naitang
|
วันนี้คือวันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2564 เมื่อหลายปีก่อนๆโน้น วันที่ 17 พฤษภาคม ของทุกปี หรือบวกไปอีกสองสามวัน จะถูกกำหนดให้เป็นวันเปิดเทอมสำหรับการเรียนหนังสือภาคแรกในระบบการศึกษาระดับประถม (ประโยคประถมต้น ประโยคประถมปลาย) ในระดับมัธยม (ประโยคมัธยมศึกษาต้น ประโยคมัธยมปลาย) และในระดับเตรียมอุดมศึกษา ชื่อต่างๆที่กล่าวถึงนี้เป็นชื่อที่ใช้กันในสมัยก่อนโน้น ต่อๆมาก็ได้มีการปรับเปลี่ยนระบบอยู่พอประมาณ ทำให้มีชื่อเรียกต่างไปจากเดิมดังปรากฎตามที่มีการเรียกขานกันอยู่ปัจจุบันนี้ ประมาณวันที่ 1 มิถุนายน ก็จะเป็นการเปิดเรียนของภาคอุดมศึกษา ซึ่งดูจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงวันที่และเดือนตลอดมาจนถึงในปัจจุบัน
ก็เกิดความบังเอิญว่า วันนี้ตรงกับวันจันทร์พอดิบพอดี เหมือนกับหลายๆปีในอดีต จะต่างกันไปเพียงเล็กน้อยก็คือ วันนี้แทนที่จะมีฝนตกพรำๆ กลับกลายเป็นว่ามีอากาศร้อนอบอ้าว แต่อย่างไรก็ตาม กรมอุตุนิยมฯได้ประกาศไปแล้วว่า ไทยเราเข้าสู่ฤดูฝนแล้วเมื่อ 15 พค.ที่ผ่านมา ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 17 พ.ค. 21, 19:04
|
|
สวัสดีค่ะคุณตั้ง นึกอยู่เหมือนกันว่า เช้าวันที่ 17 พฤษภาคม ถ้าย้อนหลังไปหลายสิบปีก่อน คือวันที่ต้องตื่นแต่เช้า กินข้าว แต่งตัวเตรียมไปโรงเรียน ถ้าเป็นตอนเล็กๆ ปีไหนเครื่องแบบคับรับชั้นเรียนใหม่ ต้องไปซื้อล่วงหน้าที่สมใจนึกบางลำพู รองเท้าคับก่อนเสื้อผ้าอยู่แล้ว จัดหนังสือเรียนลงกระเป๋าไว้ตั้งแต่เมื่อวาน ถึงเวลาก็หิ้วตัวเอียงไป สมัยนั้นไม่มีเป้สะพาย เปิดเทอม หมายถึงย้ายไปห้องเรียนใหม่ ย้ายที่นั่งใหม่ ได้เพื่อนที่นั่งคู่กันคนละคนกับเมื่อปีก่อน ครูประจำชั้นคนใหม่ และวิชาใหม่ที่ยากกว่าปีก่อน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 17 พ.ค. 21, 20:43
|
|
ผมเริ่มใช้วลี "ความรู้ในลิ้นชัก" เมื่อครั้งไปเป็น อ.พิเศษ สอนนักศึกษาระดับ Post Grad. เรื่องสิ่งแวดล้อม และในการไปเป็นวิทยากรในเรื่องทางธรณีฯและสิ่งแวดล้อม ให้ความรู้กับคณาจารย์ นักศึกษา นักเรียนระดับการศึกษาต่างๆ ทั้งในรูปของไกด์ทัวร์และ Excursion ประสบการณ์ที่ได้รับรู้ตลอดมาที่เหมือนๆกันก็คือ เกือบจะทุกคนที่ผมได้สัมผัสล้วนแต่มีความรู้และสิ่งที่ควรรู้ในระดับฐานรากที่ไม่ต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษาในต่างจังหวัด หรือผู้ที่ได้รับการในสถานศึกษาชั้นยอดก็ตาม โดยสรุปง่ายๆก็คือ มีตรรกะ รู้เท่าๆกัน เหมือนๆกัน แต่เมื่อได้มีการศึกษาในระดับที่สูงมากขึ้น สิ่งทึ่เคยได้รู้ได้เรียนรู้เหล่านั้น จะค่อยๆถูกเก็บไว้ในลิ้นชักความรู้ หลายคนก็มีการจัดก่อนเก็บ หลายคนก็จัดวางกองทับกันไว้ดูเรียบร้อย หลายคนก็ทำเพียงแต่โกยๆใส่ใว้ในลิ้นชัก ผมที่ตามมาก็คือ เมื่อมีความจำเป็นจะต้องใช้ก็จึงมีความต่างกันในความใวที่จะสามารถที่จะค้นหาและดึงออกมาใช้ได้
เมื่อผมต้องไปทำภารกิจดังที่กล่าวมา เรื่องหนึ่งที่ได้ทำเสมอตลอดมาก็คือ ใช้เวลาส่วนหนึ่งไปนำพา ช่วยดึงลิ้นชักเก็บความรู้ที่เขามีอยู่นั้น นำเอาออกมาใช้เป็นต่อมคิด ต่อมตรรกะเพื่อสร้างความเข้าใจในเรื่องต่างๆ แล้วผนวกเพิ่มข้อมูลและความรู้ใหม่ๆทั้งในรูปของความก้าวหน้า/สถานะในปัจจุบันทั้งในรูปของ Experimental approach, Empirical approach และ Theoretical approach คือเพิ่มเนื้อหาเข้าไปให้เขาเก็บในลิ้นชักความรู้ของเขาให้มากขึ้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 17 พ.ค. 21, 21:24
|
|
สวัสดีครับ อ.เทาชมพู
ตั้งใจะตั้งกระทู้ในลักษณะนี้มานานแล้วครับ แต่ด้วยที่เป็นกระบวนทัศน์ของตนเองซึ่งเป็นคนนอกวงการการศึกษา ก็จึงใช้เวลาคิดอยู่นานว่าควรจะนำเสนอในรูปแบบใด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ninpaat
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 18 พ.ค. 21, 08:14
|
|
กราบสวัสดี คุณครูใหญ่ทั้งสองท่านครับ
เมื่อเปิดเทอมเข้าชั้นเรียนใหม่ ผมจะคอยลุ้นตารางสอนใหม่ว่ามีวิชาอะไรบ้าง คุณครูใหม่ว่าท่านจะดุหรือใจดีแค่ไหน ฯลฯ. ในตอนนั้น ก็จะสนุกตื่นเต้น มีความสุขไปตามประสาเด็กๆ ที่โลกมักจะสว่างไสวจ้า... เมื่อมีสิ่งใหม่ผ่านเข้ามาในชีวิตครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 18 พ.ค. 21, 17:55
|
|
สวัสดีครับ คุณ ninpaat
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 18 พ.ค. 21, 19:44
|
|
เปิดเทอมใหม่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับนักเรียน/นักศึกษาเกือบจะทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแรกเข้าสู่ระบบ ระดับ หรือการเปลี่ยนสถานศึกษาใดๆ ยิ่งเมื่อมีอาการตื่นเต้นและอาการทางปิติผสมผสานเข้าไปด้วย ก็พอจะเป็นสิ่งบ่งชี้ว่าผู้นั้นน่าจะมีใจใฝ่เรียนอยู่เป็นทุนอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตาม ก็จะต้องนำเอาสิ่งแวดล้อมทางสังคมและเศรษฐกิจของผู้นั้นมาพิจารณาประกอบด้วย หลายๆคนอาจจะเป็นเรื่องของความดีใจที่ได้ออกไปพ้นบ้านและมีอิสระในช่วงเวลาหนึ่ง ได้พบเพื่อน ได้เล่น ได้เปิดหูเปิดตา ได้ทดลอง ได้ทดสอบ ได้แทรกตัวเข้าไปรับรู้หรือเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในสรรพสิ่งที่จับต้องได้และที่จับต้องไม่ได้ที่ปรากฎอยู่ในโลกของเศรษฐกิจและสังคมของผู้คนในวัยทำงาน ปรับความนิยมในการเรียนรู้ของตนเองในเรื่องต่างๆไปในรูปแบบทางลัด หรือนิยมการเรียนรู้ในลักษณะของ "ครูพักลักจำ" (emulate ?) แล้วก็มีความรู้แบบไร้พื้นฐาน
ประเด็นจากภาพที่ฉายมานี้ก็คือ เราต่างก็ได้รับความรู้และมีการจัดเก็บอยู่ในลิ้นชักในกลุ่มของเรื่องของตรรกะเหมือนๆกันเกือบทุกคนว่า การเรียนหนังสือเป็นเรื่องที่มีความจำเป็น ซึ่งมันได้ถูกจัดไว้เก็บไว้ในสมองของเราตั้งแต่เรายังเด็กมากๆ ไม่ว่าจะจากพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายทั้งหลาย ก็มีเรื่องน่าเสียดายอยู่เหมือนกันว่า มักจะมีแต่เพียงบอกว่า จำเป็น แต่ไม่ขยายความต่อไปว่า อย่างไร คือมีแต่เรื่องสิ่งที่ต้องทำแต่มักจะไม่มีเรื่องของผลที่จะได้รับต่อไปในภายหน้า (consequence ไปจนถึง achievement) แล้วก็ เมื่อเด็กเข้าไปอยู่ในระบบการศึกษาแล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็สุดแท้แต่ บิดา มารดา หรือผู้ปกครองเป็นจำนวนไม่น้อยก็จะปล่อยให้เป็นภาระของฝ่ายครู(เกือบจะเป็นฝ่ายเดียว)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 18 พ.ค. 21, 20:52
|
|
ลองสำรวจกันดูว่าความรู้ในลิ้นชักของเรามีอะไรบ้างตั้งแต่เกิดมาและจำความได้
จะมีคำพูดอยู่หลายคำที่ทำให้เราได้เก็บเอาเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคำนั้นๆมาเป็นความรู้เก็บไว้ในลิ้นชัก ที่เด่นๆก็จะมีคำว่า ไม่เอา ไม่ทำ อย่าทำเลอะเทอะ อย่าทำสกปรก ล้างมือ ล้างเท้า ล้างก้น อาบน้ำ สีฟัน ล้างหน้า ได้เวลากินข้าว ถึงเวลานอน ถึงเวลากินข้าว เลิกเล่นได้แล้ว กินน้ำ ไปโรงเรียน ทำการบ้าน ท่องหนังสือ... ฯลฯ
แล้วลองนึกย้อนดูว่า ในช่วงที่เราเติบโตมาจนถึงวาระที่มีครอบครัวของตนเองว่า เราได้ทำอะไรบ้างหรือไม่ได้ทำอะไรบ้างที่เป็นกิจวัตรประจำวันในแต่ละวันตามช่วงเวลาที่เราได้ยินคำเหล่านั้นเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเล็ก
เมื่อมีครอบครัว กลายเป็นบิดามารดา เป็นปู่เป็นย่าเป็นตาเป็นยาย เราก็ต้องหันกลับมาใช้คำเหล่านี้อีกเช่นเดิมดังที่ได้เคยได้ยินมาแต่เด็ก กระทั่งเมื่อถึงเวลาเจ็บป่วยเราก็จะได้ยินคำเหล่านี้อยู่อีกพอประมาณไม่ว่าจะจากคู่ชีวิต แพทย์ หรือพยาบาล ... ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 18 พ.ค. 21, 21:41
|
|
นั่นดูจะเป็นเรื่องในกลุ่มของการเสริมสร้างอุปนิสัย ซึ่งหลายๆเรื่องได้ทำให้เกิดสภาวะของ "การรู้เอง" (intuition) ในการแก้ไขอุปสรรคและปัญหาที่เกี่ยวข้อง
การสอนหนังสือให้ความรู้เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ (outcome) สำหรับยุวชนในทุกระดับการศึกษาเพื่อให้เกิดสภาวะดังกล่าวนี้ ผมเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้สอนพึงจะต้องคำนึงไว้เสมอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 19 พ.ค. 21, 18:11
|
|
คำพูดเหล่านั้น หากออกมาจากปากแล้วแล้วมีวลีหรือคำพูดอื่นใดร่ายยาวต่อท้าย ซึ่งแม้ว่าส่วนมากจะอยู่ในรูปของการบ่น แต่ก็มักจะมีสำนวน คำพังเพย การให้เหตุผล หรือการสอนวิธีอันพึงปฎิบัติหรืออื่นใดปนออกมาด้วย สำหรับคนที่ต้องรับฟังก็จะเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเอามากๆ ในอีกมุมหนึ่งที่แฝงอยู่โดยที่ทั้งผู้พูดและผู้ฟังอาจจะไม่ได้นึกถึงเลยก็คือ ประเด็นเล็กๆน้อยๆที่กระจายอยู่ในคำว่ากล่าวและการต่อล้อต่อเถียงระหว่างกันนั้น ได้ถูกจัดเก็บไว้ในลิ้นชักในสมองเรียบร้อยแล้วทั้งในรูปของความพึงเป็นหรือไม่พึงเป็นเช่นนั้น ความถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง.... ซึ่งมันจะถูกนำออกมาใช้โดยไม่รู้ตัวในช่วงเวลาต่างของการใช้ชีวิตประจำวัน อาทิ เรื่องของการพับผ้าห่มเก็บที่นอนเมื่อตื่นนอนแล้ว การล้างช้อนล้างจานเมื่อเสร็จจากการใช้กินอาหารแล้ว การไม่พูดเมื่อมีอาหารอยู่เต็มปาก การหุบปากเคี้ยวอาหารและการไม่เคี้ยวอาหารเสียงดัง การมีสัมมาคารวะที่เหมาะสม การให้อภัย การมีเมตตา แม้กระทั่งสาระในเรื่องของพรหมวิหารสี่ ฯลฯ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 19 พ.ค. 21, 18:52
|
|
ความรู้ที่ได้มาในลักษณะนี้ ดูจะไม่มีระบบในการนำเข้าและมีระเบียบในการจัดเก็บ
ก็มีความรู้อีกลักษณะหนึ่งที่ถูกจัดส่งให้แบบแกมบังคับ เข้ามาอย่างเป็นระบบ อย่างมีระเบียบ มีขั้นมีตอน มีช่วงเวลาในการนำเข้า มาทั้งในรูปปริมาณและคุณภาพ แถมยังต้องมีการตรวจสอบอีกด้วยว่า ได้รับของนั้นๆไปแล้วจริงๆหรือไม่ และมากน้อยเพียงใด ก็คือความรู้ที่จะอยู่ในลิ้นชักไปอีกนานจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
สำหรับระบบดังกล่าวนี้ การนำเข้าความรู้ในแต่ละเรื่องเพื่อเอาไปเก็บไว้ในลิ้นชักความรู้ของแต่ละคนนั้น เกือบทั้งหมดจะเริ่มด้วยการท่องจำ และควรจะต้องจำอย่างขึ้นใจก่อนที่จะนำไปผสมผสานผูกพันกันให้มันสามารถใช้งานอย่างมีคุณค่าได้ ซึ่งโดยทฤษฎีแล้วทุกๆคนควรจะมีความรู้พอๆกันในเรื่องที่เหมือนๆกันที่ได้รับการศึกษามาในระดับเดียวกัน (ซึ่งในความเป็นจริง มิใช่เป็นเช่นนั้น)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 19 พ.ค. 21, 20:05
|
|
เมื่อแรกเรียน เราทุกคนจะต้องท่องและจดจำอักขระต่างๆให้แม่น เริ่มด้วยพยัญชนะ ก ข ค .....ฬ อ ฮ ออกเสียงเฉยๆมันจำได้ยาก ก็เลยมีเพลงแต่งขึ้นมาช่วยให้จำได้ง่ายขึ้น ต่อมาก็เรื่องของสระ ตามมาด้วยวรรณยุกต์ ตามมาด้วยการผสมกันออกมาเป็นคำ เป็นเสียงต่างๆ ฯลฯ ก็ยังดูเป็นเรื่องสนุกอยู่ เพราะเป็นการเปิดโลกให้แต่ละคนได้ทดลองสะกดคำต่างๆที่ใช้พูดกัน เริ่มอ่านได้ เขียนได้ แต่แล้วก็เริ่มจะไม่สนุกเมื่อเริ่มต้องรับรู้กฎกติกาต่างๆ ก็จะเป็นเช่นนี้เหมือนๆกันในกรณีแรกเรียนวิชาที่แปลกปลอมออกไปจากระบบการศึกษาพื้นฐาน
ลองย้อนนึกดูในกรณีที่เราจะต้องเปิดหนังสือพจนานุกรมเพื่อหาความหมายของคำสักคำหนึ่ง ผมเชื่อว่าทุกท่านจะต้องเริ่มด้วยการท่องพยัญชนะเรียงลำดับไปในระหว่างที่เปิดพจนานุกรมเล่มนั้น แล้วก็ไล่เรียงสระอีกด้วย หากเราไม่มีความรู้อยู่ในลิ้นชักเลย ก็คงจะมีความยุ่งยากเกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย ในปัจจุบันนี้เราอยู่ในโลกยุค digital เรื่องเช่นนี้ดูน่าจะไม่น่าปรากฎ แต่โดยแท้จริงแล้วมันก็มีแฝงอยู่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 19 พ.ค. 21, 20:43
|
|
ผมนึกไปถึงความยุ่งยากของครูและนักเรียนในชั้นเรียนภาษาไทยในที่ต่างๆ
ในภาษาเหนือ ตัว ร ออกเสียงเป็น ฮ ตัว ช ออกเสียงเป็น จ ในภาษาอีสาน ตัว ช ออกเสียงเป็น ซ แต่ตัว ซ ออกเสียงเป็น ช ในภาษาใต้ ตัว ง มักจะออกเสียงเป็นตัว ฮ
ยิ่งสนุกเข้าไปอีก เมื่อเสียงที่เปล่งออกมาใช้เรียกตัวพยัญชนะแต่ละตัวตามสำเนียงที่ใช้กันในภาษาถิ่นของภาคนั้น ไม่เป็นไปตามคุณสมบัติทางเสียง(สูง กลาง ต่ำ)ของตัวอักษรนั้นๆ(บางตัว)ตามมาตรฐานกลางอีกด้วย ก็จึงไม่ค่อยจะแปลกนักที่เรามักจะเห็นมีการสะกดที่ไม่ถูกต้องปรากฎอยู่ตามป้ายต่างๆ ก็มีการเปลี่ยนการสะกดให้เป็นไปตามความเห็นว่ามีความถูกต้อง แต่มันก็ทำเกิดการเปลี่ยนเรื่องราวและการสื่อความหมายของสถานที่นั้นๆไปเป็นอะไรก็ไม่รู้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 20 พ.ค. 21, 18:29
|
|
ก็เป็นเรื่องน่าสนใจ โดยเฉพาะในกรณีคนไทยในพื้นถิ่นของภาคต่างๆสามารถที่จะอ่านข้อเขียนใดๆให้ออกเป็นสำเนียงตามภาษาถิ่นของตนได้ ซึ่งดูจะเป็นการแสดงว่าเขามีลิ้นชักที่เก็บขัอมูลและความรู้ในเรื่องของภาษาไทยที่มีระเบียบจนสามารถดึงออกมาใช้สลับกันไปมาได้โดยเร็วไว แม้ว่าจะเป็นในลักษณะของการนำมาใช้นานๆสักครั้งหนึ่งก็ตาม ก็มีบ้างในกรณีที่ดึงลิ้นชักออกมาใช้ไม่ทัน หรือหาไม่เจอเพราะสนิมกินหรือผุพังไปแล้ว ซึ่งมักจะเกิดขึ้นเป็นปกติในหมู่ผู้เฒ่าทั้งหลาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 20 พ.ค. 21, 19:16
|
|
การท่องกลอน (เช่น เรื่องของไม้ม้วน) ก็เป็นวิธีการนำความรู้เกี่ยวกับภาษาไทยเข้าไปเก็บไว้ในลิ้นชักความรู้ในสมองของเรา เชื่อว่าเกือบจะทุกท่านยังคงจำได้
สูตรคูณก็เป็นอีกเรื่องที่เป็นถูกนำเข้าสู่การเก็บไว้ในลิ้นชักในสมองตั้งแต่เยาว์วัย จนแก่เฒ่าใกล้เข้าโลงก็ยังไม่ลืมสูตรคูณแม่ต่างๆเหล่านั้น เมื่อครั้งยังอยู่ในวัยทำงานก็อาจจะนึกออกได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องท่องในใจเรียงลำดับก่อนหลังของแม่นั้นๆ แต่หากไม่ได้ใช้บ่อยครั้งมากเข้าก็จะเริ่มถูกสนิมเกาะกินได้เช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|