เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 31
  พิมพ์  
อ่าน: 19806 รำลึกถึงดาวเสียงต่างชาติต่างภาษาที่ดับแสงไปแล้ว [2]
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 90  เมื่อ 11 มิ.ย. 23, 14:35

ตอนเริ่มงานชิ้นนี้ผมมั่นใจว่าจะต้องเป็นเรื่องของนักร้องยุค golden oldies เสียมาก  เพราะต่างก็มาก่อนซึ่งย่อมหมายความว่าอายุมากกว่า  แต่พอเอาเข้าจริงปรากฏว่า  ไม่เป็นไปตามที่คิด  นักร้องยุค golden oldies, ยุค 60s และ 70s  ส่วนใหญ่อายุใกล้เคียงกัน  มาแตกต่างตรงช่วงเวลาดัง  จากการสังเกต  นักร้องยุค 70s ต่างล้มหายตายจากกันเหมือนใบไม้ร่วงน่าจะเป็นเพราะมีนักร้องเกิดขึ้นมากในยุคนั้น  ผมว่านะ

Dobie Gray …ข้ามาคนเดียว  อาละวาดเสร็จก็หายจ้อย


ท่อนสร้อยนี่ติดหูมาก แต่ผมจับไม่ได้ว่าเธอร้องว่าอะไร  มันติดอยู่ในใจจนกระทั่ง อตน. ถือกำเนิด  ผมถึงรู้ว่าเนื้อตรงนั้นคือ ...

Give me the beat, boys, and free my soul
I wanna get lost in your rock 'n' roll and …

มีหลายเพลงเลยละที่ผมมารู้เนื้อท่อนที่เคยเก็บความสงสัยมาเป็นสิบ ๆ ปีเอาตอนมี อตน. แล้ว

นำเสนอ





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 91  เมื่อ 12 มิ.ย. 23, 15:16

ในปี 1978 (เช็คจากปูมอันดับเพลงของผม) คลื่น Nite Spot เป็นคลื่นสถน. วิทยุที่เปิดเพลงต่างประเทศที่ฮอตที่สุด  จำได้ว่าคนนิยมมากถึงขนาดกระจายสาขาออกไปได้หลายคลื่น  ออกอากาศทั้งวัน  เริ่มเมื่อไรจำไม่ได้แต่ไปสิ้นสุดตอนเที่ยงคืน  ตอนนั้นมีดีเจ ดัง ๆ นอกจาก คุณวาสนา วีรชาติพลี กับคุณอิทธิวัฒน์ เพียรเลิศ แล้ว  ยังมีคุณวิโรจน์ ควันธรรม หรือพี่หมึกสุดหล่อของผม  คุณจิราพรรณ ลิ่มไทย  คุณจีรพร พฤกศิริ แล้วก็หม่อมหลวงรุจิยาภา อาภากร (มีเขียนผิดบ้างเพราะเขียนจากความทรงจำ)

คืนวันเสาร์ (ถ้าจำไม่ผิด) ตั้งแต่ 2 ทุ่มถึงเที่ยงคืน  ที่คลื่น 107 (ถ้าจำไม่ผิดเช่นกัน) เป็นรายการยาวติดต่อกัน 4 ชม.  โดยเริ่มตั้งแต่ 2 ทุ่มหลังข่าวเป็นต้นไป  รายการชื่อว่า American Top 40  จัดโดยคุณวาสนา วีรชาติพลี  รายงานอันดับเพลงยอดนิยมของตาราง billboard ในสุดสัปดาห์นั้น ๆ  โดยเริ่มตั้งแต่อันดับที่ 40 ย้อนขึ้นไปถึงอันดับที่ 1 อันเป็นเพลงสุดท้ายก่อนปิดสถานียามเที่ยงคืน
 



วัตถุดิบในการรายงานนั้น (จำไม่ได้ว่ารู้มาได้อย่างไร) คือแผ่นเสียง 4 แผ่นใส่มาในกล่องอย่างแน่นหนาส่งมาทาง airmail  ฉะนั้นเคยมีบ้างที่บางครั้งมันมาไม่ทัน  เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น  4 ชม. ดังกล่าวก็เล่นเพลงสัพเพเหระไป  ผมจำไม่ได้แล้วว่าทางทีมงานชดเชยอย่างไร

ผมติดตามรายการนี้เป็นประจำ  อย่างทนทุกข์ทรมานเพราะผมเป็นคนนอนหัวค่ำ  ครั้งไหนที่เพลงโปรดของผมหรือเพลงจากนักร้องคนโปรดของผมกำลังลงสนาม  ผมจะติดตามด้วยความตื่นเต้น  ถ้าไปไม่รอด  อาจจะจบที่อันดับที่ 37 พรือ 24 หรือ 18 ก็ว่าไป  ก็เป็นอันว่าผมจะได้นอนเร็ว  แต่ถ้าเป็นม้าเต็งหนึ่งสามารถวิ่งผ่าน top 10 ไปได้  ผมก็จะได้นอนหลังเที่ยงคืน  แต่ไม่ได้หมายความว่าจะหลับทันที  เพราะยังมีความตื่นเต้นฉุดอยู่ว่าอาทิตย์หน้าจะไปต่อได้อีกไหม  

ในปี 1978 คลื่น Nite Spot เปิดเพลง Kiss you all over โหมโรงมาตั้งแต่เริ่มแรก  ในที่สุดมันก็เข้า top 40  พอมาถึงจุดนี้เป็นอันว่าผมต้องสาป  เพราะต่อแต่นี้ไปผมต้องคอยฟังรายการ American Top 40 ทุกอาทิตย์  เพื่อลุ้นว่าเพลงโปรดของผมเพลงนี้จะมีพลังไต่อันดับไปได้ถึงไหน  และแล้วมันขึ้นไปถึงอันดับ 1 ในที่สุด (แสดงว่าผมต้องเข้านอนหลังเที่ยงคืน)  

คำสาปไม่สิ้นสุดเพราะดีเจรายงานว่าเพลงขึ้นถึงอันดับ 1 พร้อมดาวซึ่งหมายความว่ากำลังแรงของเพลงยังมีมากพอที่จะครองอันดับ 1 ต่อไปอีก 1 อาทิตย์ (เป็นอย่างน้อย)  ตอนเด็ก ๆ ความอยากรู้อยากเห็นมีมากมายมหาศาล  อาทิตย์ต่อมาผมก็นั่งโงกอยู่หน้าลำโพงวิทยุถ่างตาคอยอยู่จนถึงช่วงสุดท้ายของรายการคือ 5 ทุ่ม ถึง เที่ยงคืน  เพียงเพื่อจะเงี่ยหูฟังรายงานเพลงว่าเพลงนี้ยังครองอันดับ 1 เป็นอาทิตย์ที่ 2 แบบ ‘เฉย ๆ’ หรือว่ายังมีดาวอีก  ปรากฏว่านอกจากมันยังครองอันดับ 1 เป็นอาทิตย์ที่ 2 แล้วยังมีดาวตามมาอีก

สรุปแล้วเพลงนี้ครองอันดับ 1 billboard อยู่ 4 อาทิตย์  ในอาทิตย์ที่ 4 ที่ดีเจรายงานว่ามันยังครองอันดับ 1 แต่ไม่มีดาวแล้ว  ผมละถอนหายใจอย่างโล่งอก




ในกาลเวลาต่อมาที่ไม่นานนักคือ อีก 2 – 3 singles ต่อมา (ที่ผมไม่เคยได้ยินทางวิทยุ)  ทางวงฯ ก็พบว่าถ้าจะไปต่อไม่รอด  สงสัยจะต้องได้รับเชิญเข้าสู่กลุ่มศิลปิน wonder hit wonder  เพราะไม่มีเพลงดังต่อมาอีกเลย  ความขัดแย้งเกิดขึ้นส่งผลให้นักร้องนำ (คนที่ตาย) ลาออก  ความเครียดก็เกิดขึ้นที่เหลือก็เลยสุมหัวกันแล้วเปลี่ยนแนวเพลงและเปลี่ยน 'ลุค' ไปเป็นแนว country  พร้อมรับสมาชิกใหม่  ซึ่งนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องเพราะส่งผลงานไปสร้างความดังสนั่นหวั่นไหวติด ๆ กันหลายต่อหลายเพลงในดินแดนนั้น  เช่น 2 เพลงนี้






บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 92  เมื่อ 15 มิ.ย. 23, 14:15

One hit wonder ขนานแท้อีกวง มีเพลงดังขึ้นถึงอันดับ 1 ในปี 1966  จากนั้นก็ประสบความล้มเหลวมาตลอดจนต้องยุบวงในปี 1969






อีกหนึ่งวง One hit wonder (นับเฉพาะเหตุเกิดที่อเมริกา) จากเพลงนี้



สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ของผมคือ  ผมเข้าใจมาตลอดว่าเสียงร้องนำเป็นเสียงของผู้ชาย  จนกระทั่ง youtube ถือกำเนิดผมถึงรู้ว่าเป็นเสียงของผู้หญิง  วงนี้มาจาก Holland เพลงนี้ขึ้นอันดับ 1 และได้แผ่นเสียงทองคำ

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 93  เมื่อ 16 มิ.ย. 23, 14:33

วง The Box Tops เป็นอีกหนึ่งวงที่วิทยุบ้านเราเอาเพลงของพวกเขามาเปิดให้ฟังอยู่ช่วงหนึ่ง  อันเป็นช่วงขาขึ้นของวง  2 เพลงนี้ผมได้ยินเรื่อย ๆ ตั้งแต่จำความได้มาจนถึงวัยโต


น่ารักกันจัง  lip-sync กันอย่างเมามัน




นำเสนอ



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 94  เมื่อ 17 มิ.ย. 23, 14:27

ผมเพิ่งนำเสนอเพลงของ Vangelis  ไปในกระทู้หนังตอน Chariots of fire  ชื่อเสียงของเธอติดหูเหล่านักฟังเพลงฯ บ้านเราจากเพลงดังกระหึ่มเพลงนี้อันเป็นหนึ่งใน soundtrack ของหนังเรื่องดังกล่าว  album จากหนังเรื่องนี้กวาดรางวัลมาถ้วนทั่วรวมถึงกวาดเงินในกระเป๋า (เหี่ยว ๆ) ของผมด้วย




นำเสนอเพลงเด่นอื่นๆ ใน album ที่ว่า



2 เพลงนี้ต้องฟังต่อกันแล้วจะให้อารมณ์






บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 95  เมื่อ 18 มิ.ย. 23, 14:18

ในสมัยเด็ก ๆ รายการเพลงฝรั่งทางวิทยุมีมากมาย  แต่ละคลื่นก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง  คลื่นที่เสนอเพลง hard rock ก็มี (รายการโปรดของ ขาโจ๋ ของผม) แต่คลื่นที่เสนอเพลง pop ทั่วไปตามความนิยมในอันดับเพลงของทางฝั่งตะวันตก (อเมริกาและอังกฤษ) ก็มีและมีมากที่สุด  สถานีของเพลง golden oldies ก็มี  และสถานีที่เสนอเพลงกลางเก่ากลางใหม่คือบางทีก็เปิดเพลงในยุคปัจจุบัน  บางทีก็เปิดเพลงเก่าสลับกัน  แต่ไม่เก่าขนาด golden oldies  เก่าย้อนไปประมาณช่วงปลายของยุค 1960s

นี่เป็นคลื่นที่ผมชอบฟังเช่นกัน  เราฟัง golden oldies บ่อย ๆ ก็เลี่ยน  มาฟังเพลง rock ในยุค ‘แสวงหา’ เปลี่ยนบรรยากาศ

คลื่นวิทยุแนวนี้จะเปิดเพลงดังของเหล่าศิลปินที่โลดแล่นอยู่ก่อนที่ผมจะรู้ประสา  เช่นเพลงของวง  The Box Tops ที่เพิ่งนำเสนอไป  มีอยู่วงหนึ่งที่ได้ยินเพลงของพวกเขาเป็นประจำ  เพลงของพวกเขาเพราะมาก  ไม่มีความ rock เลย  ฟังแล้วถูกหูเด็กน้อยอย่างผม


เป็นไงล่ะ  เพราะสุด ๆ  วงนี้เป็นวงเชื้อชาติอังกฤษแต่ไปดังที่อเมริกา  นับเป็นเรื่องแปลก  วิทยุยังเปิดเพลงอื่น ๆ ของพวกเขาอีก









และในยุคผมวัยรุ่น ดีเจก็ไปสรรหาเพลงเก่าของพวกเขามาเล่นให้ฟัง  เพลงนี้ดังระเบิดแบบถ้าให้แผ่นเสียงทองคำโดยวัดความถี่ในการเปิด  เพลงนี้ได้ไป 1 แผ่น



ตอนนี้ Chad Stuart ตายไปแล้ว วง Chad and Jeremy ก็ไม่มีอีกต่อไป




บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 96  เมื่อ 19 มิ.ย. 23, 15:12

ถ้าได้ฟัง A Summer Song จาก Chad & Jeremy แล้ว มั่นใจได้ว่าดีเจจะต้องเปิดเพลงนี้เป็นเพลงต่อมา




Peter and Gordon เป็นวงคู่จากอังกฤษเช่นกันกับ Chad & Jeremy  ทั้งคู่เข้ามาในวงการในช่วงเวลาเดียวกันด้วยคือ 1963/64  พอมีปูมของ Joel Whitburn แล้วค้นพบว่าวงคู่วงนี้ดังกว่า  มีเพลงเข้าอันดับมากกว่า  แต่บ้านเรากลับเปิดเพลงของพวกเขาน้อยกว่า  อีกเพลงที่เคยได้ยินก็เพลงนี้



ก่อนเข้ายุค 70s ชื่อเสียงของวงซบเซา  Peter Asher ยังคงอยู่ต่อไปในวงการเพลง เธอประสบความสำเร็จในตำแหน่ง producer แผ่นเสียงให้กับ Linda Ronstadt (และคนอื่น ๆ)  เป็น producer คู่บุญของ LR มาตลอด




ตอนนี้ Gordon Waller ตายไปแล้ว วง Peter and Gordon ก็ไม่มีอีกต่อไป

นำเสนอ








บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 97  เมื่อ 20 มิ.ย. 23, 14:38

เปลี่ยนบรรยากาศด้วยหนังสารคดี

Summer of Soul ออกฉายในวงกว้างในปี 2021  เนื้อหาเป็นแนวสารคดีเกี่ยวกับเทศกาลเพลงที่มีชื่อว่า Harlem Cultural Festival  เทศกาลนี้ทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1967 ถึง 1969  แก่นของงานเป็นการแสดงดนตรีสดของบรรดาศิลปินผิวดำ  เพื่อเป็นการส่งเสริม black pride เทศกาลนี้จัดขึ้นที่ย่าน Harlem เมือง Manhattan รัฐ New York

สารคดีนี้นำเสนอเทศกาลที่จัดขึ้นในปีสุดท้ายคือ 1969  ปีนั้นมีเทศกาลแสดงดนตรีสดอีกงานคือ Woodstock ที่จัดขึ้นในเวลาเดียวกัน  ความดังของงาน Woodstock กลบงาน Summer of Soul เสียมิด  ไม่มีใครนึกถึงแล้วก็ไม่มีใครเคยเห็น clip การแสดงสดนี้จนกระทั่งมีคนค้นพบวัตถุดิบแล้วเอามาดัดแปลงเป็นสารคดีออกฉาย  ซึ่งได้รับคำชมอย่างล้นหลาม  ความมีคุณภาพของการจัดทำให้สารคดีนี้ได้รับ Oscar  สาขา Best Documentary Feature ในปี 2021

ในปี 1969 Stevie Wonder เพิ่งมีอายุ 19 ปี  ผมเพิ่งเคยเห็นความสามารถในด้านตีกลองของเธอ



บรรยากาศของงานที่จัดขึ้นที่ Mount Morris Park ช่วงสุดท้ายของ clip เป็นการแสดงสดของคณะ 5th Dimension ที่ตอนนั้นกำลังดังจากเพลง Aquarius (Let the sunshine in)  มีช่วงหนึ่งที่สมาชิกของวงรำลึกว่า  ผู้คนทั้งดีเจและนักฟังเพลงต่างตำหนิว่าเพลงของคณะนี้ ‘not black enough’  เธอบ่นว่า ‘Can you color music?’



วง Gladys Knight & the Pips  วง R&B ชั้นแนวหน้าวงหนึ่งของยุค ในปี 1969 วงยังไม่ดังในโลกกว้าง  มาดังกระหึ่มในต้นยุค 70s กับเพลง Midnight Train to Georgia กับ Best thing that’s ever happened to me (ชื่อยาวมาก) แต่บ้านเราไม่ดังเท่าไรทำไมก็ไม่รู้  2 เพลงนี้เพราะจะตาย



นอกจากการแสดงดนตรี soul แล้ว ยังมีศิลปินผิวดำแสดงวัฒนธรรมในแขนงอื่น ๆ ด้วย



Queen of gospel ชื่อ Mahalia Jackson (1911 – 1972)



นำเสนอ



บรรยากาศรวม ๆ ของสารคดี



ตัวอย่างสารคดี


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 98  เมื่อ 21 มิ.ย. 23, 14:39

ผมรู้จัก Andrew Gold มาตั้งแต่เธอยังไม่ยึดอาชีพนักร้องแบบเป็นล่ำเป็นสัน  สาเหตุที่รู้จักเพราะเธอมาร่วมงานผลิตเพลงให้กับ Linda Ronstadt แฟนผม  เป็นขาประจำเลยละ  สาเหตุที่รู้เพราะแผ่นเสียงของ LR ที่ผมซื้อเป็นประจำ (จริง ๆ แล้ว  เป็นแบบนี้สำหรับแผ่นเสียงของทุกศิลปิน  ที่เค้าเรียกว่า credit  แบบเดียวกับ credit ท้ายเรื่องหนังนั่นแหละ) นั้น  ข้างในจะมีบอกรายชื่อศิลปินต่าง ๆ ที่มาช่วยหรือรับจ้างมาทำงานชิ้นนี้  ชื่อ AG มีปรากฏอยู่ในทุกแผ่น  เธอมีความสามารถในการเล่นเครื่องดนตรีได้หลากหลาย  รวมถึงร้อง backup ด้วย

แล้ววันหนึ่งในกลางยุค 70s  ผมก็ได้ยินเพลงนี้

พอเพลงจบดีเจก็ประกาศว่าเป็นเสียงร้องของ AG  ฟังแล้วก็ เฮ้ย... ออกเพลงแล้วเหรอ

อย่างไรก็ตาม ฟังแล้วเฉย ๆ แต่วิทยุบ้านเราไม่เฉยด้วย  เพราะเปิดเพลงนี้บ่อยระดับหนึ่งทีเดียว

ตามมาด้วยเพลงนี้  แต่ไม่บ่อยเท่า



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 99  เมื่อ 22 มิ.ย. 23, 15:24

ในปีเดียวกันนั้นก็มีนักร้องชื่อแปลกใหม่อีกคนส่งเพลงมาเปิดตามลำโพงวิทยุ  ชื่อ Alan O’ Day  คนนี้ผมก็รู้จักชื่อมาก่อนหน้า  จำได้แม่นยำว่าเขาเป็นคนแต่งเพลง Angie Baby (1974) ให้ Helen Reddy ของผมร้อง

เพลงนี้ของ AOD ดังเช่นกัน  ไม่แพ้เพลง Lonely Boy ของ Andrew Gold  แต่ที่บ้านเขาดังกว่าเพราะขึ้นถึงอันดับ 1 และได้แผ่นเสียงทองคำ

ทั้ง 2 คนนี้เข้าข่ายนักร้องประเภท one hit wonder





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 100  เมื่อ 23 มิ.ย. 23, 14:37

ผมรู้จักเพลง I know ครั้งแรกจากการร้องของคณะ Those Fabulous Echoes (เสนอไปแล้ว) ตอนนั้นตัวกะเปี๊ยกไม่มีทางรู้ลึกซึ้งว่าคณะนี้มีสมาชิกเป็นลูกผสมชาวเอเชียและชาวผิวขาวแล้วก็มาดังที่ฮ่องกง  รู้แค่ว่าเพลงเพราะจัง




พอโตขึ้นหน่อยได้รู้จักรายการ golden oldies  ก็ได้ความรู้เพิ่มว่าเพลงนี้ของคณะนี้เป็นการนำมาร้องใหม่  นักร้องต้นฉบับนั้นเป็นผู้หญิงผิวดำชื่อ Barbara George  ข้อมูลจากปูมของ Joel Whitburn บอกผมว่าเธอไม่ประสบความสำเร็จในการร้องเพลง  มีเพลงเข้าอันดับฯ แค่ 3 เพลง  รวมถึงเพลง I know นี้ที่ขึ้นไปถึงอันดับ 3  อีก 2 เพลงที่เหลือป้วนเปี้ยนอยู่แถวอันดับล่าง ๆ  เธอจึงจัดเป็นนักร้องประเภท one hit wonder อีกหนึ่งคน







อยากเขียนต่ออีกนิด  ทำนองเพลงนี้คล้ายคลึงมากกับเพลง Everybody loves a lover ของ The Shirelles  (เสนอไปแล้ว) ทั้ง 2 เพลงออกสู่ตลาดในเวลาใกล้เคียงกันด้วย (1961 และ 1963) ทำไมไม่มีการฟ้องร้องก็ไม่รู้



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 101  เมื่อ 24 มิ.ย. 23, 14:36

พูดถึงการฟ้องร้องในแขนงดนตรี  ผมว่าคดีความระหว่าง George Harrison เจ้าของเพลง My sweet lord กับ เจ้าของเพลง He’s so fine ที่ขับร้องโดยคณะ The Chiffons เป็นคดีที่ดังมากที่สุด  คดียืดเยื้อไปหลายปี  จบอย่างไรผมก็จำรายละเอียดไม่ได้แล้ว  จำได้ว่ามีการปรับ GH แต่เป็นเงินจำนวนหนึ่งที่ไม่มากเท่าที่กำหนดไว้แต่ต้น (Wikiฯ บอกว่า 587,000 จาก 1.6 ล้านเหรียญ)

...เต่าทองผู้เงียบขรึม จอร์จ แฮร์ริสัน ออกซิงเกิลแรกในฐานะศิลปินเดี่ยว ‘My Sweet Lord’ (อัลบั้ม All Things Must Pass) เมื่อปี 1970 แล้วก็ฮิตติดลมบนทันที ครองแชมป์บนชาร์ตทั่วโลกได้รับความนิยมจนกลายเป็นเพลงรักอมตะถึงปัจจุบัน

แต่เพลงดันไปละม้ายคล้าย He’s So Fine ของคณะ The Chiffons ซึ่งปล่อยมาตั้งแต่ปี 1962 ซะนี่! ตามคำกล่าวอ้างของ รอนนี่ แมค นักเขียนเพลง  เป็นเหตุให้ค่ายเพลง Bright Tunes Music เจ้าของลิขสิทธิ์เพลงนี้ยื่นฟ้องจอร์จ เพื่อเรียกร้องค่าส่วนแบ่งลิขสิทธิ์จาก My Sweet Lord รวมถึงส่วนแบ่งยอดขายอัลบั้ม All Things Must Pass

คดียืดเยื้ออยู่นานหลายปี (นานถึงขนาด The Chiffons ปล่อยเพลง My Sweet Lord ในเวอร์ชั่นตัวเองออกมาระหว่างรอต่อสู้ในชั้นศาล)  สุดท้ายอดีตเต่าทองก็ถูกตัดสินว่าลอกเลียนแบบเพลง He’s So Fine จริง (โดยไม่ตั้งใจ) และต้องควักกระเป๋าจ่ายค่าเสียหายร่วม 6 แสนเหรียญฯ – อ่วมเลย...

ขอบคุณ website ของคุณ My Band

เพลง My sweet lord  ดังสนั่นออกมาจากลำโพงวิทยุเป็นประจำทุกวัน



เพลง He’s so fine


นอกจากเพลง My sweet lord แล้ว  จากประสบการณ์ของผม ผมไม่ค่อยได้ยินเพลงของเธอทางวิทยุบ่อยเท่าไรเลย








บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 102  เมื่อ 25 มิ.ย. 23, 14:40

เอ่ยถึงสมาชิกวง The Beatles ไปแล้วหนึ่ง ขออีกหนึ่ง (ที่ตายไปแล้ว) คือ John Lennon
 
ตอนผมตัดสินใจได้ว่า ข้าชอบฟังเพลงฝรั่ง มันเลยยุค Beatlemania ไปแล้ว  ขณะที่นักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคยัง ‘in’ กับวงนี้  ผมกลับเฉย ๆ  ไม่ใช่ว่าผมไม่แยแสเพลงของพวกเขา  ผมก็ฟังได้ไปเรื่อย ๆ  ไม่ได้บ้าแบบบ้า Carly Simon หรือ Helen Reddy ฯลฯ  แต่ตอนที่วงฯ ดังนั้น  มันสนั่นจนอิทธิพลเพลงของพวกเขาครอบงำกรุงเทพฯ ผมก็เลยรู้จักเพลงของพวกเขาไปหมดโดยไม่รู้ตัว
 
พอวงฯ แตก  สมาชิกแยกออกมาทำงานเดี่ยวกันหมด  รวมถึง JL  ผลงานเดี่ยวของเธอที่ผมได้ยินเป็นครั้งแรกไม่ได้มาจากลำโพงวิทยุแต่มาจากลำโพงเครื่องเล่นแผ่นเสียงของพ่อ  มันคือเพลงนี้



พอได้รู้จักชื่อแล้ว  หลังจากนั้นเพลงของเธอก็เข้ามาสู่หูผมเนือง ๆ รวมถึง Imagine และ





รวมถึง 2 เพลงที่ได้ยินบ่อยที่สุด





เพลงชุดสุดท้ายก่อนความตายมาเยือนก็ดังลั่นทั้ง 3 เพลง









บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 103  เมื่อ 26 มิ.ย. 23, 14:40

เป็นเวลาอันสมควรที่จะเอ่ยถึงวง girl group อีกยุคอันเป็นยุคโบราณคือในยุค 50s  วงแรกที่จะเอ่ยถึงคือ The Chordettes วงนี้สมาชิกดั้งเดิมพากันล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว
  
เพลงของวงนี้ที่ได้ยินอยู่ในรายการ golden oldies คือ 3 เพลงนี้







ผมว่าวงนี้การร้องประสานเสียงนุ่มนวลมาก  มีอีก 3 เพลงที่อยากให้ฟัง (แคะมาจากใน cd)





(clip ที่สวีเดน ปี 1959)
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 104  เมื่อ 27 มิ.ย. 23, 14:36

ในยุคนั้น  เพลง I go crazy ได้ชื่อว่า what was then the record for the longest run on the billboard chart  นั่นเป็นเพราะมันไต่อันดับได้เอื่อยมาก  ไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ตก  จนกระทั่งไปสุดอยู่ที่อันดับ 7 ในปี 1978  รวมเวลาอยู่ใน chart ทั้งหมดถึง 40 สัปดาห์หรือ 9 เดือนกับอีก 1 สัปดาห์  ผมไม่ได้ตามว่าสถิตินี้ปัจจุบันยังตกอยู่ที่เพลงนี้ของ Paul Davis รึเปล่า




PD ไม่ใช่นักร้องดังที่บ้านเขา  แต่ช่วงนั้นที่บ้านเราวิทยุเปิดเพลงอื่น ๆ ของเธออีกซึ่งเพราะ (กว่า I go crazy นะผมว่า) ๆ ทั้งนั้น








บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 31
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.088 วินาที กับ 19 คำสั่ง