ราวกลางยุค 1980s พี่ชายผมไปเรียนเสริมวิชาอาชีพทางการทหารที่เนเธอร์แลนด์ส่งพัสดุมาให้ 1 ห่อ
พอแกะห่อออกมาก็พบกับหนังสือเล่มหนาเตอะ 3 เล่ม มันเป็นหนังสือชุดชื่อ The Lord of the Rings มีโน้ตเล็ก ๆ แนบมาทำนองว่า ‘อ่านให้จบ กลับมาแล้วจะมาเอาการ’
ผมอ่านโน้ตจบแล้วมองหนังสือหนารวมกันกว่าพันหน้าแล้วทำตาปริบ ๆ
ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยอ่านหนังสือภาษาอังกฤษหนาขนาดนี้มาก่อน เคยอ่านอย่างมากก็เล่มบาง ๆ 60-70 หน้า กำลังเสริมสร้างความชำนาญที่เพิ่งเตาะแตะ
แล้วการบ้านที่พี่ส่งมาให้ก็มีหน้าปกแสนจะจืดชืดดูไม่เชิญชวน ข้างในก็มีแต่ตัวหนังสือเป็นพืด แล้วก็มีแผ่นที่ดูน่าเวียนหัว 2-3 ชุด มีความรู้สึกเหมือนกลับไปเรียนหนังสืออันเป็นช่วงเวลาที่เกลียดที่สุดของชีวิต อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม พี่คงเดาความเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อของน้องออก เลยหยอดลงไปหน่อยว่า เป็นนิยายคลาสสิกแนวที่ชอบ ใครไม่ได้อ่านจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นนักอ่านเรื่องแฟนตาซี เพราะเรื่องนี้เป็นแม่บทของนิยายแฟนตาซี (แต่พี่ไม่ได้อ่าน เธออ้างว่าฉันไม่ใช่นักอ่าน แกต่างหาก)
อ่านถึงตรงนี้แล้วเกิดความฮึกเหิม พอทำใจได้ก็เริ่มลงมืออ่าน โอโฮ... มันเป็นหนังสือที่อ่านยากมาก ผู้เขียนใช้ภาษายุคเก่าและเสริมด้วยศัพท์สวิงสวาย เปิด ‘ดิก’ มือเป็นระวิง
นอกจากนี้เมื่อถึงช่วงบรรยายก็ลากเสียยืดยาวจนเรียกว่าแม้จะเข้าใจเพียงกระท่อนกระแท่นแต่ก็สามารถสร้างภาพตามได้ ประมาณว่าแค่เดินจากประตูบ้านออกมาที่รั้วบ้าน เธอก็เขียนบรรยายได้ยาวหลายบรรทัด มีไอ้โน่น เห็นไอ้นี่ รู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ แต่ว่าไปแล้วโดยรวม ๆ เนื้อเรื่องสนุก โดยเฉพาะตอนตื่นเต้นนี่ อ่านแบบลืมเวลาไปเลย
สรุปแล้วผมอ่านทั้งวันและทุกวัน แม้ในเวลาทำงาน ถ้าว่างเป็นควักขึ้นมาอ่าน ความที่อ่านยากก็เลยอ่านได้ช้า แม้หลัง ๆ จะเลิกเปิด ‘ดิก’ แล้วด้วยความขี้เกียจ แต่แปลกที่ก็ยังพอเข้าใจ
เพื่อน ๆ เห็นก็ชมว่า แหม... เก่งจังอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเล่มโต ผมตอบตามความจริงว่าเปล่าเลย ความชำนาญฉันแค่งู ๆ ปลา ๆ แต่มันเป็นแนวแฟนตาซีของโปรด ซึ่งหาอ่านไม่ได้ในหนังสือแปลเพราะบ้านเราไม่นิยมแปลนิยายแนวนี้ ผสมกับความสอดรู้สอดเห็นอันเป็นกมลสันดานเดิม ทำให้อยากรู้ว่าแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อ มันก็เลยสามารถลากไปได้เรื่อย ๆ
ผมใช้เวลาหลายเดือนกว่าอ่านเจ้าสามเล่มยักษ์นั่นจบ พออ่านจบแล้วมีความรู้สึกเหมือนจบหลักสูตรอะไรซักกะอย่าง ภูมิใจ ตั้งแต่นั้นผมหาซื้อหนังสือนิยาย (แนวแฟนตาซี) ต้นฉบับภาษาอังกฤษอ่านตลอด เลิกอ่านหนังสือแปลไปเลย คือนอกจากหาหนังสือแปลแนวนี้ได้ยากแล้ว บางครั้งจับได้ว่าแปลผิด เสียความรู้สึก ตอนผมหันมาแปลหนังสือขายเองจึงต้องระมัดระวังในเรื่องนี้มาก
แล้วก็รู้มาอีกว่าหนังสือแนวแฟนตาซีนี้จะทำออกมาเป็นชุดเสมอ ไม่มีเล่มเดียวจบ ชุดที่มีเนื้อเรื่องยาวที่สุดที่เคยอ่านติดต่อกันรวดเดียวชื่อ Memory, Sorrow and Thorn ผมซื้อสมัยเป็นสมาชิกชมรม science fiction book club ที่อเมริกา ชุดนี้มี 3 เล่มแต่หนารวมกันประมาณ 3 พันหน้า (ไม่มีใครคิดเอามาทำเป็นหนัง (เหมาะกับหนังทีวีมากกว่า) สักที) คนเขียนใช้ภาษาธรรมดาอ่านเข้าใจได้ง่าย ทำให้สนุกในการอ่านมาก
ในกาลต่อมา ผมไปเดินเล่นที่ห้างโปรด เซ็นทรัลสีลมแล้วพบหนังสือชื่อ The Complete Guide to Middle-Earth (ฉบับพิมพ์ปี 1976) ประมาณว่าเป็นปทานุกรม พลิก ๆ ดูแล้วเกิดความคิดเก๋ไก๋ เลยควักเงินซื้อ (ปี 1988)
หนังสือเล่มนี้อธิบายทุกอย่างตั้งแต่ชื่อตัวละคร สถานที่ สิ่งของ เหตุการณ์ ฯลฯ ที่เกิดในเรื่อง LOTR (รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่ออกขายในช่วงนั้นของผู้แต่งเช่น Hobbit, Silmarillion) ผมว่าอ่านสนุกกว่าตัวนิยายเสียอีก
พออ่านปทานุกรมจบแล้ว ผมก็เอาหนังสือ LOTR 3 เล่มยักษ์นั่นกลับมาอ่านใหม่อีกครั้ง คราวนี้ได้อรรถรสเต็มที่ ไม่งงไปงงมาเหมือนตอนอ่านครั้งแรก
ในปี 2001 ได้ข่าวว่ามีคนนำนิยายเรื่องนี้มาทำเป็นหนัง แหม... ตื่นเต้นมาก เคยได้แต่จินตนาการไปตามเรื่อง คราวนี้จะได้ดูภาพที่นำเสนอแบบเป็นทางการเสียที
เรื่องแรกที่มาฉายเป็นตอนแรกชื่อ The Fellowship of the Ring ตอนนั่งอยู่ในโรงผมรอให้ถึงฉากสำคัญคือฉากที่ Frodo กับพรรคพวกกำลังหนีสมุนของ Sauron มาถึงท่าน้ำข้ามฟาก Ford of Bruinen
เหตุการณ์ตอนนั้นในหนังสือตื่นเต้นมากเพราะ การล่าใกล้จะไล่ทันกันเต็มทีแล้ว ลุ้นสุดขีด ฉับพลันก็มี Glorfindel นักรบ elf เข้ามาช่วยและพาข้ามน้ำไปสู่เมืองของชนเผ่า elf ได้เป็นผลสำเร็จ (ก่อนลาจะจากไป)
ในหนังสือเปิดตัว Glorfindel ในฉากนี้ในแบบฉบับของพระเอกขี่ม้าขาวอย่างแท้จริง คือข้ามาคนเดียวบนหลังม้า เหล่าร้ายที่ว่าแน่พากันกระเจิง เมื่อได้อ่านปทานุกรมเสริมซึ่งบรรยายตัว Glorfindel ว่า
‘Golden-haired Eldarin lord of great power, in the time of LORT, he is the second most important of all elves…’
สรุปได้ง่าย ๆว่า ต้อง ‘โคตรหล่อ (หล่อเฉย ๆ ไม่ได้เพราะ elf (ในจินตนาการของผู้แต่ง) ทั้งหญิงและชายหน้าตาดีหมด) ตามแบบฉบับฮีโร่ทุกประการ’ โดยไม่ต้องสงสัย พอเป็นหนังมาฉายทำให้อยากรู้ว่าผู้สร้างเลือกใครมาสวมบทนี้
กลับมาที่โรงหนัง นั่งดูไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งฉากที่ว่ามาถึง (เพี้ยนไปจากหนังสือ แต่พอให้อภัยได้) แล้วผมก็ต้องอ้าปากค้าง (ในความมืดของโรงหนัง)
อ้าว... อะไรวะ ทำไม Glorfindel ฮีโร่สุดหล่อของฉันถึงกลายเป็นผู้หญิง ผู้หญิงคนนี้คือ Arwen เจ้าหญิง elf แฟนของพระเอก Aragon เธอมีเรื่องราวในหนังสือด้วย แต่จะโผล่ออกมาหลังจากฉากนี้เมื่อพวก Hobbits มาถึงเมือง elf แล้ว
ผมก็เข้าใจนะว่าการนำหนังสือมาทำเป็นหนังย่อมต้องมีการดัดแปลงเพื่อความเหมาะสม แต่การดัดแปลงในเรื่องนี้ดันไปเกิดในตอนที่ผมคาดหวังจะได้เห็นด้วยตาเป็นที่สุด ผมผิดหวังขนาดคิดอยากลุกขึ้นกลับบ้านเลย (แต่ไม่ได้ลุกเพราะเสียดายตังค์) ตั้งใจเข้ามาดูฉากนี้โดยเฉพาะ
แล้วยังมีอีกฉากที่เกิดขึ้นขณะมีสงคราม ในหนังเปิดตัวนักรบ elf ซึ่งต่อมาโดนฆ่าตายในสงครามนั้น หนังเน้นฉากนี้ ‘so dramatically’ เสริมเพลงประกอบเข้าไปด้วยตอนเธอโดนฆ่า ให้อารมณ์ประมาณฮีโร่โดนโค่น ผมดูแล้วก็คิดหลายตลบว่า ในหนังสือไม่มีฉากนี้นี่หว่า แค่รบกันธรรมดา ผมหา clip ฉากที่ว่านี้ไม่เจอ นักรบ elf คนนี้ชื่ออะไรก็จำไม่ได้
สรุปแล้ว หนัง LOTR ตอนแรกนี้ผิดหวังสุดขีด
บทความชุดนี้ต้องเปลี่ยนหัวข้อนิด เป็นฉากไม่ประทับใจของหนังในอดีต
ตัวอย่างหนัง