เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 26
  พิมพ์  
อ่าน: 18094 ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 210  เมื่อ 14 ธ.ค. 22, 14:41

เอามาฝากแฟนนิทานกริมม์ค่ะ
หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องที่คุณโหน่งกำลังจะเอาคลิปมาลงนะคะ

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 211  เมื่อ 15 ธ.ค. 22, 12:10

เอามาฝากแฟนนิทานกริมม์ค่ะ
หวังว่าคงไม่ใช่เรื่องที่คุณโหน่งกำลังจะเอาคลิปมาลงนะคะ



ขอบคุณครับ  อุ๊บอิ๊บก่อนครับ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 212  เมื่อ 15 ธ.ค. 22, 12:19

ฝอยต่อ...

อย่างไรก็ตาม  หลังจากเวลาผ่านไปประมาณ 2-3 เดือน  ในที่สุดหนังสือก็มา  ผมละตื่นเต้นสุดขีด เปิดกล่องออกมานอกจากจะมีหนังสือในรูปแบบปกแข็ง (มันถึงแพงเพราะมีน้ำหนัก) แล้ว  จดหมายบอกว่าผมเป็นคนไทยคนแรกจากนอกอเมริกาที่เป็นสมาชิกของชมรม  ทางชมรมมอบของแถมให้คือกล่องใส่ bookplates  


ผมไม่เข้าใจในการทำงานของมัน  แต่ก็ปลื้มและไม่กล้าแกะออกใช้จนบัดนี้


ได้คำเยินยอแบบนี้  ผมก็บ้าเลือด  ผมสั่งหนังสือจากที่นี่เป็นประจำรวมได้ประมาณ 30 กว่าเล่ม  ถ้าจะนับเวลาก็ 2-3 ปี  อ่านสนุกบ้างไม่สนุกบ้าง  แต่ขั้นตอนการสั่ง+เห็นรูปหน้าปกมันตื่นเต้นดี  


เดี๋ยวนี้เหลือแค่นี้ เก็บเล่มที่ชอบสุดไว้  นอกนั้นบริจาคให้ห้องสมุด มธ. ไปหมด


ทั้งหมดที่เล่ามาจะบอกว่าเวลาเราต้องทำอะไรสักอย่างที่ต้องลงทุนลงแรง  มันเกิดความทรงจำ  อย่างการสั่งซื้อหนังสือจากต่างประเทศในสมัยก่อนนี่มีขั้นตอน  เริ่มแรกเลยต้องหาแหล่งก่อนว่าจะสั่งจากที่ไหน ถ้าหาแหล่งไม่ได้ก็จบตรงนั้น  ของผมโชคช่วยด้วยการเจอแหล่งโดยบังเอิญ  จากนั้นก็ส่งใบสมัคร  เมื่อได้ catalogue มาก็เลือกหนังสือที่ต้องการ  ฉีกแสตมป์รูปหนังสือที่ต้องการแปะลงบนกระดาษสั่ง  ออกไปซื้อ draft ที่ธนาคาร ออกไป ปณ. เพื่อส่งจดหมาย แล้วก็ต้องรอคอย  จากขั้นตอนที่ว่าจนกระทั่งได้หนังสือในที่สุด  รวมเวลาแล้วนานเกือบครึ่งปี

ต่างกับยุค อตน.  อยากได้อะไรก็เปิดมือถือ  ปัดไปปัดมา จิ้ม ๆ  โอนเงิน  จากนั้นนั่งกระดิกนิ้วตีนยังไม่ทันเป็นตะคริวสินค้าที่สั่งไปก็มาถึงแล้ว

ช่างง่ายดายอะไรเช่นนี้

กลับมาที่หนังสือต่ออีกหน่อย  ผมเลิกสั่งซื้อหนังสือจากชมรมฯ เมื่อเริ่มออกท่องเที่ยวไปในต่างแดน ครั้งแรกที่ไปอเมริกา (กลาง 80s ที่ SF) ได้เห็นร้านหนังสือของเขาแล้ว   อ้าปากค้าง  มันใหญ่มาก ๆ เกิดมาเพิ่งเคยเห็น  นั่นเป็นเพราะประชาชนบ้านเค้าชอบอ่านหนังสือ  ไม่เหมือนประชาชนบางบ้านไม่ชอบอ่านหนังสือ  ถ้าจะอ่านก็หนังสือพิมพ์กับ ‘ขายหัวเราะ’ (ปากจัดจังไอ้หมอนี่)

เห็นความใหญ่โตอลังการของร้านแล้วตะลึงลาน (ยุคนั้นต้อง Barnes & Noble)   ผมขลุกอยู่ได้ครึ่งค่อนวัน  ถ้าไม่หิวคงอยู่ได้ทั้งวัน  ผมชอบร้านหนังสือที่อเมริกาที่สุด  หนังสือมีทุกประเภททุก format  แต่ละเล่มหน้าปกสวย ๆ ทั้งปกแข็งปกอ่อน  หนังสือภาพ  ฯลฯ  ล้วนน่าจับต้องทั้งนั้น  แค่ดูหน้าปกก็เหมือนต้องมนตร์เข้าไปแล้ว  เวลาอยู่ในร้านหนังสือผมจะลืมโลกไปเลย (‘จาร คงรู้สึกแบบเดียวกับผม)
 
ตามความชอบส่วนตัว  ผมจะออกจากร้านพร้อมหนังสือแนวแฟนตาซีเสมอ

คราวหน้าเข้าเรื่องเสียที
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 213  เมื่อ 15 ธ.ค. 22, 12:50

Barnes & Noble เป็นที่ที่นั่งอยู่ได้ทั้งวัน ถ้าอยากจะนั่ง     ผู้บริหารจัดมุมหนึ่งเปิดเป็นร้าน สตาร์บั๊ค ดึงดูดลูกค้าอีกแรงหนึ่งค่ะ   
น่าเสียดายว่า คลื่นลูกใหญ่ที่มากับโทรศัพท์มือถือ และไอแพด  ซัดโลกหนังสือคว่ำไปแล้วไม่เฉพาะแต่ในไทย   B&N ก็เซถลาไปเหมือนกัน      สาขาที่ดิฉันเคยไปดูเหมือนจะปิดไปแล้ว    แต่นั่นเป็นเมืองเล็กๆในโคโลราโด   ในเมืองใหญ่ๆอาจยังมีอยู่
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 214  เมื่อ 16 ธ.ค. 22, 12:04

Barnes & Noble เป็นที่ที่นั่งอยู่ได้ทั้งวัน ถ้าอยากจะนั่ง     ผู้บริหารจัดมุมหนึ่งเปิดเป็นร้าน สตาร์บั๊ค ดึงดูดลูกค้าอีกแรงหนึ่งค่ะ   
น่าเสียดายว่า คลื่นลูกใหญ่ที่มากับโทรศัพท์มือถือ และไอแพด  ซัดโลกหนังสือคว่ำไปแล้วไม่เฉพาะแต่ในไทย   B&N ก็เซถลาไปเหมือนกัน      สาขาที่ดิฉันเคยไปดูเหมือนจะปิดไปแล้ว    แต่นั่นเป็นเมืองเล็กๆในโคโลราโด   ในเมืองใหญ่ๆอาจยังมีอยู่

ร่วมเสียดายด้วยครับ  ยังคิดอยากไปอีก  อยากกวาดซื้อหนังสือภาพ (illustrated books)  หนังสือพวกนี้สั่งทาง online ไม่ได้  เพราะเราพลิกพิจารณาก่อนตัดสินใจซื้อไม่ได้
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 215  เมื่อ 16 ธ.ค. 22, 12:20

เข้าเรื่องแล้น...

ผมชอบนางฟ้า  ชอบเจ้าหญิงเจ้าชาย  ชอบแม่มดพ่อมด  ชอบเวทย์มนตร์ ชอบสัตว์ประหลาดต่าง ๆ  คนแคระ  ม้ายูนิคอร์น... ทุกชนิด  แต่สุดยอดของผมคือ มังกร

ตอนเด็ก ๆ ผมมีเพื่อนเป็นมังกร  ไม่ใช่มังกรยักษ์พ่นไฟกินคน  แบบนั้นเด็กที่ไหนจะเอาเป็นเพื่อน  มังกรผมตัวเล็กพอ ๆ กับผมแล้วก็พูดได้  เธอมักจะมาหาผมเวลาอยู่คนเดียว  หรือเวลาโดนแม่ตีเสร็จแล้ว  มังกรจะมานั่งข้าง ๆ เงียบ ๆ แล้วพ่นควันเป็นวง ๆ ออกทาง 2 รูจมูกให้ผมดูแก้เซ็ง  วันหนึ่งก็หายไป  หาไม่เจอ  คิดถึงจัง

มังกรอยู่ในใจผมมาตลอด  เวลาโตขึ้นแล้วมีหนังเกี่ยวกับมังกรมาฉาย  ผมจะขวนขวายออกไปดูหรือหามาดู  ตอนเด็ก ๆ หนังเกี่ยวกับมังกรมีไม่มาก  ถ้าจะออกความเห็นผมว่าเทคนิคในการสร้างยังไม่ก้าวหน้าพอที่จะสร้างมังกรให้ดูสมจริงได้

ในปี 1981 ผมได้ดูหนังเกี่ยวกับมังกรที่โรงฮอลลีวู้ดชื่อ Dragonslayer   เป็นหนังสนุกมากทีเดียว  เทคนิคในการสร้างมังกรเยี่ยมยอด (ในสายตาผมตอนนั้น)  มันเป็นหนังเอาจริงเอาจังเกี่ยวกับพ่อมดหนุ่มอ่อนหัดที่จับพลัดจบผลูต้องไปต่อกรกับมังกรร้าย

ฉากที่พ่อมดหนุ่มเผชิญหน้ามังกรในถ้ำนี่ผมนั่งไม่ติดเก้าอี้เลย  มันตื่นเต้น

(จำได้ว่าโล่ห์ประเภทเดียวที่สามารถทนไฟของมังกรได้ก็คือเกล็ดของมันนั่นเอง)


อวสานของมังกรร้าย



ตัวอย่างหนัง

(หมายเหตุ – เทคนิคการสร้างมังกรโดย บ. ILM ที่ก่อตั้งโดย George Lucas ครั้งที่เธอสร้างหนังชุด Star Wars  นี่เป็นงานรับจ้างจากภายนอกเรื่องแรกของบริษัทฯ  ผลงานนี้ได้เข้าชิง Oscar)









(ตาทำด้วยเม็ดพลาสติกใส  หนังสือประเภทนี้แหละที่ไม่สามารถสั่งทาง online ได้  กลัวได้มาแล้วไม่ถูกใจ)
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 216  เมื่อ 19 ธ.ค. 22, 12:06

ยังไม่จบเรื่องมังกร

ในปี 1996 ผมก็ได้ดูหนังเกี่ยวกับมังกรอีกเรื่อง Dragonheart   หนังเล่าความสัมพันธ์ระหว่างมังกรตัวสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่กับอัศวินที่วันหนึ่งก็มาเป็นนักล่ามังกร  ทั้ง 2 ต่อสู้กันอย่างเต็มที่แต่ไม่มีใครโค่นอีกฝ่ายลง  ลงท้ายก็มาตกลงกันว่าจะร่วมมือกันต้มตุ๋นชาวบ้าน  โดยให้มังกรไปก่ออาละวาดกินปศุสัตว์ของชาวบ้านแล้วอัศวินนั่นก็อาสามาปราบปรามโดยคิดค่าจ้าง  เป็นความสัมพันธ์แบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า

Plot ของเรื่องมีเพิ่มเติมตรงที่ว่า  ในกาลครั้งหนึ่งมังกรเคยไปช่วยชีวิตเจ้าชายหนุ่มไว้ด้วยการแบ่งหัวใจให้ครึ่งหนึ่งเพื่อเยียวยา  ทีนี้เจ้าชายเวรนั่นดันโตขึ้นมาแบบสุดชั่ว  ผู้คนก็เกรงกลัวว่าถ้าขึ้นเป็นพระราชาบ้านเมืองต้องวิบัติ  ก็เลยหาทางกำจัดเจ้าชายโดยที่ไม่มีใครรู้ว่า  จะกำจัดเจ้าชายได้ต้องฆ่ามังกรด้วย

ในตอนใกล้จบความลับนี้จึงค่อยเปิดเผยออกมา  กว่าจะถึงตอนนั้นผู้คนก็หลงรักมังกรและรู้ว่าเป็นมังกรที่ดี  ความเศร้าก็เลยแผ่มาถึงคนดูด้วยเมื่อเห็นฉากมังกรสละชีวิตให้สังหาร ‘เพื่อส่วนรวม’

หมายเหตุ – เรื่องราวในหนังไม่ได้เรียงลำดับตามที่ผมฝอย  ผมเล่าจากความทรงจำที่กระท่อนกระแท่น




สงบศึกด้วยข้อเสนอแบบ น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า



ตัวอย่างฉากต้มตุ๋น



บางครั้งก็พลิกล็อค

(0.18 – เฮ่ย... จม (sink ไม่ใช่ think  ตามที่ youtube แปล) ลงไป จมลงไปในน้ำซีวะมึง ... จมไม่ได้อ้ะ  น้ำแม่งตื้น...)

2 คำนี้คือ sink/think ทำให้นึกถึงโฆษณาสถาบันสอนภาษาอังกฤษที่ลงใน youtube เมื่อเกิน 10 ปีมาแล้ว  คงเคยผ่านตากันมาบ้าง  ดูทีไรก็ตลก  


 
เพิ่มรายละเอียดส่วนที่อัศวินคนที่ว่าเคยเป็นครูฝึกเจ้าชาย (ชั่ว)  แต่เธอไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าชายกับมังกรเพราะมังกรไม่เคยเล่าให้ฟัง  ตัวเจ้าชายเองก็ไม่รู้เพราะเรื่องเกิดตอนเป็นเด็ก (ถ้าจำไม่ผิด)  ฉากนี้เป็นฉากศิษย์ล้างครู  แต่มังกรเข้ามาขัดจังหวะพร้อมเผยความลับให้เจ้าชายเห็น... ผมว่าฉากนี้ถ่ายทำได้สมจริงคือ  ความที่มังกรตัวใหญ่มาก  กล้องจึงไม่สามารถจับภาพได้หมด



ฉาก climax ของเรื่อง  ตื่นเต้น (และเศร้า) ไม่หยอก  แต่จบแบบเทพนิยายเมื่อวิญญาณของมังกรลอยถึงไปสมทบกับวิญญาณของเพื่อนมังกรอื่น ๆ





ตัวอย่างหนัง



สรุปว่า เป็นหนังมังกรที่ผมชอบที่สุดเพราะเทคนิคทำได้ดี๊ดี  แล้วมังกรก็พูดได้แบบเดียวกับมังกรเพื่อนผม (ในเรื่องให้เสียงโดย Sean Connery ความจริงไม่ต้องบอกก็เดาออก  เสียงปู่แกไม่เหมือนใคร)

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 217  เมื่อ 20 ธ.ค. 22, 09:05

ชอบ Dragonheart มาก เป็นหนังผู้ใหญ่ดูได้ เด็กดูดี      หนังเรื่องนี้ได้ดาราดังอย่าง Dennis Quaid มาเล่นกับมังกร  แต่ในความรู้สึกของดิฉัน  มังกรเล่นดีกว่า อาจได้แรงหนุนจากเสียงของคุณปู่ฌอนทำให้ได้เปรียบ
ดูเดนนิสมาหลายเรื่อง ไม่ติดใจสักเรื่อง ไม่รู้ทำไม    เรื่องที่รับได้มีเรื่องเดียวคือ Parent Trap (1998)    เป็นเพราะได้หนูน้อย Lindsay Lohan  มาทำให้ทุกอย่างน่ารักน่าชมไปหมด
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 218  เมื่อ 22 ธ.ค. 22, 12:08

The Thomas Crown Affair (1968) เล่าเกี่ยวกับมหาเศรษฐีรสนิยมสูง TC ที่วางแผนปล้นเงินธนาคาร  นี่คือฝ่ายหนึ่ง  อีกฝ่ายคือสาว insurance investigator ที่อุดมไปด้วยไหวพริบ  ทั้ง 2 เล่นเอาเถิดเจ้าล่อกัน  ตามตัวอย่างหนัง



จุดประสงค์ของการดูหนังเรื่องนี้เป็นอันดับรอง  จึงไม่มีฉากที่ติดใจมาเล่าให้ฟัง

ส่วนจุดประสงค์แรกที่ดูคืออยากฟังเพลง (ได้ Oscar ด้วย) ชื่อ The windmills of your mind ต้นฉบับที่ร้องโดย Noel Harrison (ไม่รู้จักมาก่อน ข้อมูลบอกว่าเป็นลูกของดารา Oscar ชื่อ Rex Harrison)  ว่าอยู่ในฉากไหนของเรื่อง

ฟังแล้วนับว่าเพราะไม่หยอกเชียวแหละ


ผมรู้จักเพลงนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ  จำได้ว่าเป็นเสียงร้องของ Jose Feliciano นักร้องตาบอดจากประเทศ Puerto Rico



ต่อมาก็ได้ฟังอีกหลายฉบับจากนักร้องอีกหลายคน  และสรุปเป็นการส่วนตัวว่าชอบฉบับของ Dusty Springfield มากที่สุด  เธอร้องช่วงต้นแบบเนิบ ๆ  แต่ตอนท้ายดนตรีกระหึ่มมาก  ฟังจากเครื่องเสียงดี ๆ แล้วสะใจ



พูดถึงเพลงเอกในหนัง  ยังมีเพลงจากหนังอีกที่ผมเคยได้ยินแต่ฉบับที่เป็น single ซึ่งจะออกกระจายเสียงทางวิทยุ แต่ไม่เคยได้ยิน/เห็นบนจอหนังเช่น

High hopes ของ Frank Sinatra จากหนังเรื่อง A hole in the head (1959)



Come Saturday morning ของ The Sandpipers จากหนังเรื่อง The sterile cuckoo (1969)

(ฉบับทำออกขายเป็น single เพราะกว่ามากนะผมว่า)


For all we know ของ The Carpenters จากหนังเรื่อง Lovers and other strangers ปี 1970

(เพราะไม่หยอก)


เอาแค่นี้นะ


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 219  เมื่อ 26 ธ.ค. 22, 12:27

ผมรู้จักหนัง Swing Kids (1993) เพราะนักแสดงในหนังคนหนึ่งชื่อ Robert Sean Leonard เคยเล่นหนังดังไปครึ่งค่อนโลกเรื่อง Dead Poet Society (1989) หนังเรื่องนี้มาฉายที่โรงแมคเคนนา  เนื้อเรื่องประทับใจผมมาก (ในตอนนั้น) ผมดูตั้ง 3 รอบ  (... O Captain, my Captain!...)  ต่อมาเคยดูอีกที่ I/UBC ปรากฏว่ากลับกลายเป็นรู้สึกงั้น ๆ  ก็เลยเลิกติดใจ

อย่างไรก็ตาม หนังที่ว่าส่งชื่อ RSL ออกสู่สาธารณชน ข่าวคราวของเธอมีออกมาให้เสพย์เนือง ๆ (สำหรับผมก็ทาง นส. Starpics)  ข่าวหนัง Swing Kids ก็เป็นหนึ่งในนั้น  หนังเรื่องนี้ไม่ได้มาฉายในเมืองไทย  ทาง I/UBC ก็ไม่มีมา (จากประสบการณ์)  แล้วผมก็ลืมมันไปเรียบร้อยจนกระทั่งไม่กี่วันที่ผ่านมา (นับจากวันที่ลงมือเขียน)  website หนังที่ผมเป็นสมาชิกอยู่  เอาหนังเรื่องนี้มาปล่อย  

หนังแต่งขึ้นโดยอาศัยเรื่องจริงที่เกิดที่เมือง Hamburg ประเทศ Germany ในช่วงปีที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังจะระเบิดมิระเบิดแหล่  หนังเล่าเกี่ยวกับเด็กเยอรมัน 4 คนในวัย ม. ปลายที่ลุ่มหลงกับวัฒธรรมด้านบันเทิงจากฝั่งอเมริกาและอังกฤษ โดยเฉพาะดนตรีแนว Swing ที่กำลังเป็นที่นิยมสุดขีดในอเมริกา  วัฒนธรรมที่ว่าเป็นของต้องห้ามในบ้านเกิด  เด็ก 4 คนนี้จึงเป็นตัวอย่างที่หนังยกขึ้นมาให้เห็นว่าการพยายามปรับชีวิตของตนให้สามารถเหยียบเรือได้ 2 แคมสามารถส่งผลอะไรบ้าง

เริ่มต้นเรื่องด้วยการอธิบายเพื่อให้คนดูความเข้าใจเรื่องราวของหนัง


No one who likes swing can be a Nazi คือคติของเหล่า Swing kids



หมายเหตุ - ดนตรี Swing เป็นที่นิยมในวงกว้างในช่วงกลาง 1930s  เกิดขึ้นทีหลังดนตรี Ragtime (เคยพาดพิงไปแล้ว)  แนวดนตรีออกไปทาง Jazz  วงที่เล่นเพลงพวกนี้เรียกว่า Big Band เพราะมีสมาชิกมากมาย  มี Bandleader เป็นผู้ควบคุมวง  Big Band ที่ดังมาก ๆ นักฟังเพลงไทยบางคนคงเคยได้ยินชื่อ เช่น Duke Ellington, Benny Goodman, Count Basie, Jimmy Dorsey, Tommy Dorsey, Glenn Miller, Artie Shaw and Django Reinhardt


นี่คือ Swing kids เพื่อน 4 คน

(คนซ้ายคือ Christian Bale ในบท Thomas  ตอนนั้นเธอยังละอ่อนอยู่เลย  ต่อไปที่ใส่แว่นคือ Arvid (Frank Whaley คนนี้นักดูหนังชาวไทยรวมถึงผมไม่คุ้นเคย  เหตุเพราะเธอวนเวียนอยู่กับบทประกอบเป็นประจำ) ส่วน RSL ในบท Peter นั่งหน้าสุด  ขวาสุดคือ Otto ไม่มีบทบาทอะไรนัก  เสียดาย  เธอหล่อระเบิด)



บรรยากาศร้านขายแผ่นเสียงในยุคนั้น มีห้องให้ลองฟัง  ผมชอบจังเลย  สมัยผมถ้าจะซื้อแผ่นฯ ต้องจ่ายตังค์เลย  ห้ามลองฟัง  เพราะแผ่นฯ จะห่อหุ้มด้วยพลาสติกใสมาจากต้นทางซึ่งเป็นความจำเป็นเพราะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมา  ไม่งั้นมาถึงก็จะพบว่าเหลือแต่ซอง  ตัวแผ่นฯ ไม่รู้ไปร่อนอยู่ที่ไหน  ฉะนั้นถ้าแผ่นฯ ไหนพลาสติกที่หุ้มอยู่มีรอยกรีด  ลูกค้าจะเข้าใจว่าแผ่นฯ นี้เป็นของใช้แล้วและจะไม่ซื้อ  ก็เลยขายไม่ออก  อย่างไรก็ตาม การมีพลาสติกหุ้มก็ไม่ดีอยู่อย่างคือ  บางครั้งกลับมาเปิดที่บ้าน  พอวางแผ่นลงบนแป้น  ก็พบว่าแผ่นงอเป็นข้าวเกรียบว่าวก็มีบ่อย  จะเอาไปเปลี่ยนก็ไม่ได้เพราะออกจากห้าง/ร้านไปแล้ว
  
การซื้อแผ่นเสียงนี่ให้ความรู้สึกคล้ายซื้อหวย  กล่าวคือ ไม่รู้ว่าจะมีกี่เพลงที่เพราะหู  มีบ่อย ๆ ที่ผมซื้อกลับมาฟังที่บ้านแล้วปรากฏว่า  ชอบอยู่เพียงบางเพลง  ซึ่งถ้ามีการให้ลองฟังแบบสมัยก่อน  ผมไม่มีทางซื้อแผ่นฯ นี้เด็ดขาด  ขาดทุนตายชัก

ท้าย clip เป็นการโชว์การเต้นรำไปกับแนวเพลง Swing เรียกว่า Jitterbug  เหวี่ยงให้เต็มที่

(นี่คือ Jerry Lewis ศิลปินชื่อดังของอเมริกา  เต้นได้สวยจังเลย  อยากเต้นเป็นบ้าง)



นี่คือ คลับที่สิงสู่ของเหล่า Swing kids  ข้างหน้าคลับจะมีคนเฝ้า  ถ้ามี gestapo หรือ H.J. โผล่เข้ามา (1.33)  คนพวกนี้จะรีบเข้ามาส่งสัญญาณแล้วแนวดนตรีจะเปลี่ยนไปเป็นแนวปกติสามัญคือ polka  Arvid คือสมาชิกกลุ่มที่ลุ่มหลงกับเพลง Swing มากที่สุด  ความรู้และความสามารถทางดนตรีของเธอกว้างขวางและเด่นชัด



Arvid เป็นเด็กพิการที่เท้า เธอโดนเพื่อนที่กลายเป็น H.J. รังแก  แต่คนที่ทำเธอแทบพิการหนักลงไปอีกคือ Emil ซึ่งอดีตก็เป็น swing kid เหมือนกันแต่แปรพักตร์



อาการบาดเจ็บของ Arvid ทำให้เพื่อนเจ็บแค้นมาก  และลงมือแก้แค้นแทนเมื่อโอกาสมากถึง  แต่เธอเก่งบนเวทีเต้นรำไม่ใช่เวทีมวย


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 220  เมื่อ 27 ธ.ค. 22, 12:24

Swing Kids ต่อ...

เด็ก Swing kids 4 คนนี้เกลียดพวก Nazi และ H.J. มาก  ถ้ามีโอกาสจะไม่รีรอที่จะกลั่นแกล้ง  แต่แล้ววันหนึ่ง 1 ในนั้นก็ถูกจับได้ (Peter)  แม่ของเธอใช้เส้นที่เป็น gestapo ช่วยประกันตัวออกมาจากการรับโทษที่จะถูกส่งเข้าค่ายกักกันเยาวชน  สิ่งที่เธอต้องแลกกับอิสรภาพคือการสมัครเข้าเป็นสมาชิก H.J. ที่ตัวเองเกลียดเข้าไส้  ด้วยความรักเพื่อน  Thomas ก็สมัครด้วยจะได้เป็นเพื่อนกัน  จากนั้น 2 คนนี้ก็เป็น H.J. by day, swing kids by night





Swing ให้มัน  ผมมั่นใจว่าถ้าผมเกิดในยุคเพลง Swing  ผมต้องเวียนว่ายอยู่บนฟลอร์อย่างแน่นอน

เพลงนี้ชื่อ Sing, Sing, Sing โด่งดังไปครึ่งค่อนโลกโดยฝีมือของ Benny Goodman Orchestra  มันเป็น 1 ในเพลงหัวหอกของเพลง Swing  ทั้งหลายที่ทำให้นักฟังเพลงที่ไม่ใช่แนวนี้ (เช่นผม) ต้องเคยได้ยิน (อีกเพลงอยู่ที่ ‘หมายเหตุ’)



ฉากล้างสมอง

(0.23)
That is the Jews’ trick.
The Jew wants you to look at him as just another person.
But he does not look at you that way.
He is your enemy.
Do you know why?
Because you are superior to him.
You are special.
You belong to something special.
He is your brother.
All of you are brothers.
The same blood runs through your veins...
the blood of the greatest race on the face of this earth.



เมื่อ Arvid อาละวาดเพราะพวก Nazi เข้ามาก้าวก่ายในโลกของเธอ  แต่สิ่งที่ทำให้เธอประหลาดและเสียใจมากคือการกระทำของเพื่อนรัก Thomas



ช่วงหลังจาก 2.41 ใน clip  เป็นช่วงที่ขาดหายไป  ใน clip นี้หลังจาก Thomas พูดว่า 'We're coming after you next' Arvid ก็สวมหมวกแล้วเดินจากไป

แต่ในหนัง  หลังจาก Thomas พูดจบ Arvid ยังต่อปากต่อคำต่อว่า
- Quiz time... "Got your glasses on."
Thomas: What?
- Means you don't know who your friends are.

ทำไมต้องมีการตัดออกก็ไม่รู้

หลังจากฉากใน clip นี้ 2 คู่หูก็ทะเลาะกันเมื่อ Peter เห็นแจ้งว่า Thomas โดนล้างสมองไปแล้ว

Thomas (หลังจากมอง Arvid เดินจากไป): I can't believe I used to feel sorry for that traitor.
Peter: You're a real bastard. What the hell's gotten into you?
Thomas: What's gotten into me?
Peter: You don't really believe all that propaganda (โฆษณาชวนเชื่อ... จาก Nazi), do you?
Thomas: Peter, Arvid's the one who's got his head full of propaganda. Did you hear him? He was actually defending the Jews.
Peter: But... but Benny (… Goodman - เจ้าของวง Big Band ที่พวกเขาคลั่งไคล้) is Jewish.
Thomas: Yeah. And see what that music's done to Arvid? It's perverted his brain.
Peter: Well, he (Arvid) is right! Listen to yourself! You're turning into a fucking Nazi!
Thomas: Oh, so what if I am?

Arvid หัวใจแตกสลายเมื่อความสัมพันธ์ของเพื่อนสนิทที่เคยยึดมั่นในอุดมการณ์เดียวกันต้องมาแตกเป็นเสี่ยง ๆ เพียงเพราะโฆษณาชวนเชื่อ  เธอจึงฆ่าตัวตายในที่สุด


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 221  เมื่อ 28 ธ.ค. 22, 15:09

Swing Kids ตอนจบ

อุดมการณ์ที่ต่างกันทำลายความสัมพันธ์ที่เคยแน่นแฟ้นกลมเกลียว   ฉากนี้เกิดขึ้นหลังจาก Thomas รายงานเรื่องพ่อตัวเองกับ Nazi  ทำให้โดนจับตัวไป
   


ฉากจบเมื่อ Peter ตัดสินใจว่าจะไปทางทิศไหน



(0.05) คือ gestapo ที่แม่ของ Peter เคยขอให้ช่วยในครั้งที่ไปก่อเรื่องไว้  นักแสดงคือ Kenneth Branagh   ผมว่าหนังมาเสียตอนท้ายเรื่อง  มัน ‘ดราม่า’ เกินไป  นึกถึงหนังโบราณเรื่อง Shane

เพลงใน clip แรกชื่อ Bei Mir Bistu Shein เป็นเพลงของชาวยิวที่โด่งดังมาตั้งแต่ 1932 จนถึงปัจจุบัน  แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า To me you're beautiful/grand  ศิลปินที่นำเพลงนี้ออกสู่โลกกว้างคือวงประสานเสียงที่ดังที่สุดในยุค 30s Andrew Sisters เพลงขึ้นอันดับ 1 ในปี 1938

(เพลงอยู่ในช่วงแรก   clip นี้ถ่ายเมื่อ 1955)


บทสรุปท้ายเรื่อง



ตัวอย่างหนัง



หมายเหตุ –
1 เพลง swing อีกเพลงที่ดังออกมานอกวงการ swing คือ In the mood (1939) ของ Glenn Miller Orchestra



2 วง Andrew Sisters นี่ผมรู้จักชื่อมาตั้งแต่เด็ก ๆ  พ่อเล่าให้ฟังน่ะ  พ่อบอกว่าในช่วงวัยรุ่น  คนไทยนักฟังเพลงฝรั่งจะได้ยินเพลงดังของวงชื่อ Rum and Coca Cola  ผมได้ยินชื่อแล้วอยากฟังจัง  แต่ตอนนั้นไม่รู้จะหาฟังได้จากที่ไหน  จนกระทั่งแผ่นซีดีถือกำเนิดถึงได้มีโอกาสซื้อมาฟังเพลงนี้  ตอนนั้นถ้ารู้ว่าต่อมา อตน. จะเป็นปัจจัยที่ 5 ของชีวิต  ผมคงไม่เสียตังค์ซื้อหรอก  ฟังจาก youtube เอาก็ได้  อย่างไรก็ตาม วงนี้ไม่ใช่วงโปรดของพ่อ  วงโปรดของพ่อคือ The Platters


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 222  เมื่อ 29 ธ.ค. 22, 12:17

คุยกับ 'จาร เรื่อง Rosemary Clooney ร้องเพลง Mambo Italiano  แล้วทำให้นึกได้มีหนังเรื่องหนึ่งที่ได้ดู  มีชื่อเรื่องเหมือนเพลง  และเคยเขียนถึง

Mambo Italiano (2003) เป็นอีกหนึ่งหนังเกย์ที่สร้างจาก Canada  หนังเล่าเรื่องครอบครัวชาว Italian ใน Canada  มีลูกสาวกับลูกชาย  Angelo ลูกชายเป็นเกย์ที่เปิดเผยเฉพาะกับโลกภายนอก  แต่สมาชิกในครอบครัวไม่รู้เพราะถ้ารู้คงเกิดภาพที่เห็นในตัวอย่างหนัง

พออึดอัดนักเธอก็ย้ายออกไปอยู่ตามลำพัง  แล้ววันหนึ่งก็พบกับ Nino เพื่อนสนิทสมัยนักเรียนที่แยกย้ายกันไป  ตอนนี้เป็นตำรวจหนุ่มหล่อ  ทั้งคู่สานความสัมพันธ์กันต่อจากสมัยเด็กที่ต่างยังไร้เดียงสากันอยู่  ตอนนี้เป็นผู้ใหญ่กันแล้วถึงพบว่าที่เป็นเพื่อนรักกันในสมัยเด็กนั้น  ความจริงมันไม่ใช่รักแบบเพื่อนแต่เป็นรักแบบแฟน

หนังเข้าเรื่องเมื่อหนุ่ม A เกิดอยากและดำเนินการประกาศก้องให้พ่อแม่ของตนรู้บุคลิกที่แท้จริงของตัวเอง  แต่เพื่อความแน่ใจเธอจึงโทร. ไปปรึกษา ‘Gay Help Line’  
   
อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ที่ได้ไม่ใช่แค่ทำให้ครอบครัวตัวเองโกลาหลเท่านั้นแต่ทำให้ N แฟนหนุ่มที่ไม่เคยคิดจะประกาศตัวเองฉุนเฉียวถึงกับประกาศความแตกหัก  เมื่อกระแสที่หนุ่ม A ก่อขึ้นนั้นกระทบไปถึงหูแม่ของเขาและทำท่าจะลุกลามไปถึงวงการอาชีพตำรวจที่เขาทำงานอยู่  หนุ่ม A จะแก้ไขความผิดพลาดนี้ได้อย่างไร

ตอน ‘โหลด’ มาดูก็ไม่ได้หวังอะไรมาก  ผมไม่เข้าใจว่า หนังเกย์ก็เหมือนหนังปกติ  เพียงแต่ ‘พระเอกนางเอก’ เป็นผู้ชายทั้งคู่หรือหญิงทั้งคู่  ก็น่าจะสามารถสร้าง plot เรื่องให้หลากหลายเหมือน plot เรื่องหนังปกติทั่วไปได้  แต่เปล่า  Plot หนังแนวนี้ (สำหรับ ชายกับชาย) ส่วนใหญ่ก็วนเวียนอยู่กับ ‘coming of age’ บ้าง วิธีเปิดเผยตัวตนกับสังคมบ้าง  โรค aids บ้าง  ค้นหาตัวตนบ้าง  หรือเกี่ยวกับเรื่อง homophobia บ้าง  อ้อ... เขียนถึงตรงนี้ทำให้นึกได้ว่าเคยดูหนังเกย์เป็นหนังชุดทางทีวี  plot เรื่องเกี่ยวกับฆาตกรรมอำพรางซึ่งสนุกไม่แพ้หนัง ‘ปกติ’ เลย  แถมได้ตั้ง 4 ดาว  แต่ไม่มีผู้สร้างอื่นต่อยอดเลย

สำหรับหนังเรื่องนี้ปรากฏว่าสนุกสนานมาก ๆ ๆ  มีฉากตลกขำขันประปราย  ส่วนใหญ่ล้อเลียนสังคมชาว Italian ที่เอะอะโผงผาง  



บุคลิกแบบนี้ถ้าเกิดขึ้นในสังคมไทยแสดงว่าเดี๋ยวอาจต้องมีการปะทะอาจตามด้วยการใช้กำลัง  แต่ในสังคม Italian ถือเป็นเรื่องปกติ  กะอีแค่ลูกชายตัดสินใจเลือกอาชีพเขียนบทหนังแทนอาชีพนักกฏหมายที่พ่อแม่อยากให้เป็น



หรือจะย้ายออกไปอยู่ตามลำพังพ่อแม่ก็ฟูมฟายเหมือนโลกจะแตก  



หรือตอนลูกชายประกาศว่าตัวเองเป็นเกย์พ่อแม่ก็โวยวายเหมือนโลกจะถล่ม



เสียดายตรงที่ความเป็นหนังนอกกระแสจึงหาคนย่อย clip มาลง youtube ได้น้อยมาก  ที่มีมาลงก็ไม่โดนใจเลย (คือฉากตลก ๆ ไม่มีเลย) การหา clip มาสนับสนุนการเล่าเรื่องไม่ได้ เป็นเหตุผลใหญ่ที่ทำให้การเล่าเรื่องหนังมีความสนุกน้อยลง... และน่าเบื่อ

Clip เล่าเรื่องครอบครัวของหนุ่ม A ที่ตั้งใจจะอพยพมาอยู่ America  แต่เกิดเข้าใจผิดเลยไปลงเอยที่ Canada

(หมายเหตุ – ผมไม่เข้าใจมุขนี้เลยแม้แต่น้อย  ใครดูแล้วเข้าใจมุขว่ามันน่าขำอย่างไร  ช่วยแจงด้วย)


Clip ที่หนุ่ม A ตัดสินใจบอกพ่อแม่ว่าตัวเองเป็นเกย์  หญิงสาวคือพี่สาวของหนุ่ม A มีบุคลิกโผงผาง  สมัยเด็ก ๆ เธอชอบดูดไอติมแท่ง  น้องชายล้อว่า ‘ice sucker (เชื่อมมาจาก icicle + sucker)’  พอโตขึ้นเธอชอบ ‘performing oral sex’  ซึ่งหนุ่ม A  เหน็บว่า ‘finally what she has liked to do since being young has paid off’

Youtube แปลเอาไว้เพี้ยน  ขอแก้ไขเฉพาะที่จำเป็น...
0.45 My son just amusing almost Australia = My son told me he's omosessuale (= homosexual in Italian)
1.04 Aki = Hockey


Clip นี้พ่อแม่ของหนุ่ม A ตัดสินใจเผยความลัพธ์ของลูกชายตัวเองให้กับแม่หนุ่ม N  ซึ่งก็ไม่รู้ว่าลูกชายของตัวเองเป็นเกย์และเป็นแฟนกัน  ความตลกอยู่ที่ควรจะตกใจที่เพิ่งมารู้ความลับของลูกชายตนว่าต่างเป็นเกย์  กลับไปสนใจว่าใครเป็นฝ่าย ‘bang = ขี่’ ใคร



Clip นี้เกิดขึ้นหลังจากหนุ่ม N รู้สึกเหมือนโดนหักหลังจากการที่หนุ่ม A เปิดเผยตนแล้วมีผลกระทบ  เธอก็เลยแยกตัว  หนุ่ม A ก็เลยไปสมัครเป็นอาสาสมัครของ GHL แก้กลุ้ม  หนุ่ม A ไม่มีนิสัยแต๋ว  พอมาเจอผู้ขอความช่วยเหลือที่เป็นแต๋วแหววก็เลยอดขำกับปัญหาของเขาไม่ได้  หนุ่มอีกคน (0.30) คือ จนท. ของ GHL ที่กำลังทำหน้าที่คุมงานหนุ่ม A  ทั้ง 2 รู้จักกันมาตั้งแต่ต้นเรื่อง (ผ่านทางการพูดคุยทางมือถือ  เคยเอ่ยถึงไปแล้ว) ซึ่งหลังจากได้สัมผัสบุคลิกน่ารัก ๆ ของหนุ่ม A แล้วก็แอบหลงรัก



Clip นี้เขียนกำกับไว้ว่า 8/9  แสดงว่าต้องมีทั้งหมด 9 ตัว  แต่ปรากฏว่ามีแค่ 4 คือ เริ่มตั้งแต่ตัวที่ 6 เป็นต้นไป  แปลกดี (อ้อ... คนย่อย clip ทำบทพูดกับการขยับปากไม่พร้อมกัน เสียอรรถรสความตลกไปเยอะ  แต่ก็ยังดี  ตั้งใจดูหน่อยครับ)



2 clips นี้ต่อกัน  คนเขียนบทให้พ่อแม่ของทั้งสองหนุ่ม (หนุ่ม N มีแค่แม่) มีบุคลิกตลกน่ารัก  โผล่ออกมาทีไรขำกลิ้ง โดยเฉพาะช่วง 1.20 และตอน 6.46 ของ clip แรก ฉากนี้เกิดขึ้นหลังจากฉากอลเวงของ 2 ครอบครัว  อันทำให้หนุ่ม A ฉุนเฉียวถึงกับอาละวาดกับพ่อแม่  เธอสำนึกผิดก็เลยหาโอกาสมาขอโทษที่นี่เพราะรู้ว่าพ่อแม่มาโบสถ์เป็นประจำ  ฉากนี้ก็สุดแสนจี้  ส่วนตอนกลางของ clip ที่ 2 เป็นตอนสุดท้ายของเรื่อง  ผู้สร้างหลอกให้คนดูหลงคิดว่าหนุ่ม A จะรุดไปขวางพิธีแต่งงานของหนุ่ม N  แฟนใหม่ของหนุ่ม A ไม่ใช่คนหน้าใหม่  ผมเคยบอกว่าเป็นใครมาก่อนหน้านี้แล้ว


ดูจบด้วยความอิ่มใจ  เป็นหนังเล็ก ๆ ที่สนุกเกินคาด  แล้วตอนจบก็ไม่น้ำเน่า  ข่าวบอกว่าหนังทำรายได้มากถึง 80% ของต้นทุนตั้งแต่ยังไม่ออกฉายเพราะการตลาดรวมถึงตัวหนังเอง


ตัวอย่างหนัง



เจอกันปีหน้าครับ

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 223  เมื่อ 01 ม.ค. 23, 17:01

ขอนำหนังเรื่องนี้มาเสนอ  เนื่องในคริสต์มาสที่ผ่านมาไม่กี่วันนี้เอง

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 224  เมื่อ 02 ม.ค. 23, 11:49

ผมเคยได้ยินชื่อนักแสดงหญิงชาวฝรั่งเศสชื่อ Simone Signoret มาตั้งแต่ยังละอ่อน  จะจากใครถ้าไม่ใช่กูรู Starpics
 
กูรูสอนอ่านชื่อดาราได้ถูกคือ ซีโมน ซินญอเร่  อ่านชื่อออกแล้วหลงรักทันที  ผมว่าชื่อเธอคลาสสิก  แม้จะเป็นชื่อทางการแสดงก็ตาม  ผมว่าชื่อเธอไปได้ดีกับหน้าตาที่เซ็กซี่มาก



SP บอกว่าเธอเคยได้ Oscar จากเรื่อง Room at the top (1959) หนังจากอังกฤษที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับหนุ่มละอ่อนที่มีแฟนเป็นตัวเป็นตนแต่ในที่สุดก็ไปหลงรักสาวใหญ่ที่ช่ำชองชีวิตแต่กลับไม่มีความสุขในชีวิตคู่ของตัวเอง



หนังชวนให้ติดตามตลอดเรื่อง  ส่วนหนึ่งเพราะผมติดใจหน้าตาของ SS มาก  บอกไม่ถูก  เป็นคนสูงอายุที่ Sex appeal เปล่งประกาย

หนังเรื่องนี้ได้ทั้งเงินและกล่อง  ดารานำได้ชิงทั้งคู่รวมถึงตัวประกอบหญิงที่เด่นไม่แพ้กัน



ฉากนี้เห็นการประชันกันระหว่างดาราทั้ง 3  มี SS ในบทสาวใหญ่ใจเหงา, Laurence Harvey ในบทชายหนุ่มละอ่อน และ Hermione Baddeley ในบทเพื่อนของ SS ที่เป็นเจ้าของแฟลตที่ให้ SS เช่าด้วย  ในช่วงท้ายของ clip ซึ่งเป็นการตัดต่อ  เกิดขึ้นเมื่อ LH จำต้องบอกเลิกความสัมพันธ์กับ SS  เพราะสาวคนรักของหนุ่มเกิดท้อง  SS เสียใจมากเลยฆ่าตัวตาย  HB รู้ข่าวก็มาประณาม LH ว่า ‘ฆาตกร’  

การแสดงของ HB สุด ๆ  Wikiฯ บอกว่าการแสดงของเธอตลอดทั้งเรื่องกินเวลารวมกันไม่เกิน 3 นาที (2 นาที 19 วินาที) แต่ได้เข้าชิง Oscar  เป็นสถิติที่ยังไม่มีใครทำได้ถึงบัดนี้
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 26
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.2 วินาที กับ 20 คำสั่ง