เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 25 26 [27] 28 29
  พิมพ์  
อ่าน: 15705 ความรู้ในลิ้นชัก
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 390  เมื่อ 19 ต.ค. 21, 19:08

ขยายภาพเป็นตุ๊กตาเพื่อให้เห็นชัดเจนอีกหน่อย

มีการเปิดพื้นที่ให้ทำการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม กำหนดสัญญา 30 ปี ให้ผู้รับจ้างทำการสำรวจได้ 5 ปี แล้วจะต้องเริ่มทำการผลิต  น้ำมันที่ผลิตได้ 100 ถัง ให้ตัดออกเป็นค่าการลงทุน 50 ถัง  ที่เหลือเอามาแบ่งกัน ให้ผู้รับจ้างได้ไป 35 ถัง ผู้จ้างได้ไป 15 ถัง สัดส่วนการแบ่งผลผลิตนี้จะเปลี่ยนไปตามระยะเวลาที่มีการกำหนด จนในปีสุดท้ายค่าใช้จ่ายในการผลิตเหลือเพียง 10 ถัง ผู้จ้างจะได้รับ 70 ถัง ผู้รับจ้างได้ 20 ถัง  โดยทรัพย์สินทั้งหมดที่ใช้ในการลงทุนและการผลิตตกเป็นของฝ่ายผู้จ้าง  เป็นต้น
   
ระบบ PSC เป็นสัญญาที่อยู่บนฐานของการเจรจาในเกือบจะทุกเรื่อง  เกิดขึ้นครั้งแรกโดยอินโดนีเซีย แถวๆ พ.ศ.2510 (์??) ได้มีการพัฒนาต่อๆมาเพื่อให้กระชับ ลดช่องโหว่ และได้กลายเป็นรูปแบบของสัญญากระจายใช้กันไปเกือบจะทั่วโลก  ประเทศเพื่อนบ้านรอบๆตัวเราก็ดูจะมีการใช้ระบบนี้กับเรื่องที่เกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติ     
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 391  เมื่อ 20 ต.ค. 21, 17:59

การทำสัญญาของทั้งระบบ concession (สัมปทาน) และระบบ PSC นั้น จำเป็นจะต้องใช้คณะบุคคลที่มีความซื่อสัตย์เป็นอย่างสูง มีความรู้ในวงกว้างในระดับ master ในเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องในสัญญา และต้องรู้(จัก)เขา-รู้(จัก)ตัวเรา ในแง่มุมต่างๆอย่างพอสมควร ไม่จำเป็นจะต้องเป็นคณะบุคคลที่ต่างก็มีความรู้อันเป็นเลิศทางวิชาการเฉพาะทาง   สัญญาจะถูกรักษาไว้เป็นความลับ เนื่องจากเนื้อในของสัญญามันเป็นข้อสนเทศที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องการแข่งขันทางธุรกิจและอื่นๆได้

แท้จริงแล้วการทำสัญญาระยะยาวนี้ยังมีในรูปแบบอื่นๆอีก เช่น การลงทุนร่วมระหว่างรัฐกับเอกชน (Public Private Partnership), RSP (Revenue Sharing Agreement) ภาษาไทยเรียกว่าเช่นใดก็ไม่ทราบ ? และอื่นๆ    และก็มีชื่อเฉพาะสำหรับสัญญาระยะยาวในเรื่องอื่นๆอีกมาก เช่น การเก้บค่าไฟ ค่าน้ำ การให้บริการรถเมล์ ....
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 392  เมื่อ 20 ต.ค. 21, 18:32

ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้แทนหน่วยงานไปร่วมใน workshop ที่ ESCAP จัดขึ้น เกี่ยวกับความช่วยเหลือในด้านกรอบแนวคิดในการบัญญัติกฎหมาย กฎ ระเบียบและข้อบังคับเกี่ยวกับการแสวงประโยชน์ในทรัพยากรธรรมชาติของกลุ่มประเทศอินโดจีน(ตะวันออกของไทย)   ผู้ที่ให้ข้อมูลในเรื่องระบบของตนก็มี อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และของประเทศทางตะวันตกบางประเทศ (จำไม่ได้แล้ว)  ผลสรุปดูจะเห็นพ้องกันว่า น่าจะเริ่มด้วยการใช้ระบบสัมปทานก่อน ในลักษณะของการใช้กฎหมายบังคับประมาณ 75%ของกระบวนการ  เปิดช่องให้มีการเจรจาหรือตัดสินใจโดยนโยบายประมาณ 25%    จากนั้น เมื่อบุคลากรมีความสันทัดกรณีมากขึ้น ก็อาจจะยึดถือระบบสัมปทานต่อไป หรือเปลี่ยนเป็นระบบอื่นใด (PSC) ตามที่เห็นว่าเหมาะสมและสอดคล้องกับสภาพทางสังคมและเศรษฐกิจของตน       
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 393  เมื่อ 20 ต.ค. 21, 19:31

ก็มีกรณีที่ผู้ได้รับสัมปทานหรือผู้ให้สัมปทาน ประสงค์จะให้มีการตั้งบริษัทขึ้นมาภายใต้กฎหมายของประเทศนั้นๆ เพื่อดำเนินกิจการ(กิจกรรม)ในสมบัติทรัพย์สินที่มีการให้สัมปทานนั้นๆ (ซึ่งต่างก็จะมีเหตุผลในการจัดตั้งต่างๆกันไป)  ในหลายกรณีรัฐก็ร่วมลงทุนด้วยการลงเงิน บางกรณีก็ร่วมเพียงด้านการอำนวยความสะดวก....    ลักษณะของการสัมปทานในรูปแบบนี้ รัฐก็พึงจะต้องส่งคนของรัฐไปเป็นกรรมการในนิติบุคคลเกิดใหม่นั้นๆ เพื่อให้มี vote right ในเรื่องของการตัดสินใจต่างๆที่จะไม่ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย รัฐเองไม่นิยมลงทุนด้วยเงิน (in cash) เพราะมีข้อจำกัดทางด้านงบประมาณและทางด้านการเมือง หากแต่จะนิยมลงทุนด้านการอำนวยความสะดวกหรืออื่นใด (in kind)     แต่เมื่อใดที่คนที่ถูกส่งไปเป็นกรรมการนั้นมีความเข้าใจอันจำกัดในเรื่องของภาระและหน้าที่อันพึงทำ ก็จะเกิดกรณีที่ทำให้ต้องรัฐต้องสูญเสียประโยชน์อยู่เนืองๆ   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 394  เมื่อ 21 ต.ค. 21, 18:38

ในการเจรจาเพื่อตกลงทำสัญญาระยะยาวระหว่างรัฐกับเอกชนนั้น รัฐมีความคล่องตัวน้อยกว่าเอกชนมาก มีข้อจำกัดมากมายในการตัดสินใจในแต่ละเรื่อง แต่ละประเด็น  ด้วยที่เรื่องหนึ่งๆมักจะต้องไปเกี่ยวข้องกับขอบเขตอำนาจและหน้าที่ของหลายหน่วยงาน (หน่วยงานในระดับกระทรวงจะถูกจัดตั้งขึ้นมาบนฐานของกฎหมาย ที่มีเนื้อในที่พร้อมสรรพไปด้วยขอบเขตอำนาจ หน้าที่ และความรับผิดชอบ ซึ่งก็คือการมีลักษณะของความเป็นนิติบุคคลที่สมบุรณ์)   ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธุรกิจที่ทำรายได้สูงมากๆ  รัฐต่างๆทั้งในยุโรปและอาเซียน ก็เลยตั้งบริษัทของรัฐเพื่อให้เป็นนิติบุคคลที่สามารถดำเนินการทางธุรกิจที่มีความเป็นอิสระใกล้เคียงกับธุรกิจของภาคเอกชน  คือโดยเกือบจะไม่มีเรื่องของราชการและการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้อง และไม่มีข้อจำกัดตามระบบและระเบียบของรัฐวิสาหกิจและของราชการ

     
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 395  เมื่อ 21 ต.ค. 21, 20:10

ก็น่าจะพอกับเรื่องราวของการสัมปทานและ PSC ที่ขยายความมา  สั้นๆแต่ก็น่าจะได้แก่นของเรื่อง ผมมิใช่เป็นผู้ที่มีความสันทัด เพียงแต่เคยเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่เล็กๆน้อยๆ(แต่เป็นเรื่องใหญ่พอได้อยู่ ยิงฟันยิ้ม)พอประมาณ 

จะออกจากเรื่องนี้ ก็เกิดนึกขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่ง เป็นเพียงประสบการณ์ที่อาจจะน่าสนใจ 

สัญญาเป็นเรื่องของความตกลงกันระหว่างสองฝ่าย  ก็น่าจะเคยสังเกตเห็นในสัญญาของไทยต่างๆว่า จะเริ่มด้วยแต่ละฝ่ายคือใคร ทำสัญญานี้ในเรื่องอะไร  จากนั้นก็จะเป็นเรื่องราวในลักษณะที่ฝ่ายหนึ่งมักจะมีฐานะทางนิตินัยสูงกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ทรงสิทธิและอำนาจในการบังคับให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องดำเนินการให้เป็นไปตามสัญญานั้นๆ  ท้ายๆสัญญาก็จะเกี่ยวกับเรื่องการชดใช้ค่าเสียหาย  ในมุมที่ผมมองก็คือ มันอยู่บนฐานของ superior right มากกว่า equal right  และหากเกิดกรณีผิดสัญญาก็จะอยู่บนฐานของการตัดสินโดยศาล คือว่ากันตามตัวอักษรตามที่เขียนไว้ในกฎหมาย

ในร่างสัญญาที่ยกร่างโดยต่างชาติ ที่นำเสนอเพื่อให้ฝ่ายไทยพิจารณาแทนร่างที่ไทยยกร่างเป็นตุ๊กตาให้เขาพิจารณา ที่ผมเคยเห็นนั้น มีความต่างออกไปทั้งในเชิงของ right และแนวคิดพื้นฐาน (conceptual)  คือตั้งอยู่บนฐานของความเสมอภาคกัน มีการระบุลงไปเลยถึงขอบเขตของสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบ  และเมื่อเกิดกรณีพิพาทกัน ก็จะหาทางออกด้วยการพูดคุยกันบนพื้นฐานของการประณีประนอม (compromise) ตามสถานะการณ์หรือสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจริงในช่วงเวลาที่เกิดความขัดแย้งนั้นๆ โดยใช้ระบบอนุญาโตตุลาการ     ก็มีข้อหนึ่งที่ต้องพูดคุยกันมาก คือเรื่องของเหตุสุดวิสัย เพราะว่าสามารถใช้เป็นข้อหลีกเลี่ยงได้ในกรณีการผิดสัญญา  เหตุสุดวิสัยนั้นเกิดได้จากหลายเรื่อง อาทิ ที่เป็นเรื่องของธรรมชาติ ที่เกิดจากการกระทำที่ไม่มีการป้องกันอย่างรัดกุม ที่เกิดจากเหตุการณ์ทางการเมือง....ฯลฯ     
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 396  เมื่อ 21 ต.ค. 21, 20:33

ก็คงจะต้องหันออกจากเรื่องทางกฎหมายเหล่านี้เสียที  เรื่องหนึ่งก็เพราะไม่เป็นผู้ที่รู้จริงในเรื่องข้อกฎหมายต่างๆที่เกี่ยวข้อง  ก็เล่าไปตามที่เคยได้ทำงานเกี่ยวข้อง บ้างก็ในเชิงนโยบาย บ้างก็ในเชิงช่วยเขาปฏิบัติ เคยอยู่ในกลุ่มคณะเจรจาบ้าง ชี้แจงกับหน่วยงานกฏหมายของรัฐบ้าง และเล็กๆน้อยๆกับการอนุวัติกฎหมายบ้าง    ก็ถือว่ายังละอ่อนในเรื่องเหล่านั้นอยู่มากๆเลยทีเดียว
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 397  เมื่อ 22 ต.ค. 21, 17:41

เลยเรื่องที่เล่าค้างไว้มาไกลเลยทีเดียว ก็เลยจะขอย้อนกลับไปต่อเรื่องที่ค้างไว้ ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ในเชิงของข้อมูลเพื่อประกอบการเตรียมความพร้อมในบางด้านของกิจกรรมที่กำลังวางแผนจะดำเนินการ   ก็คือการเพื่มสภาพของการ 'รู้เขา-รู้เรา' ในเรื่องต่างๆเพื่อการเตรียมการรับมือหรือการเข้าไปร่วมอยู่ในสภาพนั้นๆอย่างมีความสุข   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 398  เมื่อ 22 ต.ค. 21, 18:42

เรากำลังจะเปิดประเทศอย่างจริงจัง  เรื่องหนึ่งที่จะตามมาในทันใดก็คือเรื่องของการใช้รถเดินทาง   ช่วงนี้เป็นช่วงของฝนสั่งฟ้า กำลังเข้าไปสู่สภาพอากาศที่เย็นลง  ในภาคเหนือก็จะเข้าสู่สภาพหนาว ภาคกลางอากาศก็จะเย็นสบายมากขึ้น ภาคใต้ก็จะเข้าสู่ช่วงของฝนชุกและลมแรง   การเตรียมรถให้มีความพร้อมเพื่อการเดินทางก็จะมีความแตกต่างกันไป   รถเสียในระหว่างการเดินทางนั้นเป็นเรื่องใหญ่ แต่เกือบทั้งหมดจะเป็นเรื่องที่ไม่ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต  เรื่องที่ทำให้เกิดอันตรายนั้นจะมาจาก 3 เรื่องใหญ่ๆคือ ยางรถ เบรค และการขับขี่   สองเรื่องแรกได้กล่าวถึงไปแล้ว ก็มาถึงเรื่องของการขับขี่  บนถนนที่แห้ง การขับขี่ก็จะเป็นไปตามปกติตามลักษณะและวิธีการขับของแต่ละคน   แต่บนถนนที่เปียกน้ำเนื่องด้วยฝนตกนั้น จะต้องมีความเข้าใจเหมือนๆกันว่า บนผิวถนนนั้นมันมีฝุ่นดินทรายอยู่บนผิว เมื่อฝนกำลังตกลงมาใหม่ๆ หรือตกบางๆปรอยๆ ดินทรายบนพื้นผิวถนนนั้นจะแปรสภาพไปไม่ต่างจากโคลนบางๆเคลือบผิวถนน  แต่หากฝนตกลงมาแรงๆ น้ำฝนก็จะชะล้างโคลนนั้นให้ไหออกไปหมด       

ความเร็วของการใช้รถบนถนนในสภาพแรก จึงจำเป็นจะต้องลดลง เพราะถนนค่อนข้างจะลื่นมาก   หากเป็นถนนมีสถาพที่เปียกชุ่มด้วยฝนที่ตกหนักมาก่อนหน้านั้น สภาพของถนนก็จะคล้ายถนนสร้างใหม่ที่มีความสะอาด ก็สามารถจะใช้ความเร็วได้พอสมควร   แต่หากเป็นการขับขี่ในขณะที่ฝนตกหนัก น้ำบนผิวถนนจะอยู่ในสภาพที่ระบายออกไม่ทัน จะค้างเป็นผิวน้ำหนาอยู่บนผิวถนน  การขับรถก็จะมีสภาพคล้ายกับการขับรถลุยน้ำ  หากความเร็วของรถมากเกินไป ยางรถรีดน้ำออกไม่ทัน รถก็จะมีสภาพคล้ายกับเรือที่ไม่มีหางเสือ คือล่องลอยไปได้ทุกทิศทาง             
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 399  เมื่อ 22 ต.ค. 21, 19:29

หลักการที่กล่าวถึงนั้น เป็นเรื่องจริงที่นำมาใช้กับการใช้รถในพื้นที่ป่าทุรกันดาร  เมื่อฝนเริ่มตก ก็จะหยุดรอให้ฝนฝนตกหนักแล้วจึงออกเดินทาง ก็คือรอให้ดินโคลนเปลี่ยนจากสภาพดินที่เหนียวๆแปรสภาพไปเป็นน้ำโคลน  คือแทนที่จะต้องต่อสู้กับดินเหนียวลื่นๆที่ทั้งคนและรถติดกันเหนอะหนะไปหมด ไปเป็นการขับรถในน้ำโคลน

ที่เป็นความรู้จากประสบการณ์อีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวกับใช้รถในพื้นที่ป่าเขาในช่วงต้นฝนและปลายฝนก็คือ น้ำหนักรถ(ตัวรถและของบรรทุก)ที่เหมาะสมในการลุยควรจะอยู่ที่ประมาณ 3+/- ตัน  หน้ายางของล้อรถควรจะอยู่ที่ประมาณหน้ายางของยาง 245/70 r15  ซึ่งจะทำให้ได้ทั้งน้ำหนักกดบนโคลนเละๆลึกลงไปมากพอถึงจุดที่โคลนเริ่มหนืดจนมีความเสียดทานมากพอที่ยางรถสามารถจะตะกุยไปข้างหน้า  นำหนักรถประมาณนี้ทำให้รถมีน้ำกดพื้นมากพอในการขับเคลื่อนไปตามลาดชันที่มีมุมค่อนข้างสูง   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 400  เมื่อ 23 ต.ค. 21, 18:23

ปัดน้ำฝนก็เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องได้รับการตรวจตราดูแลให้ดีก่อนเข้าช่วงฤดูฝน  ยางของใบปัดน้ำฝนนั้นเมื่อใช้ไปนานๆเข้ามันก็เสื่อมคุณภาพได้ โดยเฉพาะกับรถที่ต้องจอดกลางแจ้ง ยางจะค่อยๆแข็งกระด้างมากขึ้น ปัดน้ำได้ไม่หมด หลงเหลือเป็นทาง และในที่สุดก็จะฉีกขาด     

น้ำฝนที่ปัดออกจากกระจกหน้ารถได้ไม่หมดนั้น นอกจากจะเกิดจากยางปัดน้ำฝนที่แข็งและเสื่อมสภาพแล้ว ก็เกิดจากความสะอาดของผิวกระจกอีกด้วย   การขับรถไปบนถนนต่างๆนั้น พวก particulate matter ทั้งที่เป็นพวกสารอินทรีย์และอนินทรีย์ รวมทั้งฝุ่นละอองดินทรายเม็ดขนาดเล็กต่างๆ (พวก silt sized particle) จะมาจับติดอยู่กับผิวกระจกหน้ารถ หากเราไม่เช็ดล้างทำความสะอาดกระจกหน้ารถบ้าง สารเหล่านั้นมันก็จะเกาะสะสมกันหนามากขึ้น ทำให้น้ำยังคงเหลือติดกระจกเป็นรอยหรือเป็นวงๆเป็นดวงๆคงค้างอยู่หรือเป็นฝ้า ไม่ใสจนสามารถมองทะลุออกไปเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจน    สารที่จับติดอยู่ที่ผิวกระจกนี้ยังทำให้เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดหรือทำให้การไม่ราบรื่น(กระตุก)เมื่อเปิดใช้ปัดน้ำฝน 

การแก้ไขชั่วคราวที่นิยมใช้กันในหมู่คนที่ทำงานในพื้นที่ชนบท  ในกรณีที่มีคนสูบบุหรี่นั่งรถไปด้วย ก็คือเอาบุหรี่มวนหนึ่งถูไปถูมาที่กระจก หรือไม่ก็ใช้ผงซักฟอกเช็ดล้างกระจก ก็จะทำให้การปัดน้ำหน้ากระจกลื่นมากขึ้น ได้กระจกที่ใสมากขึ้น    ก็อาจจะกลัวว่าจะเกิดการไปกัดสีรถ ไม่ต้องกลัวเพราะน้ำฝนจะชะล้างไปจนหมดในระหว่างที่ขับลุยฝนไป   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 401  เมื่อ 23 ต.ค. 21, 19:26

จะแก้ปัญหาเรื่องที่กล่าวมานั้น ผมใช้สองสามขั้นตอนในการดำเนินการ    แรกสุดก็คือล้างกระจกรถด้วยการใช้ผงซักฟอกและใช้ฟองน้ำด้านขัดถูขัดกระจก  ล้างออกแล้วก็เอาใบมีด cutter ยาวประมาณ 2 นิ้ว ค่อยๆขูดกระจกบริเวณที่เป็นรอย หรือวงฝ้า และที่อื่นๆจนรู้สึกว่ากระจกลื่นและใสทั่วกันดีแล้วก็ล้างด้วยผงซักฝอกอีกรอบหนึ่ง แล้วก็ล้างรถไปเลย  (ไม่ต้องกลัวว่าจะมีรอยขีดของใบมีดบนกระจก เพราะว่าเหล็กกับกระจกมีความแข็งต่างกันค่อนข้างมาก แต่ก็ต้องมีความระวังอยู่พอสมควร คือไม่ให้มีส่วนคมของใบมีดกดหรือกรีดลงไปแรงๆ)

จากนั้นก็ทำการเคลือบกระจกใหม่ด้วยน้ำยาเคลือบกระจกรถที่มีขายกันอยู่ทั่วไป ทำแบบใจเย็นๆตามคำแนะนำของผลิตภัณฑ์นั้นๆ  ก็จะได้กระจกรถใสๆกลับคืนมา เมื่อเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนเสียใหม่ ทุกอย่างก็จะทำให้เกิดความรู้สึกคล้ายกับเป็นของใหม่

กระจกหน้ารถยนต์ควรจะต้องเช็ดด้วยผ้าชื้นๆ เพื่อจะได้เก็บฝุ่นทรายที่มีเม็ดละเอียดมากๆที่เกาะติดอยู่ ซึ่งส่วนมากจะเป็นฝุ่นพวกที่มีสารประกอบเป็น silica ซึ่งมีความแข็งพอๆกันกับกระจก หากเช็ดด้วยผ้าแห้ง ก็จะได้สภาพเสมือนหนึ่งใช้กระดาษทรายเบอร์ละเอียดมากๆไปขัดกระจก     
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 402  เมื่อ 24 ต.ค. 21, 18:05

ก็มาถึงเรื่องของเบรครถ    ได้พูดถึงเรื่องน้ำมันเบรครั่วไปแล้วเป็นบางส่วน   เบรคเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญสูง ต้องพึงระวังสำหรับรถที่มีอายุนานมากกว่าประมาณ 15 ปีขึ้นไป น้ำมันเบรครั่วซึมมีสาเหตุหลักๆมาจากลูกยางในกระบอกเบรคสึก ทั้งที่แม่ปั้มและที่ล้อรถ หรือมีสนิมขุมเกิดขึ้นภายในกระบอกเบรค เนื่องจากใช้งานมานาน   

ระดับของน้ำมันเบรคในกระปุกน้ำมันเบรคนั้น พอจะบ่งชี้สภาพของระบบเบรคของรถได้พอสมควรเลยทีเดียว  เราอาจจะนึกว่ามันเป็นการดีที่ควรจะต้องหมั่นเติมน้ำมันเบรคให้เท่ากับขีด max ที่ข้างกระปุกน้ำมัน   ผมเห็นว่ามันก็มีทั้งดีและไม่ดี ดีในเชิงที่มีการดูแลรักษารถดี แต่ไม่ดีในเชิงที่ไม่ให้ควมสนใจกับสถานะของการเสื่อมสภาพต่างๆ     มันเป็นเรื่องปกติของระบบเบรครถที่เมื่อผ้าเบรคสึกไป ระดับน้ำมันก็จะลดลงตามไปด้วย  หากเป็นการขับรถแบบไม่กระโชกโฮกฮาก ปริมาณการสึกของผ้าเบรคก็จะไม่มาก  ในช่วงเวลา 1 ปีก็อาจจะเห็นระดับน้ำมันเบรคลดลงไปเพียงเล็กน้อย  เมื่อใดก็ตามที่ระดับน้ำมันลดลงไปประมาณใกล้หนึ่งในสี่ของขีดระดับ max และ min  ก็ถึงเวลาที่ควรจะต้องนำรถเข้าอู่ทำเบรคดีๆ ซึ่งอาจจะมี 3 เรื่องที่จะเกิดขึ้น คือเจียรจานเบรค เปลี่ยนผ้าเบรค และเปลี่ยนชุดลูกยางเบรค   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 403  เมื่อ 24 ต.ค. 21, 19:18

หากเป็นรถที่มีอายุค่อนข้างมาก ก็ควรจะขอให้ร้านทำเบรคเขาช่วยตรวจสอบด้วยว่า สายอ่อนของระบบเบรคยังนิ่มดีอยู่หรือไม่ หรือค่อนข้างแข็งและเริ่มแตกลายงา  สายอ่อนพวกนี้ควรจะต้องมีความนิ่ม ยิ่งใช้งานมานานมันก็จะยิ่งแข็งและมีโอกาสแตกได้ง่าย     ขับรถแบบไม่มีเบรคนี้เป็นเรื่องบนเส้นแบ่งเขตระหว่างเป็นกับตาย  แม้กระทั่งกับการใช้ถนนในป่าเขา ก็เหมือนๆกัน  เพียงแต่ในป่าเขานั้นมักจะสามารถประคองให้พ้นวิกฤติได้ดีกว่า

การเจียรจานเบรคนั้นเป็นสิ่งที่พึงต้องยอมให้ช่างเขากระทำพร้อมๆไปกับการเปลี่ยนผ้าเบรคที่สึกหรอจนหมดสภาพที่เหมาะสมจะการใช้งานต่อไป  แต่เราก็ต้องรู้ด้วยว่า สมควรแก่เหตุแล้วหรือยัง     สำหรับกรณี disk break นั้น การขับรถบนทางหลวงต่อเนื่องระยะยาว จานเบรคจะมีความร้อนมาก  ทำให้เมื่อถูกน้ำฝนหรือแอ่งน้ำบนถนนในทันที ก็จะเกิดอาการบิดเบี้ยวเล็กน้อย     กรณีเป็น drum break หากเป็นการใช้รถบนถนนที่ยังเป็นถนนดินบดอัดแน่นบ่อยครั้งมากๆ ฝุ่นทรายซึ่งมีความแข็งกว่าเหล็กก็จะเข้าไปแทรกอยู่ระหว่างผ้าเบรคและจานเบรค การใช้เบรคจะทำให้เกิดการเสียดสีกันมาก จานเบรคจะถูกเซาะให้เป็นร่องด้วยเม็ดทราย เสียงเบรครถที่ดังอี๊ดๆอ๊าดๆเกือบทั้งหมดก็จะมาจากเรื่องนี้    ซึ่งทั้งร่องและเสียงนี้ก็เกิดกับพวก disk break เช่นกัน

อาการของจานเบรคบิดเบี้ยวนี้ เราอาจจะสังเกตได้จากความรู้สึกที่เท้าในขณะที่เหยียบเบรค ทางช่างดูจะนิยมใช้คำว่า สู้ตีน ก็คือ แทนที่จะแป้นเหยียบเบรคจะนิ่งในขณะที่ใช้กำลังเหยียบเบรคลงไป มันจะขยับขึ้นๆลงๆให้รู้สึกได้       
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 404  เมื่อ 25 ต.ค. 21, 17:49

เรื่องเมื่อทำการเบรครถแล้วรถจะกินซ้ายหรือกินขวานั้น เป็นอาการปกติที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะกับรถรุ่นเก่าๆที่ใช้ระบบ drum break ทั้งสี่ล้อ ซึ่งสาเหตุส่วนมากจะมาจากเรื่องของการตั้งระยะห่างระหว่างผ้าเบรคกับจานเบรคให้เท่าๆกันทั้งสี่ล้อ เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับฝีมือและความละเอียดของช่าง

อาการเบรครถแล้วกินซ้ายหรือขวานี้ ค่อนข้างจะทำให้เกิดอุบัติเหตุอันตรายได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อถนนลื่นหรือในขณะฝนตก ซึ่งจะส่งผลให้รถลื่นไถลหรือหมุนจนควบคุมทิศทางไม่ได้    สำหรับรถที่มีการใช้ disk break ไม่ว่าจะเป็นเฉพาะล้อคู่หน้าหรือทั้งสี่ล้อจะไม่ค่อยพบกับปัญหานี้  แต่ก็อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นกันหากลูกสูบในกระบอกเบรคหนึ่งใดเกิดทำงานได้ไม่ดี ขยับได้น้อยมาก หรือติดขัด  ซึ่งมักจะเกิดจากการที่มีฝุ่นละอองจับติดจนหนาแน่น (เหตุเพราะยางกันฝุ่นหมดอายุหรือมีรอยแตก)   หากนำรถเข้าร้านทำเบรคที่ดี ช่างก็จะทำการตรวจสอบให้ทั้งหมด ซึ่งเมื่อรื้อออกมาแล้วก็จะต้องมีการเปลี่ยนลูกยางทั้งหมดหรือกระทั่งลูกสูบ   ลืมบอกกล่าวไปว่า อาการเบรคคืนตัวช้าเมื่อเหยียบเบรคแบบย้ำบ่อยครั้งนั้น ก็มักจะมาจากสาเหตุลูกสูบในกระบอกเบรคของ disk break นั้นมันกลับคืนตำแหน่งเดิมช้า ซึ่งอาจจะรู้สึกอาการนี้ได้เมื่อผ้าเบรคได้ถูกใช้ไปจนเกือบจะหมดแล้ว     
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 25 26 [27] 28 29
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.048 วินาที กับ 19 คำสั่ง