เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26
  พิมพ์  
อ่าน: 18552 ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 360  เมื่อ 16 มิ.ย. 23, 12:06

ชอบฉากว่ายใต้น้ำของเอสเธอร์ฉากนี้ที่สุด   เธอเหมือนล่องลอยอยู่ในอากาศ  คู่กับโฮเวิร์ด คีล พระเอกเสียงทองแห่งยุค 1950s
ตอนเล็กๆ ดูแล้วเข้าใจว่าเธอหายใจในน้ำได้ เพราะยิ้มได้  แสดงลีลาได้หลายแบบ ต่อเนื่องกันนานๆใต้น้ำ



ไม่เห็นฟองอากาศด้วยครับ
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 361  เมื่อ 16 มิ.ย. 23, 12:11

ต่อหนังเรื่อง That’s entertainment (1974) – โรงอินทรา

ช่วงท้ายของหนัง TE จะเข้มข้นด้วยผลงานของดาราระดับแม่เหล็กที่คร่ำหวอดในวงการร้องและเต้น  เริ่มต้นด้วย




และผลงานอมตะ



หนังเรื่องนี้สนุกมาก  ผมดูตั้งหลายรอบ (ทาง I/UBC)  เรื่องหลักเกี่ยวกับปัญหาการสร้างหนังในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างหนังเงียบกับหนังเสียง  clip เหล่านี้ไม่เกี่ยวกับหนัง TE  แต่เอามาแทรกให้ดู







ดาราแม่เหล็กท่านต่อมา


ที่เลือกมาอีก clip เป็นหนังเรื่องสุดท้ายที่เธอทำสัญญาไว้กับ MGM (1950)



ในหนัง TE นี้  Judy Garland เล่าว่าในยุคนั้นดาราเด็กที่ดังที่สุดคือ Shirley Temple แต่แม่หนูอยู่ในสังกัดของ 20th Fox  ดังนั้น Studio ไหนอยากได้แม่หนูมาเล่นหนังก็ต้องมีการแลกตัวกันระหว่างแม่หนูกับดาราในสังกัดของตน (ค่าจ้างต่างหาก) 

สำหรับ MGM  ตอนนั้นมีดำริจะสร้าง Wizard of Oz  ก็อยากได้แม่หนู ST มาเล่นเป็นหนู Dorothy  MGM ถึงกับเสนอให้ยืมตัว Clark Gable กับ Jean Harlow เพื่อแลกกับแม่หนู ST คนเดียว (ใครแน่กว่ากัน) แต่การต่อรองมีปัญหาผลก็คือ 20th Fox ไม่ให้ยืมตัว  MGM เลยต้องขวนขวายหาเด็กที่จะมารับบทหนู D แทน นั่นแหละชื่อ JG ถึงได้อุบัติขึ้นในทำเนียบดารา

และคนสุดท้าย… ใครเอ่ย

สถานที่คือสถานีรถไฟ Grand Central  ที่ MGM เนรมิตขึ้นมาทั้งอาคาร  ไม่ต้องเหนื่อยขนย้ายไปถ่ายทำในสถานที่จริงที่ New York

จบจากนักแสดงระดับแม่เหล็กก็มาที่ตัวหนังที่เป็นจุดสูงสุดของยุค


ดูเพลินไปเลย

หนัง TE จบที่ clip ของหนังที่ MGM บอกว่านี่คือ Gem of the studio

หนังได้ oscar หนังยอดเยี่ยมปี 1952

หนังสารคดีเรื่องนี้ได้รับคำชมอย่างล้นหลามจนต้องออกตอนต่อมาอีกทั้ง ๆ ที่ได้โปรยหัวไว้ว่า   'such a production would never be repeated'  แต่ความคลาสสิกของมันทำให้ MGM ต้องกลืนน้ำลายตัวเองและออกตอนต่อออกมาถึง 3 ครั้งในปี 1976, 1985 และ 1994  นับเป็นหนังสารคดีหนึ่งในจำนวนน้อยเรื่องที่ออกตอนต่อได้มากขนาดนี้

จบแล้น...

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 362  เมื่อ 19 มิ.ย. 23, 12:16

James Dean เล่นหนังทั้งหมด 8 เรื่อง  เป็นบทเล็ก ๆ ตอนเริ่มต้นอาชีพเสีย 5 เรื่อง  3 เรื่องหลังเป็นบทนำที่ทำให้เธอดังสะท้านฟ้า คือ East of Eden (1955), Rebel without a cause (1955) และ Giant (1956)  ทั้ง 3 เรื่องนี้ผมได้ดูครบแต่ต่างเวลากัน  ได้ดู Giant ก่อนใคร  ตั้งแต่ยุคที่สื่อบันเทิงทางด้านหนังมีให้ชมได้ 2 ทางเองคือทางจอทีวีกับจอโรงหนัง  ทางจอโรงหนัง  หนังมาเข้าฉายที่เฉลิมไทย  ทำไมผมจำได้ก็ไม่รู้ยังไม่เกิดซะหน่อย  ผมมาได้ดูทางจอทีวี  หนังยาวและสนุกมาก  ตอนนั้นเด็ก  ไม่รู้จักนักแสดงเลยว่าพวกเขาดังสนั่น  จำได้ว่าเกลียดตัวละครของ JD เธอร้ายมาก  ตอนจบนั้นสะใจจริง ๆ

2 เรื่องที่เหลือ ผมได้ดูทางสื่อวิดีโอ  ในยุคที่วิดีโอครองตลาดเมืองไทย  มีร้านให้เช่าเกิดขึ้นยังกับดอกเห็ด  ตอนนั้นจำได้ว่า บ.ทำวิดีโอ ให้เช่าที่ดังที่สุดคือ บ.CVD entertainment  งานของ บ. นี้ประณีตมาก  ภาพคมชัดเสียงพากย์ระรื่นหู  แถมขณะพากย์เสียงต่าง ๆ ที่เกิดอยู่ในขณะที่หนังดำเนินเรื่องไปก็ไม่ขาดหายไม่เหมือนงานของ บ. อื่น

จำได้ว่า East of Eden เครียดมาก   แต่เรื่อง RWAC ค่อยยังชั่วลงหน่อย  หนังเรื่องนี้เล่าเรื่องปัญหาของวัยรุ่นในช่วงที่ฝรั่งเค้าบัญญัติว่า ‘coming of age’  มีตัวละครหลัก 3 คนที่ล้วนมีนิสัยรุนแรงก้าวร้าวเพราะต่างมีครอบครัวเฮงซวย  3 คนนี้มาเจอกันโรงพักเมื่อแต่ละคนโดนจับในข้อหาต่าง ๆ กันคือ

Jim ข้อหาเมาและอาละวาดในที่สาธารณะ ปัญหาส่วนตัวของเธออยู่ที่พ่อแหย แม่จอมบงการ  



Judy ข้อหาฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ปัญหาส่วนตัวของเธออยู่ที่พ่อไม่รัก เธอคิดว่าที่เป็นเช่นนั้นเพราะเธอไม่ใช่หนูน้อยน่ารักไร้เดียงสาอีกต่อไป  เธอพยายามดึงดูดความสนใจจากพ่อกลับคืนมาด้วย ‘การแต่งตัว’ แต่เรื่องกลับแย่ลงเมื่อพ่อเธอสรุปว่าดูเหมือน dirty tramp



บุคลิกของพ่อของวัยรุ่น 2 คนนี้ (เริ่มต้นเป็นของ Jim  ของ Judy เริ่มที่ 1.17)





ส่วนวัยรุ่นที่ 3 ชื่อ Plato เป็นเด็กผิวสีโดนจับข้อหาฆ่าลูกหมา  ปัญหาส่วนตัวของเธออยู่ที่พ่อทิ้งครอบครัวไปตั้งแต่เธอยังเตาะแตะ  ส่วนแม่ก็ไม่ค่อยอยู่บ้าน  ทิ้งให้เขาอยู่กับแม่บ้านเป็นประจำ



ต่อมา 3 คนนี้เป็นเพื่อนกัน  Jim หลงรัก Judy  ตอนแรกเธอไม่รักตอบ เพราะเธอมีแก๊งค์  



เกิดการปะทะกัน



นำมาซึ่งการท้าดวลที่เรียกว่า Chicken run



ผลคือโศกนาฏกรรม



มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 363  เมื่อ 20 มิ.ย. 23, 12:09

Rebelsฯ กันต่อ...

Jim รู้สึกผิดจึงไปปรึกษาพ่อแม่แต่คำตอบที่ได้ช่างหงุดหงิดใจมาก



Jim ตัดสินใจไปหาตำรวจ  แต่ตำรวจก็ไม่รู้จะตั้งข้อหาฆาตกรรมได้อย่างไรจึงไล่ให้กลับบ้าน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เจอ Judy คอยอยู่  เธอมาขอโทษในความประพฤติของตัวเอง  ทั้ง 2 ลงเอยด้วยความเข้าใจอันตามมาด้วยความรักในที่สุด (เฮ้อ... วัยรุ่น)  และตกลงกันว่าในเมื่อต่างมีครอบครัวห่วยแตก  งั้นหนีไปอยู่ด้วยกันที่อื่นดีกว่า



2 หนุ่มสาวเริ่มต้นด้วยการหนีไปหลบอยู่ที่ mansion ร้างของครอบครัว Plato  ฝ่ายแก๊งค์ที่หัวหน้าตายไปต้องการแก้แค้น Jim จึงออกตามหา  Plato รู้เรื่องจึงคว้าปืนของแม่แล้วรีบไปเตือน 2 หนุ่มสาว 



ที่ mansion ร้าง 3 วัยรุ่นได้มีโอกาสใช้ชีวิตกันอย่างเสรี  Jim กับ Judy คือพ่อแม่ ส่วน Plato คือลูกน้อยที่โหยหาความอบอุ่นของครอบครัว

(เป็นฉาก screen test)


ตอน Plato เผลอหลับ  Jim กับ Judy แอบไปพลอดรักกัน  แก๊งค์ตามมาพบ Plato หลับอยู่จึงข่มเหง  ผลคือสมาชิกแก๊งค์คนหนึ่งถูก Plato ยิง

2 หนุ่มสาวกลับมาเห็นเหตุการณ์  Jim พยายามปลอบ แต่ Plato หัวเสียเมื่อรู้ว่า 2 หนุ่มสาวทิ้งเขาไปพลอดรักกัน  เลยหนีไปที่หอดูดาว

2 หนุ่มสาวรีบตามไป  Jim เผชิญหน้ากับ Plato  เขาหลอกล่อ Plato จนใจอ่อนยอมแลกปืนกับเสื้อ jacket ของ Jim ที่ Plato ชอบ  ระหว่างนั้น Jim แอบถอดลูกกระสุนออกจากปืนของหนุ่มน้อย



ช่วงนี้ตำรวจมาออกันเต็มและหว่านล้อมให้ 3 วัยรุ่นออกมาจากหอดูดาว  Jim หว่านล้อมให้ Plato ปฏิบัติตาม  แต่เมื่อโผล่ออกมาจากประตู  ตำรวจเห็นว่า Plato มีปืนอยู่ในมือ  ความโกลาหลเกิดขึ้น  ลงท้ายตำรวจยิง Plato ตาย  ในขณะที่ Jim อาละวาดว่าเขาได้เตือนล่วงหน้าและได้ถอดลูกกระสุนออกจากปืนของ Plato ไปแล้ว



ฉากสุดท้ายของหนัง



ตัวอย่างหนัง


จากหนัง James Dean ทั้ง 3 เรื่องที่เอ่ยมา  ผมชอบหนังเรื่องนี้ที่สุด  3 ดารา James Dean, Natalie Wood และ Sal Mineo เชือดเฉือนบทกันโดยไม่ไว้หน้าใคร  แต่บนเวที Oscar ปรากฏว่า JD คนเดียวที่พลาดการเสนอชื่อ  ผมดูหนังของเธอทั้ง 3 เรื่อง  ผมว่าการแสดงของเธอเข้มข้นทั้ง 3 เรื่อง

แนวการแสดงของเธอมีชื่อเรียกว่า method acting ผมไม่อธิบายเพราะไม่สามารถเลือกคำแปลภาษาไทยได้พอเหมาะกับนิยาม  นักแสดงชั้นแนวหน้าที่ใช้วิธีนี้มีอีกอาทิเช่น Marlon Brando, Montgomery Clift
   
สำหรับเรื่องนี้เธอไม่น่าพลาด อย่างไรก็ตามสถิติเล่นหนังที่มีบทบาทนำเพียง 3 เรื่องแต่ได้เข้า Oscar ถึง 2 ครั้งนี่เป็นฝีมือที่ใครหยามไม่ได้

และที่สร้างสถิติหน้าหนึ่งให้กับวงการแสดงคือ เธอเป็นนักแสดงคนแรกของวงการที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar หลังจากเสียชีวิตไปแล้ว (ปี 1955)  เท่านี้ยังไม่พอ... หนังเรื่องที่ 3 สุดท้ายของเธอคือ Giant ซึ่งสร้างเสร็จทีหลังสุด  กว่าจะพร้อมออกฉายก็ปีถัดไป  JD ก็ได้เข้าชิง Oscar อีกเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกัน  เธอจึงเป็นนักแสดงคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล ฯ หลังจากเสียชีวิตไปแล้วถึง 2 ครั้ง

ตอนแรกหนังเรื่องนี้ได้รับการอนุมัติจาก Studio ให้เป็นหนังเกรด B  ใช้ฟิล์มขาวดำ  หลังจากถ่ายทำได้หนึ่งเพลินปรากฏตามมาว่า JD ดังสนั่นขึ้นแท่น Hollywood icon  จากหนัง East of Eden  ทาง Studio จึงปรับเปลี่ยนให้เป็นหนังฟอร์มใหญ่แล้วเปลี่ยนเป็นฟิล์มจากขาวดำเป็นสี  ฉากขาวดำทั้งหมดจึงต้องมีการถ่ายทำใหม่โดยใช้ฟิล์มสี

Humphrey Bogart หนึ่งในดาราระดับยักษ์ของฮอลลีวู้ดยุคทองกล่าวถึงความดังของ JD ว่า "Dean died at just the right time. He left behind a legend. If he had lived, he'd never have been able to live up to his publicity."

Joe Hyams นักเขียนประวัติดาราในยุคทองและ columnist กล่าวว่า มีดาราชายจำนวนน้อยคนมากที่ไม่ได้เป็น sex symbol ให้กับแค่สาว ๆ แต่เป็น sex symbol ให้กับบรรดาหนุ่ม ๆ ด้วย  คือ JD, Montgomery Clift แล้วก็ Rock Hudson

สำหรับรสนิยมทางเพศของ JD เสียงที่มั่นใจว่าเธอเป็นหนุ่มชอบสาว กับเสียงที่มั่นใจว่าเธอเป็นหนุ่มชอบเพศเดียวกัน มีน้ำหนักสูสี  เพราะต่างก็มีตัวอย่างเหตุการณ์มาอ้างอิง  Elizabeth Taylor เพื่อนสนิทของเธอได้สรุปไว้ว่า "He hadn't made up his mind. He was only 24 when he died....”




สำหรับนักแสดงหนุ่มอีกคนคือ Sal Mineo เป็นเกย์แบบอยู่ในตู้เสื้อผ้า  เธอเล่าว่าหลังจากฉากสุดท้ายของเรื่องที่เธอโดนยิงตายถ่ายทำเสร็จสิ้น JD ขลุกอยู่กับเขาตลอดทั้งวันไม่ปล่อยให้คลาดสายตา  SM โดนแทงตายในปี 1976 อายุ 37 ปี




3 Rebels without a cause


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 364  เมื่อ 22 มิ.ย. 23, 12:14

Ruthless People เข้ามาฉายในบ้านเราในปี 1986  จะเป็นโรงฯ อะไรก็สุดจะจำได้  ระหว่างดูก็สรุปก่อนหนังจบว่าเป็นหนังที่สนุกมาก  ตล้กตลก  หนังเดินเรื่องว่องไว  ใช้เวลาเพียงชั่วโมงครึ่งก็จบแล้ว  ด้วยความยังสนุกไม่หาย  วันเสาร์ของอาทิตย์ต่อมาผมก็ไปตีตั๋วเข้าชมอีกรอบ  หัวเราะเอิ๊ก ๆ กับฉากจี้ ๆ ทั้ง ๆ ที่เคยเห็นมาแล้วเมื่ออาทิตย์ก่อน  หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่ผมได้เห็น Bette Midler ในฐานะนักแสดง  ก่อนหน้านี้เคยได้ยินแต่เสียงร้องเพลงของเธอหรือภาพนิ่งจากหนังสือ SP  เห็นแล้วถูกใจ  เธอยิ้มได้ว้านหวาน

หนังเรื่องนี้มีตัวละครเด่นอยู่ 3 คู่คือ Bette Midler ในบทลูกสาวทายาทธุรกิจร้อยล้าน (ตรงนี้ตอแหลเอาเอง  รู้แค่รวย)  Danny de Vito ในบทผัวเส็งเคร็งที่จับ BM เพราะต้องการไต่เต้าในธุรกิจนี้  แล้วก็มีคู่ของ Judge Reinhold กับ Helen Slater ผัวเมียหนุ่มสาวในวัยหากินที่โดน DDV ทำแสบคือไปโขมยไอเดียประดิษฐ์สินค้าของเมีย HS ไปครอบครองเป็นของตัวเองแล้วผลิตออกขาย   คู่ที่ 3 คือ เมียน้อยของผัว DDV กับชิ้นหนุ่มของนาง

เปิดเรื่องมาก็สนุกเลย  ไม่มีอารัมภบทใด ๆ   DDV อยู่กับเมียน้อย กำลังพล่ามถึงความเกลียดชังที่มีต่อเมียหลวงรวยเละ BM  ของตนและกำลังหาทางฆ่าอยู่  นังเมียน้อยนั่งคอยให้กำลังใจ



นี่คือฉากภายในบ้านของผัวเมียที่เมียเป็นใหญ่ (BM)  การตกแต่งบ้านเป็นไปตามไอเดียของเมีย BM  ว่าจะฆ่าเมียเสียหน่อยแต่ดันหาไม่เจอเจอแต่อีหมาเวรของเมีย



หารู้ไม่ว่าเมียสุดชัง BM โดนจับตัวไปเรียกค่าไถ่เสียก่อนแล้วด้วยเหตุผลข้างต้น



การเจรจาค่าไถ่ก็เริ่มขึ้น



การนัดหมายเพื่อแลกตัวกับค่าไถ่ก็เกิดขึ้น  แต่ผัวเฮ็งซวย DDV ไม่เคยมาตามนัดซักที  นัดก็เลยต้องเลื่อนอยู่นั่นแล้ว ผัวเมียหนุ่มสาวเลยจำต้องเลี้ยงดูเหยื่อค่าไถ่เศรษฐีนี BM ไปพลาง ๆ  ความที่ทั้งคู่ไม่ใช่คนเลวชาติแต่ออกจะแหยแฝ่นด้วยซ้ำ  การเลี้ยงดูจึงออกมาในรูปอย่างดีมีที่นอนพร้อมอาหารอร่อย ๆ  3 มื้อ  วัน ๆ เมีย BM ไม่รู้จะทำอะไรดีก็ออกกำลังกายไปตามเรื่อง

(0.21 – สมัยโน้น magazine เมืองนอกแต่ละเล่มจะมีน้ำหอมแห้งฉาบมาในหน้ากระดาษให้คนฉีดเอาไปถูทา  มีเยอะแยะหลากยี่ห้อ  ผมเห็นแล้วนึกถึงตัวเอง  คือทำเป็นประจำเวลาไปยืนดู magazine (ตัวอย่าง) เหล่านี้ที่ห้าง central สีลม  เป็น nostalgia ของผมอย่างหนึ่ง  เวลาทำต้องแอบทำนะ  ไม่ได้ฉีกเพียงแต่แง้มออกมาแล้วเอานิ้วมือป้าย ๆ มาถูกับคอ)


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 365  เมื่อ 23 มิ.ย. 23, 12:17

Ruthless people (ต่อ)

ความที่ผู้ลักพาตัวไม่ได้เป็นคนสันดานโหดร้าย  ช่องทางการหลบหนีจึงเกิดขึ้น



เป็นเรื่องน่าแปลกใจที่นัดเจอกันทีไร  ฝั่งคนเจ้าของเงินค่าไถ่เบี้ยวนัดทุกที  จนผัวหนุ่ม JR สงสัยเลยไปถามเมียเศรษฐีนี BM ว่าทำไมล่ะ



ความที่นัดจ่ายเงินเลื่อนแล้วเลื่อนอีก  เวลาก็ยืดยาวออกไป ในที่สุดเมีย BM ที่แต่แรกอ้วนท้วนก็กลายเป็นสาวหุ่นดีมีชัย  คนถูกลักพาตัวกับคนลักพาตัวก็เลยร่วมกันชื่นมื่น



เมีย BM ได้รู้ความจริงว่าค่าตัวของเธอถูกลงเรื่อย ๆ   กระนั้นผัว DDV ก็ยังเบี้ยวนัดต่อไป

(Kmart เป็นห้างที่ได้ชื่อว่าขายของถูกชอบมีนโยบายลดราคาสินค้า)


การแก้แค้นผัวแมงดาเฮงซวยที่กำกับโดยเมีย BM ก็เริ่มขึ้น





(2.53 – ชู้หนุ่มสมองไม่เต็มกะโหลกของเมียน้อยของผัว DDV  โผล่เข้ามาเพราะมีแผนจะเอาแย่งเงินค่าไถ่ไป)


แล้วก็ลงเอยแบบนี้



ส่วนตอนของหนังก็แบบ ‘หนัง ๆ’  



ตัวอย่างหนัง



หมายเหตุ – นักแสดงที่รับบทชู้หนุ่มสมองกลวงคือ Bill Pullman ที่ในอีก 10 ปีต่อมา เธอกลายเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา  ในหนังเรื่องดัง (แต่สุดจะเลี่ยนในความคิดของผม) Independence Day (1996)

อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นใด้ในรั้วของวงการบันเทิง


สำหรับ BM สาวยิ้มหวานของผม  ตอนนี้อายุปาเข้าไปใกล้ 80 แล้ว  ในปีนี้ (2022) เธอกลับมาดังอีกครั้งในหนังตอนต่อจากปี 1993 ชื่อ Hocus Pocus (เคยคุยถึงไปนานน้านนานแล้ว)  หนังที่ครั้งแรกไม่มีใครคิดว่าจะมีตอนต่อได้เพราะนอกจากไม่ทำเงินแล้วยังทำให้ค่าย Disney ขาดทุนตูดแหว่งวิ่น  แต่หนังดันเข้าไปอยู่ในใจของผู้คนในเวลาต่อ ๆ มาทุกครั้งที่เทศกาล Halloween มาถึง  จนทำให้มันกลายเป็น cult classic



อุดมไปด้วยฉากตลกงี่เง่า ๆ เช่นเดิม  ซึ่งให้ความบันเทิงเต็มที่


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 366  เมื่อ 26 มิ.ย. 23, 12:07

ช่วงที่ยังดูทีวีอยู่ ช่อง TCM เอาหนังของ Alfred Hitchcock มาฉายมากมาย Vertigo, North by Northwest, To catch a thief, Rear window ฯลฯ รวมถึงหนังอันเป็นเครื่องหมายการค้าของเธอคือ Psycho (ได้เห็น John Gavin สุดหล่อ in action เป็นครั้งที่สอง  ครั้งแรกจากเรื่อง Imitation of life  หล่อและแมนไม่น้อยหน้า Rock Hudson  เสียดายเส้นทางในวงการบันเทิงไม่พุ่งแรงเท่า) และ The  Birds ที่เล่นโดย Tippi Hedren ที่เป็นแม่ของ Melanie Griffith

หนังอีกเรื่องที่สนุกมากคือ Dial M for murder (1954)  ดัดแปลงมาจากละครเวที  เนื้อหาก็คือ ผัวจับได้ว่าเมียมีชู้จึงจำเป็นต้องฆ่า  แต่จะลงมือเองก็ไปติดเงื่อนไขที่จะทำให้ตัวเองเป็นที่เพ่งเล็ง  คือต่างฝ่ายต่างทำพินัยกรรมไว้ว่า ถ้าฝ่ายหนึ่งตายอีกฝ่ายจะได้มรดกทั้งหมด  

ผัวเลยต้องไปว่าจ้างมือสังหารมาทำหน้าที่แทน

หนังปูพื้นละเอียดตั้งแต่การสรรหามือสังหาร  ว่าต้องเป็นคนที่ไม่สามารถตลบหลังได้  และรวมถึงการวางแผนอย่างไรให้รัดกุมรอบคอบ  โดยไม่โดนเข้าปิ้งทั้งคู่

ตอนที่คิดจะเล่าเรื่องนี้  ยังคิดต่อว่า เอ... ถ้าจะงานหนักเพราะ ต้องบรรยายเยอะซึ่งไม่มีเวลามากพอ  จะยกเพียงจุดโน้นจุดนี้มาเล่า  ท่านผู้อ่านก็จะได้อารมณ์ไม่ชัดเจน  มีหนังหลายเรื่องมากที่ทำให้ผมประสบปัญหานี้ หลายเรื่องมีความละเอียดซับซ้อน  ไม่สามารถนำมาเล่าได้อย่างน่าเสียดาย

แต่โชคดีจังที่เรื่องนี้ มีจิตอาสาสรุปมาให้  ทุนเวลาไปเยอะ (เสียดายมีไม่บ่อย)

นักแสดงที่เล่นในบทสำคัญคือ Ray Milland ในบทผัวชื่อ Tony   Grace Kelly ในบทเมียชื่อ Margot (อ่านว่า มาร์โก)  Robert Cumming ในบทชายชู้ชื่อ Mark  และ Anthony Dawson ในบทมือสังหาร (โดยจำยอม)

รายละเอียดเป็นช่วง ๆ
7.01





8.41



12.00 – ไม่ใช่ถ่านนาฬิกาหมด  แต่ยุคนั้นเป็นเพราะไขลานนาฬิกาตึงเกินไป

ข่าวเล่าว่า  ตอนแรก AH จัดให้ GK อยู่ในชุดกรีดกรายสีแดงกำมะหยี่ในฉากออกมารับโทรศัพท์กลางดึก  แต่ GK ท้วงว่า "This robe would be perfect in Lady Macbeth's sleepwalking scene, but not something I would wear just to answer the phone."  AH เลยขอความเห็นซึ่งเธอบอกว่า ในคืนที่ต้องนอนแอ้งแม้งอยู่คนเดียว หล่อนต้องใส่ชุดนอนธรรมดา ๆ   AH ก็ตามใจ  ผลปรากฏว่างานออกมาเนียนกว่าที่คาดไว้แต่ต้น  ตั้งแต่นั้น AH เลยให้ GK เลือกเครื่องแต่งกายในฉากอื่น ๆ

ส่วนฉากที่ 2.48 ถ่ายทำซ้ำหลายครั้งเพื่อให้ภาพกรรไกรอยู่ในมุมที่ให้ความรู้สึกสยดสยอง  นอกจากนี้ตัวกรรไกรจะต้องสะท้อนแสงเพื่อเสริมความสยดสยองนั้นด้วย  AH ให้เหตุผลว่า "It had to be nicely done, but there wasn't enough gleam to the scissors, and a murder without gleaming scissors is like asparagus without the hollandaise sauce, tasteless”


15.08



19.00



20.00



31.50



ตัวอย่างหนัง



หนังถ่ายทำในระบบ 3 มิติ (เพิ่งรู้แฮะ มิน่าฉากสำคัญ ๆ ถึงถ่ายออกมาเสียใกล้ลูกตาคนดู)

หนังตื่นเต้นตลอดเรื่อง  และตื่นเต้นที่สุดในฉากท้าย ๆ ของเรื่องที่อยากรู้ว่า ‘ความผิดพลาด’ ของการวางแผนฆาตกรรมนี้เกิดขึ้นตรงไหน

นี่เป็นหนังเรื่องที่ 3 ของ Grace Kelly ที่เล่นให้กับ ผกก. Alfred Hitchcock  อีก 2 เรื่องคือ Rear Window (1954) กับ To catch a thief (1955) ที่เธอหรูหราในเครื่องแต่งกายชั้นนำ

รายชื่อนักแสดงที่ AH เลือกไว้ในใจคือ Cary Grant, Deborah Kerr และ William Holden  กาลต่อมาปรากฏว่า DK กับ WH ติดงานถ่ายหนังเรื่องอื่น  ส่วน CG ไม่ยอมเล่นบทคนใจอำมหิต  ข้อเสนอตกมาถึง RM ซึ่งคว้ามับพร้อมบอกว่า  ‘ด้วยความยินดี’

คนที่เป็นแฟนหนังของ AH จะรู้ว่า  เอกลักษณ์ในการทำงานของเธอ  คือจะเอาตัวเองเข้าไปแหยมในหนังทุกเรื่อง  บางทีก็เดินผ่าน  บางทีก็นั่งอยู่ตรงมุมฉาก ฯลฯ  เรียกว่า cameo  ในเรื่องนี้  ตัวเธออยู่ในภาพถ่ายที่เป็นส่วนหนึ่งของ plot สำคัญ




หมายเหตุ - ขอขอบคุณ คุณแมวเล่าหนัง

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 367  เมื่อ 26 มิ.ย. 23, 13:32

ไม่เคยชอบหนังของคุณปู่แกสักเรื่องเดียวค่ะ   ประหลาดมาก
ดูไม่ว่าเรื่องไหนก็รู้สึกว่าบทมันไม่เนียนเลยสักเรื่องเดียว   มีเงาของคุณปู่มายุ่มย่ามเต็มไปหมด 
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 368  เมื่อ 27 มิ.ย. 23, 11:58

เรื่องนี้เด็ดขาดครับ ‘จาร

Strangers on a train (1951) เป็นหนังแนวสั่นประสาทจากฝีมือการกำกับของ Alfred Hitchcock อีกเรื่องหนึ่งที่นักวิจารณ์ทั้งอดีตและปัจจุบันให้การยกย่องถึงระดับ 4 ดาว




หนังเล่าเรื่องชายแปลกหน้า 2 คนมาเจอกันบนรถไฟ  หลังจากคุยกันถูกคอถึงขนาดเล่าปัญหาส่วนตัวแลกกันฟัง  คนหนึ่งก็เสนอว่าน่าจะ ฆ่า ทิ้งซะ  แต่ควรจะใช้วิธี ‘ทำให้ซึ่งกันและกัน’ จะได้ไม่เป็นที่สงสัยของตำรวจ

ฉากเจอกันครั้งแรกของชายแปลกหน้า 2 คนบนรถไฟ  คนหนึ่งเป็นนักเทนนิส  อีกคนหนึ่งเป็นหนุ่มท่าทางมีเงิน  ทั้ง 2 คุยกันถูกคอ  เรื่องที่คุยมาถึงเรื่องส่วนตัวเมื่อ หนุ่มมีเงินรู้ (ความจริงรู้มานานแล้วจากการค้นคว้า) ความลับว่านักเทนนิสมีเมียแล้วแต่เจ้าหล่อนร่านมากจนเขาอยากฟ้องหย่าแล้วไปแต่งกับผู้หญิงลูกสาวนักการเมืองที่แอบคั่วกันอยู่  แต่ความหวังที่จะหย่ายากขึ้นเมื่อ  เมียสำส่อนดันรู้ตัวว่าท้องโดยหาพ่อไม่เจอ  เจ้าหล่อนเลยไม่ยอมตกลงหย่า

หนุ่มมีเงินแนะนำว่าเรื่องแบบนี้ต้องฆ่าทิ้งแต่นักเทนนิสจะทำด้วยตัวเองไม่ได้  เป็นต้องโดนจับ  เขาจึงยื่นข้อเสนอว่าจะดำเนินการให้เพื่อแลกกับการที่นักเทนนิสจะต้องฆ่าพ่อที่เขาเกลียด เป็นการยื่นหมูยื่นแมว (ใช้สำนวนนี้ใช่ปะ)  เหตุผลคือคนโดนฆ่าโดยคนแปลกหน้า  โอกาสที่ฆาตกรโดนจับนั้นยากมาก

นักเทนนิสตะลึงกับข้อเสนอแต่บอกปัด ตอนผลุนผลันจากไปนักเทนนิสดันลืมไฟแช็คไว้



แทนที่จะรอการตกลงให้เป็นกิจลักษณะ  หนุ่มมีเงินที่ตอนนี้คนดูรู้แล้วว่าเป็นโรคจิตด้วยก็ลงมือฆ่าเมียสำส่อนของนักเทนนิสโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า



แล้วมาดักแจ้งนักเทนนิสว่า  มีของขวัญมาให้ซึ่งก็คือแว่นตาของเมียที่เลนส์แตกกระจาย  ซึ่งก็หมายความว่าสามารถฆ่าเมียของเขาได้สำเร็จแล้ว  ตานี้ก็ถึงคิวที่นักเทนนิสจะทำงานให้เขาบ้างซึ่งก็คือไปฆ่าพ่อของตน



เมื่อนักเทนนิสปฏิเสธพร้อมบอกว่าไม่เคยได้บอกการตกลงแบบนั้นเลย  หนุ่มมีเงินโรคจิตก็เริ่มตามรังควาน  ถึงขนาดเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในวงจรชีวิตของนักเทนนิส



1.33 - หนุ่มมีเงินโรคจิตเมื่อเห็นหน้าน้องสาวของแฟนนักเทนนิสถึงกับตะลึงเพราะหน้าเหมือนเมียนักเทนนิสที่ตัวเองเพิ่งลงมือฆ่าไป  และทำโจ๊กสาธิตเรื่องวิธีการฆาตกรรมคนให้ชาวบ้านดู เผอิญช่วงนั้นน้องสาวของแฟนใหม่ของนักเทนนิสเดินเข้ามาในฉาก  หนุ่มมีเงินโรคจิตเห็นเข้าก็นึกถึงเมียนักเทนนิสที่ตัวเองเพิ่งฆ่าไปอีก  เพราะ 2 คนนี่หน้าตาคล้ายกัน  อารมณ์เผลอทำให้เขาบีบคอผู้หญิงที่ตัวเองกำลังสาธิตอยู่จนเกือบตาย



น้องสาวแฟนใหม่ของนักเทนนิสเล่าเรื่องให้พี่สาวฟัง  ทำให้เธอประติดประต่อเรื่องได้ว่าฆาตกรที่ฆ่าเมียนักเทนนิสคือใคร  เธอจึงไปเล่าให้นักเทนนิสฟังและนักเทนนิสก็เผยเรื่องแผนฆาตกรรมของหนุ่มมีเงินโรคจิตออกมา

หนุ่มมีเงินโรคจิตเดินเรื่องต่อด้วยการส่งรายละเอียดในการฆ่าพ่อของตนมาให้นักเทนนิส  นักเทนนิสรีบไปที่บ้านหนุ่มมีเงินโรคจิตเพื่อแจ้งพ่อของเขาแต่กลับต้องเผชิญกับตัวหนุ่มมีเงินโรคจิตแทนเพราะความไม่ไว้ใจ

เมื่อเห็นว่านักเทนนิสจะล้มแผนหนุ่มมีเงินโรคจิตจึงเปลี่ยนแผนเป็นลวงให้ตำรวจจับนักเทนนิสข้อหาฆ่าเมียตัวเอง  ด้วยการย้อนกลับไปที่สถานที่เกิดเหตุแล้วทิ้งไฟแช็คที่นักเทนนิสลืมทิ้งไว้บนรถไฟตั้งแต่ต้นเรื่องไว้เป็นหลักฐาน แต่พนักงานของสวนสนุกคุ้นหน้าหนุ่มมีเงินโรคจิตว่าป้วนเปี้ยนอยู่ในวันเกิดเหตุฆาตกรรม  จึงไปแจ้งตำรวจ  ในขณะที่ด้วยความเอะใจ นักเทนนิสจึงตามมาทัน ความโกลาหลจึงเกิดขึ้น (ฉากนี้ตื่นเต้นและสนุกมาก)



ตามด้วยฉาก aftermath



ตัวอย่างหนัง



Cameo อันเป็นเอกลักษณ์ของ ผกก. AH อยู่ที่ฉากที่นักเทนนิสลงจากรถไฟ




บทนักเทนนิสเล่นโดยนักแสดงชื่อ Farley Granger  บทหนุ่มมีเงินโรคจิตเล่นโดยนักแสดงชื่อ Robert Walker  ทั้งคู่เป็นนักแสดงระดับรองในยุคทองของฮอลลีวู้ด  RW ตายหลังจากเรื่องนี้ถ่ายทำแล้วเสร็จไปเพียง 8 เดือนเนื่องจากแพ้ยาที่ใช้รักษาโรคติดสุรา

FG เป็นนักแสดงเกย์แต่ปกปิดอีกคนหนึ่งของฮอลลีวู้ดยุคทอง  เธอเคยให้สัมภาษณ์ว่าช่วงการถ่ายทำหนังเรื่องนี้และได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับ RW เป็นประสบการณ์ที่เขามีความสุขที่สุด  ในยุค studio  เธอมีหน้าฉากเป็นคู่ตุนาหงันกับ Shelley Winters และ Ava Gardner

ในตอนหนึ่งของบันทึกส่วนตัวชื่อ ‘Include Me Out’ ที่ออกขายในปี 2007  กล่าวถึง FG ที่เล่าถึงฮอลลีวู้ดยุคทองว่า

Granger feels lucky to have been a part of Hollywood's Golden Age. He writes about what may have been the quintessential Hollywood party. Gary Cooper called to invite Granger to a party for Clark Gable. Granger quickly accepted.

The Cooper estate overflowed with the town's elite: Greer Garson, Ronald Colman, Jimmy Stewart, David Niven, Ray Milland, James Mason, Deborah Kerr, Myrna Loy and many others.

"Clark Gable arrived late, and it was an entrance to remember," Granger writes. "He stopped for a moment at the top of the stairs that led down into the garden. He was alone, tanned, and wearing a white suit. He radiated charisma. He really was The King.''




หมายเหตุ – หนัง Strangers on a train เป็นหนังขาวดำเรื่องเดียวในชีวิตที่ผมดูซ้ำถึง 2 ครั้ง  เพราะมันสนุกมาก ๆ

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 369  เมื่อ 29 มิ.ย. 23, 11:56

To kill a mockingbird ออกฉายในปี 1962  หนังสร้างจากนิยายรางวัล Pulitzer ปี 1960 เขียนโดย Harper Lee

หนังสนุกมาก  เล่าทีละน้อย  รวดเดียวเดี๋ยวเบื่อ  เสียดายเสน่ห์ของหนัง

หนังดำเนินเรื่องตามปากเล่าของตัวละครเอกในเรื่อง  ส่วนเหตุการณ์ของท้องเรื่องเกิดขึ้นในปี 1932  จุดศูนย์กลางอยู่ที่ครอบครัวของผู้เล่าอันประกอบด้วยพ่อหม้าย (Atticus Finch) และลูกวัยอยากรู้อยากเห็น 2 คน  เป็นชาย 1 (Jem) หญิง 1 (ทอมบอยชื่อเล่นว่า Scout)

หัวหน้าครอบครัวทำหน้าที่ทนายสมถะที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ว่า ‘All people deserve fair treatment’ อาชีพการงานของเขาจึงรับใช้ชนชั้นล่างมากกว่า  ผลที่ได้คือฐานะการเงินอยู่ในขั้นจุ๋มจิ๋มเพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่มีเงินจ่าย  จึงมักจ่ายด้วยผลิตผลที่ตนทำอาชีพอยู่เช่นผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ฯลฯ

การดำเนินเรื่องของหนังเริ่มแรกแยกเป็น 2 plot

Plot แรกเกี่ยวพ่อที่โดนว่าจ้างให้เป็นทนายแก้ต่างให้กับนิโกรที่โดนใส่ความว่าข่มขืนสาวผิวขาว  ส่วน Plot 2 หนักแน่นในช่วงแรก  เกี่ยวกับความซุกซนของ 2 พี่น้องที่ต่อมามีเด็กสอดรู้สอดเห็นมาร่วมสร้างความโกลาหลด้วยอีก 1 รวมเป็น 3  

เป้าหมายหลักของเด็กทั้ง 3 คือ  Boo เพื่อนบ้านหนุ่มลึกลับที่พวกเขาไม่เคยเห็นหน้าตา  เคยแต่ได้ยินกิตติศัพท์ที่หนักไปทางขนพองสยองเกล้า

วันหนึ่งในวันหยุดเทอม  เด็กทั้ง 2 ฆ่าเวลากันอย่างสนุกนาน  Cunningham เป็นอีกหนึ่งลูกค้าที่ AF ให้ความช่วยเหลือ  แต่ไม่มีเงินจ่าย  เลยเอาผลิตผลที่ตนทำอาชีพมาส่งส่วยแทน

เด็กทั้ง 2 ไม่เคยเรียก AF ว่าพ่อ... 3.49 คือเด็กคนที่ 3 ชื่อ Dill  ดูเหมือนคนแคระนะผมว่า... 5.30 เป็นบ้านของ Boo  

กิตติศัพท์ของ Boo (ดูเฉพาะภาคแรก)

ป้าของ Dill คือนักแสดงชื่อ Alice Ghostley ซึ่งต่อมานักดูหนังฝรั่งชาวไทยคุ้นตากับบทแม่มดเฟอะฟะ Esmeralda ในหนังทีวีชุด แม่มดเจ้าเสน่ห์


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 370  เมื่อ 30 มิ.ย. 23, 11:51

เกมนี้ท่าทางสนุก แต่ผมคงไม่เล่นเพราะเวียนหัวตายชัก clip จบที่มันกลิ้งเข้าไปในเขตบ้านของ Boo  Jem วิ่งขึ้นไปแตะประตูหน้าบ้านเพราะ Dill เคยท้าไว้ว่าเขาไม่มีทางทำได้



ดีใจที่มีคนเอาฉากน่ารักนี้มาปล่อย  มีการเฉลยว่าทำไมเด็ก 2 คนถึงไม่เรียก AF ว่าพ่อ



เด็กทั้ง 3 ตัดสินใจไปสืบหา Boo ชายลึกลับ  ดูไปก็ตื่นเต้นไป

1.48 ตอนแรกผมสงสัยที่ Jem สั่งว่าให้ถุยน้ำลาย  มองก็ไม่เห็นว่าทำทำไม  นึกว่าทำไสยศาสตร์ประมาณตัดไม้ข่มนาม  สักแป๊บก็เข้าใจ  ถุยใส่บานพับที่เป็นสนิทให้มันลื่นนั่นเอง


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 371  เมื่อ 03 ก.ค. 23, 11:12

ในที่สุดก็เปิดเทอมเด็กทุกคนไปโรงเรียน  รวมถึง Scout  

2.28 เด็กชายที่โดน Scout กระหน่ำคือลูกชายของ Cunningham ในตอนต้นเรื่อง  ดูไปเรื่อย ๆ แล้วชอบ Scout ที่สุด  ท่าทางเอาเรื่อง  แก่นแก้วสุดขีด เธอแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้าได้น่าร้ากน่ารัก...

ในที่สุด Jem ก็ชวนเด็กชายไปกินข้าวที่บ้าน

2.20 คำอธิบายว่า ทำไมถึงไม่ Kill a mockingbird

but to remember it was a sin to kill a mockingbird.
- Why? –
Well, I reckon... because mockingbirds don't do anything but make music for us to enjoy. Don't eat people's gardens. Don't nest in the corn cribs. They don't do one thing but just sing their hearts out for us.

3.41 ชอบช่วงนี้มาก  สมกับอุดมการณ์ของ AF ที่ว่า  ทุกชีวิตมีความเท่าเทียมกัน

ฉาก AF ยิงหมาบ้า  Jem หมกมุ่นกับปืนมาก  คงอยากมีเป็นของตัวเองแต่พ่อไม่ให้  1.10 สีหน้าพ่อหนูตอนเห็นพ่อตัวเองยิงปืนนัดเดียวหมาจอด



ข้ามมาที่ plot ของ AF  เขาไปสืบหาข้อมูลที่บ้านของนิโกรที่โดนกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรข่มขืน  ผู้ชายตอนท้าย clip คือพ่อของสาวที่โดนข่มขืนที่ปักใจมั่นว่าหนุ่มนิโกรเป็นผู้กระทำ

เด็ก 2 คนสืบทอดเจตนารมณ์ของพ่อคือ ทุกชีวิตเท่าเทียมกัน


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 372  เมื่อ 04 ก.ค. 23, 12:01

หนังเรื่องนี้มีบทเรียนให้ศึกษาเยอะแยะเช่นตอนต้นของ Clip นี้


2.35 ท่าเดินแบบ Egyptian ของ Jem  ทำให้ผมนึกถึงเพลง (อดแขวะเข้ามาหาเพลงไม่ได้อ้ะ) ดังสุดขั้วในปี 1986 ชื่อ Walk like an Egyptian ไม่ได้  ไม่รู้ผู้แต่งเนื้อและออกแบบท่าได้แรงบันดาลใจมาจากฉากนี้ของหนังรึเปล่า


3.08 เด็กทั้ง 2 จะพบของกระจุกกระจิกในโพรงต้นไม้ข้างบ้านอยู่เนือง ๆ  ล่าสุดคือตุ๊กตาที่สลักจากสบู่เป็นรูปเด็กชายหญิงที่ดูแล้วรู้ทันทีว่าคือ Jem กับ Scout

AF โดนนายอำเภอขอร้องให้ไปช่วยอารักขาความปลอดภัยให้กับหนุ่มนิโกรด้วยได้รู้มาว่า  จะมีฝูงอันธพาลมากำจัด  เด็ก 3 คนแอบตามมาและเข้ามาขวางการใช้กำลัง  Scout แก้สถานการณ์ (ด้วยความไร้เดียงสา) ให้กับพ่อของตัวเอง  

1.10 มีศัพท์ entailment ซึ่งผมไม่เข้าใจ
Entailment or fee tail is the process in which a property cannot be sold, devised by will, or otherwise done anything with by the owner. The property passes by law to the heir of the owner upon his death. Entailment was used to keep properties in the main line of succession. The heir of an entailed property could not sell the land, or give it to say an illegitimate child.

In this context Mr. Cunningham has been telling Atticus and the children about his property is entailed.


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 373  เมื่อ 06 ก.ค. 23, 11:58

ครึ่งหลังของหนังเป็นฉากการไต่สวนที่สนุกมาก  นั่งอ้าปากบ๋อดูอย่างตั้งใจ  AF เป็นทนายแก้ต่างให้กับจำเลย Tom Robinson  ศาลสมัยก่อนไม่มีพิธีรีตองอะไรมาก

นี่คือพ่อของสาวที่อ้างว่าโดน TR ข่มขืน



ส่วนนี่คือนังลูกสาวตัวแสบ



นี่คือ TR



ผลของการพิจารณาคดี ซึ่งก็ไม่แปลกใจแต่อย่างไร  ก็เหล่าลูกขุนผิวขาวผ่องเป็นยองใยกันถ้วนทั่ว  ฉากท้าย clip น่าประทับใจมาก



ถึงแม้ผลการตัดสินของศาลจะออกมาว่า TR ผิด  แต่ AF ไม่ยอมแพ้เขาจะทำเรื่องขออุทธรณ์ต่อไป  เขาบอก TR ให้อดทน  แต่ TR มองไม่เห็นอนาคตของตัวเอง  ระหว่างคุมตัวไปฝากขัง  TR พยายามหลบหนีเลยโดนเจ้าหน้าที่ยิงตาย  Clip นี้เป็นฉากที่ AF เดินทางไปบอกข่าวร้ายกับครอบครัวของ TR  ไอ้เวรท้าย Clip คือ  Bob Ewell  พ่อขี้เมาตัวแสบ



มีต่อ..
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 374  เมื่อ 07 ก.ค. 23, 12:29

เหตุการณ์ผ่านไปจนกระทั่งถึงวัน Halloween  ทุกคนลืมเรื่อง TR นักโทษคดีข่มขืนไปเรียบร้อย  ต่างสนุกสนานกับงานประกวดการแต่งกาย  จัดขึ้นที่โรงเรียน หนังไม่ได้ลงรายละเอียดว่าใครได้  แต่คืนนั้น scout แต่งเป็นแฮม (คงจะขาหมู) พอถึงเวลางานเลิกก็ปรากฏว่ามีคนโขมยเสื้อผ้าของเธอ  แม่หนูเลยต้องใส่ชุดขาหมูกลับบ้าน

ระหว่างเดินทางกลับบ้านเกิดอะไรขึ้นเชิญทัศนา



ฉากต่อเนื่อง  (0.59 – กรุณาเงี่ย...  พวกผู้ใหญ่คิดว่าเป็นฝีมือของพ่อหนู Jem  อีกช่วงหนึ่งคือ 2.12  ถ้าไม่ใช่พ่อหนู Jem แล้วใคร... เล่นเอาน้ำตาซึม)



เหตุการณ์ต่อจาก clip ข้างบนซึ่งไม่มี clip สนับสนุน
Mr. Finch, do you think Jem killed Bob Ewell? Is that what you think? Your boy never stabbed him. Bob Ewell fell on his knife. He killed himself.

There's a black man dead for no reason. Now the man responsible for it is dead. Let the dead bury the dead this time, Mr. Finch.

I never heard it was against the law for any citizen to do his utmost to prevent a crime from being committed, which is exactly what he did.

But maybe you'll tell me it's my duty to tell the town all about it, not to hush it up. You know what'll happen then. All the ladies in Maycomb, includin' my wife, will be knockin' on his (Boo’s) door bringin' angel food cakes.

To my way of thinkin', takin' one man, who done you and this town a big service, and draggin' him with his shy ways into the limelight. To me, that's a sin. It's a sin.

And I'm not about to have it on my head. I may not be much, Mr. Finch, but I'm still Sheriff of Maycomb County, and Bob Ewell fell on his knife.

Good night, sir.

Mr. Tate was right. What do you mean? Well... it would be sort of like shooting a mockingbird, wouldn't it?


ตอนจบของหนัง

Thank you, Arthur. Thank you for my children.

Narrator: Neighbors bring food with death and flowers with sickness and little things in between. Boo was our neighbor. He gave us two soap dolls, a broken watch and chain, a knife and our lives.

One time Atticus said you never really knew a man until you stood in his shoes and walked around in them. Just standing on the Radley porch was enough.

The summer that had begun so long ago had ended, and another summer had taken its place. And a fall.

And Boo Radley had come out (ถ้าเป็น dialogue ในยุคนี้ก็หมายความถึง  Boo ประกาศว่า 'ข้าเป็นเกย์ (come out)). I was to think of these days many times, of Jem and Dill and Boo Radley and Tom Robinson. And Atticus.

He would be in Jem's room all night, and he would be there when Jem waked up in the morning.


ผมเพิ่งบอกไปว่าในชีวิตดูหนังขาวดำซ้ำสองครั้งเรื่องเดียวคือ Strangers on a train  ที่จริงด่วนสรุปไปหน่อย  แก่แล้วเลอะๆ เลือน ๆ  หนังเรื่องนี้ก็ดู 2 ครั้งเช่นกัน

ดูหนังเรื่องนี้ครั้งแรกทาง IBC  นมนานกาเล  ก่อน SOAT เสียอีก  จำอะไรไม่ได้เลยนอกจากว่าสนุก  เมื่อไม่นานนี้ Website ให้โหลดหนังเอาเรื่องนี้มาปล่อย  ก็กลืนน้ำลายตัวเองเป็นครั้งที่เท่าไรก็สุดจะจำที่บอกว่าไม่ชอบหนังขาวดำ  โหลดมาดูอีกครั้ง  อยากรู้ว่าที่จำได้ไม่ลืมว่ามันสนุกนั้นสนุกอย่างไร  

ปรากฏว่ามันสนุกอย่างนี้นี่เอง  สนุกจนลืมความความหดหู่ของสีขาวดำไปเลย  ฉากการไต่สวนตื่นเต้น  ทำให้นึกถึงฉากนี้ในหนังเรื่อง Judgement in Nuremberg
  
แต่ที่ชอบที่สุดคือฉากตอนต้นเรื่อง ผมชอบบรรยากาศของทิวทัศน์ (แม้จะเป็นในโรงถ่าย) มันสบาย ๆ สดใส  ปราศจากเทคโนโลยี  คิดว่าถ้าเป็นเด็กในยุคนั้นคงมีความสุข  มีความทรงจำมากมายสามารถเล่าให้ลูกหลานฟังในภายภาคหน้า  เหมือนกับเรื่องราวของหนังเรื่องนี้

หนังประสบความสำเร็จในทุก ๆ ด้าน  รายได้มากเป็น 6 เท่าของต้นทุน  ได้เข้าชิง Oscar 8 สาขา  และได้มา 3  เป็นสาขานำชาย Gregory Peck  บทภาพยนตร์ และ Art Direction ซึ่งหลังจากดูแล้วไม่ประหลาดใจ

แต่ที่เสียดายมากคือ นักแสดงประกอบหญิงคือ Mary Badham ในบท Scout  ไม่น่าพลาดเลย  เธอแสดงอารมณ์ทางสีหน้าได้ดีจริง ๆ

Pedigree ของหนังเรื่องนี้คือ  In 1995, the film was selected by the Library of Congress for preservation in the National Film Registry as "culturally, historically, or aesthetically significant". In 2003, the American Film Institute named Atticus Finch the greatest movie hero of the 20th century. In 2007, the film ranked twenty-fifth on the AFI's 10th anniversary list of the greatest American movies of all time. In 2020, the British Film Institute included it in their list of the 50 films you should see by the age of 15.  

หมายเหตุ ที่บอกว่าเนื้อเรื่องหนังมาจากการบอกเล่า  คนที่เล่าเรื่องนี้ก็คือ Scout ในตอนเป็นผู้ใหญ่

อีกหนึ่งหมายเหตุ – มีสาวกหนังเรื่องนี้สรุปเรื่องราวของฮีโร่ Boo ให้

บรรยายของ youtube ห่วยแต่ก็ยังดี  


จบแล้นนน
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.148 วินาที กับ 19 คำสั่ง