เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 26
  พิมพ์  
อ่าน: 18355 ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 90  เมื่อ 16 ส.ค. 22, 13:21

คุณโหน่งชวนดิฉันไม่สำเร็จแล้วละค่ะ   พอได้ยินชื่อ Virginia Woolf  ก็ถอยแล้ว  ดิฉันเคยทำรายงานเรื่อง Mrs. Dallaway สมัยเรียนด้วยความทุกข์ทรมาน
งานของเธอถึงจะเป็นที่ยกย่องของนักวรรณคดีก็ตาม แต่ส่วนตัวชอบไม่ลง    คือเธอเป็นคนป่วยจิตเภทที่มีความสามารถอย่างหนึ่งคือรำลึกถึงรายละเอียดเมื่อครั้งอยู่ในภาวะป่วยทางจิตรุนแรงได้  ผิดกับคนทั่วไปที่จำอะไรช่วงนั้นไม่ได้
อ่านงานของเธอแล้วอยากจะบ้า    ตัวละครเอกคือเธอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง   แล้วก็มีชะตากรรมแบบเธอคือฆ่าตัวตายในตอนจบ   สำหรับคนปกติต้องมาเรียนงานของคนไม่ปกติ มันกลืนไม่ลงจริงๆ
หนังจะสวยงามยังไง ก็ไม่รับประทานละค่ะ  ขอจานอื่นเถอะ

โอ้... เหรอครับ  ไม่รู้เบื้องหลังมาก่อนเลย  ได้ยินชื่อเธอครั้งแรกจากหนังเรื่อง Who's afraid of Virginia Woolf ซึ่งไม่ได้ดู  ตอนนั้นคิดว่าเป็นชื่อสมมติ  เคยดูตัวอย่างแล้วเหมือนหนังโรคจิต
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 91  เมื่อ 16 ส.ค. 22, 13:27

Dragonfly (2002) เป็นหนังชีวิตแนวแฟนตาซี  เล่าเรื่องหมอผัวเมียไปทำงานในแดนกันดารที่ประเทศ Venezuela  วันหนึ่งขณะกำลังเดินทางรถโดยสารที่หมอผู้หญิงและคนอื่น ๆ นั่งอยู่เกิดอุบัติเหตุโดน ‘landslide’ พัดตกเหว  บางคนหาซากศพเจอ  แต่บางคนมีหมอผู้หญิงเป็นต้น  หาศพไม่เจอ  โดยสรุปว่าไม่มีใครรอดชีวิต

กลับมาที่อเมริกา  ครอบครัวของเธอจัดงานศพ  แต่หลังจากนั้นไม่นานสามีซึ่งเป็นหมอรักษาเด็กก็พบเหตุการณ์แปลก ๆ ล้วนเกิดขึ้นกับคนไข้ในระยะใกล้ตาย  ขณะเดียวกันเธอก็พบสัญลักษณ์แปลกเป็นรูปคล้ายแมลงปอที่คนไข้ชอบวาดทิ้งไว้



บางฉากดูหลอนทีเดียว  อดคิดไม่ได้ว่าท่าฉันจะดูหนังผีละหว่า






เหตุการณ์มาปะติดปะต่อตอนท้ายเรื่องว่าวิญญาณของเมียพยายามติดต่อสามีว่าเธอทิ้งอะไรไว้ให้  ให้ไปตามหา



นักวิจารณ์ไม่ชอบหนังเรื่องนี้  บอกว่าดราม่าเกินไป  ผลคือหนังเจ๊ง  แต่ผมว่าหนังสนุกออก  สามารถหลอกไปได้จนถึงฉากสุดท้าย

(หมายเหตุ – สัญลักษณ์คล้ายแมลงปอนั้นคือสัญลักษณ์ของน้ำตกในแผนที่  ชนเผ่านี้ตั้งหลักแหล่งอยู่ใกล้น้ำตก)

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 92  เมื่อ 16 ส.ค. 22, 13:33

เคยเรียน Who's Afraid of Virginia Woolf? บทละครรางวัล Tony Award  ของ Edward Albee  ผู้สอนคืออาจารย์สดใส พันธุมโกมล เรียนเรื่องนี้ด้วยความไม่ชอบมากกว่าชอบ   โชคช่วยที่ได้อาจารย์ที่เก่งกาจสอน เลยผ่านมาได้ ไม่ถึงกับเกลียดเรื่องนี้
ชื่อเรื่อง เป็นการล้อเพลงในการ์ตูนหมูสามตัว ของวอล์ท ดิสนีย์ ที่ลูกหมูร้องเพลงท้าทายเจ้าหมาป่าว่า Who's Afraid of the Big Bad Woolf? แต่เปลี่ยนเป็น Virginia Woolf  แทน
จะด้วยเหตุผลอะไรยังไม่ได้ไปค้นในกูเกิ้ลค่ะ
เรื่องนี้เป็นชีวิตของผัวเมียวัยกลางคนชื่อ George กับ Martha  ที่หาเรื่องทะเลาะด่าทอกันตลอดเรื่อง   เมื่อเอามาทำหนัง ได้ดาราใหญ่บิ๊กเบิ้มอย่างริชาร์ด เบอร์ตัน และลิซ เทเลอร์เล่นคู่กัน      

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 93  เมื่อ 17 ส.ค. 22, 09:39

   สมัยเรียนกับอาจารย์สดใส   แนวคิดในดราม่าดังๆที่โดดเด่นในยุคนั้นคือ Theme of illusion and reality  แปลง่ายๆคือเรื่องของความลวงกับความจริง    Who's Afraid of Virginia Woolf? ใช้แนวคิดนี้เป็นหลัก
   นักเขียนและนักบทละครดังๆในยุคนั้นชอบตั้งคำถามกับชีวิตว่า อะไรคือความลวง อะไรคือความจริง  เพราะเหตุนี้ผลงานหลายชิ้นจึงออกมาน่าเวียนหัว  ไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ   อะไรเป็นของแท้ อะไรที่ตัวละครสร้างเพื่อหลอกตัวเอง เพื่อจะบอกว่า วังวนของมนุษย์ก็แค่นี้เอง
   Who's Afraid of Virginia Woolf? สะท้อนความจริงและความลวงในชีวิตตัวละครที่มี 4 ตัวด้วยกัน   คือผัวเมียวัยกลางคนเจ้าของบ้าน และแขกรับเชิญมากินดินเนอร์ที่เป็นหนุ่มสาวเพิ่งวิวาห์ไม่นาน     คนอ่าน(หรือคนดู)ถูกหลอกให้เชื่อเกือบถึงตอนจบถึงเรื่องที่เจ้าของบ้านเล่าให้แขกฟังถึงลูกชายคนเดียวของสองผัวเมีย    แต่ก็จะสงสัยตะหงิดๆว่าทำไมเล่าไม่ตรงกัน   กว่าจะมารู้คำตอบว่า จริงๆแล้วสองคนนี้ไม่เคยมีลูก  แต่สร้างภาพลวงขึ้นมาเพื่อให้แขกเห็นว่าชีวิตสมรสสมบูรณ์พร้อม
   เรื่องนี้ฝรั่งดูคงเข้าใจ  แต่นิสิตไทยอ่านแล้วงง   เพราะสังคมไทยในยุคนั้นไม่เหมือนอเมริกา   ในอเมริกา ความฝันของคนอเมริกันในยุคเบบี้บูมเมอร์คือครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อ ทำงานนอกบ้าน(รายได้ดีพอจะมีบ้านเดี่ยวสวยๆ รถงามๆหนึ่งคัน) แม่เป็นแม่บ้านทำอาหารทำขนมอร่อยๆให้ลูกผัว   จัดบ้านช่องเอี่ยมสะอาด  และมีลูก 2 คน ซึ่งถือว่าพอดิบพอดี   อย่างในหนังทีวีชุด Leave it to Beaver
  ด้วยเหตุนี้สองสามีภรรยาในละคร ที่ผัวขี้เมา เมียก็แร่ด  ทะเลาะด่าทอกันทุกนาที  แถมทั้งคู่ยังไม่มีลูก จึงทุรนทุรายจะต้องสร้างภาพว่าตัวเองมีครอบครัวสมบูรณ์พร้อม จนต้องสร้างลูกที่ไม่มีจริงขึ้นมาหลอกทั้งตัวเองและแขก
  คนอ่านซึ่งอายุ 19-20 ปี   ยังไม่มีใครแต่งงาน  และไม่มีใครรู้สึกว่าครอบครัวไทยของเรามีความคิดอะไรแบบอเมริกัน จึงเรียนแล้วไม่เก๊ท    ขอให้เพียงสอบผ่านก็โล่งใจแล้วค่ะ
  มาเจอเรื่องนี้อีกในยูทูป   ยังไม่อยากดูจนบัดนี้
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 94  เมื่อ 17 ส.ค. 22, 18:20

   สมัยเรียนกับอาจารย์สดใส   แนวคิดในดราม่าดังๆที่โดดเด่นในยุคนั้นคือ Theme of illusion and reality  แปลง่ายๆคือเรื่องของความลวงกับความจริง    Who's Afraid of Virginia Woolf? ใช้แนวคิดนี้เป็นหลัก
   นักเขียนและนักบทละครดังๆในยุคนั้นชอบตั้งคำถามกับชีวิตว่า อะไรคือความลวง อะไรคือความจริง  เพราะเหตุนี้ผลงานหลายชิ้นจึงออกมาน่าเวียนหัว  ไม่รู้ว่าอะไรจริงอะไรเท็จ   อะไรเป็นของแท้ อะไรที่ตัวละครสร้างเพื่อหลอกตัวเอง เพื่อจะบอกว่า วังวนของมนุษย์ก็แค่นี้เอง
   Who's Afraid of Virginia Woolf? สะท้อนความจริงและความลวงในชีวิตตัวละครที่มี 4 ตัวด้วยกัน   คือผัวเมียวัยกลางคนเจ้าของบ้าน และแขกรับเชิญมากินดินเนอร์ที่เป็นหนุ่มสาวเพิ่งวิวาห์ไม่นาน     คนอ่าน(หรือคนดู)ถูกหลอกให้เชื่อเกือบถึงตอนจบถึงเรื่องที่เจ้าของบ้านเล่าให้แขกฟังถึงลูกชายคนเดียวของสองผัวเมีย    แต่ก็จะสงสัยตะหงิดๆว่าทำไมเล่าไม่ตรงกัน   กว่าจะมารู้คำตอบว่า จริงๆแล้วสองคนนี้ไม่เคยมีลูก  แต่สร้างภาพลวงขึ้นมาเพื่อให้แขกเห็นว่าชีวิตสมรสสมบูรณ์พร้อม
   เรื่องนี้ฝรั่งดูคงเข้าใจ  แต่นิสิตไทยอ่านแล้วงง   เพราะสังคมไทยในยุคนั้นไม่เหมือนอเมริกา   ในอเมริกา ความฝันของคนอเมริกันในยุคเบบี้บูมเมอร์คือครอบครัวที่ประกอบด้วยพ่อ ทำงานนอกบ้าน(รายได้ดีพอจะมีบ้านเดี่ยวสวยๆ รถงามๆหนึ่งคัน) แม่เป็นแม่บ้านทำอาหารทำขนมอร่อยๆให้ลูกผัว   จัดบ้านช่องเอี่ยมสะอาด  และมีลูก 2 คน ซึ่งถือว่าพอดิบพอดี   อย่างในหนังทีวีชุด Leave it to Beaver
  ด้วยเหตุนี้สองสามีภรรยาในละคร ที่ผัวขี้เมา เมียก็แร่ด  ทะเลาะด่าทอกันทุกนาที  แถมทั้งคู่ยังไม่มีลูก จึงทุรนทุรายจะต้องสร้างภาพว่าตัวเองมีครอบครัวสมบูรณ์พร้อม จนต้องสร้างลูกที่ไม่มีจริงขึ้นมาหลอกทั้งตัวเองและแขก
  คนอ่านซึ่งอายุ 19-20 ปี   ยังไม่มีใครแต่งงาน  และไม่มีใครรู้สึกว่าครอบครัวไทยของเรามีความคิดอะไรแบบอเมริกัน จึงเรียนแล้วไม่เก๊ท    ขอให้เพียงสอบผ่านก็โล่งใจแล้วค่ะ
  มาเจอเรื่องนี้อีกในยูทูป   ยังไม่อยากดูจนบัดนี้

อ่านแล้ว  ไม่นึกกระวนกระวายที่ไม่ได้ดูครับ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 95  เมื่อ 17 ส.ค. 22, 18:22

2012 ออกฉายในปี 2009 เป็นหนังหายนะระดับโลก เป็นหนังที่ดูสนุกมาก  เว่อร์วิ่นสุดขีดคลั่ง  ฉากตระการตา  ถ้าดูในโรงจอกว้างคงตื่นเต้นสุดขีด











Arks ...





ตอนจบ


ดูจบแล้วภาวนาขอให้ไม่เกิดเรื่องหายนะแบบนี้ในช่วงชีวิตของเรา

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 96  เมื่อ 19 ส.ค. 22, 14:40

ราวกลางยุค 1980s  พี่ชายผมไปเรียนเสริมวิชาอาชีพทางการทหารที่เนเธอร์แลนด์ส่งพัสดุมาให้ 1 ห่อ
 
พอแกะห่อออกมาก็พบกับหนังสือเล่มหนาเตอะ 3 เล่ม  มันเป็นหนังสือชุดชื่อ The Lord of the Rings  มีโน้ตเล็ก ๆ แนบมาทำนองว่า  ‘อ่านให้จบ  กลับมาแล้วจะมาเอาการ’




ผมอ่านโน้ตจบแล้วมองหนังสือหนารวมกันกว่าพันหน้าแล้วทำตาปริบ ๆ

ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยอ่านหนังสือภาษาอังกฤษหนาขนาดนี้มาก่อน  เคยอ่านอย่างมากก็เล่มบาง ๆ 60-70 หน้า  กำลังเสริมสร้างความชำนาญที่เพิ่งเตาะแตะ  

แล้วการบ้านที่พี่ส่งมาให้ก็มีหน้าปกแสนจะจืดชืดดูไม่เชิญชวน ข้างในก็มีแต่ตัวหนังสือเป็นพืด  แล้วก็มีแผ่นที่ดูน่าเวียนหัว 2-3 ชุด  มีความรู้สึกเหมือนกลับไปเรียนหนังสืออันเป็นช่วงเวลาที่เกลียดที่สุดของชีวิต อีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม พี่คงเดาความเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อของน้องออก เลยหยอดลงไปหน่อยว่า  เป็นนิยายคลาสสิกแนวที่ชอบ  ใครไม่ได้อ่านจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นนักอ่านเรื่องแฟนตาซี เพราะเรื่องนี้เป็นแม่บทของนิยายแฟนตาซี  (แต่พี่ไม่ได้อ่าน  เธออ้างว่าฉันไม่ใช่นักอ่าน  แกต่างหาก)

อ่านถึงตรงนี้แล้วเกิดความฮึกเหิม  พอทำใจได้ก็เริ่มลงมืออ่าน  โอโฮ... มันเป็นหนังสือที่อ่านยากมาก  ผู้เขียนใช้ภาษายุคเก่าและเสริมด้วยศัพท์สวิงสวาย  เปิด ‘ดิก’ มือเป็นระวิง

นอกจากนี้เมื่อถึงช่วงบรรยายก็ลากเสียยืดยาวจนเรียกว่าแม้จะเข้าใจเพียงกระท่อนกระแท่นแต่ก็สามารถสร้างภาพตามได้  ประมาณว่าแค่เดินจากประตูบ้านออกมาที่รั้วบ้าน  เธอก็เขียนบรรยายได้ยาวหลายบรรทัด มีไอ้โน่น เห็นไอ้นี่  รู้สึกอย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ  แต่ว่าไปแล้วโดยรวม ๆ เนื้อเรื่องสนุก  โดยเฉพาะตอนตื่นเต้นนี่  อ่านแบบลืมเวลาไปเลย

สรุปแล้วผมอ่านทั้งวันและทุกวัน  แม้ในเวลาทำงาน  ถ้าว่างเป็นควักขึ้นมาอ่าน  ความที่อ่านยากก็เลยอ่านได้ช้า  แม้หลัง ๆ จะเลิกเปิด ‘ดิก’ แล้วด้วยความขี้เกียจ  แต่แปลกที่ก็ยังพอเข้าใจ

เพื่อน ๆ เห็นก็ชมว่า  แหม... เก่งจังอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเล่มโต  ผมตอบตามความจริงว่าเปล่าเลย  ความชำนาญฉันแค่งู ๆ ปลา ๆ  แต่มันเป็นแนวแฟนตาซีของโปรด  ซึ่งหาอ่านไม่ได้ในหนังสือแปลเพราะบ้านเราไม่นิยมแปลนิยายแนวนี้  ผสมกับความสอดรู้สอดเห็นอันเป็นกมลสันดานเดิม  ทำให้อยากรู้ว่าแล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อ มันก็เลยสามารถลากไปได้เรื่อย ๆ

ผมใช้เวลาหลายเดือนกว่าอ่านเจ้าสามเล่มยักษ์นั่นจบ  พออ่านจบแล้วมีความรู้สึกเหมือนจบหลักสูตรอะไรซักกะอย่าง  ภูมิใจ  ตั้งแต่นั้นผมหาซื้อหนังสือนิยาย (แนวแฟนตาซี) ต้นฉบับภาษาอังกฤษอ่านตลอด  เลิกอ่านหนังสือแปลไปเลย  คือนอกจากหาหนังสือแปลแนวนี้ได้ยากแล้ว  บางครั้งจับได้ว่าแปลผิด  เสียความรู้สึก  ตอนผมหันมาแปลหนังสือขายเองจึงต้องระมัดระวังในเรื่องนี้มาก

แล้วก็รู้มาอีกว่าหนังสือแนวแฟนตาซีนี้จะทำออกมาเป็นชุดเสมอ  ไม่มีเล่มเดียวจบ  ชุดที่มีเนื้อเรื่องยาวที่สุดที่เคยอ่านติดต่อกันรวดเดียวชื่อ Memory, Sorrow and Thorn ผมซื้อสมัยเป็นสมาชิกชมรม science fiction book club ที่อเมริกา  ชุดนี้มี 3 เล่มแต่หนารวมกันประมาณ 3 พันหน้า (ไม่มีใครคิดเอามาทำเป็นหนัง (เหมาะกับหนังทีวีมากกว่า) สักที)  คนเขียนใช้ภาษาธรรมดาอ่านเข้าใจได้ง่าย  ทำให้สนุกในการอ่านมาก




ในกาลต่อมา  ผมไปเดินเล่นที่ห้างโปรด  เซ็นทรัลสีลมแล้วพบหนังสือชื่อ The Complete Guide to Middle-Earth (ฉบับพิมพ์ปี 1976) ประมาณว่าเป็นปทานุกรม  พลิก ๆ ดูแล้วเกิดความคิดเก๋ไก๋  เลยควักเงินซื้อ (ปี 1988)




หนังสือเล่มนี้อธิบายทุกอย่างตั้งแต่ชื่อตัวละคร สถานที่ สิ่งของ  เหตุการณ์ ฯลฯ ที่เกิดในเรื่อง LOTR (รวมถึงเรื่องอื่น ๆ ที่ออกขายในช่วงนั้นของผู้แต่งเช่น Hobbit, Silmarillion)  ผมว่าอ่านสนุกกว่าตัวนิยายเสียอีก  
พออ่านปทานุกรมจบแล้ว  ผมก็เอาหนังสือ LOTR 3 เล่มยักษ์นั่นกลับมาอ่านใหม่อีกครั้ง  คราวนี้ได้อรรถรสเต็มที่  ไม่งงไปงงมาเหมือนตอนอ่านครั้งแรก


ในปี 2001  ได้ข่าวว่ามีคนนำนิยายเรื่องนี้มาทำเป็นหนัง  แหม... ตื่นเต้นมาก  เคยได้แต่จินตนาการไปตามเรื่อง  คราวนี้จะได้ดูภาพที่นำเสนอแบบเป็นทางการเสียที

เรื่องแรกที่มาฉายเป็นตอนแรกชื่อ The Fellowship of the Ring  ตอนนั่งอยู่ในโรงผมรอให้ถึงฉากสำคัญคือฉากที่ Frodo กับพรรคพวกกำลังหนีสมุนของ Sauron มาถึงท่าน้ำข้ามฟาก Ford of Bruinen  
เหตุการณ์ตอนนั้นในหนังสือตื่นเต้นมากเพราะ  การล่าใกล้จะไล่ทันกันเต็มทีแล้ว  ลุ้นสุดขีด  ฉับพลันก็มี Glorfindel นักรบ elf เข้ามาช่วยและพาข้ามน้ำไปสู่เมืองของชนเผ่า elf ได้เป็นผลสำเร็จ (ก่อนลาจะจากไป)

ในหนังสือเปิดตัว Glorfindel ในฉากนี้ในแบบฉบับของพระเอกขี่ม้าขาวอย่างแท้จริง  คือข้ามาคนเดียวบนหลังม้า  เหล่าร้ายที่ว่าแน่พากันกระเจิง  เมื่อได้อ่านปทานุกรมเสริมซึ่งบรรยายตัว Glorfindel ว่า
‘Golden-haired Eldarin lord of great power, in the time of LORT, he is the second most important of all elves…’

สรุปได้ง่าย ๆว่า ต้อง ‘โคตรหล่อ (หล่อเฉย ๆ ไม่ได้เพราะ elf (ในจินตนาการของผู้แต่ง) ทั้งหญิงและชายหน้าตาดีหมด) ตามแบบฉบับฮีโร่ทุกประการ’ โดยไม่ต้องสงสัย  พอเป็นหนังมาฉายทำให้อยากรู้ว่าผู้สร้างเลือกใครมาสวมบทนี้

กลับมาที่โรงหนัง  นั่งดูไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งฉากที่ว่ามาถึง (เพี้ยนไปจากหนังสือ  แต่พอให้อภัยได้) แล้วผมก็ต้องอ้าปากค้าง (ในความมืดของโรงหนัง)  



อ้าว... อะไรวะ  ทำไม Glorfindel ฮีโร่สุดหล่อของฉันถึงกลายเป็นผู้หญิง  ผู้หญิงคนนี้คือ Arwen เจ้าหญิง elf แฟนของพระเอก Aragon   เธอมีเรื่องราวในหนังสือด้วย  แต่จะโผล่ออกมาหลังจากฉากนี้เมื่อพวก Hobbits มาถึงเมือง elf แล้ว

ผมก็เข้าใจนะว่าการนำหนังสือมาทำเป็นหนังย่อมต้องมีการดัดแปลงเพื่อความเหมาะสม  แต่การดัดแปลงในเรื่องนี้ดันไปเกิดในตอนที่ผมคาดหวังจะได้เห็นด้วยตาเป็นที่สุด  ผมผิดหวังขนาดคิดอยากลุกขึ้นกลับบ้านเลย (แต่ไม่ได้ลุกเพราะเสียดายตังค์)  ตั้งใจเข้ามาดูฉากนี้โดยเฉพาะ
  
แล้วยังมีอีกฉากที่เกิดขึ้นขณะมีสงคราม  ในหนังเปิดตัวนักรบ elf ซึ่งต่อมาโดนฆ่าตายในสงครามนั้น  หนังเน้นฉากนี้ ‘so dramatically’  เสริมเพลงประกอบเข้าไปด้วยตอนเธอโดนฆ่า  ให้อารมณ์ประมาณฮีโร่โดนโค่น  ผมดูแล้วก็คิดหลายตลบว่า  ในหนังสือไม่มีฉากนี้นี่หว่า  แค่รบกันธรรมดา  ผมหา clip ฉากที่ว่านี้ไม่เจอ  นักรบ elf คนนี้ชื่ออะไรก็จำไม่ได้

สรุปแล้ว  หนัง LOTR ตอนแรกนี้ผิดหวังสุดขีด

บทความชุดนี้ต้องเปลี่ยนหัวข้อนิด เป็นฉากไม่ประทับใจของหนังในอดีต

ตัวอย่างหนัง


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 97  เมื่อ 19 ส.ค. 22, 19:18

ได้ดู The Lord of the Rings ค่ะ  แต่ต้องบอกคุณโหน่งแบบไม่เต็มปากว่า ดูแล้วลืมสนิท
จำได้รางๆว่าพระเอกหน้าตาแป๋วแหววเหมือนหุ่นปั้น  เหมาะจะอยู่ในเทพนิยายมากกว่าอยู่ในชีวิตจริง    แล้วก็มีพระรองหรืออะไรอีกคนที่เป็นหนุ่มรูปหล่อผมยาวเฟื้อย   คนนั้นช่างเตือนใจให้นึกถึงจอมยุทธในหนังทีวีของ ทีวีบี ฮ่องกง
แต่ถ้าเทียบกับ Narnia แล้ว ชอบท่านลอร์ดมากกว่าหน่อยค่ะ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 98  เมื่อ 20 ส.ค. 22, 14:23

ได้ดู The Lord of the Rings ค่ะ  แต่ต้องบอกคุณโหน่งแบบไม่เต็มปากว่า ดูแล้วลืมสนิท
จำได้รางๆว่าพระเอกหน้าตาแป๋วแหววเหมือนหุ่นปั้น  เหมาะจะอยู่ในเทพนิยายมากกว่าอยู่ในชีวิตจริง    แล้วก็มีพระรองหรืออะไรอีกคนที่เป็นหนุ่มรูปหล่อผมยาวเฟื้อย   คนนั้นช่างเตือนใจให้นึกถึงจอมยุทธในหนังทีวีของ ทีวีบี ฮ่องกง
แต่ถ้าเทียบกับ Narnia แล้ว ชอบท่านลอร์ดมากกว่าหน่อยค่ะ

อ่านหนังสือสนุกกว่ามากครับ  หนังให้อรรถรสประมาณอาหารตา  เห็นแล้ว อื้อฮือ  ฮือฮา

โหน่งว่าหนัง (แนวแฟนตาซี) ที่นำเสนอได้ตรงตามเนื้อเรื่องในหนังสือต้อง ชุด Harry Potter ครับ  อาจเป็นเพราะตัวละครไม่มากมายเท่า  และเนื้อเรื่องไม่ซับซ้อนเท่า
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 99  เมื่อ 20 ส.ค. 22, 14:40

พล่ามเรื่องสมัยยังเป็นเด็ก...  

วันหนึ่งก็มีข่าวทางทีวีและหน้าหนังสือพิมพ์ไทยรัฐว่าจะมีหนังผีญี่ปุ่นเข้ามาฉาย  แต่ยังไม่ได้ตั้งชื่อไทย  แล้วก็เชิญชวนให้ส่งชื่อไทยเข้าประกวดชิงรางวัล

ช่วงนั้น ตย. หนังผีญี่ปุ่นนี้ออกอากาศทางทีวีแทบจะตลอดเวลา  มีผีหลาย ๆ แบบที่ผมเคยเห็นแต่ภาพนิ่งในหนังสือการ์ตูน  พอได้เห็นอากัปกิริยาของพวกมันแล้วล้วนดูน่ากลัว  ที่หลอนผมก็คือ ผีหญิงสาวที่คอยืดยาวไปได้ตั้งไกล  แต่สุดจะหลอนคือ ผีร่ม  มีลักษณะเป็นร่มกระดาษฉาบมันแบบที่คนจีนสมัยก่อนใช้กางกัน  ตรงกลางที่หุบอยู่จะมีตาเบิ่งโต 1 ดวง  ถัดลงไปเป็นปาก  มีลิ้นแลบยาวแผล็บ ๆ  ส่วนก้านร่มเป็นขา  ตีนสวมเกี๊ยะ  ความที่มีขาเดียวเวลาเดินมันจึงต้องกระโดด  เสียงเกี๊ยะกระทบพื้นดัง ก๊อก ๆ

โอ้... ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งเคยเห็นผีพวกนี้ 'in action'  น่ากลัวและน่าตื่นใจไปพร้อม ๆ กัน

ที่บ้านผม (หมายถึงบ้านคุณยาย) มีร่มแบบนี้แขวนอยู่แถวปากประตูรวมกับร่มทันสมัยต่าง ๆ แบบ  เวลาจะลงจากตัวบ้านจะต้องผ่านราวแขวนร่มพวกนี้  ช่วงนั้นเวลาผมจะลงจากบ้านจะต้องหลับตาก่อนแล้วคลำทางลง  ส่วนเวลาจะขึ้นบ้านก็ทำเหมือนเดิม  จะได้ไม่ต้องเห็นร่มที่วันดีคืนดีอาจโดนผีสิง  แล้วก็เจ้ากรรม  ความที่เป็นเด็กติดทีวี  ก็จะต้องเห็น ตย. หนังผีเรื่องนี้ประจำ  เวลาหนัง ตย. ออกฉายจะไม่ดูก็ไม่ได้  มันเหมือนต้องมนตร์  ขณะนั่งจ้องตาเขม็งความกลัวก็ซึมซับเข้าไปในความทรงจำอยู่นั่นแล้ว
  
ผมหลับตาขึ้นลงบ้านในลักษณะแบบนี้อยู่นานมาก  แม้หนังจะเข้าฉายจนออกจากโรงไปแล้ว  ก็ยังปอดแหกอยู่

วันหนึ่งฝนตก ผมกำลังก้าวลงจากบ้านด้วยอาการหลับตา  หยดน้ำฝนจากหลังคาคงไหลลงมาแล้วหยดลงที่แก้มผม  ผมร้องเสียงหลง  นึกว่า ผีร่มแลบลิ้นเลียหน้า  ผู้ปกครองทุกท่านแห่กันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น  พอรู้ว่าความจริงคืออะไร  ผมโดนเอ็ดซะหูชา  ไม่มีใครปลอบเลย

เพราะมีประสบการณ์แบบนี้  ผมเลยจำผีญี่ปุ่นพวกนี้โดยเฉพาะผีร่มได้ไม่ลืม  พอแก่ลงความกลัวหายไปเหลือแค่ความคิดถึง  ก็อยากรู้ว่าหนังเรื่องดังกล่าวมันชื่ออะไรหนอ  อยากดูจัง  แต่โอกาสเป็นศูนย์  มันเป็นหนังญี่ปุ่นภาษาญี่ปุ่น  จะไปหาข้อมูลได้อย่างไร  เวลาไปเที่ยวญี่ปุ่นก็หาเวลาไปเสาะหา  ข้อมูลของผมน้อยมากเลยไม่มีใครให้คำตอบได้  รู้แต่ว่าคนญี่ปุ่นเรียกผีพวกนี้ว่า Yokai

วันหนึ่งในตอนแก่นี่แหละ  ฝันของผมก็เป็นจริง  UBC เอาหนังเรื่องที่ติดอยู่ในความทรงจำมาฉาย  แหม... ตื่นเต้นมาก  ได้เห็นภาพที่หลอนผมมาตั้งแต่เด็กๆ หนังเรื่องนี้ชื่อ (ภาษาอังกฤษ) ว่า Yokai Monsters – 100 Monsters (1968)  เล่าเรื่องบรรดา Yokai มาร่วมมือกันยับยั้งกลุ่มเจ้าหน้าที่ที่คิดร้ายซึ่งผลจาการคิดร้ายจะไปกระทบความเป็นอยู่ของเหล่าพวกพ้องตัวเอง



ฉากผีสาวคอยาว (เสียงเพลงแบบนี้แหละ  ก้องอยู่ในหูผมไปนาน)



ฉากผีร่มสุดหลอนของผม



อ้อ... ลืมบอก  ในที่สุดการแข่งขันก็ประกาศผล  หนังใช้ชื่อว่า 108 อภินิหาร  รู้สึกจะฉายที่โรงแค็ปปิตอล  ผู้ปกครองเคยแหย่ว่าถ้าอยากดูจะพาไป


ในกาลเวลาต่อมาหลังจากนั้น  ว่างงานก็นั่งท่อง web ไปเรื่อย ๆ ก็พบหนังผีแบบนี้  แต่เป็นหนังในยุคสมัยใหม่  แต่ก็ตอบสนองผมได้ดี  ผมรีบสั่งซื้อทันที 3 เรื่อง

เรื่องที่สามารถหา clip มาให้ชมได้มีชื่อว่า The Great Yokai War (2005) เล่าเรื่องเด็กชายตัวกระจิ๋วได้รับการเลือกให้เป็นผู้พิทักษ์ความดีที่กำลังโดนคุกคามจากพลังชั่ว  พ่อหนูไม่ได้ตัวเปล่าเล่าเปลือยแต่มีบรรดา Yokai มาร่วมกันให้ความช่วยเหลือ ได้เห็นผีญี่ปุ่นแปลก ๆ   เทคนิคพิเศษทำได้ดีทีเดียว





(ผีร่มตัวโปรดทำได้น่ารักจัง)


ตัวอย่างหนัง



อีก 2 เรื่องเป็นหนังชุดต่อเนื่องชื่อ Kitaro (2007) และ Kitaro 2 (2008) หา clip ที่น่าสนใจไม่ได้เลย





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 100  เมื่อ 22 ส.ค. 22, 14:05

Pan’s Labyrinth (2006) เป็นหนังแนวแฟนตาซีจากสเปนที่เหมาะกับผู้ใหญ่มากกว่าเด็กเพราะมีฉากโหดเหี้ยมอยู่เนือง ๆ

เรื่องเริ่มต้นในแดนแฟนตาซีที่อยู่ใต้ผิวโลกของเรา  เจ้าหญิงลูกสาวกษัตริย์ผู้ครองดินแดนใต้พิภพเกิดหนีขึ้นมาเยี่ยมชมโลก  แต่แล้วโชคร้ายที่แสงแดดบนโลกทำให้เธอตาบอดอีกทั้งยังลบความทรงจำออกไปจากสมอง  แม่หนูกลายเป็นคนธรรมดาและตายในที่สุด

แต่กษัตริย์ผู้เป็นพ่อยังเชื่อฝังใจว่าวิญญาณของลูกสาวจะต้องกลับคืนสู่บ้านเกิดได้ในวันหนึ่ง  เขาจึงทำ labyrinths ไว้ตามจุดต่าง ๆ บนโลกเพื่อนำทางลูกสาวกลับสู่ครอบครัว

บนพื้นโลกในปี 1944 สงครามกลางเมืองสเปนเพิ่งสงบ  แต่ควันหลงยังอยู่  แม่ท้องแก่พร้อมลูกสาววัย 10 ขวบเดินทางไปพบนายทหารชั้นสัญญาบัตรผู้ซึ่งกำลังจะทำหน้าที่เป็นพ่อเลี้ยง (จอมโหด)

ในห้องพักในคืนหนึ่งมีนางฟ้าปรากฏขึ้นในห้องลูกสาวแล้วพาเธอผ่าน labyrinth ลงไปใต้ดินเพื่อพบกับ  Faun ซึ่งเป็นตัวละครในแดนแฟนตาซี  Faun มีความเชื่อว่าลูกสาวคนนี้คือเจ้าหญิงที่กลับชาติมาเกิด  จึงมอบหนังสือให้เล่มหนึ่งและบอกว่าในหนังสือนี้จะบอกงาน 3 อย่างให้เธอต้องทำ  เมื่อทำสำเร็จครบทั้ง 3 อย่าง  แม่หนูจะมีชีวิตที่เป็นอมตะและสามารถกลับลงไปหาครอบครัวของตนในแดนใต้พิภพได้

ฉากแม่หนูพบกับ Faun



งานที่ 1



งานชิ้นที่ 2



ความลังเลทำให้งานชิ้นที่ 3 ชิ้นสุดท้ายล้มเหลว  และตอนจบ



ฉากเหนือจินตนาการ



ตัวอย่างหนัง



Pan’s Labyrinth เป็นผลงานที่สร้างและกำกับโดย ผกก. ชาว Mexican ชื่อ Guillermo Del Toro เอกลักษณ์ของงานของเขาเป็นแนวแฟนตาซีแบบเหมือนจริง  คือมีการทั้งฝั่งดีฝั่งร้าย  มีการฆ่าแกง  มีฉากโหด ฯลฯ เหมือนกับเรื่องราวปกติทั่วไป  จากงานนี้ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในแวดวงบันเทิงของอเมริกา  งานชิ้นนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar หนังภาษาต่างประเทศยอดเยี่ยมรวมทั้งสาขาอื่นอีกรวม 7 สาขา  แต่ตัวเองพลาดในสาขาที่ได้เข้าชิง

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 101  เมื่อ 22 ส.ค. 22, 15:07

นึกถึงหนังเรื่องนี้เลยค่ะ  มหัศจรรย์เขาวงกต  พระเอก เดวิด โบวี่  นางเอกเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่  ตอนเป็นสาวน้อยกับสาวใหญ่ หน้าตาคนละคนกัน ไม่รู้เธอไปทำอะไรกับหน้า

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 102  เมื่อ 23 ส.ค. 22, 15:38

นึกถึงหนังเรื่องนี้เลยค่ะ  มหัศจรรย์เขาวงกต  พระเอก เดวิด โบวี่  นางเอกเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่  ตอนเป็นสาวน้อยกับสาวใหญ่ หน้าตาคนละคนกัน ไม่รู้เธอไปทำอะไรกับหน้า



แต่พอเป็นผู้ใหญ่ขึ้น  ความสามารถเข้มขนาดคว้า oscar ได้ครับ






บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 103  เมื่อ 23 ส.ค. 22, 15:45

ต่อจากคราวที่แล้ว...


อย่างไรก็ตามในปี 2018 ผกก. Guillermo Del Toro  ตามมาทวงและยึด Oscar ได้เป็นผลสำเร็จจากเรื่อง Shape of water (2017)

หนังเรื่องนี้สร้างออกมาตรงตามแนวถนัดของเธอ  คือแนวแฟนตาซีเล่าเรื่องความรักระหว่างคนกับสัตว์ประหลาด  แต่กว่าจะประสบผลสำเร็จก็ต้องฟันฝ่าอุปสรรคจนถึงกับต้องแลกด้วยชีวิต





ตอนจบหญิงสาวต้องสละชีวิตเดิมเพื่อแลกกับชีวิตใหม่เพื่อจะได้อยู่กับคนที่ตนรัก  ถ่ายทำออกมาได้โรแมนติกมาก 



ตัวอย่าง



Shape of water ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ทั้งหมด 13 สาขา  ได้มา 4  เป็นของ GDT เสีย 2 จากสาขาหนังยอดเยี่ยม และ  ผกก. ยอดเยี่ยม

ปีนั้นมีหนังที่ได้รับการเสนอชื่อทั้งหมด 9 เรื่อง  เป็นหนังรักโรแมนติกเสีย 2 เรื่อง  ผมพยายามหาแหล่งที่เคยอ่านมาแต่ไม่เจอ  บทความบอกทำนองคล้ายกับว่า ‘ปีนี้หนังชิงรางวัลยอดเยี่ยมเป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างหนังรัก 2 เรื่อง  แต่เป็นรักผิดธรรมชาติทั้งคู่ เรื่องหนึ่งเป็นความรักระหว่างผู้ชาย 2 คน (Call me by your name) อีกเรื่องหนึ่งเป็นความรักระหว่างคนกับสัตว์ประหลาด (คือเรื่องนี้)’

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 104  เมื่อ 24 ส.ค. 22, 15:44

La Bamba (กรุณาหาคำแปลเอาเอง) ออกฉายในปี 1987 เป็นหนังเล่าเรื่องชีวิตของนักร้องคนดังในอดีต Ritchie Valens  ชีวิตของเธอเปรียบประดุจพลุ  พุ่งขึ้นถึงจุดสูงสุด ระเบิด แล้วดับ  มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เพราะขณะที่ความดังขึ้นถึงจุดสูงสุด  เธอก็ตายทันทีด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก  มีอายุถึงตอนนั้นแค่ 17 ขวบ

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่ได้คร่าชีวิตเธอคนเดียวแต่รวมไปถึงนักร้องระดับตำนาน Buddy Holly (22) และ ดาวรุ่งพุ่งแรงอีกคน J.P. ‘The Big Bopper’ Richardson (28)

เรื่องคร่าว ๆ มีว่า... เหตุเกิดในหน้าหนาวปี 1959  BH จัด concert ในย่าน Midwest ของอเมริกา  จากสภาพอากาศอันเลวร้ายบั่นทอนสุขภาพของเหล่าศิลปินกันถ้วนหน้า  อีกทั้ง heater ในรถบัสก็เสีย ๆ หาย ๆ

เมื่อจบการแสดงที่ Clear Lake, Iowa  หัวหน้า concert คือ BH จึงตัดสินใจเหมาเครื่องบินไปส่งยังจุดหมายต่อไปคือที่ Moorhead, Minnesota  แต่มันเป็นเครื่องบินเล็กนั่งได้แค่ 4 คนรวมทั้งคนขับ  หนึ่งในนั้นคือ BH หัวหน้า concert อีก 2 ที่เหลือมีการโยนเหรียญหัวก้อยกันระหว่าง  RV กับนักดนตรีคนหนึ่งซึ่งต่างก็กลัวการขึ้นเครื่องบินทั้งคู่  RV ชนะได้ขึ้นเครื่องเป็นคนที่ 2 เธอบอกว่าตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเคยโยนหัวก้อยแล้วชนะก็คราวนี้  ส่วนคนที่ 3 คือ Waylon Jennings แต่เธอใจดีสละที่นั่งให้ JPR เพราะพ่อหนุ่มเป็นหวัดเป็นไข้  ไปถึงเร็ว ๆ จะได้มีเวลาพักผ่อนเส้นเสียง

พอ BH รู้ว่า WJ ไม่ได้บินไปด้วยกันเธอล้อว่า ‘ขอให้มึงแข็งตายอยู่ในรถบัสซังกะบ๊วยนั่น’ ส่วน WJ ก็ย้อนกลับไปว่า ‘กูก็ขอให้มึงเครื่องบินตกตาย’

(หมายเหตุ...

1 - WJ ต่อมาในยุค 70s เธอดังสุดกู่ในฐานะนักร้องเพลง country เพลงดังของเธอที่บ้านเราคุ้นหูดีคือเพลงเปิดเรื่องหนังทีวีชุด Duke of Hazzard (1979) เธอเคยให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องแช่งกันเล่น ๆ ในวันนั้นว่ามันตามหลอนมาจนถึงปัจจุบัน



2 – ข้อมูลดังกล่าวเล่าเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นข้อมูลที่มีการกล่าวถึงกันมากกว่าข้อมูลชุดอื่น ๆ  คนที่รู้ความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตายกันไปหมดแล้ว)

ในตอนเที่ยงของวันที่ 3 ก.พ. เครื่องบินเคลื่อนออกจากสนามบินที่ Clear Lake, Iowa  แล้วบินออกไปได้ไกลเพียงแค่ 10 กม. ก็ตกที่ทุ่งข้าวโพด  ทั้ง 4 ชีวิตตายทันที


(ยังมีภาพให้ ‘รายละเอียด’ มากกว่านี้เยอะแยะ  ไม่กล้าเอามาลง  กลัว ‘จาร ดุ)  

เหตุการณ์นี้เป็นหนึ่งในหายนะร้ายแรงที่สุดของวงการเพลงอเมริกัน  

ตัวอย่างหนัง



เพลงเอกของเรื่อง

คณะ Los Lobos ให้ยืมเสียงร้องในเพลงของ RV ทุกเพลง  อิทธิพลของหนังทำให้เพลง La Bamba ของ LL ดังเป็นพลุในอันดับเพลง  ในขณะที่ต้นฉบับของ RV ไปได้ไม่สวยเลย

  
ตอนเด็ก ๆ ผมจำไม่ได้ว่าได้ยินเพลงนั้นบ่อยแค่ไหน  แต่ที่แน่ ๆ คือเพลงนี้ซึ่งเพราะมาก



Buddy Holly ในหนัง



ผมว่าพวกเราคุ้นหูเพลงนี้ของเธอที่สุด



ส่วน The Big Bopper หา clip ไม่ได้เพราะบทมีน้อยมากซึ่งไม่เกี่ยวกับ theme ของหนัง  ตอนเด็ก ๆ ผมจำไม่ได้ว่ารู้จักเธอ  มารู้จักเอาเมื่อโตแล้ว



เกร็ดของการถ่ายทำหนัง...

Ritchie Valens' family were so attached to Lou Diamond Phillips (เล่นเป็น Ritchie Valens) that when he was shooting the scene where Valens gets on the airplane that led him to his death, the family begged Phillips not to get on, fearing that he would die. The family was warned not to come to the filming the day that they filmed him getting on the plane but Valens' sister ignored this and drove up to the set anyways. She cried, hugged him and begged him not to get on the plane.


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 ... 26
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.106 วินาที กับ 20 คำสั่ง