 2 ตอนจบไว้เรื่องหนึ่ง     เป็นแนวสัญลักษณ์เชิงสังคม    เขียนเสร็จแล้วเกิดสงสัยว่าจะมีคนอ่านจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน  ก็เลยลองส่งให้อาจารย์สอนวิชาวรรณกรรมวิจารณ์ท่านหนึ่ง   เอาไปให้นักศึกษาอ่าน
ผลออกมา  ดูเหมือนนึกศึกษาก็จะไม่เข้าใจเรื่องนี้  ดูงงๆที่จะให้คำตอบ    ก็เลยตัดสินใจเอามาลงในเรือนไทยที่มีคนอ่านในวงกว้างกว่า
คำถามสำหรับท่านที่เข้ามาอ่านจนจบ  ที่ผู้เขียนอยากได้คำตอบคือ
"เรื่องนี้ ใครผิด?"



พ.ศ. ๒๕๖๐

   ปลิวลงจากรถสองแถวที่จอดลงหน้าตลาดของหมู่บ้าน
        หมู่บ้านนี้ไม่ได้ไกลปืนเที่ยง  แม้ว่าอยู่ห่างกรุงเทพไป ๔๐๐ กว่ากิโลเมตร  ต้องต่อรถสองแถวจากตัวจังหวัดไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมง จึงจะถึงที่หมาย แต่ก็เป็นหมู่บ้านที่อยู่สบายพอใช้   ไฟฟ้าเข้าถึง  มีน้ำจากบ่อบาดาลของหมู่บ้านที่ไหลแรงจากก๊อก   มีตลาดขนาดเล็กที่มีของกินของใช้ครบครัน
    บ้านของเขาอยู่ห่างจากจุดจอดรถไปประมาณ ๑๐๐ กว่าเมตร   เป็นร้านขายของชำเก่าแก่ที่เพิ่งเปลี่ยนจากห้องแถวไม้สองชั้นมาเป็นตึกแถวสองชั้นได้หมาดๆ    กลิ่นสียังระเหยกรุ่นอยู่ในร้าน
     ตึกแถวที่ว่านี้มี ๕-๖ ห้องเรียงติดกัน   ร้านของชำอยู่ช่วงกลางๆ   พ่อแม่ของปลิวอาศัยอยู่ชั้นบน  ชั้นล่างเปิดเป็นร้านค้า        มีรายได้ดีพอจะส่งลูกสาวลูกชาย ๓ คนให้เรียนจนจบได้ตามต้องการ
      ลูกชายคนโตและลูกสาวคนกลางเรียนจบจากวิทยาลัยในจังหวัด   ส่วนปลิว คนสุดท้องไปไกลกว่าเพื่อน คือไปเรียนในกรุงเทพ  ไม่ได้กลับมาทำงานในตัวจังหวัดอย่างพี่ทั้งสอง
       พอเรียนจบจากมหาวิทยาลัย  เขาได้งานแรกเป็นเจ้าหน้าที่ในมูลนิธิแห่งหนึ่ง ทำงานช่วยเหลือคนประสบเคราะห์กรรมกะทันหัน เช่นบ้านไฟไหม้     หรือประสบภัยธรรมชาติต่างๆ   ต่อมาก็ได้งานเป็นลูกจ้างชั่วคราวในหน่วยราชการ  ซึ่งมีสิทธิ์สอบเข้าเป็นข้าราชการในภายหลังด้วย   ปลิวจึงลาออกจากงานแรก  แต่ก็ยังหาโอกาสไปช่วยเป็นอาสาสมัครบางครั้งบางคราวเมื่อมีเวลาว่าง
   เขาเดินดุ่มๆผ่านหน้าร้านแต่ละร้าน   ไม่ได้มองหน้ามองตาใคร   แม้ว่าหลายคนจำเขาได้  แต่ก็ไม่มีใครร้องทักทาย  ได้แต่มองๆแล้วเมินไปอีกทาง     
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:30

       เขาผ่านร้านตัดผมของน้าแจ้   มองผ่านกระจกหน้าร้านใหม่เอี่ยมมองเข้าไปเห็นเก้าอี้หน้ากระจกเงาเรียงรายอยู่ ๓-๔ ตัว ล้วนแต่ใหม่พอกัน   บ่ายๆอย่างนี้ร้านว่าง  ไม่ค่อยมีลูกค้า   แกก็เลยออกมานั่งเล่นอยู่หน้าร้าน  จึงเหลียวมาเห็นเขาอย่างจัง
   ปลิวยกมือไหว้ตามความเคยชิน   น้าแจ้จ้องมอง แต่ไม่รับไหว้    สะบัดหน้าไปอีกทางราวกับสาวแสนงอน  แถมถ่มน้ำลายปรี๊ดลงไปบนพื้นถนน
   เขารีบจ้ำให้เร็วขึ้น ไปถึงร้านของชำ  ข้าวของในร้านเพิ่งจัดใหม่ได้ไม่นาน วางเป็นระเบียบอยู่บนชั้น  ฝาผนังทาสีใหม่เอี่ยมสะอาด  กลิ่นสียังอวลอยู่จางๆ      ลูกจ้างที่มีอยู่หนึ่งคนกำลังหยิบของส่งลูกค้า     หล่อนหลบตา  รีบหันหลังให้       ปลิวก็เลยไม่ทักทาย   เดินเข้าไปหาพ่อซึ่งนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่หลังโต๊ะสุดมุมร้าน   กำลังนับเงินในลิ้นชัก แยกแต่ละชนิดเป็นปึกเล็กๆ   เพื่อจะเอาไปส่งธนาคารก่อนเวลาปิดทำการ
   เขายกมือไหว้พ่อ    พ่อทำหน้ายู่ยี่เมื่อเห็น   ถามว่า
   “ มาแล้วรึ”
   คำทักมีแค่นี้  นับธนบัตรเสร็จ พ่อก้มหน้าก้มตานับเศษสตางค์ใส่ถุงต่อไป  ไม่มีท่าทีจะพูดด้วยอีก   ปลิวก็เลยเดินเลยไปที่ครัวสร้างใหม่ทางด้านหลัง    ได้กลิ่นหอมฉุยลอยมา แสดงว่าแม่กำลังทำกับข้าวมื้อเย็น
   คำทักของแม่เมื่อเหลียวมาเห็นลูกชายคนเล็ก คือ
   “ เอาของขึ้นไปข้างบนก่อนซี”
   ปลิวไหว้แม่   ชวนคุยว่า
        “ แม่ทำกับข้าวอะไรน่ะ?”
   “ เออ! ทำอะไรก็แด-เข้าไปเถอะ    ถ้าไม่ถูกปาก เอ็งก็ไปหาข้างนอกแด-เอาเอง”
   จบคำทักทายกันแค่นี้   เดินหงอยๆขึ้นไปชั้นบน    ห้องที่สร้างใหม่แบ่งเป็น ๒ ห้อง  ด้านหน้าและด้านหลัง     ห้องเล็กๆด้านหน้าเป็นที่พักของเขา วางเป้ลงบนพรมน้ำมัน  จะให้ขังตัวเองอุดอู้อยู่ในห้องก็ทนไม่ไหว   เขาก็เลยลงบันไดมาชั้นล่าง
   พ่อถามทันที
   “ มึงจะออกไปไหน     อย่าข้ามถนนไปอีกนะ  กูสั่งไว้เลย”
   “ จะไปกินกาแฟร้านเฮียหน่ำหน่อยน่ะ พ่อ”
   ร้านก๋วยเตี๋ยวของเฮียหน่ำอยู่ถัดไปจากร้านของชำของพ่อ   เดิมเป็นร้านไม้เก่าๆมืดๆ  ตอนนี้เป็นร้านใหม่ สีสันยังผ่องสะอาด   โต๊ะเก้าอี้เหล็กของใหม่ทั้งชุด   แต่ยังจัดวางในลักษณะเดิม
        บ่ายๆแบบนี้  ร้านค่อนข้างว่างลูกค้า     เฮียหน่ำก็เลยไม่ได้ประจำการอยู่หลังตู้กระจกด้านหน้าที่แกใช้เป็นที่ปรุงก๋วยเตี๋ยว  แต่ออกมานั่งเล่นอยู่ที่โต๊ะตัวหน้าสุด
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:32

        ปลิวเดินเข้าไปในร้าน  ยกมือไหว้ชายที่เห็นเขามาตั้งแต่เล็กแต่น้อย    เฮียหน่ำมองตอบ พยักหน้ารับรู้อย่างเสียไม่ได้   ถามห้วนๆ
   “  จะเอาอะไร”
   “ ขอเส้นเล็กต้มยำ  กับกาแฟเย็น ครับ” ปลิวแข็งใจตอบเสียงสุภาพ ทั้งๆเขาเองก็รู้สึกฝืดเฝื่อนขึ้นมาเหมือนกัน
   เฮียหน่ำลุก เดินลากขาไปปรุงก๋วยเตี๋ยว   ท่าทางเห็นชัดว่าแกไม่เต็มใจ  จนปลิวอยากจะคืนคำสั่ง แล้วเดินออกจากร้านไปเสียรู้แล้วรู้รอด    แต่เขาก็รู้ดีว่า ถ้าทำเช่นนั้นจะยิ่งจะเป็นการประกาศศัตรูกับเพื่อนบ้าน ให้เรื่องเลวร้ายหนักยิ่งขึ้นอีก
   เขามองออกไปนอกร้าน เพื่อจะได้ไม่ต้องสบตาขุ่นเขียวของเฮียหน่ำ    อีกฟากหนึ่งของถนนเป็นห้องแถวร้านค้าสลับบ้านเรือน   บ้านสองชั้นหลังที่เขาจำขึ้นใจยังคงตั้งอยู่  
        ตัวบ้านเก่าโทรม  นอกตัวบ้านยังมีสัมภาระเก่าๆกองสุมอยู่เหมือนขยะ     พื้นดินรกเรื้อด้วยวัชพืช  อย่างเดียวที่ทำให้รู้ว่ายังมีคนอยู่อาศัย  ไม่ใช่บ้านร้าง คือหน้าต่างบางบานเปิดไว้   เช่นเดียวกับประตู     ทุกอย่างเงียบเชียบไม่มีการเคลื่อนไหว
       เฮียหน่ำกระแทกชามก๋วยเตี๋ยวลงบนโต๊ะ   ตามมาด้วยแก้วกาแฟเย็น     ปลิวจำได้ว่าแกปรุงรสได้เข้มข้นถูกปากลูกค้า ชนิดไม่ต้องเติมพริกป่น หรือน้ำส้มน้ำปลาให้เสียเวลา      แต่ครั้งนี้ก๋วยเตี๋ยวทั้งชามจืดชืดเหมือนต้มกับน้ำเปล่า   ลูกชิ้นยังไม่สุกดีด้วยซ้ำ   กาแฟเย็นที่เคยเข้มข้นก็เฝื่อนเหมือนกินน้ำล้างถุง
เขาไม่ได้คิดไปเอง   เฮียหน่ำส่งถ้อยคำมาในสายตาว่า
       “ มึงกินได้ก็กิน   กินไม่ได้ก็เรื่องของมึง”
       เขากล้ำกลืนอาหารลงไปอย่างฝืดคอ    พยายามจะกินให้หมดก็กินไม่ลง   วางเงินไว้เป็นค่าอาหารโดยไม่รอเงินทอน แล้วลุกออกไป  ได้ยินเสียงเฮียหน่ำกระแทกชามกระแทกแก้วกาแฟอย่างไม่กลัวแตกไล่หลังมา
       เหลืออย่างเดียว คือแกไม่ได้เปล่งคำพูดดังๆออกมาว่า
       “ อย่ามากินร้านกูอีกนะ   ไม่ต้อนรับ”    
   ปลิวเดินเรื่อยเปื่อยไปตามริมถนน    เพื่อนบ้านทุกคนรู้จักเขาดี บางคนก็เห็นมาตั้งแต่เขาเกิด    แต่ทุกคนไม่ทักทาย หรือทักก็อย่างเสียไม่ได้    ผ่านหน้าร้านหนึ่ง เขาได้ยินเสียงด่าลอยๆ แว่วมา
   เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา   ตอนนี้ บ่ายสามโมง   ยังมีรถเที่ยวเย็นออกจากตัวจังหวัดไปกรุงเทพ   แต่กว่าจะถึงสถานีปลายทางก็ใกล้สว่าง  เพราะต้องแวะกลางทางด้วย
   ปกติ ปลิวไม่ชอบนั่งรถข้ามจังหวัดตอนกลางคืน   ไม่ไว้ใจฝีมือคนขับ  ทั้งพวกตีนผีและพวกหลับใน แต่คราวนี้เห็นทีจะต้องยอม
        เขาเดินกลับไปที่ร้าน  เพื่อไปเอาเป้ลงมาจากชั้นบน   แล้วพูดสั้นๆว่าขอลาพ่อแม่กลับกรุงเทพ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:35

พ.ศ. ๒๕๕๙

       หลังจากไม่ได้กลับบ้านเสีย ๓ ปีนับแต่เรียนจบ     ปลิวก็ตัดสินใจกลับไปเยี่ยมบ้านสักทีในช่วงหยุดสงกรานต์
       เขาไปถึงบ้านเอาตอนบ่ายคล้อย     พ่อนั่งคิดบัญชีอยู่สุดมุมร้านตามเคย  ลูกจ้างสาวคนเดียวในร้านกำลังหยิบของให้ลูกค้า  ส่วนแม่อยู่ในครัวหลังบ้าน
       พ่อแม่ต้อนรับลูกชายคนเล็กด้วอย่างดีอกดีใจ   เล่าข่าวสารทุกข์สุกดิบของลูกชายคนโตและลูกสาวคนรอง ซึ่งอยู่ในตัวจังหวัด     พี่ชายทำงานเทศบาล     พี่สาวเปิดร้านเสื้อผ้าให้เช่า   แล้วยังเป็นตัวแทนประกัน   เรียกว่ามีรายได้เลี้ยงตัว หมดห่วงกันไปแล้วทั้งคู่
       เมื่อรู้ว่าลูกชายคนเล็กมีโอกาสจะได้บรรจุเป็นข้าราชการ  พ่อแม่ก็ดีใจจนออกนอกหน้า   เก็บไว้ไม่อยู่ ต้องเดินออกไปอวดเพื่อนบ้านใกล้เคียง  จนปลิวนึกกระดากต้องห้ามให้เพลาๆ
        “ ยังไม่ได้เป็น   แม่  ยัง   ต้องสอบก.พ.ให้ได้ก่อน ถึงจะมีสิทธิ์”
         “ โอ๊ย! ยังไงก็ได้” แม่ตอบด้วยเสียงเชื่อมั่น “ พรุ่งนี้ไปขอน้ำมนต์หลวงพ่อท่านรดหน่อยนะ    น้ำมนต์ท่านฉมังนัก”
         ปลิวรู้สึกสบายอกสบายใจที่ได้กลับมาบ้าน     แม้เหงาหน่อยเพราะเพื่อนๆวัยเด็กที่โตเป็นหนุ่มสาวมาด้วยกันต่างแยกย้ายกันไปประกอบอาชีพที่อื่น   ไม่มีใครเหลือติดหมู่บ้าน
         “ มีแต่คนแก่กับเด็กๆ ที่พ่อแม่มันเอามาฝากปู่ย่าตายายเลี้ยง”
         พ่อพูดถึงชะตากรรมของหมู่บ้านที่ไม่แตกต่างกันนัก  ในแต่ละตำบล
         มีเพื่อนคนเดียวที่เหลือติดบ้านอยู่
         “ ไอ้ต๋องมันยังอยู่ไหม แม่?” เขาถามเรื่อยเปื่อย  คิดว่าคำตอบคงเหมือนก่อนหน้านี้  คือไม่มีใครอยู่บ้านเกิดอีกแล้ว
         “ อยู่  ก็ยังอยู่บ้านมันน่ะละ” แม่ตอบ ตรงกันข้ามกับที่ลูกชายคิด “แต่เอ็งอย่าไปหามันดีกว่า  ต่างคนต่างอยู่ดีแล้ว”
          “ อ้าว! ทำไมล่ะ?” ปลิวแปลกใจ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:37

      ต๋องเป็นเพื่อนนักเรียนตั้งแต่ประถมปีที่ ๑    จนจบมัธยมปีที่ ๓ แล้วแยกย้ายกันไป    ปลิวสอบเข้าชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนประจำจังหวัด   ส่วนต๋องไปเรียนด้านอาชีวะ  ไม่ได้เจอกันอีก
      ทางบ้านของต๋องรวยกว่าใครเพื่อนในหมู่บ้าน    นอกจากมีไร่นาหลายสิบไร่แล้ว   พ่อยังเป็นเจ้ามือหวย   แม่เองก็ปล่อยเงินกู้          ต๋องเป็นลูกชายคนเดียวจึงอยู่อย่างอู้ฟู่มากกว่าเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน   เขาเป็นคนเดียวที่มีเค้กวันเกิดมาฉลองที่โรงเรียน   ตอนอยู่ม. ๓  ถึงวันวาเลนไทน์ก็มีเงินซื้อกุหลาบแดงงามๆมาแจกให้เพื่อนสาวๆทั้งห้อง     มีเงินเช่ารถสองแถวพาเพื่อนๆไปดูคอนเสิร์ตของนักร้องลูกทุ่งที่มาเปิดในตัวเมือง
     หลังจากแยกทางกันไป  ปลิวไม่เคยเจอเพื่อนเก่าอีก    เวลากลับมาเยี่ยมบ้าน   เขาเดินข้ามถนนไปบ้านต๋องซึ่งอยู่ฟากตรงข้าม   ก็คลาดกันไม่เคยพบ    แม่บอกเขาว่า
     “ ต๋องมันไปเรียนต่อกรุงเทพ”
      ครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นกัน  คือเมื่อพ่อของต๋องถึงแก่กรรม   ตั้งศพสวดที่บ้าน     ปลิวไปช่วยงาน  ช่วยจัดเก้าอี้   ยกน้ำเสิฟให้แขก   เห็นเพื่อนเก่าเพียงไกลๆ  ไม่มีโอกาสพูดคุยกัน
      จากนั้น ภาพของต๋องก็เลือนหายไป เช่นเดียวกับเพื่อนเก่าคนอื่นๆ
      จนได้ยินเสียงแม่ห้าม เขาก็นึกแปลกใจ  สงสัยว่าต๋องเจ็บป่วยเป็นอะไรที่แพร่เชื้อติดต่อได้หรือเปล่า
      “ มันป่วยเป็นอะไรรึเปล่า แม่  เลยไม่ให้ไปเยี่ยม”
      “ เหอะ! บอกว่าอย่าไปก็อย่าไปแล้วกัน      แถวนี้ไม่มีใครเขาอยากคบค้ามันหรอก”  แม่ก็เกิดตัดบทขึ้นมาเสียเฉยๆ 
       ในเมื่อแม่ห้าม   ปลิวก็ไม่อาจเดินข้ามถนนไปหาเพื่อนเก่าได้อีก   ได้แต่ยืนมองบ้านนั้นด้วยความพิศวง
      บ้านของต๋องไม่ใช่ร้านค้าอย่างบ้านของเขา  แต่เป็นบ้านไม้สองชั้นหน้าตาโอ่อ่าพอสมควร    เพียงแต่ไม่มีรั้วกั้นทั้งด้านหน้าและด้านข้าง    ตามแบบบ้านในชนบทที่ไม่เห็นความจำเป็นจะต้องมีรั้วรอบขอบชิด    มีแต่ต้นไม้ปลูกไว้หรอมแหรมพอเป็นแนวเขต  ตัวบ้านดูทรุดโทรมเหมือนเจ้าของปล่อยปละละเลย เกือบจะดูเป็นบ้านร้าง   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:39

    ตกค่ำ หลังจากกินข้าวแล้ว    ปลิวออกมานั่งรับลมหน้าร้าน    มองไปเห็นหญิงชราเดินก้มๆเงยๆ อยู่หน้าบ้าน   เพ่งหลายทีจึงค่อยจำได้ว่าเป็นแม่ของต๋อง
        ไม่ได้เห็นมาหลายปี   นางดูชราลงไปมาก  จนเหมือนเป็นคราวแม่ของแม่เขา   ไม่ใช่ห่างกันเพียงแค่ไม่กี่ปีอย่างในความเป็นจริง
       “ ป้า...ป้าสุข” ปลิวตะโกนเรียก   แต่อีกฝ่ายก็ดูเหมือนไม่ได้ยิน
       เขาก็เลยลุกเดินข้ามถนนไปหา    แต่ช้าไปแล้ว   นางสุขเดินเข้าไปในตัวบ้านซึ่งมีแสงไฟสลัวๆส่องลอดออกมา     มีเสียงเอะอะเอ็ดตะโรแว่วจากในห้อง ทำให้ปลิวชะงัก   ลังเล 
       เสียงโหวกเหวกโวยวายตามมาด้วยเสียงภาชนะแตกเพล้งๆๆติดต่อกัน     เสียงหญิงชราร้องอุทานแหบเครือ    ตามมาด้วยเสียงผู้ชายด่าลั่นๆด้วยคำหยาบคาย
       ต่อจากนั้นคือเสียงผู้หญิงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
       “ โอ๊ย! อย่า..อย่าทำ    แม่เจ็บ...ปล่อย!  แม่กลัวแล้ว    ปล่อยแม่เถอะ  ลูกจ๋า    อย่าทำแม่”
       ปลิวหมดความลังเล    เผ่นเข้าไปในบ้าน   ในเมื่อประตูแค่ปิดแง้มไว้เขาจึงเปิดพรวดเข้าไปในห้องได้ทันที
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:42

บทที่ ๒

      ภาพที่เห็นคือผู้ชายร่างผอม ผมเผ้าหนวดเครารุงรัง กำลังจิกผมหญิงชรา กระชากจนหัวสั่นหัวคลอน   อีกมือก็ฟาดลงไปตามใบหน้าและร่างกายท่อนบนอย่างไม่นับ
      ฝ่ายถูกทำร้าย ร้องกรีดลั่น   ยกมือไหว้ปลกๆขอความเมตตา  แต่อีกฝ่ายจะปล่อยก็หาไม่    ยังคงตบตีไม่ยั้ง
      ปลิวตรงเข้าไปกระชากมือฝ่ายชาย    เหวี่ยงฝ่ายนั้นออกไปเต็มแรง    หงายหลังก้นกระแทกพื้นดัง “ปั้ก” แล้วล้มก้นจ้ำเบ้ากองอยู่ตรงนั้น
      เขาหันไปประคองหญิงชราขึ้น   นางร้องไห้ฮือๆน้ำตาอาบน้ำ ตัวสั่นเทา
      “ ป้าสุข    นี่มันอะไรกันน่ะ ป้า”
       ไม่มีเสียงตอบ    ปลิวจึงหันไปมองฝ่ายชาย   มองฝ่าผมเผ้าหนวดเครารุงรังของชายร่างผอมเกร็งเข้าไปจนเห็นดวงหน้า   ครางออกมา
      “ อ้าว! ไอ้ต๋อง”
      เพื่อนเก่าของเขานั่นเอง    สารรูปไม่ต่างจากคนบ้าที่เดินกระเซอะกระเซิงอยู่ริมถนน     มีแต่แววตาที่มองออกมา แสดงว่ารับรู้ทุกอย่างได้
      เขายันตัวลุกขึ้น ยืนโงนเงนไปมา
      “ ไอ้ระยำ   เรื่องอะไรของมึง  เสือก...” เสียงด่าเขาพรั่งพรูออกมาราวกับห่าฝน
      นางสุขยังคงจับแขนชายหนุ่มไว้แน่น     ตัวสั่นเทิ้ม    ปลิวจึงตัดสินใจประคองนางออกมาจากห้อง  มายังบริเวณด้านหน้าตัวบ้าน   ส่วนลูกชายยังคงยืนจังก้า  ด่าโขมงอยู่ตามลำพัง
      นางสุขลงนั่งบนม้ายาวเก่าๆจะพังมิพังแหล่   ยกชายเสื้อคอกระเช้าขึ้นเช็ดน้ำตา
      “ มันเรื่องอะไรกันน่ะ ป้า” ปลิวซัก “ ไอ้ต๋องมันป่วยหรือครับ  ทำไมไม่มีใครเอาไปโรงพยาบาล”
      “ เอาไปแล้ว” นางสุขตอบ เสียงกะท่อนกะแท่น “ เอาไปหลายหนแล้ว     ไม่นานหมอเขาก็ปล่อยออกมา   มันก็..ก็เป็นงี้แหละ”
      “ โธ่!มันบ้า    ป่วยทางจิตน่ะเอง” ปลิวครางออกมาอย่างเข้าใจ “ แต่ไม่ไหวนะป้า    ต้องให้กินยาสม่ำเสมอ   ไม่งั้นมันคลุ้มคลั่งขึ้นมาก็ทำร้ายป้า   จะไหวหรือ”
       “ ไหวไม่ไหว ก็ต้องไหวละ” นางสุขซับน้ำตาอีก “ ยามันก็กินมั่งไม่กินมั่ง    บางทีมันก็เขวี้ยงยาทิ้ง    ป้าก็จนปัญญา     ไม่รู้จะทำยังไง”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:44

      นี่ก็ปัญหาอีกข้อที่ปลิวเคยเห็นในตัวคนไข้    หลายครั้ง เขาไปกับรถกู้ภัย ต้องช่วยกันจับคนป่วยที่เอะอะอาละวาดไปส่งหมอ    อย่างหนึ่งที่รู้คือพวกนี้ไม่ค่อยกินยา   อาการก็จะกำเริบได้ง่าย
      เสียงโครมครามในห้องเงียบไปแล้ว   มีเสียงเปิดปิดประตู    แสดงว่าต๋องออกไปจากบ้านทางด้านหลัง
      นางสุขกล่าวขอบอกขอบใจปลิว ก่อนจะกระย่องกระแย่งกลับเข้าไป    ทิ้งท้ายไว้ว่า
      “ ป้าขึ้นห้องใส่กลอน   มันเข้าไม่ได้  ไม่ต้องห่วง”
      แต่ปลิวก็ยังเป็นห่วง    เดินเหลียวหน้าเหลียวหลังข้ามถนนกลับมาบ้าน 

      หน้าบ้าน   พ่อแม่ยืนรออยู่   หน้าบอกบุญไม่รับด้วยกันทั้งคู่
    “ เอ็งไปบ้านยายสุขทำไม   หา!” แม่เท้าสะเอวถามเสียงขุ่นเขียว “แม่บอกแล้วไม่ใช่รึ ว่าอย่าไปยุ่งกับบ้านนั้น”
     ปลิวเดาว่าพ่อแม่เป็นห่วงเขา ไม่อยากให้เข้าใกล้คนติดยา       เขาก็เลยพยายามอธิบาย
     “ ผมเห็นป้าสุขแกถูกไอ้ต๋องตีเอาๆ เหมือนตีหมูหมา    ผมทนไม่ได้       ไม่มีใครช่วยแก ผมก็ต้องไปช่วย”
     พ่อนิ่วหน้า
    “ ไปแจ้งความให้ตำรวจมาลากคอไปไม่รู้กี่หนแล้ว     ไอ้ต๋องมันติดยาจนเป็นบ้า ฟั่นเฟือน  แทนที่จะเข้าคุกก็ต้องไปโรงพยาบาลแทน    หมอเขารักษาซักพักก็ปล่อยกลับบ้าน  มันก็มีอาการอีก     
     ตรงกับที่ป้าสุขบอกเขา     ปลิวถอนหายใจเฮือกใหญ่
     “ ปล่อยยังงี้ไม่ไหวนะ พ่อ   ป้าสุขแกจะตายคาตีนไอ้ต๋องเอาน่ะซี”
     “ ก็ไม่รู้จะทำยังไงกับมัน” พ่อพูดเสียงเซ็งๆอย่างหมดท่า “ แต่เอ็งไม่ต้องห่วงหรอก  ยายสุขมันหนังเหนียว   ไอ้ต๋องก็ผอมโซเหมือนหมาข้างถนน  ไม่น่าจะมีแรงตีแม่ถึงตาย”
      “ อย่าไปยุ่งกับมันก็แล้วกัน  ได้ยินไหม “ แม่กำชับ หน้ายังคงหงิกงอ “ แถวนี้เขากลัวมันทั้งนั้น     ไม่มีใครอยากแส่หาเรื่องมาใส่ตัวหรอก    ปล่อยมันไว้ยังงั้นเหอะ”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:46

      ปลิวยอมรับว่าหงุดหงิดอยู่บ้างที่พ่อแม่ ตลอดจนเพื่อนบ้านใกล้เคียงกลายเป็นคนใจไม้ไส้ระกำ   ไม่ดูดำดูดีหญิงชราน่าสงสารได้ลงคอ   ในเมื่อก็เห็นกันมาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว      หลายคนก็เคยเป็นลูกหนี้ไปยืมเงินป้าสุขด้วยซ้ำ
      บัดนี้ฐานะแกตกต่ำ  เหลือบ้านหลังเดียว กับเงินเล็กน้อยพออยู่ไปวันๆ   พวกชาวบ้านที่เคยยกย่องแก เรียก ‘เจ๊’ ทุกคำ  ก็พากันหลีกเลี่ยงราวกับกลัวโรคระบาด

      ปัญหาเกิดขึ้นอีกใน ๒ วันต่อมา
      พ่อแม่กับชาวบ้านอีกหลายคน นัดกันไปงานสวดพระอภิธรรมอดีตเจ้าอาวาสวัดใหญ่ในตัวจังหวัด ซึ่งมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย        จึงต้องปิดร้านเร็วกว่าทุกวัน    ปลิวก็เลยอาสาอยู่เฝ้าร้านให้ เพื่อจะได้เปิดจนค่ำมืดตามปกติ    ส่วนลูกจ้างกลับบ้านไปแล้วตั้งแต่เย็น
      เขาเริ่มปิดประตูเหล็กม้วนหน้าร้าน  ยังไม่ทันจบก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากบ้านตรงข้าม     เสียงป้าสุขร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดอีกครั้ง 
      ปลิวเผ่นพรวดข้ามถนน ตรงไปที่บ้านนั้น   กระชากประตูเปิด  เห็นภาพที่เดาไว้แล้วว่าจะเห็น คือเจ้าต๋องกำลังเงื้อม้านั่งไม้ตัวเล็กๆ ฟาดแม่ที่ทรุดลงไปนั่งพับเพียบ
      ป้าสุขยกมือไหว้ปลกๆขอร้องลูกชาย  ปากก็ร้องลั่น
      “ อย่า..ลูก  อย่า! แม่กลัวแล้ว  แม่กลัวแล้ว”
       ชายหนุ่มถลันเข้าไปแย่งม้านั่งมาจากมือเพื่อนเก่าอย่างง่ายดาย   กระแทกมันผงะหงายล้มลงไป    พอจะลุก ปลิวก็ฟาดม้านั่งลงไป ไม่แรงนัก เอาเท้าเหยียบอกอีกฝ่ายไว้  เงื้อม้านั่งแทนอาวุธ
       “ อย่านะมึง  ไอ้ต๋อง   มึงหยุด   ไม่งั้นกูกระทืบแหลก”
        เจ้าต๋องฟั่นเฟือนขนาดไหนเขาไม่รู้   รู้แต่ว่ามันฟังเขาออกทุกคำ   มันก็หยุดต่อสู้ทันที   นอนครางเสียงอ่อยๆอยู่ตรงนั้น
        ปลิวหันไปทางป้าสุข  ทิ้งม้านั่งในมือ ตรงไปพยุงแกขึ้น   ป้าสุขร้องไห้ฮือๆ  ปล่อยให้เขากึ่งลากกึ่งอุ้มแกออกจากห้อง มานั่งอยู่บนม้าหน้าบ้าน
        “ โธ่!ป้า” เขาคราง สงสารจับใจ เมื่อเห็นรอยแตกที่ปลายคิ้ว เลือดไหลเปรอะ   “ผมสงสารป้าจัง    ทำไมป้าไม่ไปอยู่ที่อื่นให้รู้แล้วรู้รอด     อยู่ยังงี้อีกไม่ช้าต้องตายแน่”
        ป้าสุขเองก็น้ำตาไหลพราก ตอบเสียงเครือ
        “ จะไปไหนล่ะ     ไอ้ต๋องมันจะอยู่ยังไงคนเดียว   เราก็เหลือกันสองคนแม่ลูก”
        “ มันไม่ใช่ลูกแล้วนะป้า  ทำแม่ขนาดนี้   ทำไมป้าไม่ไปขอให้ผู้ใหญ่แดงช่วยล่ะ  เขาคงไม่ปล่อยไว้ยังงี้หรอก”
         ป้าสุขพยักหน้า
         “ ผู้ใหญ่แดงก็พยายามช่วยนะ ไม่ใช่ไม่ช่วย  แต่มันมีบัตรคนไข้  ตำรวจเลยเอามันเข้าคุกไม่ได้     ต้องส่งหมอ  ไม่นานมันก็กลับมา  วนเวียนอยู่ยังงี้..”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:48

      แกยกชายเสื้อขึ้นเช็ดน้ำตา
      “ ป้าก็อยากตายให้รู้แล้วรู้รอดเหมือนกัน”
      เจ้าต๋องไม่ได้ตามออกมา     เมื่อปลิวประคองป้าสุขเข้าไปในบ้านเพื่อส่งแกขึ้นห้องนอน  ก็ไม่เห็นมันอีกแล้ว    ป้าสุขบอกว่าลูกชายชอบเดินเพ่นพ่านไปตามถนนตอนกลางคืน   แต่ไม่ทำอันตรายใคร
      หัวใจปลิวหนักอึ้งเมื่อกลับมาถึงบ้าน      เขานึกไม่ออกจริงๆว่าจะช่วยป้าสุขได้ด้วยวิธีใด     เรื่องจะขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่นั่นอย่าหวัง   แม้แต่เพื่อนบ้านใกล้เคียง ก็ดูเหมือนไม่มีใครอยากข้องแวะด้วย   ทุกคนนิ่งดูดายกันอย่างไม่น่าเชื่อ

    ปลิวไม่ได้เล่าให้พ่อแม่ฟังว่าเขาเข้าไปช่วยป้าสุขอีกแล้ว   ไม่อยากถูกเอ็ดอีกหลายยก   เวลาผ่านไปทั้งวันโดยไม่มีเรื่องราว   
   คืนนั้นทุกคนเข้านอนตามเวลาที่เคยนอน     ปลิวมาตกใจตื่นกลางดึกเมื่อได้กลิ่นเหม็นไหม้พลุ่งเข้าจมูกจนสำลัก  กระอักกระไอเป็นการใหญ่  ลืมตาตื่นพบควันคลุ้งเต็มห้อง
   ไฟไหม้!
   เขาโดดพรวดลงจากเตียง  พุ่งตัวไปที่หน้าต่าง มองออกไปก็เห็นเปลวเพลิงลุกสว่างจ้าอยู่ข้างล่าง     ไอร้อนระอุลอยพลุ่งขึ้นมา
   ปลิวร้องเรียกพ่อแม่เสียงหลง    วิ่งออกจากห้องไปทุบประตูห้องพ่อแม่  ก่อนจะวิ่งลงบันไดไปชั้นล่าง     ทุกอย่างขาวมัวอยู่ในควันที่ตลบเต็มห้อง 
   พ่อแม่วิ่งถลาล้มลุกคลุกคลาน   แต่มีสติพอจะนึกออกถึงประตูด้านหลัง   ก็วิ่งไปถอดกลอน  พาตัวเองออกมาจากบ้านได้อย่างหวุดหวิด   เสียงเพื่อนบ้านใกล้เคียงเริ่มเอะอะโวยวาย  ร้องบอกกันลั่นเป็นทอดๆไปทั้งถนน
   ไฟลุกโพลงอยู่หน้าร้าน     แล้วลามติดประตูเฟี้ยมบานไม้หน้าร้าน  ลุกลามเข้ามาถึงในร้าน   สินค้าในร้านหลายอย่างกลายเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี     พ่อแม่ลูกหลุดออกประตูหลังมาได้นาทีเดียว ร้านทั้งร้านก็เต็มไปด้วยเปลวไฟ     แล้วลามเลียไปถึงห้องใกล้เคียงทั้งด้านซ้ายและขวา
   เปลวไฟเกิดจากขยะที่มีมือดีขนมาสุมไว้หน้าร้าน  ราดน้ำมันรถแล้วจุดไฟเผา   
        ทุกคนหาตัวมือเพลิงไม่ยาก   เพราะมีรอยน้ำมันหกเรี่ยราดเป็นทางระหว่างหน้าร้านของชำกับบ้านของนางสุข   ขยะบางชิ้นก็หล่นอยู่หน้าบ้าน
        มิหนำซ้ำ   ไอ้ต๋องออกมายืนเท้าสะเอวอยู่หน้าบ้าน ระหว่างชาวบ้านวิ่งกันชุลมุนช่วยกันดับไฟ    หัวเราะชอบอกชอบใจ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:51

      เมื่อรู้สาเหตุว่าไอ้ต๋องตามมาแก้แค้นปลิว ที่ไปมีเรื่องกับมัน   ผลก็คือคำด่าหลั่งไหลเป็นห่าฝนจากพ่อแม่
      ปลิวไม่เคยเห็นพ่อเดือดดาลเรื่องอะไรมากเท่านี้มาก่อน   ขนาดวิ่งไปคว้าไม้กวาดมาฟาดกระหน่ำบนหลังไหล่หัวหู    ไม่ฟังเสียงร้องลั่นของลูกชาย ตลอดจนคำร้องถาม
     “ พ่อ   พ่ออย่าตี   พ่อทีฉันทำไม    คนเผาบ้านคือไอ้ต๋องนะ ไม่ใช่ฉัน”
     พ่อตีจนไม้กวาดหัก    ลงนั่งหอบแฮกๆ เนื้อตัวสั่นกระเพื่อมไปหมด   ชี้หน้าลูกชาย
      “ ถ้ามึงไม่ไปมีเรื่องกับมัน   ไอ้ต๋องมันจะมาเผาบ้านกูเหรอ    กูห้ามแล้วใช่ไหม ไม่ให้ไปยุ่ง   มึงไม่เชื่อ   จนฉิบหายวายวอดแล้วไหมล่ะ  ไอ้ระยำ”
      แม่เองก็กรากเข้ามาตบตีลูกชายอีกหลายฉาด   เมื่อพ่อหยุดมือแล้วเพราะเหนื่อย
      “ นี่..นี่แน่ะ นี่แน่ะ   ไอ้ลูกเวร    ห้ามเท่าไรไม่ฟัง  คนอย่างมึงเกิดมาล้างผลาญพ่อแม่จริงๆนะ  ไอ้..”
       ไม่ใช่แต่พ่อแม่   เพื่อนบ้านสองข้างร้านก็กรากเข้ามาชี้หน้าด่าเขาเสียไม่นับเหมือนกัน 
       ร้านก๋วยเตี๋ยวเฮียหน่ำถูกไฟไหม้ทั้งหมด     แกกับเมียขวัญหนีดีฝ่อ    คว้าของติดมือออกมาได้เพียง ๒-๓ อย่าง  ส่วนทางขวาของร้านของชำเป็นร้านตัดผมของน้าแจ้  มีน้ำยาสารพัดชนิด    ผ้าม่าน และอะไรอีกหลายชนิดที่ติดไฟแล้วลุกลามดับไม่อยู่  น้าแจ้เนื้อตัวสั่นไปหมดไม่รู้จะขนอะไรหนีก่อน  ได้แต่ยกข้าวของเท่าที่คว้าได้เอาไปกองไว้กลางถนน   แล้วยืนทอดอาลัยมองไฟกลืนร้านของตน
       ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านแห่กันมาช่วยดับไฟ  นับว่าโชคดีที่น้ำประปาของหมู่บ้านไหลแรง   จึงช่วยกันต่อสายยาง และหิ้วถังน้ำใบใหญ่ใบเล็กมาดับไฟได้สำเร็จ  แต่ก็ต้องใช้เวลานานกว่า ๒ ชั่วโมง   ห้องแถวทั้งแถวไหม้เกือบหมด   หรือแต่ห้องปลายสุดเท่านั้นที่รอดมาได้
       ไฟภายนอกดับ  แต่ไฟในอารมณ์ของคนกลับตรงกันข้าม     
       เมื่อรู้ว่าต้นเหตุเกิดจากไอ้ต๋องตามมาแก้แค้นปลิวที่ไปมีเรื่องชกต่อยกับมัน     ทั้งเฮียหน่ำ เมีย   น้าแจ้ และเพื่อนบ้านอื่นๆ  ก็เรียงแถวกันเข้ามาด่าปลิวสาดเสียเทเสีย  แทบจะขุดโคตรขึ้นมา   ผู้หญิงบางคนก็ตรงเข้าตบตี จนต้องมีคนช่วยกันลากออกไป     ส่วนพ่อกับแม่ก็ได้แต่หน้าจ๋อย   ไม่อาจห้ามปรามหรือช่วยพูดแทน
        ทุกคนลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า  ถ้าปลิวไม่ไปทำให้ไอ้ต๋องโกรธ    ชาวบ้านก็ไม่ต้องมาเดือดร้อนกันหัวถนนท้ายถนนแบบนี้    บ้านอื่นๆนอกจากนี้ ถึงไม่ไหม้   แต่ทั้งหมู่บ้านโกลาหลกันไปหมดในการช่วยกันดับไฟ    เพราะไม่เคยเกิดเหตุร้ายขนาดนี้มาก่อน
        แน่นอนว่าปลิวงุนงง   พยายามเข้าใจเท่าไรก็ไม่เข้าใจ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:52

     “ คนเผาน่ะไอ้ต๋องนะ     ไม่ใช่ผม    ถ้าด่า ทำไมไม่ไปด่ามันล่ะ”
     “ ไอ้ต๋องมันคนบ้า   จะไปเอาอะไรกับมัน     มันก็อยู่ตามประสามันมาหลายปีแล้ว   ถ้ามึงไม่ไปหาเรื่องมัน ก็ไม่มีเรื่อง”
     “ ผมไม่ได้หาเรื่อง    ผมไปช่วยป้าสุขไม่ให้ไอ้ต๋องมันฆ่าแม่ตาย”
     “ มันฆ่าตายรึยังล่ะ?”
     “ ถ้าเป็นอยู่งี้   ป้าสุขแกก็ต้องตายเข้าสักวัน    ไม่เห็นรึว่าแกช้ำไปทั้งตัวแล้ว”
      “ มันเรื่องของบ้านเขาโว้ย     เรื่องแม่ลูกเขา   มึงไม่ต้องเสือก   เห็นมั้ยว่าเป็นไง   เดือดร้อนกันไปหมดทุกบ้าน”
       “ เออ! จริง  เนี่ย...มันจะลุกขึ้นมาเผาอีกเมื่อไหร่วะ    โว้ย! กูมิต้องอดหลับอดนอนนั่งเฝ้ายามมันทุกคืนรึนี่”
       “   ไอ้ปลิว..มึงนะมึง  มึงคนเดียวทำระยำ  เดือดร้อนกันไปหมด  กูหมดเนื้อหมดตัวเพราะมึง”
       เสียงด่าระงมกันไปทั้งถนน   คืนนั้นทั้งคืนไม่มีใครได้นอน   จนเช้าวันต่อมาก็ไม่ได้นอนอีก  ปลิวกับพ่อแม่พร้อมกับเพื่อนบ้านต้องไปสถานีตำรวจ     วุ่นวายกันไปทั้งหมู่บ้านรวมทั้งพระและครูในโรงเรียน  เพราะต้องช่วยกันหาที่อยู่บนศาลาวัด และหอประชุมโรงเรียนให้ชาวบ้านพำนักชั่วคราว    กลายเป็นเรื่องใหญ่ใช้เวลาทั้งวัน และวันต่อๆมา   
       พ่อกับแม่หอบข้าวของที่เหลือติดตัวไปค้างบ้านลูกชายลูกสาวในตัวจังหวัด    นับว่าโชคยังช่วยอยู่มากที่ลูกสาวเป็นตัวแทนประกัน แนะนำให้พ่อทำประกันอัคคีภัยมาหลายปีแล้ว จึงมีสิทธิ์ได้เงินมาชดเชยค่าเสียหาย       แต่ร้านอื่นๆบางร้านไม่ได้ทำประกัน  ก็สิ้นเนื้อประดาตัวไปตามๆกัน
       พี่ชายดึงตัวปลิวไปพักบ้านเขา  ให้แยกจากพ่อแม่ซึ่งพักบ้านลูกสาว  เพราะรู้ว่าขืนอยู่ด้วยกัน  ลูกชายอาจไม่รอดกำปั้นพ่อและฝ่ามือแม่   
       หลังจากจัดที่ทางให้พ่อแม่อยู่ได้เรียบร้อยแล้ว   พี่สาวก็ขี่จักรยานยนต์มาหาน้องชายที่บ้านพี่ชาย   ทั้งสองรวมทีมกันเทศนาน้องชายอีกกัณฑ์ใหญ่
       พี่สาวลงท้ายว่า
       “พ่อแม่พูดถูก     แกไม่น่าจะไปยั่วโมโหไอ้ต๋องมัน   ไอ้นี่มันติดยาจนคุ้มดีคุ้มร้ายใครๆก็รู้       ขนาดผู้ใหญ่แดงแกยังส่ายหน้า ไม่เอาด้วย   คนอย่างผู้ใหญ่แดงน่ะใครกล้าหือกะแกมั่ง    แกยังเอาไอ้ต๋องไม่อยู่เลย”
       “ จะให้ทำไงล่ะ พี่” ปลิวถามด้วยเสียงอ่อนใจ “จะให้เห็นคนแก่ถูกซ้อมตายไปต่อหน้าต่อตางั้นรึ”
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:54

     “ แหม! ไอ้คนใจบุญ” พี่สาวค้อนขวับ “ อยากเป็นพ่อพระ  ถามจริงเหอะ   ถ้าพ่อแม่หนีไฟไม่ทัน   ตายขึ้นมา    มันคุ้มมั้ยล่ะ”
     ข้อนี้ ปลิวก็ตอบไม่ถูกเหมือนกัน     เขาไม่ได้นึกอะไรไกลขั้นนี้มาก่อน
     “ แล้วเนี่ย   พ่อแม่ก็กลัวจนประสาทจะกินแล้ว   แกรู้รึเปล่า” พี่สาวร่ายยาวต่อไปอีก
      ปลิวส่ายหน้า
     “ ตอนนี้ตำรวจเอาตัวไอ้ต๋องไปก็จริง  แต่ก็ไม่รู้มันจะกลับมาได้อีกเมื่อไหร่     ถ้ามันกลับมาเผาบ้านอีก  จะทำยังไงกัน     มันทำได้หน  มันอาจทำอีก ใครจะรู้       แกมันหาเรื่องให้พ่อแม่ลำบากชัดๆ   ยิ่งพูดยิ่งโมโห   ไม่รู้จะด่าแกยังไงดี”
      พี่ชายยังพอจะเห็นใจน้องชายบ้าง ก็พูดด้วยเสียงปรานี
      “ แกไปกราบขอโทษเพื่อนบ้านเราซะเถอะ    ผ่อนหนักให้เป็นเบา   เขาจะได้หายโกรธมั่ง    ไม่งั้นพ่อแม่แย่เลย  เราเป็นร้านต้นเพลิง  ชาวบ้านจะรุมด่า   เดี๋ยวเขารวมหัวกันเลิกซื้อของขึ้นมา    เราจะซวยกันหมด       บ้านเราอยู่กันดีๆ ต้องมาลำบากลำบนเพราะแกคนเดียว”
     ปลิวนั่งซึมอยู่เป็นครู่  ก่อนพูดอ่อยๆ
     “ ฉันไม่เข้าใจเลยพี่     ไอ้ต๋องมันเป็นคนบ้าเลยมีอภิสิทธิ์ ทำอะไรไม่ผิด   เผาบ้านใครก็ไม่ผิด    คนที่พยายามจะช่วยคนอื่นกลับผิด งั้นหรือ”
      “ ไอ้เรื่องผิดเรื่องถูก  แกอย่าเถียงเลยวะ      ทุกคนเวลามีเรื่อง ก็ว่าตัวเองถูก”
      พี่ชายเริ่มขึ้นเสียงอย่างใกล้จะหมดความอดทน 
      “ที่แน่ๆคือ ตอนนี้ ชาวบ้านหมดเนื้อหมดตัวกันไปหลายบ้าน ดีไม่ดีเขาจะมาเอาเรื่องกับพ่อ     เราอาจต้องจ่ายค่าทำขวัญ หมดเงินไปอีกเป็นแสน   ทั้งหมดนี้นะไอ้ปลิว   ถ้าแกไม่ไปยุ่งกับคนบ้า มันก็ไม่เกิดเรื่องยุ่งขนาดนี้หรอก   จริงไหม”
      “ ทำไมไม่เรียกค่าเสียหายจากป้าสุขล่ะ พี่”
      “ ใครจะไปเอาเรื่องกับยายสุข  ทุกคนก็รู้ว่าแกหมดเนื้อหมดตัว  เอาบ้านไปจำนองเถ้าแก่ฮง  แกจะมายึดบ้านก็ไม่กล้า   เพราะไอ้ต๋องมันไม่ยอมออกไป      ไม่มีใครอยากเอาเรื่องกับมัน”
      “ งั้นฉันก็ควรปล่อยให้ไอ้ต๋องตีแม่จนตาย  ใช่ไหม?”
      “  ถ้าไอ้ต๋องจะตีแม่จนตาย   มันก็บาปของมันเอง   มันผิดของมันเอง    คนอื่นๆไม่เกี่ยว   ไม่มีใครเดือดร้อนนอกจากมันสองคน” 
      พี่ชายก็ตอบไม่ติดขัดเหมือนกัน
      “ ส่วนแกอ้างว่าทำดี ทำดีแล้วได้เลว เรียกว่าดีงั้นเหรอ นี่!  ไม่ต้องพูดมาก    แค่จ่ายค่าเสียหายให้เฮียหน่ำแกก่อน   ทำได้ไหมล่ะ ขอถามไอ้คนทำดีหน่อยเถอะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:56

     ปากที่อ้าขึ้นจะตอบโต้  ก็เลยหุบสนิท   ปลิวหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมาจากกระเป๋ากางเกง  นับธนบัตรไม่กี่ใบที่เหลืออยู่   ก่อนเงยหน้าบอกพี่ทั้งสองเสียงอ่อยๆ
     “ เดือนนี้คงไม่ไหว     ต้องรอเดือนหน้า   พี่ว่าผ่อนให้เดือนละ ๑๐๐๐ ไหวไหม   ฉันให้ได้แค่นี้จริงๆ”

พ.ศ. ๒๕๖๕

      เข้าปีที่ห้าแล้ว   ทุกครั้งที่เพื่อนถามก่อนวันหยุดสงกรานต์ว่า
      “ ปีนี้กลับไปเยี่ยมบ้านไหม ปลิว?”
      ก็จะได้คำตอบซ้ำๆกันทุกปีว่า
       “ รับงานพิเศษไว้  เผื่อจะหาตังค์ส่งให้ทางบ้านอีกหน่อย    คงไม่ได้ไปบ้านอีกหลายปีเลยละ


หมายเหตุ  สำนวน “ทำคุณบูชาโทษ” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า no good deed goes unpunished
จบ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 14 ม.ค. 24, 11:57

ขอต้อนรับทุกความเห็นค่ะ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.051 วินาที กับ 19 คำสั่ง