เรื่องนี้อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ได้ว่าเป็น การผ่าเหล่า (mutation) อันเนื่องจากการผิดปรกติของยีนที่มีชื่อว่า "เม่นสายฟ้า"

นักวิทยาศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับ (ยีน-gene-สารพันธุกรรม) ในแมลงหวี่ พบว่ามียีนตัวหนึ่งซึ่งเมื่อมีการผ่าเหล่า (mutation) จะทำให้รูปร่างของหนอนแมลงหวี่เปลี่ยนแปลงไปคือสั้น อ้วน ทำให้หนามบนตัวซึ่งเดิมเป็นแถวห่าง ๆ กัน กระเถิบเข้ามารวมกันเป็นผืนเดียวเหมือนกับหนามของตัวเม่นแคระ นักวิทยาศาสตร์จึงตั้งชื่อยีนนี้ว่า ยีนเม่น (hedgehog gene)
ยีนเม่นเป็นตัวกำหนดว่าส่วนไหนของไข่ที่ผสมแล้วจะเจริญเป็นอวัยวะอะไร ตำแหน่งไหน โดยผลิตโปรตีนเม่น (hedgehog protein) เป็นตัวสื่อสาร
กลุ่มของยีนเม่น (hedgehog family) ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีอยู่ ๓ ตัว สองตัวแรกตั้งชื่อตามชนิดของเม่นแคระ (desert hedgehog และ indian hedgehog) ส่วนตัวที่สามซึ่งเป็นตัวสำคัญและเป็นพระเอกของเรื่องนี้ตั้งชื่อว่า sonic hedgehog ตามชื่อตัวเอกในวิดิโอเกมคือ เม่นสายฟ้า Sonic The Hedgehog (มีเกร็ดเล่าว่าขณะที่ทำงานวิจัย ลูกชายของนักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษายีนตัวนี้ติดเกมนี้งอมแงม)
ยืนเม่นสายฟ้ามีหน้าที่สำคัญคือควบคุมทั้งรูปร่างและตำแหน่งของนิ้วมือ นิ้วเท้ารวมทั้งแขนและขาด้วย โดยการสร้างโปรตีนชื่อเดียวกันคือโปรตีนเม่นสายฟ้าเพื่อทำหน้าที่นี้
หน้าที่อีกประการหนึ่งของยีนเม่นสายฟ้าซึ่งสำคัญพอ ๆ กับหน้าที่แรกคือกำหนดการแบ่งสมอง (รวมทั้งไขสันหลัง) ออกเป็นสองข้าง
ยักษ์ตาเดียว (Cyclops) ในนิยายกรีก เป็นผลของการผิดปรกติของยีนตัวนี้ คือสร้างโปรตีนสื่อสารน้อยกว่าปรกติ

หากโปรตีนสื่อสารมากไป ตัวอ่อน (embryo) ก็จะพัฒนาเป็นสัตว์สองหน้า
คนทั่วไปมักมองนักวิทยาศาสตร์ว่าเป็นคนเคร่งขรึม ไร้อารมณ์ขัน แต่จากเรื่องยีนเม่นสายฟ้าคงเผยความจริงให้เห็นว่านักวิทยาศาสตร์ก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป มีอารมณ์ขันเป็นเหมือนกัน
แต่ภาระหนักคงจะตกอยู่กับคุณหมอเมื่อต้องอธิบายลึก ๆ ถึงสาเหตุของความผิดปรกติให้พ่อแม่ของคนไข้เด็กฟัง พ่อแม่ของเด็กที่มีความผิดปรกติมาก ๆ เช่นเด็กนางเงือก, ตาเดียว หรือสองหน้า คงแปลกใจเป็นนักเป็นหนาว่าคุณหมอพูดตลกหรือเปล่าเมื่อบอกว่าสาเหตุของสิ่งเหล่านั้นเกิดจากยีนที่ชื่อว่า เม่นสายฟ้า sonic hedgehog
จากกระทู้
สัตว์ประหลาด เมื่อ ๑๑ ปีก่อน