naitang
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 20 พ.ค. 21, 20:12
|
|
ที่ได้กล่าวมาเหล่านั้น เป็น pretext ของเรื่องราวและความรู้ที่มีลักษณะเป็นเรื่องของสิ่งละอันพันละน้อยที่จะได้พูดถึงต่อไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 21 พ.ค. 21, 17:41
|
|
ขอทำความกระจ่างเสียแต่แรกว่า เรื่องต่างๆที่จะได้เสวนากันจากนี้ต่อไปทั้งจากตัวผมและจากสมาชิกเรือนไทย จะเป็นเรื่องที่แต่ละท่านรู้อยู่แล้วก็มี รู้แต่ยังไม่ชัดเจนและครบถ้วนก็มี รู้ต่างกันเนื่องจากตรรกะทางหลักการหรือทางทฏษฏีก็มี หรือมาจากต่างประสบการณ์ต่างกันก็มี ... เชื่อว่าน่าจะอะไรๆดีๆมากพอที่จะเก็บเกี่ยวใส่เพิ่มลงไปในลิ้นชักได้บ้าง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 21 พ.ค. 21, 19:15
|
|
ขอเริ่มด้วยเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแผนที่ ด้วยเหตุว่าเราใช้กันมากขึ้นในชีวิตประจำวัน จึงควรที่จะต้องรู้อะไรๆที่เกี่ยวกับมันบ้าง
แผนที่ ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า Map แปลคำกลับไปกลับมาได้ตรงไปตรงมาดี แต่แผนที่มีหลากหลายชนิด ขึ้นอยู่กับว่าจะทำขึ้นมาเพื่อใช้งานเนื่องในวาระใด
สำหรับงานในด้านวิชาการและความมั่นคงนั้น เขาลงลึกกันไปถึงระดับรูปทรง(กลม)ของโลก และลักษณะของแผนที่ๆจะแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ถูกต้องระหว่างตำแหน่งของสรรพสิ่งโลกใดๆ เช่น เน้นความถูกต้องในเชิงของเนื้อที่ หรือจะเน้นในเชิงของทิศทาง ... ซึ่งก็จะลักษณะของแผนที่ๆต่างกัน หากสนใจที่จะหาข้อมูลและความรู้เพิ่มเติม คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางวิชาการแผนที่เหล่านี้ก็จะมีอาทิ Geoid, Geodesy, Spheroidal, map projection, Mercator Projection, UTM, True north, Magnetic north .... ฯลฯ
มีแผนที่ๆเราน่าจะพึงรู้และมีความเข้าใจเล็กๆน้อยๆกับมันอยู่ 4 แบบ คือที่เรียกว่า แผนที่ภูมิประเทศ (Topographic map) แผนที่เฉพาะเรื่อง (Thematic map) ผัง...(Schematic map) และภาพถ่ายดาวเทียม (Satellite imagery)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 21 พ.ค. 21, 20:34
|
|
แผนที่ภูมิประเทศเป็นแผนที่ๆที่ใช้ในการทำงานของฝ่ายราชการทั่วโลกที่มีภารกิจงานเกี่ยวข้องกับชาวบ้านในท้องถิ่นที่อยู่ในภูมิภาคต่างๆของประเทศนั้นๆ แผนที่นี้มีเรื่องของมาตราส่วน(scale)มาเกี่ยวข้อง ซึ่งโดยส่วนมากก็จะใช้แผนที่มาตราส่วน 1:500,000 เพื่อดูในภาพรวม ใช้มาตราส่วน 1:250,000 ในการวางแผนดำเนินการ ใช้มาตราส่วน 1:50,000 ในการปฏิบัติเคลื่อนย้ายในภาคสนาม และก็มีการใช้มาตราส่วนประมาณ 1:25,000 เพื่อจัดการเรื่องในลักษณะที่เป็นโครงการเฉพาะ (ระดับตำบลหรืออำเภอ)
ในการทำงานที่เกี่ยวข้องกับการสำรวจทางทรัพยากรธรรมชาติ (แหล่งน้ำบาดาล แหล่งปิโรเลียม แหล่งกรวด หิน ดิน ทราย แร่ ฯลฯ) จะใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 พร้อมกับภาพถ่ายทางอากาศมาตรส่วนเดียวกัน ส่วนสำหรับมาตราส่วน 1:25,000 หรือ 1:20,000 นั้น เป็นเรื่องของการใช้ภาพถ่ายทางอากาศเท่านั้น ซึ่งของไทยเราใช้เพื่อแสดงรายละเอียดของสิ่งที่ปรากฎในภาพของพื้นที่บริเวณนั้นๆ เพื่อการกำหนดและการยืนยันแนวเขตการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินและของผู้ทีี่อยู่อาศัยมาก่อน
สำหรับแผนที่แนวเขตที่ดินที่ปรากฏอยู่บนโฉนดต่างๆนั้น มีลักษณะเป็นผังที่เขียนแสดงรูปทรงของพื้นที่ในขนาดมาตราส่วน 1:4,000 แต่มีการอ้างอิงถึงหมุด แนวทิศทางและระยะระหว่างหมุดโฉนด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 22 พ.ค. 21, 17:33
|
|
ขยายความออกไปอีกเล็กน้อยว่า มาตราส่วนของแผนที่ใช้กันในระบบการบินนั้นมีอยู่ 3 มาตราส่วน แต่ที่จะใช้มากนั้นคือมาตราส่วน 1:1,000,000 และ 1:500,000 สำหรับมาตราส่วน 1:250,000 นั้น จะใช้ในเรื่องเฉพาะกิจ
ยกเรื่องมาตราส่วนของแผนที่ขึ้นมากล่าวถึงแต่แรกก็ด้วยเห็นว่ามันให้ขัอมูลที่สำคัญที่เราเกือบจะไม่ได้นึกถึงเลย โดยเฉพาะในเรื่องของระยะทางและทิศทาง(ออก ตก เหนือ ใต้) ก็มีแอปที่เรานิยม download มาใช้นำทางอยู่หลายแอป (เรียกกันหลวมๆว่าเป็นแอป GPS) แอปเหล่านี้เกือบทั้งหมดจะไม่บอกมาตราส่วนของแผนที่ๆปรากฎอยู่บนจอภาพ มีจำนวนมากที่ไม่ให้ข้อมูลแม้กระทั่งในเรื่องของทิศ และก็มีที่ไม่บอกอะไรเลย(จัดอยู่ในรูปของ schematic map ?)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 22 พ.ค. 21, 18:54
|
|
เพื่อความเข้าใจอย่างง่ายในเรื่องของมาตราส่วนของแผนที่ ความหมายพื้นฐานของมันก็มีเพียงว่า มันเป็นการย่อภาพที่ปรากฎจริงที่เราเห็นๆอยู่นั้น ให้มันเล็กลงมารวมกันอยู่ในกระดาษแผ่นหนึ่ง โดยที่มันยังคงมีความสัมพันธ์กันอย่างถูกต้องในเชิงของขนาด ระยะ และทิศทาง
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ก็จะของยกแผนที่มาตราส่วน 1:50,000
ซึ่งหมายถึงว่ามันเป็นแผนที่ๆเป็นตัวแทนของๆจริงที่เป็นอยู่ แต่เราจะย่อมันโดยการใช้อัตราส่วน 1 หน่วยแทนของที่ปรากฎอยู่ในความเป็นจริงทุกๆ 50,000 หน่วย ดังนั้น หากเราวัดขนาดสิ่งที่ปรากฎในแผนที่ได้ 1 ซม. หรือ 1 นิ้ว ก็จะหมายความว่าในความเป็นจริงสิ่งนั้นๆจะมีขนาดใหญ่เท่ากับ 50,000 ซม. หรือ 50,000 นิ้ว ครานี้ก็ต้องใช้ความรู้ทางคณิศาสตร์เล็กน้อยว่า ไอ้ 50,000 ซม.นั้นมันคือเพียงใด เรามีความรู้ทางมาตราต่างๆว่า 100 ซม.= 1 ม. ดังนั้น 50,000 ซม.ก็จะต้องเท่ากับ 500 ม. แสดงว่าสิ่งที่เราวัดขนาดได้ 1 ซม.ในแผนที่ ขนาดของความเป็นจริงในธรรมชาติก็คือ 500 ม.
ดังนั้น ระยะทาง 1 ซม.ในแผนที่มาตราส่วน 1:50,000 ก็คือระยะทาง 500 เมตร (หรือ ครึ่งกิโลเมตร)ในความเป็นจริง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 22 พ.ค. 21, 19:28
|
|
ด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน ภาพแผนที่บนจอภาพสามารถจะย่อและขยายได้ตามใจของผู้ใช้ มาตราส่วนของแผนที่ก็จึงเปลี่ยนไปตามการย่อหรือขยายนั้นๆ แอปแผนที่จึงมักจะมี bar scale แนบมาให้ที่มุมล่างขวา เพื่อที่จะทำให้เราสามารถใช้เป็นไม้บรรทัดวัดระยะต่างๆที่เหมาะสมสอดคล้องกับมาตราส่วนของภาพที่เราย่อหรือขยายออกมานั้น และยังให้พิกัดของตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ของจุดที่เราต้องการจะทราบด้วย และแอปเหล่านั้นยังสามารถนำภาพถ่ายดาวเทียมมาทับซ้อนบนแผนที่ เพื่อให้เราได้เห็นภาพจริงในลักษณะ bird eyes view ครอบคลุมของพื้นที่นั้นๆอีกด้วยเช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 23 พ.ค. 21, 19:22
|
|
แล้วก็มาถึงเรื่องของทิศและทิศทาง
เป็นหลักการสากลและในวิชาการที่แผนที่ใดๆจะต้องสามารถบอกพิกัดของจุดต่างๆที่ปรากฎอยู่ในแผนที่นั้นๆได้ ซึ่งก็คือสามารถที่จะแสดงความสัมพันธ์กันในเชิงของระยะและทิศทางระหว่างกันของจุดต่างๆเหล่านั้นได้ทั้งหมด โดยกำหนดเป็นมาตรฐานสากลว่า ด้านบนของกระดาษแผนที่นั้นๆคือทิศเหนือ ดังนั้น แผนที่ของทางการของประเทศใดๆเกือบทั้งหมดก็จะเป็นในลักษณะเช่นนั้น อาทิ แผนที่เมือง แผนที่แสดงแหล่งท่องเที่ยว แผนที่แสดงเส้นทางการขนส่งมวลชน ฯลฯ สำหรับในกรณีที่ความเป็นจริงทางกายภาพมีลักษณะเป็นรูปร่างทรงยาว ไม่เหมาะที่จะจัดให้อยู่ภายในกรอบทรง portrait หากแต่เหมาะที่จะแสดงในกรอบทรง land scape ก็สามารถทำได้โดยจัดให้มีเครื่องหมายลูกศรชี้ไปทางทิศเหนืออยู่ที่ขอบกระดาษด้านขวาบนหรือขวาล่าง
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ทำแผนที่หรือผู้ผลิตแผนที่ใดๆ(cartographer) ก็อาจจะเลือกวิธีการทำแผนที่ๆแบบง่ายๆ(แต่ทำยาก)เพื่อให้ข้อมูลที่สำคัญเป็นการเฉพาะกิจ แผนที่เหล่านี้จะให้ข้อมูลที่เป็นแก่นสารสำคัญของสถานที่สำคัญๆ ซึ่งอาจจะอยู่ในรูปของภาพหรืออื่นใด โดยที่พิกัดของสถานที่ต่างๆในเชิงของทิศทางและระยะห่างต่างๆจะยังคงมีอยู่ แต่จะอยู่ในรูปของ proportional
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 23 พ.ค. 21, 20:09
|
|
อาจจะเริ่มนึกถึงแผนที่ๆเราเคยเห็นอยู่หลังนามบัตรของร้านค้าต่างๆ หรือตามแผ่นใบปลิวหรือใบแทรกโฆษณาต่างๆ แผนที่เหล่านี้จะไม่การแสดงทิศเหนือเพื่อการอ้างอิง แต่จะใช้จุดอ้างอิงที่เป็นสถานที่ๆเขาทั้งหลายซึ่งอยู่ในละแวกพื้นที่นั้นๆมีความคุ้นเคยกัน โดยเข้าใจว่าเราก็จะต้องมีความคุ้นเคยเช่นกันดั่งเขาด้วย เช่น การใช้ชื่อคลอง ใช้ชื่อแยก ใช้ชื่อถนน ใช้ชื่อซอยและแยกในซอย ใช้ชื่อหมู่บ้าน / อาคาร ฯลฯ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือไม่บอกระยะด้วย โดยเฉพาะระยะห่างจากจุดที่เขาใชอ้างอิง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 24 พ.ค. 21, 18:34
|
|
สำหรับที่เป็นพวกบริษัทห้างร้านต่างๆ ที่ทำแผนที่เพื่อให้ลูกค้าสามารถเดินทางไปยังร้านได้นั้น จะเป็นแผนที่ๆไม่บอกทิศก็ยังพอทำเนา แต่ประเภทที่ให้ลูกค้าต้องเดาเอาว่าจะต้องกลับหัวกลับหาง หมุนซ้ายหมุนขวาแผนที่นั้นๆไปเช่นใดจึงจะเข้าใจได้นั้น จะว่าแย่มากก็ยังไม่แย่มากเท่ากับแผนที่บอกเส้นทางการเดินทางไปสถานที่ทำโครงการราคาสูงบางโครงการซึ่งมีผู้รู้เรื่องความสำคัญของการต้องระบุทิศ และทำงานร่วมอยู่ในทีมดำเนินการของโครงการนั้นๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 24 พ.ค. 21, 19:28
|
|
ความรู้เรื่องทิศเป็นความรู้ในลิ้นชักของทุกคน คือ รู้ว่ามีทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก แต่เมื่อขยับไปถึงเรื่องของทิศที่มีคำว่า เฉียง คั่นอยู่ระหว่างสองทิศ ที่จะเข้าใจและเห็นภาพของทิศทางนี้ในทันทีก็คือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แต่เมื่อมีการกล่าวถึงทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงใต้ หรือทิศตะวันตกเฉียงใต้ ก็ชักอาจจะเริ่มงงๆหลงทิศทาง สาเหตุก็คงจะไม่มีอะไรมากนัก น่าจะมาจากผลที่สืบเนื่องมาจากความรู้ที่ได้มาจากกระบวนการสอนในวิชาต่างๆ
วิชาการที่ต่างก็ได้ร่ำเรียนกันมาเมื่อครั้งยังเด็กนั้น เราได้ถูกนำความรู้เรื่องทิศเข้าสู่ลิ้นชักในลักษณะที่ค่อนข้างจำกัด อาทิ พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ตกทางทิศตะวันตก ทิศใต้เป็นด้ามขวานของแหลมทอง ทิศเหนือเป็นป่าเขา ทิศตะวันออกเป็นชายฝั่งทะเล ทิศตะวันตกเป็นเทือกเขาตะนาวศรี เป็นสันเขาแบ่งเขตแดนไทยกับพม่า ทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็คือภาคอีสาน ... เป็นต้น กระทั่งเติบใหญ่จนเข้าเขตผู้สูงวัย ก็ลองนึกย้อยดูว่าเราเคยได้ยินมีการกล่าวถึงทิศอื่นๆนอกจากที่กล่าวถึงนี้มากน้อยเพียงใด ก็มีครับ มีสำหรับคนที่สนใจที่จะอ่าน รับฟัง และสังเคราะห์ข้อมูลข่าวสารในวงกว้าง รวมทั้งคนที่มีความสนใจหรือต้องสนใจในข้อมูลข่าวสารทางอุตุนิยมวิทยา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 26 เมื่อ 25 พ.ค. 21, 20:18
|
|
เมื่อวานนี้ เขียนจนเสร็จแล้ว แทนที่จะกดส่งข้อความ เผลอเรอไปหน่อย ดันไปกดปิดเพจ เลยต้องออกจากกระทู้ น่าจะเกิดมาจากอาการแพ้วัยที่มันกำลังเริ่มเข้ามาเคาะประตู แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนมากขึ้น
สาระที่เป็นประเด็นของเรื่องที่เขียนเมื่อวานนี้ก็คือ ในปัจจุบันนี้ ผู้เยาว์ของเราดูจะรู้จักทิศและทิศทางมาจากการเรียนรู้เรื่องการจำแนกพื้นที่ออกเป็นภาคทางภูมิศาสตร์ในภาพใหญ่เพียงเท่านั้น เด็กไทยแต่ก่อนนั้นจะรู้จักและจำได้อย่างคร่าวๆ ว่าจังหวัดใดๆของประเทศไทยอยู่บริเวณใดของประเทศ อย่างน้อยก็รู้ในลักษณะเป็นกลุ่มจังหวัด ซึ่งยังผลทำให้ได้รู้ในเรื่องของทิศและทิศทางได้ค่อนข้างจะดี จำได้ว่า แต่ก่อนนั้นมีวิชาภูมิศาสตร์เรียนกันในระดับประถมด้วย ??
ก็พ่วงไปถึงคำว่า ขึ้นเหนือ ลงใต้(ล่องใต้) ขาขึ้น ขาลง(ขาล่อง) ซึ่งก็มีการพูดที่กลับทางกันอยู่บ่อยๆซึ่งดูจะขัดๆหูอยู่ไม่น้อย ในปัจจุบันนี้ได้มีการเปลี่ยนไปใช้คำว่า ขาไป ขามา เที่ยวไป เที่ยวมา ก็เลยดูจะเหมาะสมดี เพราะใช้กับเส้นทางในภาคตะวันออกและในภาคอีสานได้ ไม่รู้สึกขัดหู
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 25 พ.ค. 21, 20:36
|
|
ดิฉันเองก็เกิดมาในยุควาดแผนที่ตั้งแต่ชั้นประถม ด้วยการยึดหลักว่า ขอบบนคือทิศเหนือ ขอบล่างคือทิศใต้ ในยุคนี้ พอเจอแผนที่บางส่วนของกรุงเทพ อ่านแล้วงง ทำให้หลงทางหาสถานที่จุดหมายไม่ถูกอยู่หลายครั้ง
ตัวอย่างแผนที่ที่ยกมาข้างล่างค่ะ ดิฉันเคยชินกับแผนที่ถนนสุขุมวิทเชื่อมต่อจากถนนเพลินจิต เริ่มจากทางรถไฟช่องนนทรีที่เป็นสุดเขตเพลินจิต อยู่ซ้ายสุดของแผนที่ สุขุมวิททอดขวางกลางหน้า มีซอยเลขคี่อยู่ทางซ้ายของถนน ซอยเลขคู่อยู่ทางขวา แบบเดียวกับเวลาขับรถจากเพลินจิตไปสุขุมวิท พอมาเจอแผนที่ข้างล่าง ซอยเลขคี่ไปอยู่ทางขวา เลขคู่อยู่ทางซ้าย เลยงง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33479
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 25 พ.ค. 21, 20:50
|
|
ดิฉันสงสัยว่าแผนที่ข้างบนจะผิด ถ้าเรามาจากพระโขนง ซอยที่มีเลขคู่ต้องอยู่ทางซ้าย ส่วนเลขคี่อยู่ทางขวา ไล่จากเลขมากไปหาน้อย เพราะฉะนั้นลูกศรที่บอกว่าไปพระโขนงต้องอยู่ขอบล่าง ข้างบนคือทางไปถนนเพลินจิต
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ninpaat
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 26 พ.ค. 21, 13:44
|
|
ขออนุญาตเรียนตอบท่านอาจารย์เทาชมพู แทนท่านอาจารย์นายตั้งครับ
ที่รูปด้านบนขวาสุด ตรงลูกศรชี้ ' ไปพระโขนง ' และด้านซ้ายเขียนบอกไว้ว่า " ซ.สุขุมวิท 66/1 " นั้น ที่จริงแล้ว ผมคิดว่าควรต้องเป็น " ซ.สุขุมวิท 60/1 " ไม่ใช่ ซ.สุขุมวิท 66/1 และสาเหตุน่าจะเป็นการพิมพ์ผิด ไม่ทันได้ตรวจทานครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|