naitang
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 15 เม.ย. 22, 18:32
|
|
เห็นว่า เรื่อง Institutional aspects ที่ได้เล่าความมา น่าจะเป็นข้อมูลพื้นฐานพอเพียงที่จะไปกล่าวถึงในเรื่องอื่นๆ
เรื่องแรกน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคคลที่ไปเข้าร่วมประชุม ที่ไปนั่งอยู่บนเก้าอี้เดี่ยวๆหลังป้ายประเทศบนโต๊ะในห้องประชุม ผู้ที่จะเข้าไปนั่งตรงนี้ได้จะต้องมี Credential (หนังสือรับรองสถานะของบุคคลที่เข้าไปร่วมประชุม) หรือจะต้องเป็นผู้ที่มี Accredit (ได้รับการรับรองหรืออนุมัติให้สามารถเข้าไปร่วมประชุมนั้นๆได้)
ตามปกติแล้ว เอกอัครราชทูตของประเทศต่างๆจะเป็นผู้แทนถาวร (Permanent Representative) ประจำองค์กรของ UN ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ในเขตอาณาของสถานทูตนั้นๆ แต่ด้วยที่ทูตเองก็มีภารกิจอื่นๆมากมาย ดังนั้นจึงมีการตั้งผู้แทนสำรอง (Alternate Representative) ซึ่งอาจจะมีหลายคนก็ได้ ให้เป็นผู้ปฏิบัติภารกิจแทนในการงานที่ดำเนินการตามปกติขององค์กร แต่..ก็มีบางประเทศ ตั้งผู้แทนในระดับทูตเป็นการเฉพาะกิจ เพื่อรับผิดชอบดูแลและสั่งการภารกิจต่างๆของประเทศของตนที่ผูกพันอยู่กับองค์กรต่างๆที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในสำนักงานสาขาของระบบ UN ใหญ่
ก็เลยมีทูตอยู่สองระบบที่ใช้คำนำหน้าว่า Ambassador ทูตคนหนึ่งเป็นผู้แทนรัฐที่มีอำนาจเต็ม (Ambassador of Plenipotentiary) และอีกทูตคนหนึ่งคือผู้ที่เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนถาวรประจำ... ซึ่งบ้างก็นิยมเรียกว่า Ambassador และบ้างก็เรียกว่า Permanent Representative
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อ 15 เม.ย. 22, 19:23
|
|
ในการประชุมที่สำคัญหรือที่มีสาระน่าสนใจ ก็อาจจะมีองค์กรหนึ่งสนใจจะเข้าไปนั่งฟังเรื่องที่เกี่ยวพันกับองค์กรของตนด้วย หากที่ประชุมนั้นๆเห็นชอบร่วมกัน องค์กรนั้นๆหรือหน่วยงานนั้นๆก็จะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุมในฐานะ Observer ซึ่งจะไม่มีสิทธิในการถกแถลง ให้ความเห็น และออกเสียงโหวด จะว่าเป็นสายสืบก็ได้ หรือจะว่าเพื่อนำข้อมูลไปเพื่อปรับภารกิจขององค์กรของตนให้เหมาะสมสอดคล้องกันก็ได้ จะเป็นเช่นใดก็ตาม โดยจิตใจของผู้ที่ปฎิบัติงานในระบบ UN แล้ว ทุกคนทำงานไปในทางร่วมด้วยช่วยกัน (Constructive Engagement) แต่ก็ดูจะมีข้อยกเว้นที่ใช้ไม่ได้เสมอไป  (ปรัชญา Nothing is for grant ดูจะยังคงใช้ได้อยู่เสมอ  )
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อ 16 เม.ย. 22, 19:40
|
|
การประชุมเป็นกิจกรรมที่มีอยู่ตลอดทั้งปีของผู้แทนของประเทศต่างๆ มีอยู่หลายระดับ ตั้งแต่ในลักษณะคุยกันเป็นกลุ่มเล็กๆระหว่างผู้แทนของประเทศที่มีความตกลงกัน เป็นสมาชิกร่วมกัน หรือมีความสัมพันธ์กันในเรื่องต่างๆทั้งในด้านการเมือง ด้าน เศรษฐกิจ การค้า การลงทุน หรือในด้านอื่นๆ ขึ้นไปอีกระดับหนึ่งก็จะเป็นระหว่างประเทศในกลุ่มภูมิภาค ขึ้นไปอีกระดับหนึ่งก็จะเป็นในระหว่างกลุ่มภูมิภาคต่างๆ ต่อไปเป็นในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา (G77+China) ไปสู่การประชุมระหว่างประเทสฝ่ายผู้ให้กับประเทศฝ่ายผู้รับ(ระดับเอกอัครราชทูต) และสุดท้ายก็จะเป็นระหว่างรัฐสมาชิก(ระดับรัฐมนตรี)
ก็คงน่าจะคาดได้แล้วว่า สารัตถะในแต่ละการประชุมหรือในการหาแสวงหาความเห็นร่วมต่างๆนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องของการพยายามที่จะไม่สร้างสร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นการฟังความเห็นและการแสวงหาจุดที่จะทำให้เกิดความพอใจของผู้ที่มีส่วนได้/ส่วนเสียของทุกฝ่าย
ก็คงจะทำให้นึกถึงคำว่า Lobby ซึ่งหากจะมองในอีกมุมหนึ่ง ผู้แทนทั้งหลายก็ล้วนทำหน้าที่เสมือนเป็น Lobbyist และก็คงจะไม่แปลกที่จะเห็นแต่ภาษาดอกไม้เบ่งบานอยู่ในเรื่องของการระหว่างประเทศ การปฏิเสธที่ใช้คำแบบแรงๆก็จะไม่ค่อยได้เห็นกัน จะมีก็แต่เพียงวลีที่เป็นภาคเสธ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อ 17 เม.ย. 22, 18:58
|
|
การประชุมทุกระดับจะมีป้ายชื่อประเทศตั้งอยู่บนโต๊ะหน้าที่นั่งของผู้ทึ่เข้าประชุม ซึ่งหากเป็นการประชุมในเรื่องที่เป็นวาระงานตามปกติ (routine agenda) มีการแสดงความเห็น มีการถกกันในเรื่องงาน การประชุมนั้นๆก็จะเป็นไปอย่างค่อนข้างจะเรียบง่ายและไม่เป็นพิธีรีตรองมากนัก เช่น ในกรณีประสงค์จะแสดงความเห็น หรือในกรณีการออกเสียงเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ก็มักจะใช้วิธีการยกเอาป้ายประเทศซึ่งจะวางในแนวนอน ยกขึ้นมาตั้งใว้ในแนวตั้ง เป็นต้น ก็คือไม่มีการยกมือ/ยกแขนหรือตะโกนบอกประธาน อาจจะมีก็เพียงส่งสัญญานทางเล็กๆทางมือบ้าง
การประชุมเกือบทั้งหมดที่ไม่เป็นทางการมากนัก จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นพื้นฐาน แต่หากเป็นการประชุมที่เรื่องราวในถ้อยแถลงอาจจะอยู่ในข่ายเป็นข้อผูกมัด หรือที่จะมีผลเป็นข้อผูกพันในทางกฏหมาย (legal binding) ก็จะมีการใช้ภาษากลางของระบบ UN ในการกล่าว(เป็นช่วงๆ) ซึ่งการประชุมในลักษณะนี้จะเป็นการประชุมในระดับนโยบาย โดยเฉพาะในเรื่องของ Commitment ของรัฐต่างๆ ก็จะมีล่ามในระหว่างการประชุม ก็มีที่ผู้แทนของบางประเทศที่ประเทศของตนไม่ได้ใช้ภาษากลางของ UN ได้กล่าวถ้อยแถลงในภาษากลางของ UN (ที่เคยประสบมาก็ดูจะมีแต่การกล่าวแต่เพียงในภาษาฝรั่งเศส)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อ 17 เม.ย. 22, 19:37
|
|
จะไม่มีการเลือกประธานในที่ประชุม ประธานของการประชุมต่างๆก็คือผู้แทนของประเทศที่สลับสับเปลี่ยนกันไปตามวาระที่เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติตามที่มีกรอบความตกลงกันไว้อย่างหลวมๆเพื่อความเสมอภาคกัน ซึ่งทั้งหลายทั้งปวงก็โยงใยย้อนไปถึงปรัชญาในการจัดสรรปันส่วนความเสมอภาคของประเทศต่างๆในโลกของ UN
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อ 18 เม.ย. 22, 19:19
|
|
การประชุมต่างๆในระดับที่มีป้ายชื่อของประเทศวางอยู่ข้างหน้าผู้เข้าร่วมประชุม จะต้องมี Rapporteur ของที่ประชุมนั้นๆอยู่เสมอ เราจึงมักจะเห็นว่ามีบุคคลอยู่ 3 คน นั่งร่วมกันอยู่ในโต๊ะประธานของที่ประชุม นอกจากประธานและ Rapporteur แล้วก็มีบุคคลอีกผู้หนึ่งซึ่งก็คือเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในเรื่องงานที่เป็นวาระหลัก (Agenda) ของการประชุมนั้นๆ
คำว่า Rapporteur นี้ ผมไม่ทราบว่าควรจะใช้คำภาษาไทยเช่นใดจึงจะตรงความหมายที่หมายถึงจริงๆ ในภาษาไทยคงจะใช้คำว่า 'ผู้บันทึกการประชุม' หน้าที่ของ Rapporteur จริงๆจะออกไปทางเป็นผู้รู้พัฒนาการของเรื่องราวต่างๆ ตามประเด็นที่ได้มีการพูดกันในการประชุมนั้นๆ รวมทั้งความเห็นร่วมและข้อตกลงต่างๆที่เกิดขึ้นในการประชุมนั้นๆ มีบ่อยครั้งมากที่ในระหว่างการประชุมจะมีคำถามไปถึง Rapporteur ให้ช่วยขยายความกับสาระหรือเรื่องราวเกิดขึ้นจริงๆในระหว่างการประชุมนั้นๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อ 18 เม.ย. 22, 19:23
|
|
ลม ฝน แล้วก็ไฟดับบ้าง วันนี้ก็เลยต้องขอจบแบบห้วนๆเพียงนี้ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อ 19 เม.ย. 22, 07:36
|
|
เมื่อคืนพายุแรงมาก ดีที่ไฟไม่ดับค่ะ เท่าที่เล่ามา น่าจะเป็นคนทำงานระดับบริหาร แล้วบรรดาพนักงานตัวเล็กตัวน้อยที่นี่ล่ะคะ ทำงานอะไร ไม่มีโอกาสจะเลื่อนขึ้นไปอย่างที่บรรยายมาใช่ไหม เพราะอยู่คนละส่วนเหมือนเจ้าหน้าที่รัฐสภา อยู่คนละส่วนกับบรรดารัฐมนตรี วุฒิสมาชิก และสส.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อ 19 เม.ย. 22, 18:11
|
|
ถูกต้องครับ เป็นรูปแบบตามที่อาจารย์ยกตัวอย่างขึ้นมาเปรียบเทียบ ผู้แทนของแต่ละประเทศที่เป็นสมาชิกขององค์กรก็เป็นเสมือนคณะกรรมการ บุคลากรต่างๆขององค์กรก็คือเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานขององค์กร
ขออนุญาตย้อนกลับลงลึกลงไปในเรื่องของงานที่ได้เล่ามา ซึ่งก็จะต้องขอออกตัวไว้อีกครั้งว่า ที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นข้อมูลและความรู้เท่าที่พอจะทราบจากสาระใน agenda ของการประชุม ผสมผสมผสานกับข้อมูลที่ได้รับรู้จากเจ้าหน้าที่คนไทยที่ทำงานอยู่ในองค์กรของ UN ที่มีสำนักงานตั้งอยู่ร่วมอาคารกันที่กรุงเวียนนา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อ 19 เม.ย. 22, 19:19
|
|
ขออนุญาตใช้ภาษาอังกฤษปะปนมากหน่อยนะครับ
สายงานในระบบ UN ที่สำคัญที่ยังพอจำได้ก็จะมี งานด้านบริหารและจัดการองค์กร งานทางด้านกฎหมาย งานทางด้านการเมืองและความมั่นคง งานทางด้านเศรษฐกิจและสังคม และงานทางด้านนิเทศ ก็เป็น career path ที่สามารถเลือกจะสมัครเข้าทำงานได้
ตำแหน่งงานต่างๆในระบบจะจำแนกออกเป็นกลุ่มและระดับ ก็จะมีกลุ่ม G (General service) ซึ่งจะแยกย่อยลงไปอีกตามลักษณะงานที่เป็นอาชีพ เช่น กลุ่ม technician, กลุ่ม security (ยาม..) ฯลฯ ซึ่งในกลุ่มนี้ก็จะมีแยกออกไปเป็นงานที่เปิดสำหรับบุคคลทั่วไปและงานสำหรับคนในพื้นที่ (Local
กลุ่มระดับ D (Director) เป็นตำแหน่งที่จะต้องมีรัฐหนุนหลัง
มีระดับ P (Professional) เป็นตำแหน่งของผู้ชำนาญการหรือนักวิชาการเฉพาะทาง มีตั้งแต่ระดับ P2 ขึ้นไปถึง P7 ซึ่งสำหรับระดับ P6 และ P7 นี้ ถูกจัดอยู่ในกลุ่มระดับ D
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อ 19 เม.ย. 22, 19:39
|
|
ตำแหน่งในระดับกลุ่ม D นี้ แบ่งย่อยออกเป็น 2 ระดับ คือ D1 และ D2
สำหรับระดับ D1 นั้น ก็คือระดับผู้อำนวยการใหญ่ขององค์กร (Directr General) เป็นการหมุนเวียนกันทำหน้าที่ในระหว่างประเทศสมาชิก ซึ่งมีความเกี่ยวพันกันไปทั้งระบบ UN คือ พยายามจะไม่ซ้ำประเทศกันในการดำรงตำแหน่งขององค์ต่างๆ
ในระดับ D2 ก็คือ ระดับผู้อำนวยการ เช่น เรื่องทางด้านการบริหาร (องค์กร) เรื่องทางด้านการเงิน (ติดตาม ตรวจสอบ)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อ 19 เม.ย. 22, 20:02
|
|
โดยสรุปในเบื้องแรก ก็คือความก้าวหน้าในหน้าที่การงานนั้น จะเลือกบนเส้นทางใดระหว่างกลุ่ม P หรือ กลุ่ม G
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อ 20 เม.ย. 22, 17:47
|
|
ระบบการทำงานของ UN นั้น มีทั้งที่เป็นลักษณะของ Task orient และ People orient แต่เกือบทั้งหมดจะเป็นในลักษณะของ Task orient อีกทั้งเกือบจะไม่มีการบรรจุบุคลากรเป็น Permanent staff จะมีก็น่าจะเป็นในลักษณะกึ่งประจำในรูปแบบที่ที่ได้กล่าวถึงมาแต่ต้นกระทู้ ลักษณะทั้งมวลนี้ก็เลยทำให้ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานออกไปในทางที่ค่อนข้างจะจำกัด อย่างไรก็ตาม ก็มีระบบที่ตัวบุคลากรเองสามารถจะดำเนินการให้ตนเองสามารถมีความก้าวหน้าได้ เช่นใด ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 43 เมื่อ 20 เม.ย. 22, 18:14
|
|
บุคลกรของ UN มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา จะมีความต่างออกไปก็ตรงที่ดูจะเป็นการไหลหมุนเวียนของบุคลกรภายในองค์กรนั้นๆหรือระหว่างองค์กรต่างๆของ UN มากกว่าที่จะเห็นบุคลากรหน้าใหม่ๆ ที่ว่าไม่ค่อยจะเห็นบุคลากรหน้าใหม่ๆนั้น ....(ต้องไปเล่าความในอีกเรื่องหนึ่ง)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อ 20 เม.ย. 22, 19:11
|
|
ในระบบ UN มีระบบ Internship ก็คือระบบการเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เข้ามาฝึกงาน(โดยไม่ได้รับเงินเดือน แต่อาจจะได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายบางอย่าง) ระยะเวลาก็ดูจะอยู่ที่ 3 หรือ 6 เดือน วุฒิการศึกษาจะอยู่ในระดับ ป.ตรี หรือ ป.โท ระดับการศึกษาที่ต่ำกว่าก็มีเช่นกัน ผมไม่มีความรู้เรื่องของระบบการการรับเข้ามาฝึกงาน ว่าผู้สนใจจะรู้ได้อย่างไรว่า หน่วยใหน ที่ใด เมื่อใด คุณสมบัติ...ฯลฯ แต่ได้เห็นบรรดาผู้ที่ทำงานอยู่ในองค์กรนั้นๆ สามารถนำบุตรหลานเข้าไปฝึกงานได้ ซึ่งผู้ที่เข้าไปฝึกงานนี้ ในภายหลังก็ดูจะได้รับการคัดเลือกเข้าไปทำงานเป็น staff ขององค์กร โดยเฉพาะในกลุ่ม G สำหรับในกลุ่ม P นั้น ก็คิดว่ามี แต่คงจะมีน้อยมาก เพราะเป็นระดับของผู้ชำนาญการหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง
ช่องทาง Internship นี้ เป็นช่องทางที่นิยมใช้กัน อย่างไรก็ตาม ความรู้และความสันทัดทางด้านภาษากลางของ UN (ภาษาหนึ่งภาษาใด) ผนวกกับระดับของการศึกษาก็ยังเป็นเรื่องทางคุณสมบัติที่สำคัญ
ในบ้านเรามี ESCAP ที่เป็นสำนักงานสาขาของ UN ใหญ่ ซึ่งแม้จะทำงานหลักๆในด้านทางเศรษฐกิจและสังคม แต่ก็มีส่วนเป็น Hup ของงานการปฏิบัติการต่างๆอยู่ของหลายองค์กร (?) น่าจะลองไปเปิดเว็บไซต์ของเขาดูประกาศต่างๆก็น่าจะดี อาจจะมีงาน Internship หรืองานอื่นๆที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะงานในกลุ่ม P ก็เหยียบบันใดขั้นแรกให้ได้แล้วค่อยขยับขึ้นบันใดขั้นต่อไป ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|