เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 26
  พิมพ์  
อ่าน: 17944 ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 75  เมื่อ 08 ส.ค. 22, 09:22

ฉากเด็ดอีกฉากของ lolita   เมื่อพ่อเลี้ยงบรรจงทาเล็บเท้าให้สาวน้อย    ฉากนี้แสดงความผูกพันของฝ่ายหนึ่งและความไม่อินังขังขอบของอีกฝ่ายได้ดีกว่าต้องพูดกันเป็นหน้าๆ

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 76  เมื่อ 08 ส.ค. 22, 15:55

กลับมาที่หนัง Eat Pray Love ตอนจบ

ต่อจากนั้นเธอไปอินเดียและพักพิงอยู่ 3 เดือนเพื่อค้นหาตัวเอง (Pray)





เวลาที่เหลือจากนั้นจนถึงกำหนดการสิ้นสุดการท่องโลก  เธอไปจบที่บาหลี อินโดนีเซียเพื่อหาจุดสมดุลย์ 





แต่ดันไปพบรักที่นั่นกับนักธุรกิจชาวบราซิล  เป็นความรักที่ตอนแรกเธอพยายามฝืนแต่แล้วก็ไม่สำเร็จ  ความรักนี้ต่อมาจริงจังถึงขนาดลงมือแต่งงานกันแต่แล้วในที่สุดก็หย่ากัน (เนื้อหาของหนังไปไม่ถึงจุดนี้  ผมเอาบทสรุปมาจากหนังสือ)









หนังโดนนักวิจารณ์สับเละ  แต่การถ่ายทำและวิวสดใสผลักดันให้มันทำเงินอย่างมหาศาล



จาก 3 ประเทศที่ผู้เขียนไปเยี่ยมมา  ผมประทับใจ Italy ที่สุด  ผมเคยไปตะลอน ๆ อยู่ 3 หน  เป็นการท่องเที่ยวที่สนุกสนาน  บรรยากาศคล้าย ๆ เมืองไทยคือไม่ค่อยมีระเบียบแล้วก็วุ่นวาย (เอาเฉพาะที่ Rome  ผมว่าอีกแห่งที่คล้ายเมืองไทยคือ London) 

อย่างไรก็ตาม  ผมไม่สามารถใช้ชีวิตที่นั่นได้สนุกสนานเฮฮาเหมือนในหนังเรื่องนี้ได้เพราะ จากมุมมองของคนยุคเก่าเช่นผม... อย่างแรกคือ ค่าเงินบาทของเราเมื่อเทียบกับค่าเงินชาวบ้านช่างอ่อนโยนนุ่มนิ่มประดุจฟองน้ำเช็ดก้นเด็ก  ควักออกมาซื้ออะไรซักอย่างจะรู้สึกใจหายวูบวาบ

อีกอย่างที่สังเกตได้คือเค้าเป็นชาวตะวันตก  เราชาวตะวันออก  จากประสบการณ์  เค้าไม่สุงสิงกับคนแปลกหน้าต่างสายพันธุ์อย่างเรานอกจากมีสาเหตุที่เจาะจง  ประเภทไปท่องเที่ยวแบบหัวเดียวกระเทียมลีบแล้วได้ไปเฮฮากับชาวบ้านนี่  ประสบการณ์จากการท่องเที่ยวโดยลำพังนานร่วม 20 ปี  ผมไม่เคยประสบแล้วก็ไม่เคยได้ยิน  ผมไม่รู้สาเหตุ  จะเป็นด้วยการต่างประเพณี/ต่างวัฒนธรรมหรือจะเป็นการเหยียดผิวรึเปล่าก็ขี้เกียจวิเคราะห์

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่จำได้แม่น  ผมอยู่ต่างจังหวัด  จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหนของ Italy  เกริ่นหน่อยว่าปกติราคาที่พักที่ยุโรป (ไม่ใช่โรงแรมหรูหราแบบนั้นนะ) จะแถมอาหารเช้าเสมอ  เช้าวันนั้น  ผมจัดการธุระส่วนตัวเสร็จก็ลงมายังห้องอาหารซึ่งจะเปิดประมาณ 6 โมงเช้า  วันนั้นผมเห็นฝรั่ง 3-4 คนยืนอออยู่หน้าประตูห้องอาหาร  ห้องอาหารก็เปิดแล้วแต่ทำไมพวกเขาไม่เดินเข้าไป  หรือว่ายังไม่เรียบร้อย  ผมก็เดินไปใกล้ ๆ แล้วยื่นหน้าเข้าไปสังเกตุการณ์

ภายในห้องอาหารที่เปิดบริการแล้วมีกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนอออยู่ที่หน้าโต๊ะวางอาหาร (เป็นแบบ buffet ทุกแห่ง)  ทุกคนกำลังสำรวจอาหารในถาดที่วางอยู่บนโต๊ะ  วิธีการสำรวจคือใช้ช้อนกลางที่วางไว้ในถาด (ทุกถาดอาหารจะมีช้อนกลางเพื่อความเป็นระเบียบ) ตักอาหารในแต่ละถาดขึ้นมาสำรวจ  มีการปรึกษากันล้งเล้ง  เมื่อพิจารณาเสร็จก็เทอาหารในช้อนกลางกลับใส่ถาดแล้วใช้ช้อนกลางคันเดิมตักอาหารในถาดอื่นขึ้นมาสำรวจต่อ  เนื่องจากพวกเขามาเป็นกลุ่ม  ช้อนกลางในแต่ละถาดอาหารจึงปนเปกันให้มั่ว  นี่คือสาเหตุที่พวกฝรั่งไม่เข้าไปในห้องอาหาร

ฝรั่งคนหนึ่งในกลุ่มที่ยืนรออยู่หันมาเห็นผมก็ขยับตัวหลีกทางให้ผมเข้าไปในห้องฯ  ผมก็ตั้ง 'guard' ทันที  'I'm not one of them'  แต่ผมก็เดินเข้าห้องฯ  แล้วตรงไปที่พนง. เสิร์ฟอาหารที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ กำลังจ้องมองภาพเหตุการณ์ในห้องฯ จำได้ว่าเห็นบางคนทำสีหน้าคลื่นไส้

พนง. เสิร์ฟฯ ทั้งกลุ่มจ้องผม  สมองคงกำลังว้าวุ่นว่าผมเดินมาทำไม  พอไปถึงตัวผมก็แจ้งว่า  ผมมาคนเดียว  ขอสั่งอาหารเช้าแบบพิเศษ  ผมจะนั่งอยู่ตรงโน้น (ชี้นิ้วไป)  ช่วยนำรายการอาหารมาให้ผมพิจารณาด้วย

ตกลงเช้านั้นผมต้องจ่ายค่าอาหารเป็นการพิเศษซึ่งแพงชะมัด เพียงเพื่อกันไม่ให้ตัวเองโดน 'เหมา' ติดร่างแห และในช่วงเวลานั้นมีผมเพียงคนเดียวที่ยอมจ่ายค่าอาหารเอง  ฝรั่งคนอื่น ๆ ที่อออยู่ และเข้ามาออเพิ่มขึ้น  พวกเขารอให้กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนเลิกวุ่นวายกับโต๊ะวางถาดอาหาร  แล้วจึงค่อยเข้าไป 'เก็บเศษ' 

ตอนเดินออกจากห้องฯ หลังจากกินเสร็จ  ผมผ่านฝรั่งคนที่ขยับเปิดทางให้ผมเข้าห้องอาหารเพราะเข้าใจผิด  เขาเหลือบมองแล้วพยักหน้าพลางยิ้มกระเรี่ยกระราด  ผมแค่มองกลับทางหางตา...  บุคลิกคนละแบบเลย  ตาเอ็งถั่วขนาดนั้นเชียวเหรอวะ

อาจเป็นเหตุการณ์ทำนองนี้ละมังที่ทำให้ชาวตะวันตกไม่ค่อยอยากสุงสิงกับชาวตะวันออกสักเท่าไร

(หมายเหตุ – Clip ย่อยบานตะเกียง  จะว่าดีก็ดี  แต่ที่ไม่ดีคือต้องมาเสียเวลานั่งเลือกชิ้นที่กระจ่างที่สุด)

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 77  เมื่อ 09 ส.ค. 22, 05:00

ข่าวใหญ่...




เพลงโปรดของผม



กับเพลงนี้

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 78  เมื่อ 09 ส.ค. 22, 15:40

ในปี 1997 ขณะที่หนัง Titanic ออกอาละวาดไปทั่วโลกทั้งในโรงและบนเวทีรางวัล  ยังมีหนังอีกเรื่องซึ่งถ้าออกฉายคนละปีกับ Titanic  หนังเรื่องนี้ก็จะดังสุดกู่ขึ้นมาทันทีทั้งในโรงและบนเวทีรางวัลเช่นกัน

หนังมีชื่อว่า L.A. Confidential มันเป็นหนังย้อนยุคกลับไปช่วงต้น 50s ซึ่งเรื่อง corruption ในอเมริกาเป็นสิ่งปกติเหมือนเห็นผักในตลาด  เรื่องนี้พุ่งเป้าไปยังการ corruption ที่เกิดขึ้นในวงการตำรวจเสียเองในเมือง L.A. ซึ่งความอื้อฉาวครอบคลุมไปถึงวงการบันเทิงด้วย  ตัวเดินเรื่องคือ 3 ตำรวจ 3 บุคลิก  คนหนึ่งตงฉิน คนหนึ่งชอบดัง  และอีกคนหนึ่งชอบบู๊

ตอนที่ดูคือในปี 1997  หนังสนุกจนลืมกระพริบตาเพราะเดินเรื่องรวดเร็ว  ไหนจะต้องฟังเค้าคุยกันว่าสืบไปถึงไหน  ไหนจะต้องสอดส่ายตาดูรถสวย ๆ ในฉาก  และไหนจะต้องเงี่ยหูฟังเพลงประกอบเพราะ ๆ

ฉากนี้มีบรรยากาศตลก  เมื่อ 2 ตำรวจ (2 ประเภทแรก) เข้าไปสืบในบาร์แล้วเจอดารา Lana Turner กับแฟน Johnny Stompanato  แต่ความที่ไม่ประสีประสาในเรื่องของวงการบันเทิง  พ่อเลยคิดว่าเธอเป็นโสเภณีในคราบ LT

(สังเกตสีหน้า Kevin Spacey  ในบทตำรวจชอบดังซึ่งคุ้นเคยกับแสงสีแสดงความประหลาดใจที่เพื่อน ‘ทึ่ม’ ได้ขนาดนี้)

[หมายเหตุ - ในเรื่องจริง LT กับ JS 2 คนนี้เป็นแฟนแบบดุเดือดคือตบตีกันประจำ เพราะผู้ชายเป็นนักเลง  เรื่องราวต่อมาร้ายแรงถึงขั้นถูกลูกสาวของ LT (ลูกติด) แทงตาย  กลายเป็นข่าวใหญ่โต (ขนาด SP เคยเอามาเล่าให้ฟัง)




การเข้าวงการบันเทิงของ LT โดดเด่นถึงขั้นเป็นตำนานเรื่องหนึ่งของวงการบันเทิง  ตามที่เธอเล่า (อ่านใน SP) วันนั้นเธอนึกคึกจึงโดดเรียนวิชาพิมพ์ดีดแล้วไปนั่งดูดน้ำหวานในร้านขายน้ำหวานชื่อดังที่ตั้งอยู่บนถนน ‘ดารา’ Sunset Boulevard  ร้านนี้ขึ้นชื่อเรื่องเป็นแหล่งของแมวมองมาตกเหยื่อไปเป็นดาราหนัง  สาวไหนก๋ากั่นอยากเป็นดาราหนังก็จงไปนั่งดูดน้ำหวานและทำท่าสวยที่คิดว่าเตะตาบรรดาแมวมองที่ร้านนี้  LT ทำตามข้อควรปฏิบัติแล้วเธอก็ประสบความสำเร็จในทันที]


อีกฉากที่ (ช่วงนั้น) ถือเป็นฉากเปิดตัวละครที่ถูกกล่าวถึงกันมากว่าเท่จริง ๆ  (Kim Basinger  ในเรื่องนี้เธอเล่นเป็นโสเภณีที่สร้างบุคลิกเลียนแบบดาราดัง Veronica Lake)

(หมายเหตุ – ตอนนั้น Russell Crow ยังหล่ออยู่เลย)



ตัวอย่างหนัง



ในงานแจกรางวัล Oscar ปี 1998 ให้กับหนังที่สร้างในปี 1997 นั้น  หนัง L.A.ฯ ได้เข้าชิง 9 รางวัล  แต่ได้มาแค่ 2  หนึ่งในนั้นคือ KB นักแสดงแสนสวยและเซ็กซี่ที่ไม่มีใครคิดว่าเล่นเก่งขนาดจะได้ Oscar
 
ช่วงต้นงานมีการเอาบางฉากเด่น ๆ ของหนัง 5 เรื่องที่เข้าชิงหนังยอดเยี่ยมมายำโดยพิธีกร Billy Crystal เมื่อถึงคิวของหนัง L.A.ฯ เธอก็เอาฉากเปิดตัวของ KB มาล้อแวบหนึ่งแต่ทำได้ตลกทีเดียว (1.17)
(หมายเหตุ – ดูไปเรื่อย ๆ ฉากล้อหนัง Titanic (2.36) ก็จี้ไม่แพ้กัน)



ดูเรื่อง L.A.ฯ นี้แล้วเสียดายนักแสดง Kevin Spacey เธอเล่นหนังเก่งขนาดได้ Oscar ไปกอดถึง 2 ตัว  เป็นสถิติที่น้อยคนจะทำได้  แต่กลับมาทำชื่อเสียงบรรลัยเมื่อวันหนึ่งในปี 2017  ก็มีดาราหนุ่มลุกขึ้นมาประกาศว่าเคยถูก KS ลวนลาม (sexually harassed and assaulted) เมื่อครั้งยังเป็นดาราวัยรุ่น  

พอน้ำเริ่มลดต่อก็ผุด  จากนั้นก็มีคนร้องเรียน KS เกี่ยวกับเรื่องนี้อีกมากมาย  ยังผลให้อนาคตทางการแสดงของเธอปิดฉากทันที  เรื่องที่เธอตั้งใจจะสร้างและนำแสดงแต่ยังไม่ได้เริ่มก็โดนเบื้องบนเอาขึ้นหิ้ง  บางเรื่อง (หนังทีวี) บทของเธอถูกถอดออกจากเนื้อเรื่องไปหน้าตาเฉย  บางเรื่องที่กำลังถ่ายทำก็ต้องหานักแสดงคนใหม่มาสวมบทแทน  ส่วนเรื่องที่ถ่ายทำเสร็จเมื่อออกฉายก็เจ๊งเพราะไม่มีคนไปดู

และที่แย่ลงไปอีกคือการโดนฟ้องร้องจากผู้เสียหายและบริษัทสร้างหนังต่าง ๆ เป็นจำนวนหลายล้านเหรียญ

จากคนที่มีงานชุกกลายเป็นคนตกงานหางานทำไม่ได้ไปเลย

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 79  เมื่อ 09 ส.ค. 22, 16:22

เรื่องนี้หรือเปล่า อยู่ๆรัสเซล โครว์ ก็ถูกยิงตายกลางเรื่อง ทั้งๆทำท่าจะเป็นพระเอก ควรอยู่จนจบเรื่อง
คนดูช็อคไปเลย
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 80  เมื่อ 10 ส.ค. 22, 13:51

เรื่องนี้หรือเปล่า อยู่ๆรัสเซล โครว์ ก็ถูกยิงตายกลางเรื่อง ทั้งๆทำท่าจะเป็นพระเอก ควรอยู่จนจบเรื่อง
คนดูช็อคไปเลย

ในเรื่องนี้  ยังอยู่ดีกินดีแถมได้สาวสวย (ใส่แว่นกันแดดได้เท่มาก) ไปนอนกอดด้วยครับ

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 81  เมื่อ 10 ส.ค. 22, 13:56

Hidden figures (2016) เป็นหนังเล่าการต่อสู้ชีวิตของสาวนัก ‘mathematician’ นิโกร 3 คนที่เก่งฉกาจขนาดได้รับเลือกเข้าไปทำงานในองค์การ NASA  ในช่วงต้นโครงการที่การแข่งขันกันเป็นจ้าวแห่งอวกาศกำลังเริ่มต้น

มันเป็นความโชคร้ายของพวกเธอที่เกิดมาผิดยุค  ในยุค 60s ที่การแบ่งแยกสีผิวกำลังร้อนระอุในอเมริกา  พวกเธอจึงต้องใช้ความพยายามอย่างเอกอุเพื่อมิให้ใครหน้าไหนมากลบความเก่งของตน




ผมหา clip ม้วนเดียวจบไม่ได้  จึงต้องใช้ 2 clips ข้างล่างนี้มาประกอบกันจึงจะเห็นภาพรวม

ดูต่อที่ 1.55



สู้กลับ



ตัวแสบของเรื่อง



ถึงจะเป็นหนังกึ่งอัตชีวประวัติแต่ทำออกมาได้สนุกน่าติดตามและสะใจ



ตัวอย่างหนัง



หนังเรื่องนี้มีหมายเหตุที่เป็นตลกร้ายนิดหน่อยคือ  ในยุค 60s นอกจากการแบ่งแยกสีผิวจะเข้มข้นแล้ว  การแบ่งแยกเพศก็เข้มข้นด้วยเช่นกัน  บทตัวแสบ Paul Stafford ในเรื่อง  หนังใช้นักแสดงเกย์ (Jim Parsons) เป็นผู้รับบท  ประหนึ่งบอกกราย ๆ ว่า  ผู้สร้างไม่ได้สนับสนุนเหตุการณ์ในเรื่อง

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 82  เมื่อ 11 ส.ค. 22, 13:12

Boy erased (2018) - เด็กหนุ่มมีพฤติกรรมเป็นเกย์  พ่อแม่หัวโบราณ  และโปรแกรมที่รับรองว่าสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้ได้  3 factors รวมกันให้ผลลัพธุ์คือความพินาศ

เป็นเกย์ในครอบครัวหัวโบราณ





บรรยากาศบางส่วนของโปรแกรม







แล้วโปรแกรมที่ว่าก็เริ่มสร้างความพินาศ

หา clip มาได้ถึงตอนนี้  Nicole Kidman ในบทแม่ยังดำเนินเรื่องต่อจาก clip ต่อไปอีกอย่างถึงพริกถึงขิง  และพลิกบทมาเป็นแม่เสือผู้ปกป้องลูกโดยไม่ไว้หน้าใครแม้แต่ผัวที่ตัวเองยกให้เป็นช้างเท้าหน้ามาตลอด เหตุการณ์หลังจากนี้สนุกและทรงพลังมาก ต้องหาหนังมาดูเอง

ตอนจบ



หนังสร้างจากเรื่องจริงที่ดัดแปลงมาจากบันทึกของตัวละครเอก Jared Eamons (ตัวจริงชื่อ Garrard Conley)




ดูมาถึงตอนจบซึ่งจะมีการเล่าเหตุการณ์เป็นตัวหนังสือว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวละครในชีวิตจริงหลังจากจบเรื่องในหนังแล้ว
  
มาถึงตัวละครที่เป็นผู้จัดโปรแกรมเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของความเป็นเกย์ Victor Sykes  (ชื่อสมมติ) ผู้เขียนบันทึกเล่าว่าจริง ๆ แล้วชายคนนี้ก็เป็นเกย์  แต่อ้างว่าสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้  และแสดงให้เห็นด้วยการแต่งงานและมีลูกแล้วสร้างโครงการนี้ขึ้นมาบำบัด  แต่ในท้ายสุดโครงการฯ ก็ล้มเหลว  และตัวเองก็ยอมรับว่าความเป็นเกย์ไม่ได้หายไปด้วยการบำบัด เพราะความรู้สึกชอบผู้ชายยังอยู่ในสมองของตัวเองตลอดเวลา

ในที่สุดเขาก็หย่าเมียแล้วไปแต่งงานใหม่กับผู้ชายด้วยกัน  และเขียนบทความสารภาพว่าเสียใจที่ได้ทำลายเด็ก ๆ ที่มีสภาพจิตใจที่บอบบางอยู่แล้ว

ตัวอย่างหนัง


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 83  เมื่อ 12 ส.ค. 22, 13:38

สมัยยังเด็กจำได้ว่า สนพ. ไทยวัฒนาพานิช จะออกหนังสือเล่มเล็ก ๆ สำหรับเด็กอ่าน  โดยใช้ชื่อชุดว่า วรรณกรรมเยาวชน  ออกเป็นงวด ๆ   1 งวดมีประมาณ 5-6 เล่ม  ในแนวต่าง ๆ กัน  ผมตาม (เลือก) ซื้อมาตลอด  เท่าที่จำได้เริ่มมาตั้งแต่ 80 วันรอบโลก แมงมุมเพื่อนรัก ดอกเตอร์ดูลิตเติ้ล และอื่น ๆ อีกมากมาย

งานวรรณกรรม ฯ นี้มีออกมาขายเป็นสิบปี  จนกระทั่งผมเข้าทำงานแล้วก็ยังตามซื้ออยู่  ผมชอบแนวแฟนตาซีมาก  มีครั้งหนึ่ง สนพ. ออกหนังสือใช้ชื่อว่า เมืองในตู้เสื้อผ้า  เป็นเล่มโปรดเลย  อ่านสนุก  ทาง สนพ. ยังออกเล่มต่อมาอีกคือ เจ้าชายแคสเปียน ทำให้รู้ว่ามันเป็นนิยายชุด  

ตอนนั้นผมไม่รู้ว่านิยายชุดนี้มีกี่เล่ม  และจำไม่ได้ว่าทาง สนพ. ออกเล่มต่อ ๆ มาอีกรึเปล่า  จำได้แต่ว่า สนพ. ออกมาไม่ครบ  (ที่จริงผมเก็บหนังสือไว้หมดทุกเล่มไม่ว่าจะของตัวเองหรือของคุณตาหรือของแม่  แต่ตอนย้ายบ้านครั้งล่าสุด (เวลาตอนที่กำลังเขียนเรื่องนี้  บัดนี้... ย้ายอีกแล้ว) บ้านมีขนาดเล็กลงไม่มีที่มากพอที่เก็บหนังสือจำนวนหลัก 5-6 ร้อยเล่มได้  จึงต้องบริจาคให้ห้องสมุดเหลือไว้เฉพาะของเก่าแก่และที่ตัวเองชอบ  เลยไม่มีหลักฐานให้ค้น)

จนกระทั่งผมโตและเพิ่มพูนประสบการณ์มากขึ้นก็รู้ว่านิยายชุดนี้แต่งโดย C.S. Lewis  ใช้ชื่อว่า Chronicles of Narnia มีทั้งหมด 7 เล่ม  ซึ่งก็ไปตามหาซื้อ (ฉบับภาษาอังกฤษ) มาเก็บไว้ได้ครบ  มันเป็นนิยายคลาสสิกพิมพ์ออกมาอย่างต่อเนื่องจึงหาได้ไม่ยาก

ในจำนวนทั้ง 7 เล่มผมชอบเล่มแรกที่สุด  น่าจะเป็นเพราะได้อ่านสมัยยังเป็นเด็กที่สมองเต็มไปด้วยจินตนาการ  แถมในเล่มแรกที่ใช้ชื่อดั้งเดิมว่า The lion, the witch and the wardrobe นี้ยังเปิดเรื่องด้วยการให้มีเมืองซ่อนอยู่ข้างหลังตู้เสื้อผ้า เป็นจินตนาการที่ผมใช้ประจำ ตั้งแต่ยังไม่ได้อ่านหนังสือ (ฉบับของไทยวัฒนาฯ) ตอนเป็นเด็กอยู่กับคุณยายที่บ้านหลังใหญ่
  
ในห้องเสื้อผ้าของบ้านจะมีตู้เสื้อผ้าของแม่ คุณยาย 2 น้าสาว รวมแล้วหลายตู้  ผมชอบตู้ของแม่เพราะสูงและกว้าง  พอเปิดแล้วเดินเข้าไปได้  เอาหน้าไสไปกับเสื้อผ้าสะอาด ๆ ที่แขวนอยู่บนราว  มือก็คลำสะเปะสะปะพร้อมกับภาวนาให้ตู้ไม่มีด้านหลัง  แต่เป็นช่องเปิดไปสู่เมืองแห่งเทพนิยายที่เคยอ่านจาก นิทานกริมม์ หรือ นิทานแอนเดอร์ซัน  แปลโดย อาษา ขอจิตต์เมตต์  แต่คลำทีไรมือก็ไปชนแผ่นไม้หลังตู้ทุกที  ซึ่งก็ไม่เคยเข็ดสักครั้ง  ว่าง ๆ ก็เปิดเข้าไปคลำ ๆ

จนกระทั่งปี 2005 ก็มีคนเอาหนังสือชุดนี้มาทำหนัง  ตอนนั้นระบบ CG  พัฒนาแล้ว  งานจึงออกมาจึงตื่นตาตื่นใจ



ตัวอย่างหนัง

(หมายเหตุ – หนังก็สร้างไม่ครบชุดเช่นกัน)

บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 84  เมื่อ 12 ส.ค. 22, 15:35

เทพกรีกมักมีคู่แฝดอยู่ที่โรมันเสมอ

เทพแพนก็เช่น คู่แฝดของเธอที่โรมันชื่อว่า เทพฟอนนัส และคู่แฝดของ เซเทอร์ ก็คือ ฟอน

หากใครเป็นนักดูภาพยนตร์ คงจำฟอนตนนี้ได้



มิตรภาพสองโลก ลูซี่ ธิดาแห่งอีฟ และ คุณทัมนัส ฟอนแห่งนาร์เนีย
 




จากกระทู้ สัตว์ประหลาด
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 85  เมื่อ 13 ส.ค. 22, 13:39

ในปี 1993 มีคนจับชีวประวัติช่วงหนึ่งของ นักเขียน C.S. Lewis มาทำหนังโดยให้ชื่อว่า Shadowlands  เป็นเรื่องเกิดในยุค 1950s  ตอนนั้น C.S. ยังครองตัวเป็นโสดและได้เจอกับ poet สาวลูกติดชาวอเมริกันที่มีบุคลิกโผงผางไม่เหมือนใครอื่นในสิ่งแวดล้อมของเขา  นี่คือจุดเริ่มต้นของความรักแบบชนิดที่เรียกว่าเป็นรถไฟตีลังกา (rollercoaster – สำนวนเปรียบเทียบ)

C.S. ติดใจในบุคลิกของสาว



วาระสุดท้ายของสาว



ฉากจบ  ถ่ายวิวของอังกฤษที่สวยมาก (ประเทศโปรดของผมเลยละ)



ตัวอย่างหนัง



เมื่อปี 1993 อตน. ยังไม่เจริญพันธุ์  ผมไม่มีข้อมูลรายละเอียดของหนังเรื่องนี้นอกจากรายชื่อนักแสดง (อ่านใน SP)  ที่ผมนั่งดูเพราะผมชอบ Debra Winger  ตามความรู้สึกของผม  ผมว่าหน้าเธอสวยมาก

ผมรู้จักเธอ (แค่ชื่อ  จาก,again, SP) ครั้งแรกในหนังเรื่อง Urban Cowboy (1980)  ไม่แน่ใจว่าหนังมาฉายบ้านเรารึเปล่าเพราะผมไม่ได้ดู  แต่ที่แน่ ๆ soundtracks ของหนังเรื่องนี้มาอาละวาดตามคลื่นวิทยุอยู่ชั่วเพลาหนึ่ง  โดยเฉพาะเพลงลูกทุ่ง Looking for Love  ที่พวกเรานักฟังเพลงฝรั่งร่วมยุคทุกคนต้องจำได้  เปิดกันเกร่อจนเลี่ยนไปเลย



ผมมาได้ดูเธอเล่นหนังครั้งแรกในเรื่อง An Officer and A Gentleman (1982)  ปีต่อมาก็ได้ดูเธอตายจนร้องไห้ตาบวมจากเรื่อง Terms of Endearment  จากนั้นเมื่อหนังของเธอเข้ามาฉาย (Legal Eagles (1986), Black Widow (1987)) ผมก็ร่อนไปชื่นชมความสวยของเธอ  แต่เรื่อง Shadowlands ที่เธอตายเป็นครั้งที่ 2 นี้ไม่มาฉาย  ผมดูทางทีวี IBC 

DW ไม่ได้มีแค่ความสวย  หากมีความสามารถแบบหาคู่แข่งได้ยากเพราะเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ถึง 3 ครั้ง  เป็นหนังที่เธอต้องตายเสีย 2 เรื่อง
 
ข่าวและหนังใหม่ของเธอมาเข้าตาผมเรื่อย ๆ  แต่แล้วจู่ ๆ วันหนึ่งชื่อของเธอก็หายไปจากสื่อ  ผมสงสัยจังว่าเกิดอะไรขึ้น  แต่ไม่มีแหล่งให้ค้นข้อมูล  ก็เก็บความสงสัยไว้ในลิ้นชักมาโดยตลอด

จนกระทั่ง Wikiฯ เจริญพันธุ์ถึงสามารถหาข้อมูลได้ว่าเธอเบื่อการแสดงผสมด้วยเรื่องอื่น ๆ จึงหยุดการแสดงขณะที่กำลังรุ่งไปถึง 6 ปี (เริ่มจากปี 1995) พอกลับมาใหม่มันก็ผ่านยุคของเธอไปแล้ว



บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 86  เมื่อ 14 ส.ค. 22, 13:22

Far From Heaven สร้างในปี 2002 เล่าเรื่องแม่บ้านผู้ดีมีเงินที่อาศัยอยู่ในสิ่งแวดล้อมชั้นสูงในย่านสงบและสวยงามฝั่ง Connecticut  เธอมีพร้อมทั้งอาชีพการงานและสังคม  แต่วันหนึ่งสิ่งที่เธอค้นพบโดยบังเอิญไปสั่นคลอนชีวิตที่สวยงาม  สิ่งนี้สิ่งเดียวเป็นต้นเหตุให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล

หนังสร้างเลียนแบบหนังชีวิตหรู ๆ ในยุค 50s  เพราะเป็นงานในยุคใหม่ที่มีเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่า  การสร้างเลียนของดั้งเดิมในยุคเก่าผลที่ออกมาจึงเป็นงานที่เด่นกว่าต้นฉบับในทุกด้าน

สวยมาตั้งแต่ต้นเรื่องเลย (ชอบรถราที่สุด)



ชีวิตหรูหราตามแบบฉบับผู้ดียุค 50s



วันหนึ่งเธอก็มาพบความลับของผัวตัวเองโดยไม่คาดฝัน  มิน่าทำไมเขาถึงกลับบ้านค่ำเป็นประจำ



ในขณะเดียวกัน  ก็พบกับหนุ่มแปลกหน้าผิวดำ ซึ่งตอนแรกยังขยาด ๆ เพราะอิทธิพลการแบ่งแยกสีผิวยังเข้มข้น



แต่ต่อมาเธอก็พบว่าหนุ่มคนนี้สุภาพและอบอุ่นอย่างคิดไม่ถึง  แรก ๆ เธอพยายามเดินตรงตามจารีตประเพณี  แต่มันสวนกระแสความต้องการไม่ไหว  เธอเริ่มติดใจถึงขนาดสามารถเล่าความลับที่อัดแน่นอยู่ให้ฟัง  การพบกันของ 2 หนุ่มสาวต่างสีผิวที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งสร้างเรื่องซุบซุบนินทาและก่อให้เกิดปฏิกิริยาแผ่ไปทั่วย่าน









แม้คู่ผัวเมียจะพยายามพยุงสถานภาพการแต่งงานไว้แต่ผัวก็ทำต่อไปไม่ไหว  ในที่สุดก็ขอหย่าเพื่อไปใช้ชีวิตที่แท้จริงจริงตัวเอง



เมื่อสถานภาพชีวิตแต่งงานพังทลาย  สิ่งยึดเหนี่ยวที่เหลืออยู่คือหนุ่มต่างสีผิว  แต่ความสัมพันธ์นี้ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคม  หนุ่มต่างสีผิวถูกกดดันจนต้องย้ายถิ่นฐาน  ในท้ายที่สุดก็เหลือแต่เธอตัวคนเดียวในสิ่งแวดล้อมที่ดูภายนอกเหมือนฝันแต่จริง ๆ แล้วมันใช่รึเปล่า

นี่คือฉากจบ



Dennis Haysbert เคยสวมบทพ่อหม้ายลูกติดแบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่งในเรื่อง Love Fields (1992) ตอนนั้นเสน่ห์ของเธอมัดใจสาวทำผมชนชั้นกลาง Michelle Pfeiffer

หนังถ่ายทำออกมาสวยมากสมกับได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar  รวมถึงเพลงประกอบเรื่อง  ดารานำหญิง และบทภาพยนตร์

ตัวอย่าง


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 87  เมื่อ 14 ส.ค. 22, 14:52

เคยดูเรื่องนี้ค่ะ   รู้สึกเหมือนคนสร้างกับคนเขียนหักหลังคนดู  เริ่มด้วยฉากสวยๆ ชีวิตคุณนายแสนสบาย แล้วมาหักหลังกันในตอนต่อๆมา  จนกระทั่งตอนจบก็ยิ่งน่าเศร้าเข้าไปใหญ่  ตัวละครชายในเรื่องนี้อ่อนแอกันทุกคน  จนนางเอกผู้เข้มแข็งกว่าไม่อาจจะสู้ต่อไปคนเดียวได้

เวลาดูหนังที่ใช้ฉากยุค 1950s   แปลกใจนิดหน่อยว่าสมัยนั้นอากาศในอเมริกาหนาวกว่าสมัยนี้หรือไร  แค่คุณนายออกไปจ่ายของก็ต้องสวมเสื้อคลุมสวมถุงมือ บางทีก็สวมหมวกด้วย  ผิดกับสมัยนี้ที่เสื้อยืดตัวกางเกงตัวก็ออกไปได้แล้ว
ผู้หญิงยุคนั้นเขาต้องแต่งกายกันเต็มยศเวลาออกจากบ้าน   แม้แต่ไปซูเปอร์ ก็ยังสวมถุงมือสวมรองเท้าส่้นสูง   มันสะท้อนถึงระเบียบวินัยอันเคร่งครัดของสังคม   ที่อยู่เหนือความพอใจส่วนบุคคล
มิน่า ทั้งนางเอกและพระเอกถึงแหวกกฎเกณฑ์สังคมออกไปไม่ได้เลย   อยู่กันอย่างยอมจำนนให้กาลเวลาแก้ปัญหาของมันเอง
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 88  เมื่อ 15 ส.ค. 22, 13:54

ในปี 2002 นั้นมีหนังอีกเรื่องที่ดังกว่ามาก  ชื่อ The Hours  อ. ไม่น่าพลาดครับ  หนังเล่าเกี่ยวกับผู้หญิง 3 คนที่มีชีวิตอยู่ต่างช่วงเวลากัน คือ ช่วง 1920s, 1950s แล้วก็ยุคปัจจุบัน  ชีวิตของทั้ง 3 คนเชื่อมด้วยนิยายชื่อ Mrs. Dalloway เขียนโดย Virginia Woolf (ในเรื่องเล่นโดย Nicole Kidman  เธอได้ Oscar จากบทนี้)

Julianne Moore ที่เล่นใน Far from heaven ก็ได้บทสำคัญในเรื่องนี้ด้วยคือ  สาวตัวหลักในยุค 50s (เธอสวมคราบยุคนี้ได้สวยสง่าจริง ๆ)  ในปีนั้นเธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar ถึง 2 สาขา  คือนำหญิงจาก FFH และประกอบหญิงจาก The Hours  แต่วืดหมด  เธอต้องออกแรงอีกครั้งจึงได้รางวัลในปี 2015

ที่ไม่ได้เอาเรื่องนี้มาเล่าเพราะ  เนื้อเรื่องซับซ้อนมาก  โยงกันไปโยงกันมา  ตอนนั่งดูในช่วงแรก ๆ งงแสนงง  แต่การถ่ายทำดีมาก  งงได้ไม่นานก็สามารถประติดประต่อได้ ยิ่งตอนจบรู้ว่ามีตัวละครเชื่อมเหตุการณ์ของยุค 50s กับ ปัจจุบันแล้ว  แหม... มันขนลุกเกรียว
 
อนิจจามาปัจจุบันนี้เมื่อนึกย้อนไปกลับเกิดอาการงงเหมือนเดิม  เลยเล่าไม่ถูก

  
เล่นเปิดเรื่องแบบนี้ใครจะไม่งง  โชคดีที่เป็นผีหนัง  คุ้นเคยกับนักแสดงหญิงตัวหลัก 3 คนนี้เป็นอย่างดี  จึงเอาหน้าตามาเชื่อมกับช่วงเวลาได้  ถ้าคนไม่คุ้นกับนักแสดงหญิง 3 คนนี้ก็ต้อง งง ต่อไป



หลังจากฉากนี้  ที่เกิดในยุคปัจจุบัน



มาต่อที่ฉากนี้  2 ฉากที่ว่าที่ทำให้ผมขนลุกเกรียวเพราะมันโยงกับยุค 50s



ตัวละครทั้ง 2 ในยุค 50s

(ผมว่า ทีม casting เก่งมากในการเลือกนักแสดง 2 คนที่ต้องมารับบทเดียวกันแต่ต่างวัยกัน  โดยใช้ ดวงตา เป็นตัวเชื่อม)


ตัวอย่างหนัง

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 89  เมื่อ 15 ส.ค. 22, 14:13

คุณโหน่งชวนดิฉันไม่สำเร็จแล้วละค่ะ   พอได้ยินชื่อ Virginia Woolf  ก็ถอยแล้ว  ดิฉันเคยทำรายงานเรื่อง Mrs. Dallaway สมัยเรียนด้วยความทุกข์ทรมาน
งานของเธอถึงจะเป็นที่ยกย่องของนักวรรณคดีก็ตาม แต่ส่วนตัวชอบไม่ลง    คือเธอเป็นคนป่วยจิตเภทที่มีความสามารถอย่างหนึ่งคือรำลึกถึงรายละเอียดเมื่อครั้งอยู่ในภาวะป่วยทางจิตรุนแรงได้  ผิดกับคนทั่วไปที่จำอะไรช่วงนั้นไม่ได้
อ่านงานของเธอแล้วอยากจะบ้า    ตัวละครเอกคือเธอ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง   แล้วก็มีชะตากรรมแบบเธอคือฆ่าตัวตายในตอนจบ   สำหรับคนปกติต้องมาเรียนงานของคนไม่ปกติ มันกลืนไม่ลงจริงๆ
หนังจะสวยงามยังไง ก็ไม่รับประทานละค่ะ  ขอจานอื่นเถอะ
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 4 5 [6] 7 8 ... 26
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.148 วินาที กับ 20 คำสั่ง