หนัง The Disaster Artist สร้างจากเรื่องจริงที่เอาโครงเรื่องมาจากหนังสือแนวบันทึกความทรงจำชื่อ The Disaster Artist: My Life Inside The Room, the Greatest Bad Movie Ever Made เขียนโดย Greg Sestero กับเพื่อนที่ออกวางแผงในปี 2013 บรรยากาศของหนังออกแนวตลกร้าย บทของ Tommy Wiseau และ Greg Sestero เล่นโดย James Franco และ Dave Franco ทั้ง 2 เป็นพี่น้องคลานตามกันมา (แต่หน้าไม่เหมือนกันเลย ผมว่า ในหนังยังมีพี่น้องอีกคนคือ Tom Franco แต่ไม่มีบทพูด เธอร่วมเล่นเป็นตากล้องผมยาว)
การถ่ายทำหนังเรื่องนี้ทำให้นึกถึงหนังอีกเรื่องที่เคยเล่าไปนานแล้วคือ Grey’s Garden เป็นการสร้างหนังเลียนแบบหนังต้นฉบับแบบฉากต่อฉาก
ในหนังเรื่องนี้ส่วนการสร้างเลียนแบบอยู่ในช่วงถ่ายทำหนัง The room ซึ่งฉบับของจริงออกฉายในปี 2003 TW คุมบังเหียนทั้งหมดตั้งแต่อำนวยการสร้าง กำกับ เขียนบท และนำแสดง มีเพื่อนรัก GS เล่นบทรอง
ตัวอย่างหนัง The room
ฉากเปรียบเทียบระหว่างต้นฉบับ The room กับ ฉากถ่ายทำใหม่ใน The disaster artist
มีคนสงสัยกันมากว่า การสร้างหนังสักเรื่องในฮอลลีวู้ดต้องใช้ทุนหนักมาก แล้ว TW ซึ่งไม่มีประวัติโด่งดังอะไรเลยไปหาทุนมาจากไหน เจ้าตัวเล่าว่าหาเงินจากการสั่ง jacket หนังจากเกาหลีเข้ามาขายเอากำไร ส่วนคู่หู GS เล่าในหนังสือว่า เธอเห็นความร่ำรวยของ TW มาตั้งแต่เริ่มรู้จักกันแล้ว
อย่างไรก็ตามขณะที่การถ่ายทำหนังดำเนินไปเหล่าผู้เกี่ยวข้องล้วนเสียว ๆ ว่า ทุนสร้างอาจจะมาจากขบวนการผิดกฎหมาย แล้วพวกเขาก็ต้องลงเอยด้วยการเข้าไปนอนในคุกโทษฐานมีส่วนรู้ร่วมเห็น แต่เหตุการณ์ที่หวั่นไม่เคยเกิดขึ้น สรุปแล้วทุนของหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องลึกลับ แต่เป็นเงินที่สะอาด เช็คค่าแรงที่จ่ายให้ทุกคนล้วนขึ้นเป็นเงินได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย
เงินที่หมดไปกับการสร้างหนังเรื่องนี้คือ 6 ล้านเหรียญ (wikiฯ บอกว่าประมาณ 8.8 ล้านในปี 2021) ผู้เกี่ยวข้องเล่าว่าที่จริงไม่ควรถึงแต่ TW มือเติบมาก เป็นต้นว่าอุปกรณ์การถ่ายหนังที่ปกติจะใช้เช่ากัน แต่เธอออกเงินซื้อใหม่หมดทุกชิ้น และความที่เป็นคนไม่มีความรู้เรื่องการถ่ายทำหนังเลยตัดสินใจผิดตลอดเวลา ผลคือเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น
หลังจากหนังสร้างเสร็จปรากฏว่าไม่มี studio ไหนยอมเป็นตัวแทน TW เลยต้องจัดจำหน่ายเอง ด้วยการสร้าง billboard โฆษณาหนังเรียกคนดูอย่างใหญ่โตติดอยู่ข้างถนนที่มีการสัญจรพลุกพล่าน
ในวันฉายรอบโชว์ นักวิจารณ์พร้อมใจกันสับแหลกด้วยคำพูดสุดแสบเท่าที่จะคิดได้ เป็นต้นว่า ดูได้ไม่เกิน 30 นาที (หนังยาว 99 นาที) คนดูต้องลุกออกไปขอเงินค่าตั๋วคืน ฯลฯ แต่สรุปเหมือนกันว่าเป็นหนังห่วยแตกที่สุดเท่าที่มีการสร้างกันมา
ในวันฉายจริง หนังเข้าเพียง 1 โรง (ข้อมูลตามที่ปรากฏในหนัง ใน wikiฯ บอกว่า 2 โรง) ข่าวบอกว่าคนดูโห่ฮาตั้งแต่หนังฉายไปไม่ถึง 30 นาที ในวันหลัง ๆ คนซื้อตั๋วจะได้รับ soundtrack CD เป็นของแถม ส่วนทางโรงต้องปั๊มคำว่า ‘No refund’ ที่หลังตั๋ว
หนังเข้าฉายครบ 1 อาทิตย์ก็จำเป็นต้องถอดออกจากโปรแกรม แต่ TW จ่ายเงินเพิ่มกับทางโรงเพื่อยืดเวลาเป็น 2 อาทิตย์จะได้เข้ากฎของการพิจารณาคัดเลือกรางวัล Oscar
วันหนึ่งในรอบหลัง ๆ มีกลุ่มนักดูหนังที่มีอิทธิพลทางด้านชักจูงแฟน ๆ (followers) ได้ไปดูหนัง ดูไปดูมาเกิดไปจับในแง่ความตลกโปกฮา ในขณะที่ TW คนสร้างตั้งใจให้ออกมาเป็นแนว ดราม่า ที่หนักอึ้ง พวกเขาก็เลยกลับมาวิจารณ์หนังในแง่นี้อย่างสนุกสนาน ผลคือเหล่า followers ตามไปดูกันพร้อมเพรียง และเห็นด้วยว่ามันเป็นหนังที่สร้างได้ตลกมากเรื่องหนึ่ง บางคนถึงกับจ่ายเงินเข้าไปดูแล้วดูอีก 2-3 รอบ
ปฏิกิริยาของคนดูหนังดราม่าบรรยากาศหนักอึ้งเรื่อง The room ในรอบหลัง ๆ ที่มีเหล่า followers เริ่มเข้าไปดู
(อย่าพลาดช่วงที่เริ่มตั้งแต่ 12.12 และช่วงที่เริ่มตั้งแต่ 22.30)
หนังถอดออกจากโรงฉายด้วยรายได้รวม 1,900 เหรียญ แต่เส้นทางของมันไม่จบแค่นั้น
หลังจากหนังถูกถอดออกจากโรงได้ไม่นานก็ปรากฏว่ามีผู้คนจำนวนหนึ่งติดต่อไปยัง TW ขอร้องให้เอาหนังกลับมาฉายให้ชมอีก คำขอร้องมีมากมายขึ้นจนเธอต้องลงทุนควักเนื้อเอาหนังกลับมาลงโรงฉายตามคำเรียกร้อง จากนั้นหนังเรื่องนี้ก็สร้างปรากฏการณ์ที่ต้องเอามาวนฉายให้แฟนหนังทั้งหน้าเก่าและใหม่ดูเป็นประจำ จนทำให้หนังเรื่องนี้กลายเป็น ‘cult’ เรื่องหนึ่งในหมู่นักดูหนัง (หนัง cult เรื่องอื่นเช่น Hocus Pocus (Bette Midler) ฉายในช่วง Halloween) จนถึงปัจจุบันหนังทำเงินไปได้ถึง 4.9 ล้านเหรียญแล้ว (wikiฯ บอก)

จบพรุ่งนี้จ้า