naitang
|
ความคิดเห็นที่ 135 เมื่อ 17 ก.ค. 21, 18:18
|
|
ทำให้นึกถึงอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเราเอารถไปเปลี่ยนยาง ร้านก็มักจะถามว่าจะตั้งศูนย์ด้วยหรือไม่ ซึ่งส่วนมากก็จะตอบว่าไม่ ก็เป็นคำตอบที่ควรจะใช่และไม่ใช่ เรื่องก็มีอยู่ว่า ในการตั้งศูนย์ล้อนั้น ช่างจะต้องตรวจดูความหลวมของลูกหมาก(ball joint)ต่างๆก่อนที่จะทำการตั้งศูนย์ เมื่อรถของเรามีอายุการใช้งานมากกว่า 5++ ปีขึ้นไป ลูกหมากหลวมก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะจุดที่เรียกกันว่าลูกหมากปีกนก ซึ่งมีสองตัว(บนและล่าง) แต่ช่างส่วนมากมักจะให้ความสนใจตรวจดูพวกลูกหมากคันชักคันส่งเสียมากกว่า (ระบบเชื่อมการบังคับล้อคู่หน้าให้ขยับไปมาพร้อมๆกัน) การเสื่อมและหลวมของพวกลูกหมากเหล่านี้ เรามักจะเชื่อว่าอู่ขาประจำหรือศูนย์จะตรวจสอบและเปลี่ยนของแท้ให้มากกว่าที่จะให้ทำโดยร้านขายยางรถ จึงเกิดความขัดแย้งในความเชื่อมั่นและความใว้ใจระหว่างการให้ช่างที่มีประสบการณ์และมีความสันทัดกรณีต่างกันฝ่ายใดเป็นผู้ดำเนินการ
ตัวผมเอง ด้วยที่พอจะมีความรู้เล็กน้อยๆทางช่าง เลือกที่จะใช้อู่ที่มีความคุ้นเคยกันมากๆให้เป็นฝ่ายดำเนินการ เลือกเขาเพราะเขามีความละเอียดในการทำงาน มีการใช้เครื่องมือที่ตรงกับเรื่องที่ต้องทำ มิใช่มีแต่จะคิดตะบันด้วยการตอก/ตีด้วยฆ้อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 136 เมื่อ 17 ก.ค. 21, 19:09
|
|
ก็มาถึงเรื่องน้ำมันเกียร์ ซึ่งมีเรื่องค่อนข้างจะสำคัญมากที่พึงทราบสำหรับคนที่ใช้รถเกียร์อัตโนมัติ และเห็นว่าเป็นเรื่องที่เราจะเป็นผู้ที่ต้องลงมือเอง
ตามหลักการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันของพวกรถเกียร์อัตโนมัติ คือ ปล่อยออกมาเท่าใดก็ใส่ของใหม่กลับคืนเข้าไปเท่านั้น แต่ในการดำเนินการจริงของช่างต่างๆ เราจะไม่เห็นว่ามีการดำเนินการตามหลักการนี้เลย ซึ่งประเด็นที่เกี่ยวข้องตามมาก็จะมีเช่น น้ำมันมากไปหรือน้อยไปต่างก็ทำให้ประสิทธิภาพของการขับเคลื่อน(ถ่ายกำลัง)ลดลง มีเรื่องของโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อระบบเกียร์อย่างรวดเร็ว มีเรื่องของความไม่สะดวกในการวัดระดับความพอดีของน้ำมัน ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับอุณหภูมิของน้ำมัน และการวัดระดับความพอดีจะต้องทำในระหว่างที่เครื่องยนต์กำลังเดิน(ติด)อยู่ ก็มีรถของบางผู้ผลิตที่ออกแบบอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ไม่ต้องไปยุ่งอะไรกับมัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 137 เมื่อ 17 ก.ค. 21, 19:35
|
|
ใช้รถเกียร์ออโต้มันก็มีความยุ่งยากของมัน แต่หากเราใช้ตามถนนหนทางในเมืองหรือระหว่างเมืองก็ไม่ต้องไปมีความกังวลใดๆ ที่จะต้องมีความพิถีพิถันกับเรื่องที่เกี่ยวกับน้ำมันเกียร์ออโต้มากหน่อยก็จะเป็นพวกรถที่ใช้เดินทางไกลบ่อยๆ และที่ใช้ขึ้นภู/ขึ้นดอยไปเที่ยวตามรีสอร์ทต่างๆ ซึ่งอาการที่มักจะพบกันก็คือไฟแสดงความร้อนของน้ำมันเกียร์ ก็ดูจะมาจาก 3 เรื่องเป็นหลัก คือ ระบบการระบายความร้อนไม่ดี (น้ำยาที่ผสมน้ำใส่ในหม้อน้ำเสื่อม? หรือไม่ได้ใส่ผสมเข้าไป? หรือแผงระบายความร้อนของระบบน้ำมันไฮดรอลิกส์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ?) เรื่องของลักษณะการขับขี่ในพื้นที่ลาดชัน (ใช้วิธีการเร่งเข้าไป อัดเข้าไป เอาไว เอาเจ๋งเข้าว่า) และเรื่องของความไม่พอดีของปริมาณน้ำมันเกียร์ (วิธีการวัดไม่ถูกต้อง)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 138 เมื่อ 18 ก.ค. 21, 18:01
|
|
ก็ยังมีเรื่องที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ที่น่ารู้หรือน่าจะทบทวนความจำอีกพอควร แต่คงจะเริ่มไม่สนุกกับเรื่องราวกันแล้ว เอาเป็นว่ารถพร้อมแล้ว ออกเดินทางกันได้
ก็มีเรื่องเล็กๆน้อยๆที่จะเล่าความจากนี้ต่อไป เป็นเรื่องที่ได้เรียนรู้มาทั้งจากที่ได้รับการถ่ายทอดและที่ได้ประสบด้วยตนเอง คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ควรแก่กรเก็บไว้ในลิ้นชักความรู้บ้าง
เรื่องแรก เมื่อแรกติดเครื่องยนต์ในตอนเช้า ก็พึงทิ้งให้เครื่องยนต์มันติดแบบไม่ต้องเหยียบคันเร่งสักสองสามนาทีก่อนที่จะใส่เกียร์ขับรถออกไป อย่างน้อยสักหนึ่งนาทีก็ยังดี เหตุผลก็เพียงเพื่อให้น้ำมันเครื่องได้ถูกสูบฉีดเข้าไปหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆได้เต็มที่ทั้งหมดแล้วหรือพอสมควรแล้ว ที่จริงแล้วเรารู้ว่าการหล่อลื่นมันพร้อมแล้วได้จากการฟังเสียงและจากอาการสั่นหรือสะดุดของเครื่องยนต์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 139 เมื่อ 18 ก.ค. 21, 19:03
|
|
เมื่อจะเดินทางไกล ก็พึงต้องปรับแต่งเบาะนั่งให้อยู่ในท่านั่งขับที่สบายที่สุด ปรับกระจกมองหลังในรถและกระจกมองข้างรถให้สามารถมองเห็นภาพได้ในมุมมองที่กว้างที่สุด แล้วเช็ดกระจกทั้งหมดเหล่านั้นให้สะอาด
กระจกหน้ารถควรจะมีการล้างและเช็ดให้สะอาดก่อนการเดินทางใดๆ กระจกหน้าและหลังของรถที่ใช้งานมานานแล้วจะมีคราบน้ำมันและ Hydrocarbon ต่างๆติดทับถมกันอยู่ อาการสำคัญที่บอกถึงสภาพก็คือ ปัดน้ำฝนปัดไปปัดมาแบบฝืดๆ ซึ่งการแก้ไขในปัจจุบันนี้จะทำด้วยการใช้น้ำยาที่มีอยู่มากมาย
ผมใช้ผงซักฟอกผสมน้ำ ใช้ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบหรือผ้าขนหนูขัดถู ทำแบบเร็วๆแล้วฉีดน้ำล้างมากๆ ทำซ้ำสองสามครั้ง ก็จะได้กระจกที่ใสสะอาด จากนั้นก็ใช้พวกสารเคลือบกระจกที่มีวางขายกันทั่วไปเช็ดซ้ำสักสองครั้ง เราก็จะได้กระจกที่ดูใหม่และใสสว่าง แต่ที่ผมทำบ่อยๆเมื่อไม่มีเวลาจะพิถีพิถันมากนักก็คือ ใช้น้ำยาเช็ดรถผสมน้ำแล้วเช็ด ก็ใช้ได้ดีพอสำหรับกรณีฝนตกตามรายทางสามสี่ครั้ง
สมัยก่อนนั้น น้ำยาเคลือบกระจกรถยนต์ยังไม่มีขาย หรือจะมี(?)ก็คงจะมีราคาสูงมาก การแก้ไขปัญหาเรื่องปัดน้ำฝนฝืด หรือปัดแล้วก็ยังมองได้ไม่ดีเพราะกระจกเป็นคราบ ฯลฯ วิธีแก้ที่ใช้กันก็คือ ใช้บุหรี่หรือยาฉุน ขยี้กับน้ำแล้วขัดถูผิวกระจก ซึ่งก็จะทำให้การปัดน้ำฝนทำได้ดีมากขึ้น คือ ลื่นและสะอาด นอกจากนั้นก็มีการใช้ยาสีฟันกับผ้าขนหนูขัดเช็ดอีกเช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 140 เมื่อ 18 ก.ค. 21, 19:26
|
|
ปรับแต่งสภาพการนั่งขับแล้วก็ไม่ควรจะลืมสภาพความพร้อมของสิ่งของที่ตนเองต้องใช้ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องอยู่ในตำแหน่งที่หยิบฉวยได้ง่ายในระหว่างที่ทำการขับรถ คนที่นั่งคู่กับเราด้านหน้ารถ หากไม่มีอะไรข้างทางน่าสนใจที่จะดู ไม่มีการสนทนาระหว่างกัน...ฯลฯ สักพักก็มักจะหลับ ซึ่งจะทำให้เราต้องช่วยเหลือตัวเองมากขึ้น การทำให้เกิดความพร้อมสำหรับตัวของเราเองจึงมีความสำคัญ ก็จะมีอาทิ แว่นตากันแดด น้ำ กาแฟ ผ้าเช็ดหน้า ยาอม ขนมขบเคี้ยว โทรศัพท์ การตั้งเครื่องเสียง / ระบบ GPS ไว้ล่วงหน้า ...ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 141 เมื่อ 19 ก.ค. 21, 18:23
|
|
ขับรถออกจากบ้านแล้วก็อย่าลืมดูน้ำมันด้วย น้ำมันรถควรจะมีอยู่เต็มถังเมื่อออกเดินทางไกล และควรจะมีอยู่ในถังไม่น้อยกว่าประมาณหนึ่งในสี่ของความจุของถังน้ำมันเสมอ เป็นเรื่องของการพร้อมรับสถานการณ์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้นมาแบบมิได้คาดคิดไว้ น้ำมันปริมาณนี้ทำให้เราสามารถเดินทางได้ในระยะทางไม่น้อยกว่า 100 กม. ซึ่งหมายความว่า ณ ตำแหน่งใดๆก็ตาม เรามีขีดความสามารถที่จะเดินทางไปยังจุดใดๆก็ได้ที่อยู่ในระยะทางประมาณ 100 กม. ก็เป็นเรื่องของการลดขีดจำกัดและการช่วยทำให้เรามีความคล่องตัวมากขึ้นในตัดสินใจปรับแผนเปลี่ยนแผนในระหว่างการเดินทางของเรา
สำหรับผู้ที่นิยมทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขับขี่รถในพื้นที่ทุรกันดารนั้น ต้องคิดในอีกรูปแบบหนึ่ง คือ น้ำมันที่เติมเต็มถังก่อนเข้าพื้นที่นั้น หมายถึงเป็นน้ำมันที่ควรจะใช้ได้ทั้งขาเข้าไปและออกมา น้ำมันอะไหล่ที่มีติดรถเข้าไปนั้น ส่วนหนึ่งอาจจะต้องใช้เพื่อให้ครอบคลุมระยะทางเข้า-ออก แต่ก็จะต้องมีให้มากพอที่จะเผื่อไว้สำหรับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด ในประสบการณ์ของผม การเดินทางในพื้นที่ค่อนข้างโหดระยะทางประมาณ 150 กม. น้ำมัน 70 ลิตร สำหรับรถแลนด์ฯที่กินน้ำมันประมาณ 5 กม.ต่อ 1 ลิตร ใช้ไปเกือบหมดเลยครับ ดีที่เตรียมสำรองเป็นอะไหล่ แบบทำเพิ่มถังพิเศษใต้เบาะคนขับ 40 ลิตร กับใส่ถังสำรอง 2 ถังละ 20 ลิตร กะว่าจะลุยให้ไกลตามทางรถป่า กลายเป็นต้องเปลี่ยนเป็นการตั้ง base camp แล้วเดินเอา ก็ดีครับ ได้รายละเอียดมากขึ้นแม้พื้นที่พึงสัมผัสจะลดลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 142 เมื่อ 19 ก.ค. 21, 19:32
|
|
ขับรถขึ้นถนนหลวง ใช้ความเร็วแล้ว ก็มีข้อพึงปฏิบัติที่พึงทำอยู่หลายเรื่อง เรื่องหนึ่งก็คือ พึงคิดและปฎิบัติอย่างเสมอต้นเสมอปลายว่า เราขับรถไปเที่ยวเพื่อการผ่อนคลายทางอารมภ์และจิตใจ เช่นนั้นแล้วเราจะต้องไปเข้าสนามแข่งขันของความรีบเร่งอีกทำไม เราสามารถกำหนดได้คร่าวๆว่าควรจะไปถึงจุดใหน ที่ใด เมื่อใด ก็ให้กำหนดเหล่านั้นมันเป็นเพียงการประมาณการอย่างหยาบๆ ให้มันอยู่ในระดับเพียง accuracy ก็พอ ไม่ต้องไปถึงระดับ precise ที่ต้องเป๊ะไปเสียทุกอย่าง เดินทางให้มีความสุขกับสิ่งต่างๆที่ได้เห็นตามรายทางและข้างทาง ในแต่ละปี แต่ละฤดูกาล บนเส้นทางเส้นเดิมๆมันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เล็กน้อยบ้างหรือเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงบ้าง บางอย่างก็น่าสนใจที่จะแวะชม หรือแวะช่วยซื้อของท้องถิ่นเพื่อช่วยหมุนเศรษฐกิจของชาวบ้าน หากได้ทำการบ้านล่วงหน้าบ้าง ก็อาจจะได้พบเห็นของดีๆ ของแบบ original และพวก unseen หลายๆอย่างตามเส้นทาง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 143 เมื่อ 20 ก.ค. 21, 18:25
|
|
การขับรถเดินทางไกลภายใต้ความกดดันของตัวเองในลักษณะของการเป็นภารกิจหนึ่งเดียวที่ต้องทำ คือออกจากจุดหนึ่งก็จะต้องรีบไปให้ถึงอีกจุดหนึ่งเพื่อจะได้ทำอีกเรื่องหนึ่งนั้น ผมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความเครียดแก่ผู้คนจำนวนค่อนข้างมาก ก็เลยทำให้เกิดความนิยมที่จะไปใช้เครื่องบินแทน ด้วยเหตุผลในทำนองว่าประหยัดเวลา(หรือจะให้เสียเวลาเดินทางไปทำไม)
ผมมองในมุมว่า สิ่งที่เราได้เห็นและได้สัมผัสในลักษณะเป็นจุดๆกระโดดไปกระโดดมาจากการเดินทางในลักษณะนี้ ดูจะไม่ต่างไปจากการนั่งดูภาพถ่าย หรือดูวีดิทัศน์ หรือการไปดูการแสดง หรือไปกินอาหารมื้อใหญ่กันที่ร้านหนึ่งใด ก็อาจจะกล่าวได้ในลักษณะว่า ก็เพียงได้เห็น ได้รู้จักแต่ไม่เข้าใจในเชิงของสหสัมพันธ์ (correlation) ระหว่างสิ่งต่างๆที่ได้เจอะเจอเป็นจุดๆเหล่านั้น ความเข้าใจในเชิงของสหสัมพันธ์จะช่วยสร้างให้เกิดความรู้ในเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวข้องกัน จดจำไปได้อีกนาน ก็คือมี sentimental value
ขับรถทางไกลควรจะอยู่ในอารมภ์ที่ผ่อนคลายตลอดเวลา เพื่อลดความเครียดและอุบัติเหตุ ซึ่งก็มีข้อชี้แนะที่ได้รับถ่ายทอดมาที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ค่อนข้างมาก แม้ว่าจะใช้กันในสมัยหลายสิบปีมาแล้วก็ตาม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 144 เมื่อ 20 ก.ค. 21, 19:29
|
|
เมื่อประมาณปี 2510+นั้น (?) ระบบดิสเบรคได้เริ่มมีใช้เป็นมาตรฐานสำหรับรถนั่งจากผู้ผลิต แต่อุปกรณ์ช่วยทุ่นแรงในการเหยียบเบรค(หม้อลม) ยังไม่มี (สำหรับรถนั่ง) ถนนสายหลักยังคงเป็นระบบสองทางวิ่งสวนกัน มีการลาดยางและมีใหล่ถนนกว้างมากขึ้น สะพานต่างๆส่วนมากยังคงเป็นแบบรุ่นเก่า(คือไม่มีไหล่ทาง) ความเร็วเดินทางสำหรับรถต่างๆบนเส้นทางระหว่างจังหวัด อยู่ระหว่างประมาณ 60 - 100 กม.ต่อชั่วโมง
ก็เลยมีข้อพึงทำที่น่าสนใจในการขับรถบนทางหลวง เรื่องหนึ่งก็คือ ทุกๆความเร็วแต่ละ 10 กม.ต่อ ชม. เราควรจะต้องเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าประมาณหนึ่งช่วงความยาวของรถของเรา ดังนั้น ที่ความเร็วเดินทาง 80 กม.ต่อ ชม. ก็ควรจะเว้นระยะห่างประมาณ 8 ช่วงรถของเรา หรือประมาณ 25 เมตรเป็นอย่างน้อย แม้ว่าในปัจจุบันนี้ประสิทธิภาพของเบรครถจะดีมากแล้วก็ตาม การเว้นห่างรถคันหน้าในระยะประมาณดังที่กล่าวก็ยังดูจะเหมาะสมอยู่ มันช่วยให้เรามีเวลาในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกระทันหันใดๆได้มากพอสมควร
ผมก็ยังใช้หลักนี้ในการขับรถทางไกลมาตลอดจนปัจจุบัน ยิ่งอายุมากขึ้น ความว่องไวต่างๆก็ย่อมลดลง การมีช่วงเวลามากพอให้ได้คิดตอบสนองต่อเหตุการณ์อันตรายต่างๆก็จึงมีความสำคัญ
ขับบน Autobahn ด้วยความเร็ว 130-150 กม.ต่อ ชม. หลักนี้ก็ยังดูใช้ได้ดีอยู่ แต่เมื่อไปถึงระดับ 170+ กม.ต่อ ชม.แล้ว ก็ชักจะไม่มั่นใจในหลักนี้แล้ว ทั้งจากระบบพวงมาลัย ยาง และเบรค (ช่วงของถนนที่เขาปล่อยฟรีนั้น 170+ ยังต้องอยู่เลนในสุดเลย เขาแซงกันฉิวๆ คงจะต้องมากกว่า 200 กม.ต่อ ชม.)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 145 เมื่อ 21 ก.ค. 21, 18:40
|
|
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อจะแซงรถ ก็จะต้องมองเห็นถนนข้างหน้าว่าว่างเป็นระยะทางไกล เปิดไฟเลี้ยวบอกว่าจะขับข้ามเลน เร่งเครื่องแซงให้พ้นอย่างรวดเร็ว พ้นไปจนเห็นรถที่เราแซงมาได้ทางกระจกส่องหลัง(ภายในรถ) แล้วจึงยกไฟเลี้ยวบอกว่าจะขับกลับเข้าเลนเดิม ข้อพึงกระทำเหล่านี้ผมได้ไปประสบว่าเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจสอบความรู้เพื่อการมีใบขับขี่รถใน ตปท.ด้วย แม้ว่าเหตุผลของการพึงกระทำในการแซงรถที่ผมรู้มาแต่ก่อนโน้นจะต่างออกไป แต่ดูจะยังเป็นเรื่องที่ทันสมัยอยู่ในปัจจุบัน การเร่งเครื่องแซงให้พ้นโดยเร็วก็เพื่อเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในหลายๆกรณี หากไม่เร่งเครื่องแซงให้พ้น การแซงนั้นก็จะอยู่ในรูปของการขับรถแบบคู่ขนาน (ตีคู่) หากรถคันที่เราจะแซงหรือรถเราเองต้องหลบอะไรบางอย่างๆกระทันหัน (สุนัข ก้อนหิน หลุมบ่อ มีอะไรโผล่ขึ้นมาจากข้างทางอย่างรวดเร็ว ...) ก็จะไปกระทบอีกคันหนึ่ง ซึ่งเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ระวังไม่ให้เกิดการเบียดกัน แต่แรกต่างก็พอจะบังคับรถให้ไปในทิศทางเดียวกันได้ แต่ด้วยความต่างของความเร็ว ลักษณะของรถ น้ำหนักรถ ความสามารถของผู้ขับ ...ฯลฯ การกลับเข้ามาในลู่ใหม่ต่างก็จะไม่ค่อยนุ่มนวล/ราบเรียบ ก็จะเกิดการกระทบกันเกิดเป็นอุบัติเหตุได้ง่ายๆ และก็ดูจะเป็นในลักษณะของการกระเด็นไปคนละทิศละทาง
ในหลายๆกรณี ก็เปลี่ยนสภาพจากขับรถแซงกันไปเป็นการขับรถแข่งกัน เป็นการแกล้งกัน เป็นการประลองความสามารถ จบด้วยเรื่องการปาดหน้ากันแล้วมีเรื่องกัน ก็ขับรถด้วยใจที่เย็นนะครับ ไม่จำเป็นต้องไปรับเอาความโกรธใดๆจากคนที่ขับรถคันอื่นๆ เอามาเป็นสาระให้เราต้องร่วมไปมีอารมภ์ร่วมในความโกรธนั้นๆของเขา อยู่ในรถคนละคัน เขาจะพูดเช่นใดอย่างไรเราก็ไม่ได้ยิน เป็นเรื่องทุกข์ของเขา ไม่จำเป็นต้องกระเสือกกระสนเอาเข้ามาให้เป็นทุกข์ของเรา
เรื่องของการแซงรถนี้ ในบางครั้งก็เป็นเรื่องของดวง ช่วยไม่ได้จริงๆ ผมเคยขับรถแซงรถบรรทุกอ้อย พอรถขึ้นแซงเทียบเสมอกัน ยางของรถอ้อยก็ระเบิดตูมเลย บนถนนลูกรังที่ไม่สามารถจะใช้ความเร็วได้ แถมรถของเราเองก็ยังหนักและมีอัตราเร่งค่อนข้างต่ำมาก ในหัวนึกได้อย่างเดียวว่า อย่าล้มมาทางเรานะ ก็ได้เพียงเท่านั้นเอง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 146 เมื่อ 21 ก.ค. 21, 19:34
|
|
การแซงรถบนสะพานก็เป็นเรื่องที่ไม่พึงทำ แต่ก่อนนั้นก็เป็นเรื่องของความแคบของสะพาน และที่บริเวณคอสะพานมักจะเป็นที่ขึ้น-ลงของสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย (วัว ควาย สุนัข) รวมทั้งการใช้ของพวกจักรยาน มอเตอร์ไซด์ และเครื่องจักรกลการเกษตร ในยุคสมัยที่เก่าแก่กว่านั้น บริเวณคอสะพานโดยส่วนมากจะเป็นที่ขึ้นลงของเกวียนซึ่งเขามีเส้นทางขนานไปตามถนนหลวงต่างๆ การขับรถในสมัยก่อนนั้นจึงต้องมีการชะลอความเร็วเมื่อจะต้องข้ามสะพาน ประกอบกับการที่มีตะพักรอยต่อระหว่างถนนกับคอสะพานที่มีระดับต่างกันค่อนข้างมากอีกด้วย สภาพเหล่านี้ทำให้ต้องมีการชะลอรถเมื่อต้องข้ามสะพาน การแซงรถบนสะพานจะต้องมีความระวังอย่างสูง ก็คงทำให้ไม่เป็นการดีนักหากบริเวณสะพานจะมีรถสองคันมะรุมมะตุ้มกันอยู่ โดยเฉพาะในถนนหลวงที่มีรถวิ่งไปมาด้วยความเร็ว
แท้จริงแล้ว ในปัจจุบันนี้ ภาพดังกล่าวของการใช้สะพานแต่ดั้งเดิมก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่พื้นผิวของสะพานมีความกว้างมากขึ้น มีใหล่ทางบนสะพาน และมีคอต่อระหว่างถนนกับสะพานที่ต่อเชื่อมกันอย่างราบเรียบ กระนั้น พื้นที่ๆมีสะพานก็ยังคงเป็นบริเวณที่มีการข้ามฝั่งถนนของชาวบ้านและกิจกรรมทางเกษตรกรรมที่ต้องมีการข้ามถนน เพราะว่าพื้นที่เกษตรกรรมผืนเดิมถูกผ่าออกไปโดยเส้นทางถนน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 147 เมื่อ 22 ก.ค. 21, 17:33
|
|
เรื่องไหล่ถนนที่ได้กล่าวถึงนั้น แต่ก่อนนั้นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความใส่ใจในการระวังค่อนข้างมาก เพราะมักจะมีอะไรพรวดพราดออกมาค่อนข้างจะบ่อย เช่น สุนัข วัว ควาย เด็กวิ่งเล่น จักรยาน และการข้ามถนนต่างๆ เป็นต้น ในปัจจุบันนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องให้ความใส่ใจอยู่ดี แต่จะเป็นเรื่องของการข้ามถนนเป็นหลัก ก็ต้องคอยสังเกตดูบริเวณข้างทางส่วนต่อระหว่างไหล่ทางที่ลาดยางกับพื้นดินที่มีสีอ่อนๆหรือขาวเด่นออกมา เพราะจะเป็นจุดที่ชาวบ้านเขาใช้ข้ามทาง ซึ่งก็จะต้องให้การระวังให้มากเป็นพิเศษในบางช่วงเวลา ก็จะมีในตอนเช้าช่วงเด็กไปโรงเรียนและมีการติดตลาดสดยามเช้า จะมีในช่วงเวลาโรงเรียนในช่วงตอนบ่าย นักเรียนกลับบ้านกัน และก็ในช่วงเวลากลับจากงานทำสวนทำนาของชาวบ้านในตอนเย็น
ข้อสำคัญเรื่องหนึ่งก็คือ ความเร็วของการเคลื่อนที่ระหว่างรถของเรากับสิ่งที่เราเห็นว่ามันเคลื่อนที่อยู่ข้างทางนั้นมันค่อนข้างจะหลอกตา ซึ่งจะทำให้การตอบสนองของเราต่อเหตุการณ์ใดๆที่ควรจะเป็นเรื่องที่นุ่มนวลตามปกติ แปรไปเป็นเรื่องในลักษณะของการต้องตอบสนองแบบกระชั้นชิด เฉียดฉิว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 148 เมื่อ 22 ก.ค. 21, 18:46
|
|
เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ควรจะต้องบันทึกไว้ในความจำ คือเรื่องของการใช้เบรครถ
ระบบการชะลอความเร็วของรถ โดยหลักการก็คือการเปลี่ยนพลังงานจลไปเป็นพลังงานความร้อน อุปกรณ์สำคัญที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็จะมี จานเบรค ทำด้วยเหล็กหล่อ(โลหะผสม) มีผ้าเบรค ซึ่งทำมาจากวัสดุผสมหลายชนิด และก็มีน้ำมันเบรคที่ต้องมีคุณสมบัติทนความร้อนได้สูงมาก ที่สำคัญก็คือ ผ้าเบรคจะสึกหรอได้มากกว่าจานเบรคมากๆ รวมทั้งวัสดุที่ใช้ประกอบมันขึ้นมาก็สามารถจะหลอมรวมกันได้เมื่อได้รับความร้อนที่สูงพอ
ดังนั้น ในกรณีขับรถลงพื้นที่ลาดชันมาก หรือการลงเขาค่อนข้างชัน หรือการลงในระยะทางที่ยาว หากเราเหยียบเบรคตลอดเวลาเพื่อการชะลอความเร็ว มันก็จะยังผลให้ส่วนผสมของผ้าเบรคส่วนที่เป็นหน้าสัมผัสกับจานเบรคหลอมเข้าด้วยกัน มีลักษณะคล้ายกระเบื้องเคลือบ ทำให้ขาดคุณสมบัติในการเปลี่ยนถ่ายพลังงาน ภาษาทางช่างเรียกกันว่าผ้าเบรคใหม้ เพราะจะได้กลิ่นใหม้โชยออกมาด้วย ประสิทธิภาพของการเบรคจะลดลงค่อนข้างมากเลยทีเดียว ทั้งนี้ การใช้เบรคในระหว่างการลงทางลาดชันจะทำให้เกิดความร้อนที่กระทะล้อสูงมากเสมอ ซึ่งสำหรับรถรุ่นใหม่ๆก็ไม่มีเรื่องอะไรจะต้องไปกังวลนัก ต่างกับสมัยก่อนที่เมื่อขับลงเขาเรียบร้อยแล้วก็มักจะต้องหาที่หยุดพักเพื่อให้จานเบรคได้คลายความร้อน
ก็มีวิธีการที่พึงกระทำเพื่อให้เกิดความปลอดภัยที่ยังมีความเป็นจริงอยู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 149 เมื่อ 22 ก.ค. 21, 19:21
|
|
หลักก็มีอยู่ว่า ลงเขาด้วยความเร็วต่ำ ใช้เบรคในลักษณะ เหยียบปล่อย เหยียบปล่อย พร้อมๆไปกับการใช้เกียร์ต่ำ ซึ่งสำหรับรถที่ใช้เกียร์อัตโนมัติที่ไม่ใช้ระบบเกียร์แบบ CVT ก็อาจจะดึงคันเกียร์มาที่ตำแหน่ง 3 หรือ L หรือ L1 หรืออื่นใด สำหรับรถที่ใช้ระบบเกียร์แบบ CVT นั้น บางผู้ผลิตก็จัดให้สามารถเลือกใช้ระบบในลักษณะของเกียร์ธรรมดาหรือในระบบอัตโนมัติ ก็เลือกใช้ตำแหน่งของเกียร์ไปตามความเหมาะสมกับเส้นทาง ทั้งหลายทั้งปวงของการกระทำใดๆก็เพียงเพื่อให้เบรครถยังคงอยู่ในสภาพที่มีประสิทธิภาพเต็มตามที่มันพึงมี เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ต่อๆไป
มีข้อแนะนำเพียงว่า เมื่อใดที่ได้เคยได้กลิ่นใหม้ของผ้าเบรคของรถของเรา หรือเมื่อใดที่ได้ใช้รถขึ้นลงเขา/ดอยที่สูงชันต่างๆบ่อยครั้ง เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้ว การนำรถเข้าไปอู่เพื่อตรวจสอบสภาพของผ้าเบรคก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|