เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 26
  พิมพ์  
อ่าน: 18512 ฉากประทับใจในหนังเก่า (4)
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 150  เมื่อ 05 ต.ค. 22, 14:09

Four weddings and a funeral กันต่อ


งานที่ 5 คืองานแต่งงานของหนุ่ม Charles เองกับ 1 ในสาว ๆ ที่ตัวเองเคยคั่วในอดีต  ในหนังไม่เผยว่าใครคือเจ้าสาวในทันที  หลอกล่อคนดูให้งงว่า ใครวะ พอหอมปากหอมคอ
 
ในงาน สาว Carrie ก็ (ดัน) มาร่วม  แต่คราวนี้ตัวเปล่าเล่าเปลือย  เอาละซี  ทำไงดีละหว่า 
 
อัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยในการตัดสินใจคือ หนุ่มน้อย (โคตรน่ารัก) David  ก่อนหน้า clip นี้เธอให้ตัวเลือกพี่ชายสำหรับการตัดสินใจ ข้อ 1 คือ 'Go ahead with it (หมายถึงงานแต่ง)' ข้อ 2 คือ "Sorry folks, it's all off (หมายถึงงานแต่ง)" ส่วนข้อที่สาม (ตอนนั้น) เธอยังคิดไม่ออก  มาคิดออกใน clip นี้



ตอนจบก็รู้ ๆ กันอยู่



ช่วง ending credit มีการเผยว่า  ยังมีงานแต่งตามมาอีกเพียบ  รวมถึง งานของเจ้าสาวที่ไปไม่ถึงฝันของ Charles (ชุดแรก) งานของหนุ่มน้อย David  แล้วก็งานของเพื่อนซี้สาวในกลุ่มซึ่งมีช่วงหนึ่งสารภาพว่าเธอหลงรัก Charles มาตั้งแต่วัยรุ่น  แต่ในที่สุดเธอก็ได้แต่งงานกับชายที่ชื่อ Charles เหมือนกันคือ...  Prince Charles

เพลงนี้ชื่อ Chapel of love เป็นเพลงดังในปี 1964 ของวงนักร้องหญิงผิวดำ Dixie cups  ในหนังนี้ Elton John นำมาร้องใหม่


มี clip รวบรวมคำว่า ‘fuck’ ที่ HG และเพื่อนสาวสบถจนคล่องปาก  มีทั้งหมด 28 ครั้ง



มีต่อ (อีกเล็กน้อย) ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 151  เมื่อ 06 ต.ค. 22, 12:18

Four weddings and a funeral ตอนจบ... เป็นควันหลง


ตอนทำสัญญาก่อนถ่ายทำหนัง Andie MacDowell  'นางเอก' มองเห็นการณ์ไกลในอนาคตของหนังเรื่องนี้  เธอไม่รับเงินค่าจ้างแต่คิดเปอร์เซ็นต์จากรายได้ของหนัง  ผลคือเธอได้รับเงินทั้งหมด 2 ล้านเหรียญ (ทุนของหนัง 4.4 ล้าน  รายได้รวม 245.7 ล้าน ครองตำแหน่งหนังอังกฤษที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลมาหลายปี) ในขณะที่ Hugh Grant เซ็นสัญญาด้วยการรับค่าจ้าง เธอได้เงินหลังจากทำงานเสร็จ 1 แสนเหรียญ

ทุนการสร้างของหนังเรื่องนี้จำกัดจำเขี่ยมาก  ในเวลาถ่ายทำแค่ 2 เดือนกับอีก 2-3 วัน นักแสดงสมทบหลายคนต้องนำเสื้อผ้าของตัวเองมาใส่เข้าฉาก
 
นี่เป็นหนังเปิดตัว HG กับโลกฮอลลีวู้ด  หนังได้รับการเสนอเข้าชิง Oscar 2 สาขาคือ หนังยอดเยี่ยม กับ บทหนังยอดเยี่ยมที่ทุกคนชื่นชมมากเพราะคนเขียนแจกบทให้กับตัวละครสำคัญ ๆ ได้ครบ  แม้จะมากบ้างน้อยบ้าง  เสียดายที่พลาดรางวัล   ส่วนตัว HG แม้จะพลาดจากการเสนอชื่อเข้าชิง Oscar  แต่เธอไปได้รางวัลที่มีความสำคัญรองลงมาคือ ลูกโลกทองคำ

พอได้ 'Pedigree' เธอก็ข้ามฟากหอบเสน่ห์ของหนุ่มอังกฤษมาอเมริกามาต่อยอดกับบทเบา ๆ น่ารัก ๆ ที่พวกเรานักดูหนังฝรั่งต่างคุ้นหูคุ้นตา อย่าง Notting Hill (1999), Brigitte Jones’s Diary (2001) หรือ Love Actually (2003)  ทั้ง 3 เรื่องเขียนบทโดยนักเขียนคนเดียวกับ FWฯ คือ Richard Curtis  สำหรับ HG อยู่ยงคงกระพันในวงการหนังมาถึงปัจจุบัน  20 กว่าปีเข้าไปแล้ว

หนังเรื่องนี้เป็นหนึ่งในหนังน่ารักที่สุดตลอดกาลของผม  ผมได้ดูทางวิดีโอ  แสดงว่าหนังไม่ได้เข้าโรงฯ ในบ้านเรา  ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เพราะหนังแบบนี้โกยเงินอยู่แล้ว  ถ้าหนังเข้าโรงฯ ผมจะไประหกระเหินควานหาวิดีโอมาดูทำไม  แถมเป็นวิดีโอแบบ ‘ผี’ ด้วย   ชักสับสน  เอ... หรือว่ามันมาเข้าโรงฯ หลังจากผมดูทางวิดีโอแล้วละหนอ

อย่างไรก็ตาม ดูหนังจากวิดีโอผีซึ่งไม่มีบรรยายนี่แสบที่สุดคือนอกจากภาพไม่ชัดแล้ว  ฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง  จะอาศัยดูปากนักแสดงเป็นตัวช่วยก็เห็นไม่ชัด  ยิ่งเป็นสำเนียง British ที่ไม่คุ้นหู  กรอกลับไปกลับมาจนเวียนหัว  ผมได้มาดูอย่างเป็นทางการทาง I/UBC  ดูจบแบบ ‘รู้เรื่อง’ แล้วยิ่งชอบเข้าไปใหญ่

หนังมาบ้านเราหรือไม่ ช่างมัน  แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดของหนังเรื่องนี้ที่เข้ามาในเมืองไทยคือเพลง Love is all around โดยคณะ Wet, wet, wet เพลงอยู่ในอันดับ 1 ใน chart ที่อังกฤษนาน 15 สัปดาห์แต่ไปไม่ไหวในอันดับ BB ของอเมริกา  ส่วนในบ้านเราทุกสถานีวิทยุพร้อมใจกันเปิดทั้งวันและทุกวันไปนานหนึ่งเพลิน



ความจริงเพลงนี้เป็นเพลงเก่านำมาร้องใหม่  ต้นฉบับร้องโดยคณะ Troggs เป็นวง rock อังกฤษในช่วงปลาย 60s  นักฟังเพลงฝรั่งบ้านเรารู้จักวงนี้ไม่ใช่จากเพลงนี้  แต่เป็นเพลงนี้



ตัวอย่างหนังที่มีบรรยากาศสดใสมาก  เป็นบรรยากาศของอังกฤษซึ่งผมว่าเป็นดินแดนที่มีเวทย์มนต์  คือหลงรักได้ง่าย  ผมไปเที่ยวทีไร  ไม่อยากกลับเลย  สวยถูกใจ  เสียดายแก่แล้ว  แล้วก็มี ‘โรคระบาด’ ด้วย  เลยต้องระงับการท่องเที่ยวซึ่งน่าจะตลอดไป





บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 152  เมื่อ 10 ต.ค. 22, 12:40

คนไทยนักดูหนังฝรั่งจะเห็นหน้า Hugh Grant ครั้งแรกจาก Four Weddings and a funeral  ที่เพิ่งเล่าไป  แต่สำหรับผมเห็นเธอมาก่อนแล้วตั้งแต่ปี 1987 โน่น

หนังที่เธอเล่นมีชื่อว่า Maurice เป็นหนังอังกฤษย้อนยุคไปต้น 1900s  สมัยที่เรื่อง ‘sex’ เป็นสิ่งอุจาดสำหรับสาธารณะ (ที่อังกฤษ)  ขนาดเรื่องธรรมชาติแบบนี้ยังพูดคุยกันทั่วไปไม่ได้  แล้วเรื่องผิดธรรมชาติเช่น ผู้ชายที่แปลกใจว่าทำไมตัวเองชอบผู้ชายด้วยกัน (sexually) ทำไมถึงไม่ชอบผู้หญิงเหมือนคนอื่น ๆ จะก่อความอึดอัดไม่รู้จะไประบายความงงงวยได้ที่ไหน

หนังพาเราไปดูชีวิตของ Maurice หนุ่มผู้ดีมีสตางค์ความรู้สูง  เธอโดน ‘สะกิด’ โดย Clive นักศึกษารุ่นพี่ที่ รร.  จากนั้นเป็นต้นมา Maurice ก็สับสนว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉัน 
 
Maurice กับ Clive เป็นเพื่อนสนิทกันในช่วงเวลาอันยาวนาน  ทั้งคู่มีความเท่าเทียมกันในฐานะของครอบครัวและอาชีพ  Clive เปิดเผยรสนิยมของตัวเองในตอนแรกกับ Maurice  แต่โดน Maurice ปฏิเสธด้วยความที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่  Clive เสียหน้าเสียความมั่นใจก็เลยกลับเข้าไปอยู่ใน ‘ตู้เสื้อผ้า’  และไม่ออกมาอีกเลย  ในขณะที่ Maurice หลังจากโดนสะกิดแล้วก็พยายามค้นหาว่าเกิดอะไรขึ้น  ถึงขนาดไปหาหมอเพื่อรับการรักษาเพราะคิดว่าเป็นโรคอะไรบางอย่าง

ในที่สุดสิ่งที่ทำให้ Maurice เข้าใจตัวเองคือ Scudder เด็กรับใช้หนุ่มหล่อในบ้านของ Clive  Scudder เผยตัวตนที่แท้จริงของ Maurice ออกให้เห็นเป็นฉาก ๆ

เล่ามาตั้งนานลืมบอกไปว่า Hugh Grant เล่นเป็น Clive นร. รุ่นพี่ที่ต่อมากลายเป็นเพื่อนสนิทอันยาวนานของ Maurice  เธอเล่นหนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ 2 เป็นบทดราม่าที่แตกต่างจากบทต่อ ๆ มาอันเป็นบทโรแมนติกเบาสมองที่เธอคงค้นพบว่าเป็นความถนัด  หน้าเธอ (ตอนต้นเรื่อง) หวานมาก ๆ  ทรงผมรับกับรูปหน้า

Maurice กับ Clive และความสัมพันธ์แบบ ‘on and off’



Alec Scudder หนุ่มชั้นกรรมาชีพคนงานในบ้านของ Clive  ความหล่อและบุคลิกแมน ๆ ของเธอเป็นที่หมายปองของสาว ๆ ไฮโซ  Scudder เป็นผู้เปิดโลกใหม่ให้กับ Maurice  ส่วน Clive กลับเข้า ‘ตู้เสื้อผ้า’ ไปแล้ว

เห็นอาณาเขตบ้านแล้วน่าจะรวยสะเด็ดไปเลย


มีต่อ...
บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 153  เมื่อ 11 ต.ค. 22, 12:46

‘Maurice’ กันต่อ


หนังจบลงที่ Maurice เข้าใจตัวเองและเดินหน้าใช้ชีวิตด้านที่เพิ่งค้นพบใหม่นี้ต่อไปด้วยความมั่นใจ  แต่ Clive ซึ่งอิจฉา Maurice อยู่ลึก ๆ ยังคงแอบอยู่ใน ‘ตู้เสื้อผ้า’ ด้วยความทุกข์ต่อไป

ฉากที่ 6.45 ผมว่าเป็นอุปมาอุปมัย เปรียบเสมือน Maurice กวักมือเรียก Clive ให้ออกมาจากตู้เสื้อผ้าได้แล้ว  แต่เธอปฏิเสธ

(เริ่มต้น – 0.30)
Cl: Very well. I'm at your service. My advice, though, is to sleep here tonight and ask Anne in the morning. Where a woman is in question, it's always better to ask another woman and particularly if she has Anne's almost uncanny insight.
Mau: I'm not here to see Anne. Or you, Clive. It's miles worse for you. I'm in love with Alec Scudder.
Cl: What a grotesque announcement.
Mau: Most grotesque. But I felt I ought to tell you.
Cl: Maurice, Maurice, we did everything we could when you and I thrashed out the subject.
Mau: When you brought yourself to kiss my hand.
Cl: Don't allude to that. Come in here. I'm more sorry for you than I can possibly say. And I do, do beg you to resist the return of this obsession.
Mau: I don't need advice. I'm flesh and blood, Clive, if you'll condescend to such low things. I've shared with Alec.
CL: Shared - Shared what?
Mau: Everything. Alec slept with me in the Russet Room when you and Anne were away.
Cl: Oh, good God.
Mau: Also in town.
Cl: The sole excuse for any relationship between two men is that it remain purely platonic. Surely we agreed that.
Mau: I don't know. I've come to tell you what I did.
Cl: Well, Alec - Scudder- is in point of fact no longer in my service. In fact, he's no longer in England. He sailed for Buenos Aires this very day.
Mau: He didn't. He sacrificed his career for my sake without a guarantee. I don't know whether that's platonic of him or not but it's what he did.
Cl: Scudder missed his boat? Maurice, you're going mad. May I ask if you intend to pursue -
Mau: No. No, you may not ask. I'll tell you everything up to this minute. Not a word beyond.
เว้นช่วงที่ Maurice ออกตามหา AS
Mau: Alec? Alec…
Al: So you got the wire, then?
Mau: What wire?
Al: The wire I sent to your house telling you - Oh, sorry. I'm a bit tired what with one thing and another.
Maurice smiles…
Al: No. Telling you to come here to the boathouse at Pendersleigh without fail.
They kiss…
Al: Now we shan't never be parted. It’s finished.


ตัวอย่างหนัง



หนังเกย์ของอังกฤษระดับ 3 ดาว (จาก ปูมของนักวิจารณ์ Leonard Maltin) ที่ทำบรรยากาศได้สวยและสดชื่นมาก  หนังสร้างจากนิยายของนักประพันธ์ชื่อดัง E.M. Forster ที่มีผู้นำงานของเธอมาทำเป็นหนังอยู่หลายเรื่องเช่น A passage to India (1984), A room with a view (1975), Howards end (1992)

ผู้ที่นำหนังเรื่องนี้มาเสนอผมก็คือ SP เจ้าเก่า  หนังแบบนี้ไม่มาฉายในบ้านเราหรอก แต่ผมก็กระเสือกกระสนไปหาวิดีโอมาดูจนได้  มันเป็นวิดีโอผีเช่นเคย  ภาพไม่ชัด ยิ่งเป็นฉากกลางคืนแล้ว  ขนาดจุดเทียนส่องดูก็ยังมองไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร  หนำซ้ำฟังก็ไม่รู้เรื่อง จะอาศัยอ่านริมฝีปากนักแสดงช่วยก็ไม่ได้เพราะภาพมันเบลอ

ปกติดูหนังฝรั่งในโรง  ฟังไปอ่านบรรยายไทยไปยังไม่ค่อยจะรู้เรื่อง  นี่ไม่มีบรรยายภาษาไหนทั้งสิ้น  แถมเป็นสำเนียง British ไม่ใช่ American ที่คุ้นเคย  เลยจบเห่  ดูได้แป๊บก็ต้องกรอม้วนกลับไปฟังใหม่  หนัง 2 ชม. กว่า  กว่าจะดูจบปาเข้าไปร่วม 4 ชม.  แถมจบแบบไม่เข้าใจเรื่อง ก็เลยไม่สนุก  การดูเปรียบเสมือนกำลังทำรายงานส่งครู

เหตุการณ์ผ่านไป  วันหนึ่งผมไปเดินเล่นที่ร้านดวงกมลในสยามสแควร์  เห็นหนังสือชื่อ Maurice เป็นของ สนพ. Penguin  พลิก ๆ ดูคิดว่าซื้อกลับมาอ่านดีกว่าเผื่อจะเข้าใจหนังมากขึ้น



ตอนยืนพลิกอ่านผ่าน ๆ ไปได้หน่อยเกิดความแปลกใจ  บางตอนของบทสนทนาในหนังสือช่างคล้ายกับบทพูดในหนังจัง  ผมจำได้แม่นในฉากท้าย ๆ ของหนังที่ Alex Scudder นัดเจอกับ Maurice  เธอบอกอะไรบางอย่างทำนองว่า ‘come to the boathouse ….. without fail’  ในหนังสือก็มีบทพูดนี้เหมือนกัน

ผมก็เกิดความคิดแว้บขึ้นมา  พอกลับไปถึงบ้านก็เอาหนังออกมาดูใหม่  ดูไปสักพักก็หยุด  แล้วอ่านหนังสือตามไปจนทันกันแล้วก็กลับไปดูหนังต่อ  ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ  หนังสือเล่มบางเพราะเป็นฉบับคัดย่อ  แต่ก็ครอบคลุมเนื้อเรื่องส่วนสำคัญ ๆ โดยเฉพาะตอนท้ายเรื่องที่ผมอยากรู้มากว่าคุยอะไรกัน
 
ในที่สุดผมก็เข้าใจหนังได้ตลอดเรื่องแม้ไม่ทะลุปรุโปร่ง มาปรุโปร่งเอาอีกนานแสนนานเมื่อ I/UBC เอาหนังมาฉาย  เนื่องจากมีบรรยายไทยอย่างเป็นการเป็นงาน  เสียอารมณ์ตรงที่มีการหั่นฉากโรแมนติก แม้มีไม่กี่ฉากหากคณะกรรมการเซ็นเซอร์ท่านก็ให้เกียรติหั่นเสียเกลี้ยง  เผอิญผมได้ดูต้นฉบับมาก่อนเลยจับสังเกตได้  แม้แค่ฉาก Clive หอมแก้ม Maurice ก็ตัด  ความจริงหนังเรื่องนี้สร้างในยุค 1980s  ฉากหวือหวาที่สุดของตัวละครเกย์ก็คือจูบกัน แล้วก็ไม่ใช่ erotically  ซึ่งแค่นี้ ท่านผู้โชมมมที่นั่งดูอยู่หน้าจอ ก็อ้าปากค้างแล้ว ทีเรื่องอื่นมีฉากคู่ชายหญิงจูบกันพลางกอดก่ายพันกันอีรุงตุงนังอยู่บนเตียง แยกไม่ออกว่าไหนหัวไหนตีน  โจ่งครึ่มแบบนี้ไม่ตัด  หรือฉากคน ‘ซี้ด’ ผงอย่างเอร็ดอร่อยอยู่หน้าจอก็ไม่ตัด

เรื่อง Maurice ที่ว่านี้ไม่เท่าไร  มาเมื่อหลายปีก่อนมานี้ได้ดูหนังทีวีชุด How to get away with murder เป็นหนังชุดที่ได้รับความนิยมมาก  ผมดีใจที่ I/UBC เอามาฉาย  เป็นเรื่องเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยหนึ่งจ้างนักกฎหมายมืออาชีพมาสอนนักศึกษา  นัก กม. นี้ก็ใช้วิธีสอนแบบคัดเลือกเด็กมากลุ่มหนึ่งมาช่วยคลี่คลายคดีของจริงที่มีคนว่าจ้าง  เด็กแต่ละคนก็จะได้คะแนนจากงานที่ทำ
  
หนึ่งในกลุ่มเด็กเป็นเกย์ (ตามกฎหมายของการสร้างหนังยุคใหม่ที่จะต้องมีตัวละครเป็นเกย์และผิวสี (LBGT) ร่วมในทีมนักแสดงด้วยเพื่อความเท่าเทียม) ซึ่งตามบทก็ต้องมีฉากโรแมนติกเหมือนชาวบ้าน และตามยุคสมัยก็ต้องโจ่งครึ่มมากกว่าหนังในยุคโบราณด้วยซ้ำ
  
เหตุเพราะไม่เคยดูหนังเรื่องนี้ก่อน  มาสงสัยกับตอนหนึ่งที่เรื่องราวกำลังนำคนดูไปสู่คำเฉลย  แต่แล้วฉากต่อมา  เรื่องราวคลี่คลายซึ่งแสดงว่าคำเฉลยผ่านไปแล้ว  แต่ทำไมผมถึงไม่รู้เรื่อง  ฉันก็นั่งดูตาแป๋วอยู่  มันผ่านตาไปตอนไหนวะ

ด้วยความเอะใจผมเลยลองดูดหนังตอนเดียวกันนี้ที่มีคนเอามาปล่อยทาง อตน. (website ของคนไทยทำ) มาดูเทียบถึงได้รู้ว่าฉากเฉลยความลับน่ะ  มันเกิดขึ้นตอนตัวละครเกย์กำลังมีบทโรแมนติคกับหนุ่มอยู่ แต่คณะกรรมการเซ็นเซ่อร์หั่นฉากนี้ไปด้วยความ ‘เข้มงวด’ มันก็เลยเกิดช่องว่างขึ้น  ผมถึงได้งง

ตั้งแต่นั้นผมก็เลิกดูหนังเรื่องนี้ทาง I/UBC  แล้วไปดูดจาก อตน. มาดูแทน  รู้สึกเหมือนถูกมัดมือชก (ใช้คำถูกมั้ยหว่า  หรือว่า ไม่ยุติธรรม)  ต่อมาเมื่อเพื่อน ตปท. ส่ง website สำหรับโหลดหนังมาให้  ผมก็เลิกดูทีวีไปเลย  แล้วยกเครื่องฯ ให้ชาวบ้านไป  (เป็นทีวี ‘หัวทุย’ หนักอึ้ง  สมัยนั้นทีวีจอแผ่นกระดาษยังไม่เข้ามา)  แล้วดูหนังทั้งหลายทางจอคอมพิวเตอร์แทน

กลับมาที่หนัง Maurice  หลังจากได้ดูฉบับ ‘เป็นการเป็นงาน’  คราวนี้นอกจากจะเข้าใจแล้วยังชอบมาก ๆ ด้วย  ผมชอบบทสนทนา  สละสลวยมากแล้วบรรยากาศของอังกฤษสวยจริง ๆ  ฉากโรงเรียนถ่ายทำที่ King's College, Cambridge


เขียนถึงตรงนี้ทำให้นึกได้ถึงไก่ที่ตัวเองเคยปล่อยออกมาโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์  เกี่ยวกับการออกเสียงเรียกชื่อคน  ตะแรกเริ่มชื่อ Hugh  ผมจะอ่านออกเสียงว่า ‘ฮิ้ว + เชอะ’  ปรากฏว่าครั้งหนึ่งดันไปออกเสียงให้เจ้าของภาษาฟัง  เธอเลยจับมาแก้ไขเสีย  โดยบอกว่า  ให้ออกเสียงว่า ‘ฮิว’ เฉย ๆ คำว่า ‘เชอะ’ ทิ้งไป  คำว่า ‘ฮิ้ว + เชอะ’  ใช้อ่านคำว่า huge ที่แปลว่า ใหญ่โต

ส่วนนามสกุลของเธอ Grant จะอ่านว่า ‘กร้านท์’ หรือ ‘แกร้นท์’  ต้องไปถามเจ้าตัวดูจ้ะ

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 154  เมื่อ 12 ต.ค. 22, 10:12

    วันนี้ต้องขอเนื้อที่แสดงความอาลัยอำลาดาวดวงใหญ่ดวงหนึ่งที่ลาลับฟ้าในวัย 96 ปี   ข่าวคราวเธอเงียบหายมาหลายปีแล้ว  ก็ได้แต่เดาว่าหลังจากเกษียณตัวเองจากงาน  แอนเจล่า แลนสเบอรี่คงใช้ชีวิตวัย 90+ อยู่เงียบๆในบ้าน   เพิ่งอ่านพบข่าวลูกหลานแถลงว่าเธอจากไปอย่างสงบ หลังจากเข้านอน หลับไปแล้วไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย
    บทบาทบนจอทั้งจอใหญ่จอเล็กของแอนเจล่ายาวนานถึง 8  ทศวรรษ  นับเป็นหนึ่งในดาราที่อยู่ในอาชีพนี้นานที่สุดของฮอลลีวู้ด 
    แอนเจล่าโดยกำเนิดแล้วเป็นอังกฤษเชื้อสายไอริช แต่ข้ามมาดังในฮอลลีวู้ด  เล่นเรื่องแรก Gaslight ในปี 1944 ก็สะดุดตาผู้สร้างผู้กำกับทันที 

     
 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 155  เมื่อ 12 ต.ค. 22, 14:07

  ฝีมือดาวดวงใหม่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงตุ๊กตาทองตัวประกอบฝ่ายหญิงจาก Gaslight เลยทีเดียว  จากนั้นอาชีพของแอนเจล่าก็ติดปีกโบยบินอยู่ในฮอลลีวู้ด    แม้ว่าไม่ถึงขั้นโดดขึ้นไปเป็นดาราใหญ่ แต่ก็มีหนังดีๆให้เล่นได้ไม่ขาด  รวมทั้งหนังเกรด B ก็ได้เล่นมากมายจนเอามาบรรยายไม่หมด
   ดาราสาวสวยคนอื่นๆเกิด แล้วดับไปเมื่อวัยล่วงเข้ากลางคน   แต่แอนเจล่ายิ่งมีงานไม่ขาดมือเมื่อวัยสูงขึ้น ได้เล่นบทแม่ บทป้า บทยาย บทชีวิต  บทสืบสวนสอบสวน บทชีวิต บทตลก สารพัดรูปแบบ  แล้วมาดังถึงขีดสุดในวัยที่คนอื่นเตรียมเกษียณกันแล้ว คือจากหนังสืบสวนชุด Murder,she Wrote   
   เธอเล่นเป็นเจสสิกา เฟลทเชอร์ อดีตครูมัธยม  อยู่บ้านก็เขียนนิยายสืบสวนเล่นแก้เหงาหลังจากสามีตาย โดยไม่มีลูกด้วยกัน   เกิดดังเปรี้ยงเป็นนักเขียนขายดี   จากนั้นก็กลายเป็นนักสืบสมัครเล่น  ไม่ว่าไปไหนจะ   มีฆาตกรรมมาให้สืบสวนอยู่เสมอ    เป็นเรื่องนักสืบเบาๆที่คนดูทุกเพศทุกวัยต้อนรับด้วยดี จนหนังชุดเรื่องนี้ยาวถึง 12 ซีซั่น
  เจสสิกาต้องเป็นฝ่ายขออำลาเรื่องนี้ก่อน เพราะสังขารไม่อำนวยอีกต่อไป

 
 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 156  เมื่อ 12 ต.ค. 22, 14:10

เรื่องนี้ มีบางตอนที่แอนเจล่าเล่นเป็นเอมม่า ญาติลูกพี่ลูกน้องขาวอังกฤษของเจสสิกา  ซึ่งเป็นนางละครอยู่ในลอนดอน  พูดจาสำเนียงอังกฤษ
เธอเล่นเป็นสองคนในตอนเดียวกันอยู่หลายตอน   โชว์ทักษะการใช้สำเนียงอเมริกันและอังกฤษได้ถูกหูคนดู

บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 157  เมื่อ 12 ต.ค. 22, 14:53

ขออนุญาตคั่นครับ

               คุณทวดเป็นนักแสดงทั้งสาย movie และ musical เพลงที่จะได้ยินบ่อยๆ จากเสียงร้องของคุณทวดคือ
"Beauty and the Beast (Tale as Old as Time)" คุณทวดให้เสียง Mrs. Pott

เลือกคลิปจากอนิเมชั่นแทนคลิปคุณทวดร้องสดบนเวที



ผลงานหนังเรื่องหนึ่งซึ่งอดกล่าวถึงไม่ได้คือ เรื่อง Blue Hawaii ที่คุณทวดในวัย 30 กว่าๆ รับบทเป็นแม่พระเอก
(- เอลวิส ที่มีอายุจริงอ่อนกว่า 9 ปี)


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 158  เมื่อ 13 ต.ค. 22, 10:00

ชอบบทของแอนเจล่า ที่เล่นเป็นกาน้ำชาใน Beauty and the Beast มากค่ะ
มาดูกันว่าเธอให้สัมภาษณ์ยังไงบ้าง

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 159  เมื่อ 13 ต.ค. 22, 10:04

เล่นเป็นผู้หญิงจิตไม่ปกติ  ต้องพูดบทยาวมากๆ  ใน   The Manchurian Candidate (1962)
เธอก็ทำได้

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 160  เมื่อ 13 ต.ค. 22, 10:11

ดราม่า คุณทวดก็เล่นได้

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 161  เมื่อ 13 ต.ค. 22, 10:17

ดวงของคุณทวดแอนเจล่าน่าจะถูกโฉลกกับบทนักสืบหญิงชรา   ก่อนหน้า Murder,She wrote  ที่ทำให้ดังเปรี้ยงปร้าง  เธอเคยรับบทคุณป้านักสืบ เจน มาร์เปิ้ล ตัวเอกของอกาธา คริสตี้ ในหนัง THE MIRROR CRACK'D ที่ได้ดาราใหญ่อย่างป้าลิซ เทเลอร์ และป้าคิม โนแวค มาเล่น

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 162  เมื่อ 13 ต.ค. 22, 10:18

หลังจากนั้น เธอก็มาเล่นเป็นคุณย่าสายลับ  ใน The Unexpected Mrs. Pollifax (1999)

บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 163  เมื่อ 13 ต.ค. 22, 12:27

Death becomes her (1992) เป็นหนังแฟนตาซีแบบตลกร้าย  เล่าเรื่อง 2 สาวคู่กัด  คนหนึ่งเป็นนักแสดงดังที่กำลังอยู่ในขาลง (Meryl Streep)  อีกคนเป็นนักเขียนที่กำลังดัง (Goldie Hawn)  ทั้งคู่ทำทุกวิถีทางที่จะเอาชนะผู้ชายคนเดียวกัน (Bruce Willis – ในบทศัลยแพทย์พลาสติกทึ่ม ๆ เป็นบทที่แหวกแนวไปจากบท ‘die hard’ ที่เห็นจนเอียน)
 
คำว่า ทุกวิถีทาง นี่เกี่ยวไปถึงด้านไสยศาสตร์มนตร์ดำ  ที่ครอบคลุมไปถึงความสวยอันเป็นอมตะ  แต่ทว่า ความสวยเป็นอมตะ นี้ไม่ได้รับประกันการชำรุดเสียหาย

เรื่องเริ่มเมื่อนักเขียนโดนดาราแย่งคู่หมั้นไปทำผัว  เธอก็ชีช้ำจนกลายสภาพเป็นแบบที่เห็น



เธอตั้งหลักได้และกลับมาทวงแค้นในสภาพไร้ที่ติ



ดาราพยายามค้นหาความจริงว่าอะไรทำให้นักเขียนคู่อริกลับงดงามเกินของเดิม  ในที่สุดเธอก็ค้นพบ

(บทแม่หมอแสดงโดย Isabella Rossellini  ลูกสาวของ Ingrid Bergman ดาราค้างฟ้าของฮอลลีวู้ดในยุคทอง)


จากนั้นก็เป็นการชิงดีชิงเด่นกันอย่างสนุกสนาน (ในสายตาคนดู)






เทคนิคแม้จะนานมาแล้วแต่ก็ยังเร้าใจอยู่  สมกับที่ได้ Oscar

(0.50 Hurry up, you wimp ... ถ้าจะแปลให้สะใจแบบสมควรแล้ว ก็ “เร็วซีวะ ไอ้ ‘เหี่ยว’”





ฝ่ายผู้ชายซึ่งเป็นศัลยแพทย์เห็นว่าเรื่องท่าจะบานปลายไปกันใหญ่เพราะต้องตาม ‘ปะผุ’ ให้กับผู้หญิงบ้า 2 คนไปจนถึงเมื่อไรก็ไม่รู้  ฉะนั้นจึง ‘กูไปดีกว่า’



เมื่อชายที่หมายปองหนีไปแล้ว  2 สาว (โรคประสาทบ้า) เลยต้องหันมาพึ่งพากันเอง  ฉากท้ายเรื่องเกิดขึ้นในอีก 30 กว่าปีต่อมา



ตัวอย่างหนัง


บันทึกการเข้า
nathanielnong
อสุรผัด
*
ตอบ: 13


ความคิดเห็นที่ 164  เมื่อ 14 ต.ค. 22, 12:27

เพื่อนฝากมาประชาสัมพันธ์  บอกกลับไปว่า  มันบ้านแกนี่  ไม่ใช่บ้านชั้น  เพื่อนบอกว่า ‘Please…’  แปลเป็นไทยฉันมิตรว่า ‘เออน่ะ’




Esteros (2016) เป็นหนังเกย์ยุคหลัง ๆ จากประเทศ Argentina  เล่าเรื่องของ Matias และ Jeronimo  2 เด็กน้อยจาก 2 ครอบครัวที่สนิทกันมาเก่าแก่  วันหนึ่งในช่วงฤดูร้อนก่อนขึ้นชั้น ม. ปลาย  เด็ก 2 คนเกิดไปจุดประกายอารมณ์โรแมนติคต่อกันโดยไม่รู้เรื่องรู้ราว  พ่อแม่ของ J เป็นผู้ใหญ่หัวเสรีเห็นเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องปกติ  แต่ไม่ใช่พ่อแม่ของ M  ไม่นานครอบครัวนี้ก็ย้ายถิ่น (รู้สึกจะย้ายประเทศเลย  ถ้าจำไม่ผิด) เพื่อตัดความสัมพันธ์

อีก 10 กว่าปีต่อมา  M ในวัยผู้ใหญ่ก็กลับมาบ้านเกิดพร้อมกับแฟนสาวเพื่อร่วมงาน carnival เป็นการเอาใจแฟนสาว  แฟนสาวจ้างคนมาช่วยแต่งหน้าเพื่อให้เข้ากับ theme ของงาน  คนที่หล่อนจ้างมาโดยไม่รู้เหนือรู้ใต้คือ M  จากนั้นบรรยากาศเก่า ๆ ของความสัมพันธ์ระหว่าง J และ M ก็ค่อย ๆ คุขึ้น

หนังดำเนินเรื่องขนานกันไประหว่าง J กับ M ยุคปัจจุบันกับยุควัยเด็ก





ทั้ง 2 กลับไปรื้อฟื้นความหลังสมัยเป็นเด็กที่บ้านตากอากาศของ J



ที่บ้านหลังนี้เคยเกิดเหตุการณ์แปลกที่ M ก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไปได้อย่างไร

7.40 – M หงุดหงิดด้วยเรื่องอะไรก็จำไม่ได้แล้ว  รู้สึกจะไม่มีสาเหตุ  เป็นความสับสนที่เคยเกิดขึ้นกับตัวเองในครั้งเป็นเด็กที่หาคำตอบไม่ได้  แล้วมาตอนนี้ความรู้สึกนี้ก็เกิดขึ้นอีก  ก็เลยหงุดหงิด

9.25 – เพลงเพราะมาก ชื่อ Amores como el nuestro  มีฉบับเต็ม ๆ ให้ฟัง



ในที่สุดบรรยากาศก็ทำให้ M ที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่แล้วเข้าใจความหมายของความสับสนที่เกิดขึ้น ต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาแล้ว

8.06 – แฟนสาวคงคิดในใจว่า  กูไม่น่าชวนเสือไปเที่ยวป่าเล้ยยยย


ตัวอย่างหนัง



หนังได้รับการรับรองจาก Rotten Tomatoes อันเป็น ‘website’ รีวิวหนังที่วงการบันเทิงให้การยอมรับ  ด้วยคะแนน 100%
(หมายเหตุ – clip ทั้งหมดนี้ผู้เอามาปล่อยได้ดำเนินการตัดต่อให้กระชับเพื่อความเข้าใจในเนื้อหาของหนัง)

บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 26
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.089 วินาที กับ 19 คำสั่ง