เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 26
  พิมพ์  
อ่าน: 18086 ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 14 มิ.ย. 22, 08:31

ในขณะที่ฮอลลีวู้ดจด ๆ จ้อง ๆ กับการอนุมัติสร้างหนังเกย์ที่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่รู้ ๆ กันอยู่  คือ ต้องทำเงิน  เงื่อนไขนี้จึงทำให้ไม่มีหนังแนวห่างจากตลาดนี้ออกมาสู่สายตาผู้ชมเท่าไร  ตรงกันข้ามกับทางฝั่งยุโรปที่สร้างหนังแนวนี้ออกมาอย่างสม่ำเสมอ ตั้งแต่โบราณนานมาแล้ว  แต่เพิ่งมาขยายวงกว้างเมื่อยุค อตน. มาถึง

Un amour à taire มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า A love to hide  เป็นหนังเกย์จากฝรั่งเศสสร้างในปี 2005  เนื้อเรื่องย้อนยุคไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2  เล่าเรื่องหญิงสาวชาวยิวที่พยายามหลบหนีสาวกฮิตเลอร์อย่างไม่คิดชีวิตเมื่อได้รู้เห็นครอบครัวของเธอถูกฆาตกรรมสยอง  เธอกระเสือกกระสนไปหาที่พึ่งได้ในที่สุดคือบ้านของเพื่อนชายที่มีสถานภาพเป็นเกย์ซึ่งก็อาศัยอยู่กับแฟนหนุ่มอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เช่นกัน  ความสงบคงอยู่ได้ไม่นาน เมื่อความลับไม่มีในโลก เหตุการณ์ร้ายแรงก็อุบัติขึ้น

หนังปูพื้นด้วยฉากสังคมที่หลบซ่อน



ความสุขของ 2 หนุ่มก่อนพายุจะมา

(Jean (ผมทอง) กับ Philippe – นี่เป็นฉากเดียวของเรื่องที่มีบรรยากาศผ่อนคลาย)


สิ่งที่นำพายุมา…

ครอบครัวของ J เปิดร้านซักรีด  ส่วน P เป็นสมาชิกใต้ดินกลุ่มต่อต้านนาซี เขาทำหน้าที่ปลอมแปลงเอกสารเพื่อปกปิดความลับให้ชาวยิว หญิงสาวคือ Sarah ที่ครอบครัวของเธอโดนนาซีฆ่าอย่างโหดเหี้ยม  เธอเป็นแฟนในวัยเด็กของ J  เป็นสิ่งที่ P ไม่เคยรู้มาก่อน  เมื่อโดนซัก J ยอมรับว่าเขารัก S   แต่เป็นความรักคนละแบบ  ไม่เหมือนกับความรักที่เขามีให้กับ P

8.07 คือ น้องชายของ J ชื่อ Jacques ที่กำลังจะออกจากคุกเพราะเป็น ‘black marketeer’  แต่ออกมาแล้วก็ไม่ทิ้งลาย  เขาติดสินบนพวกนาซีโดยแอบมอบที่อยู่ของบรรดาลูกค้าร้านพ่อแม่ของเขาที่เป็นชาวยิวเพื่อแลกกับเสรีภาพในการทำอาชีพค้าขายใต้ดินต่อไปอย่างสะดวก  นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมลูกค้าที่ร้านถึงค่อย ๆ หายหน้าไปเรื่อย ๆ

P ปลอมแปลง ID ของ Sarah โดยใช้ชื่อใหม่ว่า Yvonne ส่วน J ก็พาเธอไปทำงานในร้านซักรีดของพ่อแม่ของเขา



เค้าพายุเริ่มก่อตัว  ชนวนคือน้องชายตัวแสบและขี้อิจฉา

Ja แอบหลงรัก S-Y  และก็เผอิญได้รู้เห็นความลับของพี่ชายของตน


Ja พยายามหว่านล้อมพี่ชายให้เลิกนิสัยนี้แต่พี่ชายทำไม่ได้ (Did you choose your blue eyes?) ในจุดหนึ่ง Ja ก็ยอมรับ  แต่แล้วในคืนที่เขาเมาและพยายามขืนใจ S-Y  ทำให้พี่ชายโมโหและลงมือสั่งสอน  นี่คือจุดที่ทำให้ Ja เคียดแค้นและวางแผนแก้เผ็ดพี่ชาย  แต่แผนไม่เป็นไปตามที่เขาคิด   Ja สำนึกผิดและพยายามแก้ไขอย่างเต็มที่  แต่เหตุการณ์ร้ายแรงเกินเยียวยาเสียแล้ว





ชีวิตดิ่งลงสู่ความพินาศ โดยเริ่มจาก P เป็นคนแรก



Ja แต่งงานกับ S-Y และมีลูก (ผมจำเหตุผลไม่ได้ว่าทำไมจึงตกร่องปล่องชิ้นกัน)  แต่สิ่งที่ Ja ทำลงไปในอดีตเพื่อช่วยพี่ชายให้พ้นจากข้อกล่าวหาที่ตัวเองกุขึ้นซึ่งล้มเหลวย้อนกลับมาทำร้ายเขา  มันลงเอยด้วยการฆ่าตัวตายเพื่อหนีปัญหา



ความพินาศดำเนินต่อไป  จบที่การสูญเสีย J



ตัวอย่างหนัง


คำบรรยายท้ายเรื่อง
"It was not until 2001 that the deportation of homosexuals was officially recognized by the French State. The deportation of German homosexuals began in 1933 with the Nazis' rise to power, then spread to annexed countries. According to the U.S. Holocaust memorial, 100,000 homosexuals were arrested between 1933 and 1945. 10,000 to 15,000 died in camps. The 1942 law criminalizing homosexuality was upheld at the Liberation. It wasn't repealed until 1981."


เรื่องนี้เป็นหนังที่สร้างสำหรับฉายทางทีวี (ฝั่งยุโรป) ที่ได้รับคำชมอย่างท่วมท้น  คะแนนที่คนดูมอบให้เฉลี่ยประมาณ 80%  ผมดูหนังเรื่องนี้ทาง dvd  เป็นต้นฉบับด้วยเพราะสั่งซื้อทาง Amazon's  ในยุคนั้นที่วงการบันเทิงต่างประเทศยังไม่แคร์เหล่าผู้ชมที่ไม่ได้สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ  dvd หนังภาษาอังกฤษเกิน 90% ที่วางขายจะไม่มี 'subฯ' ภาษาอังกฤษแนบมาให้  เวลาดูก็ฟังไปเดาไปหรืออ่านปากคนพูดเป็นตัวช่วยไป  โชคดีที่หนังเรื่องนี้ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ  ตอนทำเป็น dvd จึงต้องแนบ 'subฯ' ภาษาอังกฤษมาด้วย 'เพื่อการตลาด'  ผมก็เลยโชคดีไป  ดูด้วยความสนุกสนาน (เพราะมี 'ดิก' อยู่ข้างกาย)

คำว่า 'สนุกสนาน' ที่ว่าไปนั้นเป็นสร้อย  เพราะนำมาใช้กับการดูหนังเรื่องนี้ไม่ได้  สาเหตุเพราะมันเป็นหนังที่เครียดมาก โดยเฉพาะฉากที่ J ถูกทรมานในค่ายกักกัน  แล้วยิ่งตอนจบตายกันหมด  ถึงกับอึ้งไปเลย  มันเป็นหนังที่มีความจริงจังมาก  หนังเกย์ส่วนใหญ่มีบรรยากาศเบา ๆ น่ารัก ๆ มีปัญหากันพอหอมปากหอมคอ  แต่เรื่องนี้เป็นหนังเกย์ที่มีบรรยากาศเครียดที่สุดเท่าที่เคยดูหนังประเภทนี้มา
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 15 มิ.ย. 22, 09:29

... หนังเกย์ส่วนใหญ่มีบรรยากาศเบา ๆ น่ารัก ๆ มีปัญหากันพอหอมปากหอมคอ ...

เป็นต้นว่าเรื่องนี้...

The man with the answers (2021) เป็นหนังเกย์จากฝั่งยุโรป  ไม่รู้ว่าสร้างจากประเทศไหนเพราะตัวละครหลักมาจาก 2 ประเทศคือ Greece กับ Germany

จาก clip ข้างล่าง...  
0.00 – 1.58 ---- Victor (ตัวเล็ก) หนุ่มกรีกอายุ 20 กว่า  เคยเป็นอดีตแชมป์นักกระโดดน้ำแต่ตอนนี้หาเลี้ยงชีพในร้านทำเฟอร์นิเจอร์  เขาอาศัยอยู่กับคุณยายที่ป่วยด้วยโรคเรื้อรัง

วันหนึ่งคุณยายที่เขารักก็ตาย  V หนุ่มน้อยผู้จริงจังและเคร่งเครียดกับชีวิตเริ่มเซ็งชีวิตที่จำเจเลยเลิกทำงานแล้วเอาเงินที่สะสมไว้ไปซ่อมรถเน่า ๆ ที่ทางบ้านทิ้งขว้างไว้  แล้วเริ่มต้นออกเดินทางข้ามประเทศไปยัง Germany เพื่อไปเยี่ยมแม่ที่ห่างเหินไปตั้งแต่เด็ก ๆ ซึ่งตอนนี้มีครอบครัวใหม่ไปแล้ว

1.58 – จบ ---- ระหว่างทาง V พบหนุ่มตัวใหญ่ต่างเชื้อชาติชื่อ Matthias  หนุ่มคนนี้มีนิสัยตรงข้ามกันคือเป็นคนง่าย ๆ ช่างพูด ช่างสอดรู้สอดเห็น
 
2 หนุ่มเจอกันบนเรือข้ามฟากจาก Greece ไป Italy  ด้วยความช่างซัก ตัวใหญ่ก็รู้ว่าตัวเล็กกำลังเดินทางไป Germany อันเป็นดินแดนบ้านของเขา  ก็เลยใช้ความสามารถชักจูงขออาศัยไปด้วย

ระหว่างทาง หนุ่ม 2 ขนาดก็เรียนรู้นิสัยกันไป  กัดกันบ้าง  คิกคักกันบ้าง โดยอาศัยพื้นจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางนั้น  จนมาถึงบ้านแม่ของตัวเล็กที่ Germany   เหตุการณ์ไม่คาดฝันที่นั่นทำให้ตัวเล็กต้องทบทวนนิสัยความเป็นคนเคร่งเครียดของตัวเองและปรับตัวให้เข้ากับคนที่เขาสรุปว่าอยากอยู่ด้วย



ฉากย่อย ๆ จับมาจากตรงโน้นตรงนี้ของเรื่อง  

ตอนพบกันบนเรือข้ามฟาก  ตัวเล็กพบว่าตัวใหญ่มีนิสัยขี้ขโมยก็เลยพยายามอยู่ห่าง ๆ  แต่ด้วยระยะเวลาในทางเดินทางที่นาน  2 หนุ่มก็ต้องเจอกันบนเรือในที่สุด  ซึ่งตัวเล็กก็โกหกว่ารอนแรมมาด้วยสองขาเหมือนตัวใหญ่





ระหว่างทาง ตัวใหญ่ที่ช่ำชองการเดินทางมากกว่า  ชวนแฉลบไปเล่นน้ำกัน



ช่วงที่ยังรอนแรมอยู่ที่ Italy ตัวใหญ่ชวนตัวเล็กไปร่วมงานแต่งงานเพื่อน (การร่วมงานโดยไม่ได้บอกกล่าวเรียกว่า clash = มั่วนิ่ม)  ไปหาอาหารดี ๆ กินแบบฟรีด้วย



อีกหนึ่งตัวอย่างหนัง (ฉากต่าง ๆ ไม่ได้เรียงลำดับตามเหตุการณ์)



เพราะเป็นหนังในวงแคบ  จำนวนคนดูคงกระจิ๋วหลิว  clip ย่อย ๆ จึงมีน้อยมากทั้ง ๆ ที่ระหว่างทางมีเหตุการณ์น่ารัก ๆ น่าเอามาลงให้ดูเต็มไปหมด  เป็นต้นว่า 1.27 ของ clip ตัวอย่างข้างบนเป็นฉากเกิดขึ้นใน Italy เมื่อตัวเล็กเพลิดเพลินกับการขับรถจนโดนตำรวจจับ  ความที่ไม่รู้ภาษาถิ่น  เมื่อมาถึงจุดที่ตำรวจขอดูทะเบียนรถแล้วพบว่าเป็นชื่อผู้หญิง (คุณยายของตัวเล็กที่ตายไปแล้ว) ก็ถามว่าเป็นใคร  ตัวเล็กฟังไม่ออก  ตัวใหญ่ซึ่งชำนาญภาษากว่าก็เลยแปลให้ฟังว่า ตำรวจถามว่าชื่อผู้หญิงคนนี้น่ะคือใคร  ตัวเล็กไม่รู้ว่าตัวใหญ่กำลังแปลคำพูดของตำรวจให้ฟังเลยเหน็บไปว่า อย่าเสือก  ตัวใหญ่ก็เลยแปลเป็นภาษาอิตาเลียนให้ตำรวจฟังว่า ‘อย่าเสือก’  ผลก็คือ ไปโรงพัก

ส่วน 1.32 – เป็นฉากที่ตัวเล็กพบว่าตัวใหญ่ขโมยของอีกแล้ว  ก็เลยต่อว่า  ตัวใหญ่เถียงว่าร้านตั้งราคาเพื่อเอากำไรมากเกินไปต้องสั่งสอน  ตัวเล็กฟังแล้วไม่ชอบใจเลยเถียงกันว่า  รู้ว่าแพงก็อย่าไปซื้อซี่  ผลเลยกัดกัน  หนุ่ม 2 ขนาดก็เลยแยกทางกัน  แต่ไม่นานตัวเล็กก็รู้สึกว่าไปวุ่นวายกับชีวิตชาวบ้านก็เลยกลับมาตามหา  เกิดฉากง้อที่ป้ายรถเมล์ข้างถนนมีเบื้องหลังเป็นภูเขา (ภูเขา ‘แอ๊ว’ มั้ง) และทุ่งหญ้าเขียวขจี  ฉากนี้เป็นฉากที่สวยมาก  คนที่มีโอกาสได้สัมผัสจะเข้าใจว่ามันสวยและโรแมนติกอย่างไร  มันกว้างใหญ่ไพศาล  มองไปได้ไกลสุดลูกหูลูกตาตลอด 360 องศา  อากาศดี๊ดี  โอโซนทั้งนั้น  ลมพัดเย็นสบายจมูก  ถ้าเป็นช่วงที่ปลอดยานพาหนะ  รอบกายจะเงียบกริบเงียบจนเสียงที่ได้ยินคือ ‘The sound of silence’

หนังพูดภาษาอังกฤษตลอดเรื่องเพราะตัวละครมี 2 เชื้อชาติ  จึงต้องสื่อสารด้วยภาษากลาง  เป็นภาษาอังกฤษที่ฟังชัดหูมาก  จากประสบการณ์  ผมว่าคนที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาพื้นฐาน  เมื่อต้องพูดภาษาอังกฤษแล้วฟังชัดกว่าคนใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาพื้นฐาน

สรุปแล้วเป็นหนัง road movie ที่ดูเพลินตา  วิวยุโรปสวย ๆ ทั้งนั้น  เห็นแล้วคิดถึงสมัยยังแบกเป้ท่องเที่ยวในโลกกว้างอยู่  ตอนนี้ใจยังฮึกเหิมแต่กายบอกขอคิดดูก่อน

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 16 มิ.ย. 22, 08:22

ส่งท้าย Pride month (week here!) ด้วย mini series ยาว 2 ตอนจบ

ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือเป็นไปโดยบังเอิญ  36 ปีผ่านไปหลังจากหนัง Making Love ออกฉายครั้งแรก  ก็มีหนังที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับเกย์โดยตรงเรื่องที่ 2 ที่สร้างโดย major studio ออกมาฉาย  คือ Love, Simon (2008)  ซึ่งก็มาจาก Studio นามว่า 20th Century Fox อีกเช่นกัน  แต่การออกฉายของหนังเรื่องนี้มีบรรยากาศเป็นไปโดยสะดวกโยธินเพราะอำนาจของ ‘กาลเวลา’ หนังเรื่องนี้ยังเป็นหนังเกย์ในแนวที่ฝรั่งให้นิยามว่า ‘coming of age’ เรื่องแรกของ major studio (... Fox did it again!)

หมายเหตุ – Fun fact แจ้งไว้อย่างนี้  ผมสับสนกับสถิติแรกนิดหน่อยเพราะจากประสบการณ์ระหว่างทางก็ได้ดูหนังจาก major studio เกี่ยวกับเกย์อยู่เนือง ๆ  เช่น The Birdcage (1996), In & Out (1997) ฯลฯ


เนื้อเรื่องของหนังวนเวียนอยู่ในโรงเรียนระดับ ม. ปลายแห่งหนึ่งในอเมริกา  ตัวละครเอกคือ Simon เป็นเกย์แบบ ‘อยู่ในตู้เสื้อผ้า’ การดำเนินชีวิตของเขาจึงซับซ้อนกว่าของเด็กทั่วไป 

วันหนึ่ง S ก็ได้พบเรื่องประหลาดใจทาง online  เกี่ยวกับเพื่อนใน รร. ของเขาที่สารภาพว่าตัวเองเป็นเกย์  เจ้าตัวใช้นามแฝงว่า ‘Blue’  ไม่มีใครรู้ว่าเด็กคนนี้เป็นใคร  แต่ S ลิงโลดมากและเริ่มการสนทนา online กับ B แบบลับ ๆ  ความเหงาปนดีใจทำให้หนุ่ม S หลงรัก B  ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเห็นหน้าตา

ระหว่างนั้น S ก็พยายามสืบหาตัวตนที่แท้จริงของ B มาตลอด (ฉากนี้แทรกมาเป็นระยะ ๆ ตลอดเรื่อง  ล้วนเป็นมุขขำขัน)  แต่แล้วเกิดเรื่องน่าเซ็งเมื่อมีตัว ‘ห่วย’ ตัวหนึ่งซึ่งรู้จัก S เป็นอย่างดี  เผอิญจับผลัดจับผลู (จำไม่ได้แล้วว่าด้วยวิธีการใด) ไปรู้เรื่องของ S สารภาพความลับกับ B  ไอ้เวรนี่ก็ blackmail หนุ่ม S โดยให้ช่วยจับคู่มันกับเพื่อนสาวของเขาไม่งั้นจะเปิดโปง

ด้วยความตระหนก  S ทำตามแม้จะรู้ว่าเพื่อนสาวคนนั้นมีแฟนเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว  ผลที่ออกมานอกจากจะทำให้เพื่อนสาวกับแฟนหมางใจกันแล้ว  ยังเป็นการฉีกหน้าของตัว ‘ห่วย’  ทำให้มันอับอายเลยพาลกับ S  ด้วยการเปิดโปงต่อสาธารณะว่า S เป็นเกย์

หนุ่ม S เลยตกที่นั่งลำบาก  เพื่อนในกลุ่มต่างโมโหที่เขาปกปิดความลับแถมสร้างความวุ่นวาย  และที่แย่ไปกว่านั้นคือ B ก็โมโหที่ S สัพเพร่าปล่อยให้ ‘chat’ ของทั้งสองรั่วไหลออกสู่สาธารณะ  B ส่ง chat ต่อว่านี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลบข้อมูลทั้งหมด

S เครียดจัด  ไหนจะต้องพยายามง้อคืนดีกับเพื่อนกลุ่ม  ไหนจะต้องตกเป็นขี้ปากและโดนเพื่อนคนอื่น ๆ ล้อเลียน  แต่เรื่องทั้งหมดไม่เลวร้ายเท่าเรื่อง B เพื่อนสนิทคนเดียวหายหน้าไปจากชีวิตของเขา

S ลงข้อความแบบเปิดเผยขอโทษเพื่อนทุกคนรวมถึง B  และขอร้องว่า ไหน ๆ เรื่องก็ปูดออกมาแล้ว  เขาขอพบ B ที่งาน carnival   โดยที่เขาจะคอยอยู่บนเก้าอี้ชิงช้าสวรรค์  และจะคอยจนกว่า B จะปรากฏตัว

ที่งานฯ S ทำตามที่บอก  เขานั่งโดดเดี่ยวอยู่บนเก้าอี้ชิงช้าสวรรค์ซึ่งหมุนวนรอบแล้วรอบแล้ว  แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของ B   แล้วก็มาถึงรอบสุดท้าย  เงินในกระเป๋าของเขาหมดแล้ว  ไม่มีเหลือที่จะซื้อตั๋วรอบต่อไปได้อีก  แต่แล้ว ตัว ‘ห่วย’ ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องวุ่นวายก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับตั๋วชิงช้าสวรรค์อีก 1 รอบและอวยพรให้เขาโชคดีในเที่ยวนี้...


S ตอนยังอยู่ใน ‘ตู้เสื้อผ้า’



กับซี้สาวซึ่งแอบหลงรักเขามาโดยตลอด



รวบรวมฉากที่ S พยายามหาว่าใครคือ Blue



พ่อแม่ของ S รับรู้และยอมรับความลับของลูกชายได้ดีมาก





ผลจากการโดนเปิดโปง  นอกเหนือจากเข้าหน้าเพื่อนกลุ่มไม่ติดแล้ว

0.12 – Hey, Jackie. Did you date me because you think I look like a guy? No, I actually broke up with you because you don’t look like a guy. Oh, okay. Thanks! Welcome.

1.15 - You're not gonna braid my hair or paint my nails. Get your ass off the table now! You sweaty, hormonal virgins. You know what? You're about to be suspended for so long that by the time it's over, you're gonna be the fat, bald, unhappily married wildly mediocre nobodies you're destined to become.

1.51 - Uh-uh. That's mine now. I'm gonna sell it. Get my tubes tied. (เพราะ Ms. Albright เธอเป็น lesbian)


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 17 มิ.ย. 22, 08:35

Love, Simon กันต่อ...

ไอ้ตัวห่วยหลังจากพบว่าตัวเองทำเพื่อนแสบ  และการเปิดโปงทำให้ Blue โกรธจนเลิกคบ S ไปเลย

(S ใช้นามแฝงว่า Jacques)


S เผชิญหน้ากับเพื่อนในกลุ่ม



หลังจากสะสางเรื่องเรียบร้อยแล้ว S ก็ยืนยันตัวตนอย่างเป็นทางการ



Climax ของเรื่องที่เฉลยว่า Blue คือใคร  พ่อหนุ่มคนนี้โผล่โฉมออกมาประปรายตลอดทั้งเรื่อง  (โดยส่วนตัว ผมผิดหวัง  วาดภาพไว้ว่าน่าจะหล่อพอ ๆ กัน)



ตอนจบแบบเอาใจคนดู ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นแบบนี้เสมอไปสำหรับหนังเกย์



รีวิวน่ารัก ๆ เป็นเหตุการณ์ในฝันของ S ตอนยังอยู่ใน ‘ตู้เสื้อผ้า’

(เพลงดังอีกเพลงหนึ่งของ Whitney Houston ที่ทุกคนรู้จักดี  แม่ผมยังรู้จัก  แม่บอกว่านักร้องที่สั่นลูกคอไม่ได้  เลยต้องมาสั่นปากแทน)


ตัวอย่างหนัง



หนังสร้างจากนิยายขายดีเรื่อง Simon vs. the Homo Sapiens Agenda by Becky Albertalli   เมื่อออกฉายได้รับเงินและคำชมอย่างท่วมท้นผิดกับตอนเรื่อง Making Love ออกฉาย

…Critics praised the film for its "big heart, diverse and talented cast, and revolutionary normalcy", describing it as "tender, sweet, and affecting" and a "hugely charming crowd-pleaser" that is "funny, warm-hearted and life-affirming"…


หมายเหตุ - หลังจากดูหนังไปได้แป๊บ  ผมก็รู้สึกคุ้นหน้าเด็กหนุ่ม Simon มาก  เคยเห็นนักแสดงคนนี้จากไหนมาก่อนหนอ  เช็คไปหนึ่งอึดใจก็พบว่าเธอเคยเล่นใน Jurassic World ใน 2015  เวลาผ่านไปแค่ 3 ปี  พ่อหนุ่มตัวโตขึ้นผิดหูผิดตา (แต่หน้าไม่เปลี่ยน)



ความดังของหนังทำให้มีการนำ plot มาดัดแปลงสร้างเป็นหนังชุดทางทีวีโดยใช้ชื่อว่า Love, Victor  เป็นเรื่องราวเกิดขึ้นในโรงเรียนเดิมของ Simon  แต่ในเวลาต่อมาซึ่งตอนนี้ Ms. Albright เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของ รร.  เด็กเกย์คนนี้ชื่อว่า Victor  ซึ่งอยู่ใน ‘ตู้เสื้อผ้า’ เช่นกันแต่แรงบันดาลใจจากรุ่นพี่ Simon  ทำให้เขาตัดสินใจเปิดเผยตัวเอง  จากนั้นก็เป็นการแก้ปัญหาต่าง ๆ  หนังชุดนี้ก็ได้รับคำชมมากมายไม่แพ้ต้นฉบับ  ปัจจุบันก็ยังออกฉายอยู่เป็นฤดูกาลที่ 3 แล้ว

ตัวอย่าง



2 ตัวละครหลักของฉบับหนังโรงคือ Simon กับ แฟน ที่ตามท้องเรื่องของหนังชุดทางทีวีนั้น  จบจากโรงเรียนไปแล้ว  มาปรากฏตัวเป็นแขกรับเชิญ





เท่าที่ได้รับรู้มา คนไทยไม่ใช่คนต่อต้านชาวเกย์ด้วยวิธีการโหดร้ายเหมือนฝั่งตะวันตก ถ้าตามข่าว ตปท. จะพบข่าวชาวเกย์โดนฆ่าโหดโดยไม่รู้สาเหตุเป็นประจำ  ประมาณว่า ...มันเป็นเกย์  ต้องฆ่า... ข่าวแบบนี้ไม่เคยได้ยินในเมืองไทย  นอกจากมีคู่กรณี

เมื่อมาถึงหัวข้อหนัง  เมื่อได้ยินคำว่า หนังเกย์ ก็ตั้ง guard ไว้ก่อนว่า  ต้องเกี่ยวกับชายจูบชาย/หญิงจูบหญิง  ชายปล้ำชาย/หญิงปล้ำหญิง  ไม่ก็ชายกรี๊ดกร๊าดวี้ดว้าย/หญิงห้าวฮึกเหิมเกินหญิง เป็นตัวตลกของเรื่อง  เพราะวงการบันเทิงไทยหล่อหลอมเอาไว้แบบนั้น (เลิกแยแสไปแล้วเลยไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ยังเป็นแบบนี้รึเปล่า) แต่ความจริงเมื่อมองออกไปในโลกกว้างจะพบว่าหนังเกย์ก็มีเรื่องราวเหมือนหนังธรรมดาทั่วไปเพียงแต่ตัวละครเอกเป็นชายกับชาย/หญิงกับหญิง  ยังมีหนังเกย์อีกมากมายที่มีเนื้อเรื่องน่าสนใจ มีสาระน่าศึกษา  ไว้จะนำเสนอแทรกเข้ามา... เป็นระยะ ๆ…

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 20 มิ.ย. 22, 08:20

The day after tomorrow (2004) หนังหายนะระดับโลกที่ต้องผ่านตานักดูหนังฝรั่งบ้านเราอีกเรื่องหนึ่งที่ใช้ special effects ได้น่าตื่นตาตื่นใจมาก












ตาของพายุจะเป็นบริเวณที่สงบ






ถ้ามีโอกาสได้ดูซ้ำก็จะจ้องแต่ฉากเหล่านี้

Fun fact เล่าว่า ในรอบฉายโชว์  ทางผู้สร้างเชิญนักวิทยาศาสตร์หลายสาขาให้มาชมและวิจารณ์หนังโดยใช้หลักความเป็นนักวิทยาศาสตร์ของตัวเอง  ปรากฏว่าไม่มีใครชื่มชมเลย  แต่ทุกคนยอมรับว่า  หนังดูสนุกจริง ๆ

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 21 มิ.ย. 22, 08:26

เมื่อวานได้รับรู้ข่าวเล็ก ๆ เกี่ยวกับการเสียชีวิตของนักแสดงระดับตำนานคนหนึ่งชื่อ Jean-Louis Trintignant (1930 – 17 June 2022)  เป็นนักแสดงชาวฝรั่งเศสซึ่งก้าวไปเป็นนักแสดงที่ชาวโลกรู้จักจากหนังดังเรื่อง A man and a woman (1966)  หนังมาฉายที่เมืองไทยด้วยเพราะจำได้ว่าผู้ปกครองท่านหนึ่งไปดูมา  แต่ไม่ได้หิ้วผมไป
 
ใน SP ก็เคยเล่าเรื่องราวของหนังเรื่องนี้  ซึ่งก็ทำให้ผมได้รู้จักหนังรวมถึงนักแสดง  จำได้ว่า SP ชื่นชมความสวยของ Anouk Aimee  ฝีมือการแสดงในเรื่องนี้ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar แต่พลาด  หนังได้ชิง 4 สาขาแต่ได้มา 2 ตัวจาก สาขาหนังต่างประเทศยอดเยี่ยมและบทภาพยนต์ยอดเยี่ยม




ถึงจะไม่ได้ดูหนังแต่ soundtrack เพลงหลักของหนังดังก้องอยู่ในหูมาตั้งแต่เด็ก ๆ



ความดังของเพลงทำให้มีผู้แต่งคำร้องขึ้นแล้วมีศิลปินหลายรายนำมาร้องอย่างแพร่หลาย  รวมถึง Ray Conniff Singers  แต่ผมชอบฉบับของ Johnny Mann Singers ที่สุด



แล้วก็ความดังของหนังทำให้ ผกก. คิดสร้างภาคต่อของหนังต้นฉบับ  ออกมาเป็น A man and a woman: 20 years later (1986) ใช้นักแสดงนำชุดเดิม



ในปี 2019 ภาคต่อภาคที่ 3 จากฝีมือ ผกก. คนเดิมก็ออกมาฉายในชื่อว่า The best years of a life ซึ่งใช้นักแสดงชุดดั้งเดิมเช่นกัน  หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องสุดท้ายของ JLT



(หมายเหตุ – ผมไม่ได้ดูหนังที่เอ่ยถึงสักกะเรื่อง  ที่นำมาเล่าเพราะหนังและนักแสดงในเรื่องนี้เข้า ๆ ออก ๆ ในชีวิตผมมาตั้งแต่เด็ก  มีเรื่องขำขันที่อยากเล่า  คือความดังของเพลงทำให้มีการนำมาเปิดอยู่เนือง ๆ  วันหนึ่งในวัยเรียนหนังสือไปดูหนังกับเพื่อน  ระหว่างคอยเวลา  ร้านขายเทป cassettes  แถวนั้นก็เปิดเพลงที่ว่า  เพื่อนชอบก็ถามเพราะผมรู้เรื่องเพลงเยอะ  ผมก็พล่ามไปตามที่รู้  เล่าที่มาของเพลงที่มาจากหนัง  แล้วก็บอกชื่อนักแสดงซึ่งเป็นชื่อฝรั่งเศส  ผมไม่ได้เก่งฉกาจขนาดออกเสียงได้เอง  ชื่อคนภาษาอังกฤษยังเรียกผิด ๆ ถูก ๆ   ก็บอกไปตามที่จำมาจากที่คนเขียนเขียนใน SP   ชื่อนักแสดงผู้หญิงจำง่าย  พอมาชื่อนักแสดงผู้ชาย  ผมก็บอกไปตามที่จำได้
 
ตอนนี้จำไม่ได้แล้วว่าออกเสียงไปอย่างไร  แต่จำได้ว่าเพื่อนฟังแล้วสวนกลับมาด้วยเสียงสูง  ‘อะไรนะ... ชอง หลุย ทิงนองนอย เหรอ’ แล้วมันก็หัวร่อก๊าก  พลอยทำให้พวกเราที่เหลือขำกันท้องคัดท้องแข็งกับหูสร้างสรรค์ของมัน

จำเรื่องนี้ได้ไม่ลืม และดีใจที่มีโอกาสได้เล่าหลังจากเก็บไว้ตั้ง 40-50 ปี)





คิดว่าจะจบในม้วนเดียว  ยังนึกอะไรต่อได้อีก  แต่หมดเวลาสำหรับวันนี้เสียแล้ว  พรุ่งนี้จะมาเล่าใหม่
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 21 มิ.ย. 22, 12:10

ในกระทู้เดิมแต่เริ่มแรก ที่คห. 77 ครับ

         http://www.reurnthai.com/index.php?topic=4255.msg79989#msg79989
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 21 มิ.ย. 22, 14:31

ลืมสนิท งั้นลบดีกว่าค่ะ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 22 มิ.ย. 22, 09:37

ลืมสนิท งั้นลบดีกว่าค่ะ


The Great Gatsby... คุยอะไรกันหนอ

จำเหตุการณ์ได้ว่า  ตอนนั้นทีวีโหมกระหน่ำโฆษณา  ที่บ้านมีทีวีสีแล้ว... ยี่ห้อ RTA ของกองทัพบกเป็นผู้ผลิต   เห็นหนังสีสันสดใส (จากการปรับระดับสีด้วยแกน 3 แกน แดง-เขียว-น้ำเงิน)

พูดถึงหนังเรื่องนี้แล้วทำให้นึกถึงหนังอีกเรื่องที่เข้าฉายและโหมโฆษณาหนักพอกันคือ Barry Lyndon  เรื่องนี้ SP เชียร์มากกว่าเพราะ Marisa Berenson สวยกว่า Mia Farrow  ลิบลับ
 
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 22 มิ.ย. 22, 09:45

นึกได้อีกหน่อยเมื่อได้ฟัง soundtrack หนัง A man and a woman...

Composer ของหนังเรื่องนี้คือ Francis Lai เป็นชาวฝรั่งเศส  ในยุคที่ผมโตพอจำเรื่องไร้สาระได้  ผมเคยได้ดูหนังอยู่ 2 เรื่องมาฉายไล่เลี่ยกันที่โรงฯ President  (แต่ต่อมาสับสนเอามาปนเป็นเรื่องเดียวกัน  ดูหนังตะพึดตะพือก็อย่างนี้แหละ)    เป็นหนังจากยุโรปทั้งคู่  และเป็นหนังระดับ R ทั้งคู่  แต่ตอนนั้นยังไม่กร้านโลกเลยจับไม่ได้ว่า คณะกรรมการกองเซ็นเซอร์แห่งประเทศไทยแลนด์ ท่านให้ความกรุณาหั่นฉากไหนออกไปบ้าง

หนังทั้ง 2 เรื่องใช้ composer คนเดียวกันซึ่งก็คือ FL นี้  เป็นเพลงฟังโรแมนติกมาก  ในเวลานั้นเพลงจากหนังทั้ง 2  ดังอบอวลอยู่ในชั้นบรรยากาศของกรุงเทพฯ อยู่ช่วงหนึ่ง  ถึงกับมี spot โฆษณาสินค้าเอามาใส่เป็น background

เรื่องแรกคือ Bilitis (1977) เพลงดังกว่าอีกเรื่อง



เรื่องต่อมาคือ Passion Flower Hotel (1978) หนังเรื่องนี้ทำให้นักดูหนังฝรั่งชาวไทยรู้จัก Natasha Kinski  เป็นครั้งแรก  แล้วสื่อโฆษณาหนังทางทีวีรวมถึง SP ก็โหมไฟตัณหาให้เคลิบเคลิ้มไปกับความงามของเธอ

ตัวอย่างหนังเรื่องนี้ (ซึ่งหาได้ยากมากกกกกกก)



ผมนึกฉากนี้ไม่ออก  แต่ไม่เหลือรอดมาสู่สายคนไทยที่นั่งดูอยู่ในโรงฯ อย่างแน่นอน  ตามดูตั้งนานว่า ‘มันคือไรวะ’



ผลงานเพลงของ FL



เห็น (ตย.) หนังและฟังเพลงของทั้ง 2 เรื่องแล้วคงพอเข้าใจเนอะว่าทำไมในเวลาต่อมาผมถึงสับสนจำเป็นเรื่องเดียวกัน

ขยักไว้อีกนิด...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 23 มิ.ย. 22, 10:27

แต่ผลงานเพลงของ Francis Lai ที่โด่งดังที่สุด  และเป็นอมตะมาจนถึงปัจจุบัน  ส่วนตัวเธอเองก็คว้า Oscar อันเป็นรางวัลเดียวที่ได้รับจากการที่หนังเรื่องนี้เข้าชิงถึง 7 สาขา  แสดงว่าเด่นมาก ๆ ก็คือ...




ในปี 1970  ที่บ้านเรามี slogan ที่ฮิตสุดกู่ว่า ‘หากจะรักก็ต้องลืมคำว่าเสียใจ (ทำนองนี้)’  มันเป็น slogan ที่คนไทยคิดขึ้นเพื่อโปรโมทหนังรักเรื่อง Love story

หนังดังสุดขีด  ที่บ้านผมไปดูกับทั่วถ้วน  ยกเว้นผม ทำไมก็จำไม่ได้  ผมก็เลยฟังแต่เพลงแทน  เป็นเสียงร้องของ Andy Williams  เพลงดังในอันดับ billboard  ขึ้นถึง top 10


ฉากที่พี่ ๆ กลับมาเล่าว่า  ถ้าผมดูต้องร้องไห้เสียงดังจนคนใกล้ ๆ ต้องยื่นหน้ามาดุ





พยายามเข็นให้จบ  ไม่อยากให้ค้างคา  ต่อไปนี้จะมาไม่สม่ำเสมอครับ
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 26  เมื่อ 30 มิ.ย. 22, 10:59

        เมื่อวันที่ 9 มิย. ที่ผ่านมา, (สถาบัน) AFI(American Film Institute) จัดงานเชิดชูมอบรางวัลเกียรติคุณแห่งความสำเร็จ
        แด่ Dame Julie Andrews โดยมีเซเลบร่วมงานมากมาย นำโดย Carol Burnett เพื่อนรักพิธีกรคารมคมบาด และ
        คู่นักร้อง,กรรมการรายการ The Voices -Blake Shelton Gwen Stefani, นักแสดง Jayne Seymour และ
        คู่นักแสดง Bo Derek John Corbett (โบ เคยร่วมงานกับเดมในหนังเรื่อง 10 ซึ่งกำกับโดยสามีผู้ล่วงลับไปแล้วของเดม - Blake Edwards)



บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 27  เมื่อ 30 มิ.ย. 22, 11:07

          คลิป highlight ของงาน เมื่อบรรดาลูก ๆ ที่ยังเหลืออยู่ ได้แก่ Angela Cartwright, Duane Chase,
Nicholas Hammond, Kym Karath และ Debbie Turner ปรากฏตัวบนเวทีและร่วมร้องเพลง Do - Re - Mi กับผู้ร่วมงาน



          ส่วนสมาชิกอีกสามที่ไม่สามารถมาร่วมงานได้ - กัปตัน Christopher Plummer, สองลูกสาว Charmian Carr และ
Heather Menzies(คนขวานั่งอยู่กับ Cartwright ) คงจะร่วมแสดงความยินดีและร่าย มนต์รัก(ร้อง)เพลง(อยู่บน)สวรรค์


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 28  เมื่อ 30 มิ.ย. 22, 15:30

ดูรายการนี้ค่ะ  แปลกใจว่าทำไมลูกๆเหลือแค่ 5 คน  รู้ว่าคนโตเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว  ไม่นึกว่าลูกสาวอีกคนก็จากไปด้วย


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 29  เมื่อ 30 มิ.ย. 22, 15:36

พี่สาวคนโตจากไปก่อน


บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 26
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.086 วินาที กับ 20 คำสั่ง