เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 195 เมื่อ 11 ส.ค. 21, 19:15
|
|
ต้มจืดผักกาดขาว หมูสับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 196 เมื่อ 12 ส.ค. 21, 17:52
|
|
ต้มจืดผักกาดขาวหมูสับ เป็นอาหารอร่อย เรียบง่ายและทำไม่ยาก
เอาเนื้อหมูส่วนสันคอ (เนื้อผสมมัน) หั่นเป็นชิ้นๆขนาดประมาณหัวแม่มือ ใช้มัดปังตอสับ เมื่อใกล้จะละเอียดก็เหยาะด้วยน้ำปลาและซีอิ๊วพอออกรสเค็ม บุบกระเทียมให้แหลกสักกลีบหรือสองกลีบและบุบรากผักชี ซอยแล้วใส่ลงสับไปกัลหมูด้วยกัน โรยพริกไทยป่น สับและพลิกกลับไปมาเพื่อเคล้ากันให้ทั่ว เอาหม้อมาต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย แล้วเอาหมูสับ(บะช่อ)ปั้นเป็นก้อนเล็กใหญ่ตามแต่ต้องการใส่ลงไป หรือจะบี้ให้เป็นแผ่นเล็กแล้วยีให้มันแตกกระจาย เมื่อใกล้สุก หมูจะลอยขึ้นมา ก็หรี่ไฟลงแล้วช้อนฟองจนน้ำดูใสดีแล้ว ก็เร่งไฟแล้วเอาผักกาดขาวใส่ลงไป รอจนน้ำเดือดแล้วจึงหรี่ไฟลง ทำการปรุงรสให้เหมาะตมต้องการ ปิดฝาหม้อ ยกลงจากเตา ทิ้งไว้สักพักใหญ่ๆเพื่อให้ผักได้นิ่มลงและเพื่อให้รสต่างๆได้มีเวลาผสมผสานกลมกลืนกัน จากนั้นก็พร้อมที่จะกินแล้ว เมื่อตักใส่ชามแกงแล้ว ก็มีแบบที่เหยาะหน้าด้วยกระเทียมเจียวลงไปอีก การทำวิธีนี้จะได้น้ำแกงที่หอมและหวานจากวิธีการทำหมูสับและจากผักกาดขาวที่สด แต่หากได้น้ำแกงที่ได้มาจากการต้มกระดูกหมูก็จะยิ่งหวานอร่อยเข้าไปอีก
ก็เป็นตัวอย่างของอาหารที่ผมเห็นว่าเป็นแบบจีนผสมไทย ? หรือไทยผสมจีน ? ผมได้เห็นการทำและกินอาหารในกลุ่มพวกผสมเช่นนี้มาตั้งแต่เด็ก ด้วยที่ต้องเดินทางไปเยี่ยมคุณยายที่แม่กลอง ก็เลยเอามาเป็นเกณฑ์จำแนกระหว่างอาหารจีนที่ยังคงมีสิ่งที่บ่งชี้ว่ายังมีลักษณะของความเป็นของเดิมกับที่เป็นอาหารรุ่นใหม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 197 เมื่อ 12 ส.ค. 21, 18:57
|
|
จะลองนำเสนออาหารลูกผสมดังที่กล่าวมา ซึ่งน่าจะเกือบไม่ได้เห็นกันแล้วในพื้นที่เมืองต่างๆ บางอย่างอาจจะพอเห็นกันได้บ้างตามแผงขายอาหารสำเร็จรูปของแม่ค้าที่เป็นชาวบ้านๆจริงๆ (มิใช่ชาวบ้านในระดับที่มีคำเรียกนำหน้าชื่อว่า เจ๊ ) ก็มีอาทิ กระเทียมดองผัดกับไข่ วุ้นเส้นผัดกับไข่ใส่กระเทียมดอง ดอกกุยช่ายผัดกับตับ ตับผัดกับต้นกระเทียมสด เต้าหู้อ่อน(เหลือง)ผัดกับหมูสับใส่เต้าเจี้ยวและหอมสดหรือกระเทียมสด แกงจืดเซี่ยงจี๊กับหมูสับ แกงจืดหมูสับกับใบตั้งโอ๋ ผัดหลากหลายชนิดที่ใส่เต้าเจี้ยว(หอยหะพง หอยลาย...) ผัดหลากหลายชนิดที่ใส่เต้าหู้ยี้ (หมู จับฉายแห้ง...) ต้มจับฉ่าย/พะโล้/ต้มหรืออื่นใดที่เริ่มต้นด้วยการเคี่ยวน้ำตาลปี๊บกับซีอิ๊วเพื่อทำให้เป็น caramel ก่อนจะละลายให้เป็นน้ำแกงต่อไป .... ที่เป็นอาหารระดับเหลาก็มีอาทิ เป็ดเสฉวน(ชนิดเลาะกระดูกออกไปทั้งตัว) ตีนเป็ด(น้ำแดง ผัดหน่อไม้..) ขาหมูยัดใส้ ปลานึ่งเกี้ยมบ้วย .... อาหารดังตัวอย่างเหล่านี้และอื่นๆ ยังคงมีทำขายผลุบๆโผล่ๆอยู่ในพื้นที่ๆกล่าวถึง แต่หลังจบเรื่องเรื่องโควิด-19 แล้ว จะยังคงพอจะมีตกค้างสืบทอดต่อไปอยู่บ้างหรือไม่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 198 เมื่อ 12 ส.ค. 21, 19:35
|
|
กุยช่ายผัดตับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 199 เมื่อ 14 ส.ค. 21, 18:12
|
|
นครปฐม ราชบุรี เพชรบุรี สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม แต่ละจังหวัดต่างก็อยู่ในพื้นที่ๆไม่ต่างกันมากในสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ธรณีฯ ดิน... และในเชิงของการใช้ประโยชน์ที่ดิน เกษตรกรรม กสิกรรม ... แต่ แต่ละจังหวัดต่างก็มีความไม่เหมือนกันในด้านของผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้ให้กับผู้คนชาวจังหวัดนั้นๆ ทุกจังหวัดมีสวนผลไม้ ทุกจังหวัดมีกิจการในรูปของอุตสาหกรรม (ทั้งด้านบริโภคและอุปโภค) ทุกจังหวัดมีสถานที่หรือแหล่งท่องเที่ยว มีอาหารที่มีลักษณะเป็นของทำเฉพาะถิ่น ....
ก็จึงน่าสนใจว่า ด้วยเหตุใด แต่ละจังหวัดจึงมีความโดดเด่นออกมาไม่เหมือนกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 200 เมื่อ 14 ส.ค. 21, 19:04
|
|
ความต่างกันในด้านพืชผลทางการเกษตรนั้น แต่เดิมจะไปขึ้นอยู่กับลักษณะและสภาพของดิน เมื่อพื้นที่ใดที่ได้ผลผลิตสำหรับพืชผลชนิดใดดีก็จะมีการขยายพื้นที่การปลูกพืชผลชนิดนั้นๆให้กว้างมากขึ้น เข้าไปสู่กิจการที่มุ่งผลทางการครองตลาด ก็ยังมีบางพื้นที่ๆมีของที่มีคุณภาพชั้นเยี่ยม ที่อยู่นอกพื้นที่การผลิตที่สำคัญเหล่านี้ ซึ่งจัดเป็นของดีประจำถิ่นนั้นๆหรือนอกถิ่นนั้นๆที่ผู้คนนอกถิ่นไม่รู้ รู้กันถึงระดับว่าต้นใดดีที่สุดก็ยังมี ทำให้การเดินทางไปเที่ยวแบบติดดินที่มีการพูดคุย with respect กับชาวบ้าน (ใช้คำฝรั่งเพื่อลดคำศัพท์ภาษาไทย) จะทำให้มีโอกาสได้สัมผัสกับของที่มีคุณภาพจริงๆเหล่านั้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 201 เมื่อ 14 ส.ค. 21, 20:27
|
|
ยกเรื่องพืชผลทางการเกษตรขึ้นมาเพื่อจะฉายภาพว่า ทั้งห้าจังหวัดที่ได้กล่าวถึงนั้น ก็ล้วนแต่มีพื้นที่สวน(ที่มีพื้นที่รวมกันแล้วกว้างพอสมควร) ต่างก็มีการปลูกผัก ปลูกมะม่วง ปลูกมะนาว ปลูกส้มโอ ปลูกชมพู่ ฯลฯ ซึ่งแต่ๆละพื้นที่ๆไม่เน้นการเข้าแข่งในด้านปริมาณ ต่างก็ดูจะไปเน้นในด้านคุณภาพ ซึ่ง..ผมมีความเห็นว่า มันเป็นภาพที่บ่งชี้ถึงความคิดในการมองตลาดหรือทำตลาดบนฐานของ comparative advantage ซึ่งน่าจะมองได้ในอีกมุมหนึ่งว่า เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านที่เป็นมรดกตกทอดส่งถ่ายต่อกันมา ยังให้เกิดความหลากหลายจนทำให้ไทยเป็นประเทศที่น่าสนใจในทุกรูปแบบของอาหารการกินและการท่องเที่ยว
comparative advantage เป็นเรื่องของหลักคิดทางเศรษฐศาสตร์ที่น่าสนในเรื่องของนโยบายและวิเทโศบายของการแข่งขันระหว่างผู้ที่เป็นคู่แข่งกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 202 เมื่อ 15 ส.ค. 21, 18:38
|
|
ล่องใต้ต่อจากเพชรบุลงไป
เมื่อครั้งบ้านเมืองยังไม่เจริญและขยายตัวมากนัก การเดินทางโดยรถยนต์จะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะน่าเบื่อหน่ายมาก เพราะแต่ละจุดตามเส้นทางที่พอจะจอดรถพักทั้งรถและคนได้นั้น จะมีระยะห่างกันค่อนข้างมากและใช้เวลาในการเดินทางระหว่างกันค่อนข้างจะนานด้วยมีข้อจำกัดทางด้านสภาพของถนนและผิวทางการจราจร ช่วงแรก เพชรบุรี - ประจวบฯ ระยะทางประมาณ 160 กม. ช่วงที่สอง ประจวบ - ชุมพร ระยะทางประมาณ 180 กม. ก่อนจะแยกเข้าเมือง จ.ชุมพร จะมีสี่แยกปฐมพร หากเลี้ยวซ้ายก็จะเข้าตัวเมือง จ.ชุมพร หากเลี้ยวขวาก็จะไป จ.ระนอง ระยะทางอีกประมาณ 140 กม. และหากตรงไปก็จะไปยัง จ.สุราษฎร์ธานี ระยะทางอีกประมาณ 180 กม. จากกรุงเทพฯถึงเพชรบุรี ก็ประมาณ 200 กม. ลองจินตนาการถึงการเดินทางด้วยความเร็วในระดับที่ต่ำกว่า 100 กม.ต่อ ชม.ในสมัยก่อน ที่ถูกบังคับให้ต้องเดินทางจากจุดหนึ่งไปถึงอีกจุดหนึ่งเพราะต้องมีที่พักนอนและที่กิน ต่างกับในปัจจุบันนี้ที่ถนนดีขึ้นมากๆ การเดินทางสามารถใช้ความเร็วได้มากในระดับมากกว่า 100 กม.ต่อ ชม.อย่างต่อเนื่อง
ที่จะบอกกล่าวก็คือ ยังมีสถานที่มากมายในพื้นที่ช่วงระหว่างส่วนต่อของภาคกลางกับภาคใต้ที่ยังคงมีความเป็น virgin แฝงอยู่ โดยเฉพาะในพื้นที่ตามชายฝั่งทะเล ด้วยเหตุที่มาจากการเดินทางที่ถูกจำกัดหรือถูกกำหนดด้วยสภาพแวดล้อม จนทำให้เกิดสภาพของการเหาะเหินข้ามไปในหลายๆพื้นที่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 203 เมื่อ 16 ส.ค. 21, 18:50
|
|
จะขับรถล่องใต้ในครั้งหน้า ก็น่าจะลองวางแผนใช้ถนนเส้นใน(ริมทะเล) ตั้งแต่แถวๆ อ.ทับสะแก ลงไป ผมไม่สันทัดเส้นทางนี้ เคยแต่เจาะเข้าไปจากถนนใหญ่เป็นบางจุดนานมาแล้ว เคยนอนค้างแรมอยู่เป็นบางที่
ผมได้มีโอกาสเดินทางบนเส้นทางสายหลัก(ถนนเพชรเกษม)ครั้งหลังสุดเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ขับรถเดินทาง 2 คนตายายเป็นวงรอบ ขาลงแยกเข้า จ.ระนอง ไป จ.พังงา ขากลับจาก จ.พังงา ตัดขึ้นมาหา จ.สุราษฎร์ธานี กลับเข้าสู่ถนนเพชรเกษมเพื่อกลับเข้ากรุงเทพฯ ก็เลยเอาข้อสังเกตที่ได้จากภาพที่ได้เห็นเมื่อขับรถผ่านพื้นที่และสถานที่ต่างๆ เอามาประมวลรวมกับภาพเก่าที่คุ้นตา ทำให้พอจะเห็นว่า แม้จะมีชุมชนและบ้านเมืองขยายตัวมากขึ้นกว่าเดิมค่อนข้างมาก ดูอย่างผิวเผินคล้ายๆกับว่าจะไม่เหลือสิ่งที่เป็นของเดิมไว้ให้เห็น หลายๆอย่างก็ดูจะหายไปอย่างสิ้นเชิง แต่เมื่อดูละเอียดลงไปก็พบว่ายังคงมีอะไรๆคงเหลืออยู่ไม่น้อย ที่แนะนำว่าน่าจะลองวางแผนใช้เส้นทางเลาะชายทะเลนั้น ก็ด้วยเห็นว่าในปัจจุบันนี้มีถนนลาดยางเชื่อมต่อระหว่างตำบลและชุมชนครอบคลุมเกือบจะทุกพื้นที่ทั่วประเทศ จึงมีโอกาสจะได้เดินทางเข้าพื้นที่เหล่านี้ได้โดยง่าย และก็คิดว่าพื้นที่เหล่านี้น่าจะยังคงมีสภาพที่เป็นธรรมชาติอยู่ค่อนข้างมาก อีกทั้งลักษณะและรูปแบบของชีวิตแบบธรรมดาของชาวบ้าน ทั้งในด้านหลักคิด/หลักนิยมแบบดั้งเดิมของท้องถิ่นก็จะยังคงมีอยู่ ได้กินของทะเลสดที่ทำแบบชาวบ้านแสนอร่อย ได้เห็นวิถีการดำเนินชีวิตประจำวัน ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 204 เมื่อ 17 ส.ค. 21, 17:40
|
|
ประจวบคีรีขันธ์ เป็นจังหวัดที่น่าจะแวะค้างสักคืนหนึ่ง แต่ก่อนนั้นเป็นดูจะเป็นจุดพักค้างแรมหลักของพนักงานขายส่งสินค้าสายใต้ มีโรงแรมที่สร้างในทรงคล้ายเรือนแถว ห้องพักมีขนาดเล็กๆ มีผนังห้องติดกัน ในปัจจุบันมีความเจริญทันสมัยมาก มีการจัดพื้นที่หน้าเมืองริมทะเลเป็นถนนคนเดิน มีร้านอาหารแบบ open air เห็นภาพแล้วเหมือนไปงานแฟร์ รู้สึกผ่อนคลายสบายๆดีครับ
หากมีเด็กๆไปด้วยก็น่าจะแวะไปที่หว้ากอด้วย ห่างจากตัวเมืองไปประมาณ 15 กม. หว้ากอเป็นสถานที่ๆมีชื่อบึนทึกอยู่ในประวัติศาสตร์สมัยรัชการที่ 4 ซึ่งคงทราบเรื่องราวดีกันอยู่แล้ว ในปัจจุบันนี้มี aquarium ตั้งอยู่ด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 205 เมื่อ 17 ส.ค. 21, 18:53
|
|
ชายฝั่งทะเลตั้งแต่ประมาณกุยบุรีลงไปถึงชุมพรนั้น มีเรื่องที่เป็นข้อสังเกตอยู่หลายเรื่อง ที่เด่นออกมาก็จะมีเรื่องของการมีพื้นที่ๆเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำเป็นริเวณค่อนข้างกว้างในย่าน อ.กุยบุรี เรื่องของการมีปลาฉลามวาฬเข้ามาหากินในทะเลย่านประจวบและชุมพร และเรื่องของอาหาร เป็นต้น ซึ่งต้นเหตุที่ทำให้เกิดมีเรื่องดังกล่าวเหล่านี้ ผมเห็นว่ามาจากเรื่องของกระแสน้ำในอ่าวไทยตอนบน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 206 เมื่อ 17 ส.ค. 21, 19:22
|
|
ขอความกรุณาคุณตั้งช่วยเปิดลิ้นชักความจำ ว่าด้วยของดีของอร่อยตามเส้นทางลงใต้นี้บ้างค่ะ มีอะไรที่คุณจำได้ หมดโควิดเมื่อไหร่ เห็นจะต้องไปสำรวจเส้นทางเลียบทะเลกันบ้างละค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 207 เมื่อ 18 ส.ค. 21, 17:49
|
|
คิดว่าพอจะค้นได้บ้างครับ แต่อาจจะเรียบเรียงเรื่องไม่ได้ดีนัก คงจะต้องกระโดดไปกระโดดมาบ้าง ผมมีโอกาสลงไปทำงานในพื้นที่ภาคใต้ไม่มากนัก และในแต่ละครั้งก็เป็นช่วงระยะเวลาสั้น ข้อสังเกตเกี่ยวกับความต่างของอะไรต่างๆจึงมีข้อจำกัดอยู่มาก จะดีอยู่หน่อยนึงก็ตรงที่ได้สัมผัสกับสิ่งที่ค่อนข้างจะเป็นแบบชาวบ้าน/แบบพื้นบ้านจริงๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 208 เมื่อ 18 ส.ค. 21, 19:18
|
|
จะต้องขอย้อนกลับไปเล็กน้อย
ถ้าจะกล่าวในองค์รวมว่าแต่ะจังหวัดติดทะเลล้วนแต่มีความเด่นดังที่แตกต่างกัน ก็คงจะเป็นเรื่องที่ไม่ผิดนัก ลองไล่ดู จ.ตราด เด่นดังในเรื่องของพลอย จันทบุรี ในเรื่องของผลไม้ ของทะเลของทั้งสองจังหวัดนี้ก็มีแต่ไม่เด่นออกมา ที่ดูจะมีความเป็นเฉพาะก็คือ มีการเอาตัว "เพรียงไม้" มากิน เพรียงไม้พบได้ในไม้ผุ(ต้นไม้)ที่ขึ้นอยู่ในป่าชายเลน เอาตัวเพรียงมาทำความสะอาดแล้วหั่นเป็นท่อนสั้นๆ กินกันดิบๆกับน้ำจิ้มแซบๆ ผมเคยสั่งกินสองสามครั้งในช่วงระระเวลาที่ต่างกันนาน เพื่อดูพัฒนาการของการพัฒนาให้เกิดความอร่อยมากขึ้น ก็ยังไม่เป็นของชอบที่น่ากินของผมเลย เป็นอาหารจานแพงนะครับ หากท่านใดกล้าพอก็น่าจะสั่งมาลองดูสักคำ
มองในมุมหนึ่ง พื้นที่ชายฝั่งของจันทบุรี-ตราด อยู่เขตอิทธิพลของน้ำขึ้น-น้ำลง (littoral zone) ที่มีลักษณะเป็นพื้นที่ป่าชายเลน ซึ่งผมเห็นว่าเป็นป่าชายเลนที่ถูกครอบคลุมด้วยอิทธิพลของน้ำจืดในระดับที่ยังไม่มากนัก ผมใช้การสังเกตดูจากลักษณะจากการแผ่กระจายของต้นเสม็ดในพื้นที่
สำหรับผู้ที่ชอบเข้าครัวทำอาหาร หากไปเที่ยวพักผ่อนในพื้นที่สองจังหวัดนี้ น่าจะลองแวะหาซื้อเขียงที่ทำจากไม้ตะพูน(ตะพรูน ?)มาใช้ในครัวสักเขียงหนึ่ง ตะพูนเป็นไม้เนื้อแข็ง เอามาทำเป็นเขียงหั่นหรือซอยของได้ดี มีคู่ไปในครัวกับเขียงจากไม้มะขาม(แก่ๆ) ที่เหมาะสำหรับใช้สับเนื้อ (ถ้าจะให้ดูเหมาะยิ่งยวดเลย ก็น่าจะลองหาซื้อมีดแบบที่พ่อครัวจีนดังๆเขาใช้กัน หาชื่อได้แถวซอย/ถนนแปลงนาม) ครับ เครื่องใช้ในการทำครัวดีๆแบบพื้นๆมันก็ช่วยทำให้เราได้มีความสุขได้มากในการเข้าครัวทำอาหาร ก็คงจะไม่ต่างไปมากนักจากการเลือกวิธีการชงกาแฟ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 209 เมื่อ 18 ส.ค. 21, 20:47
|
|
จากจันทบุรีก็มาชายทะเลของ จ.ระยอง แถวบ้านเพที่จะข้ามไปเกาะเสม็ด ก็ดูจะมีสิ่งบ่งชี้เรื่องราวที่น่าสนใจ เราจะเห็นปลาหมึกตากแห้งทั่วไปทำขายเป็นสินค้าหลักของท้องถิ่น จะมองว่าพื้นที่ทะเลใกล้ชายฝั่งแถบนั้นเป็นแหล่งชุมนุมของปลาหมึกก็คงจะไม่ผิดนัก บ้านเพมีท่าเรือมานาน ทั้งในลักษณะของท่าเรือประมงและท่าเรือข้ามฝั่งกับเกาะเสม็ด เมื่อนั่งเรือข้ามไปเกาะเสม็ด หากจะสนใจมองพื้นน้ำก็คงพอจะเห็นว่าน้ำทะเลใส พื้นท้องทะเลเป็นหินกรวด (cobblestone) ซึ่งแสดงว่ากระแสน้ำชายฝั่งน่าจะค่อนข้างแรง หรือในบางช่วงของฤดูกาลอาจจะได้รับอิทธิพลของคลื่นลมทะเลที่มาจากทะเลเปิดโดยตรง
ผมก็เลยประมวลเอาดื้อๆว่า โดยไม่ขยายความข้อถกทางวิชาการว่า ด้วยทิศทางการไหลของกระแสน้ำชายฝั่ง (longshore current) ที่ไหลผ่านพื้นที่ป่าชายเลน ผนวกกับคุณภาพน้ำของทะเลเปิดที่พัดพาเข้าฝั่ง น่าจะเป็นเหตุให้มีชุมชนปลาหมึกชุกชุมอยู่ในพื้นที่ในละแวกเกาะเสม็ด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|