๓ กรกฎาคม ๒๕๖๕
สถานการณ์ระบาดของไทย จากข้อมูล Worldometer เช้านี้พบว่า
จำนวนเสียชีวิตเมื่อวาน สูงเป็นอันดับ ๑๒ ของโลก และอันดับ ๒ ของเอเชีย แม้สาธารณสุขไทยจะปรับระบบรายงานตั้งแต่ ๑ พฤษภาคม จนทำให้จำนวนที่รายงานนั้นลดลงไปมากก็ตาม
มองสถานการณ์ครึ่งหลังของปี ๒๕๖๕ : BA.5 การระบาดระลอกที่ ๕ ของไทย
ลักษณะการระบาดของ BA.5 เท่าที่ติดตามข้อมูลมา ประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่มี BA.5 ระบาดมาก่อนเรานั้น ตอนนี้มีราว ๒๐% ที่มี peak สูงกว่าระลอกก่อนหน้า โดยขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น เสรีใช้ชีวิตโดยไม่ป้องกันตัว กิจกรรมเสี่ยง ความแออัด รวมถึงคำแนะนำในการปฏิบัติตัวจากหน่วยงานรัฐ
สมรรถนะของประชาชนในการติดตามสถานการณ์ระบบรายงานสถานการณ์ในปัจจุบันของไทย ไม่สะท้อนสถานการณ์จริง เพราะเลือกรายงานเฉพาะเคสที่ป่วยและเดินทางมารับการดูแลรักษาที่โรงพยาบาล รวมถึงจำนวนเสียชีวิตที่ไม่มีโรคร่วม
ดังนั้นประชาชนจึงไม่สามารถใช้ข้อมูลเพื่อติดตามประเมินสถานการณ์ เพื่อตัดสินใจประพฤติปฏิบัติได้อย่างทันเวลา ต้องรอแถลงจากหน่วยงาน ซึ่งก็จะไม่รู้ว่าอยากจะแถลงอะไร เมื่อไหร่ และเป็นเศษส่วนเท่าไหร่ของข้อมูลทั้งหมดที่ควรจะรู้ ทำให้ตกอยู่ในสภาพตาบอดคลำช้างได้
การเปลี่ยนแปลงของระบบบริการดูแลรักษาหลัง ๑ กรกฎาคมเป็นต้นมา สธ.และสปสช. ยกเลิกบริการระบบ home isolation และให้ประชาชนที่มีสิทธิรักษาพยาบาลไปรับการดูแลรักษาตามสิทธิ
นั่นแปลว่าประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งมีสิทธิบัตรทอง หากตรวจ ATK พบว่าติดเชื้อ หรือมีอาการไม่สบายที่สงสัยว่าเป็นโควิด-๑๙ ก็จะต้องเดินทางไปสถานพยาบาลเอง เพื่อขอรับบริการเจอแจกจบที่สถานพยาบาล
ความเสี่ยงและผลกระทบย่อมเกิดขึ้นหลายเรื่อง เช่น
๑. คนเบี้ยน้อยหอยน้อยต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปสถานพยาบาลเพื่อรับการดูแลรักษาเจอแจกจบ
๒. คนจำนวนไม่น้อย จะชั่งใจคิดว่าจะคุ้มไหม ที่ต้องเสียเวลารอที่โรงพยาบาล และเสียค่าใช้จ่ายเดินทางไปกลับ เพื่อรับยาที่มีประสบการณืและทัศนคติในช่วงที่ผ่านมาว่าเป็นยาสามัญประจำบ้าน ไม่ใช่ยาต้านไวรัสรักษาเฉพาะโรค ดังนั้นจึงเลือกที่จะไม่ไป ไม่มีรายงานสถานะการติดเชื้อเข้าระบบ ทำให้ระบบเฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ที่มีของหน่วยงานรัฐมีตัวเลขเรื่องการระบาดน้อยกว่าสถานการณ์จริง หากโรคระบาดนี้รุนแรงภายหลัง หรือก่อให้เกิดผลกระทบระยะยาว เช่น ปัญหา Long COVID ตามมา กว่าจะรู้ตัว ก็จะเป็น big wave ของผลกระทบ ยากที่จะรับมือได้ทัน เพราะความไวของระบบไม่มากพอที่จะตามสถานการณ์ได้
๓. ปรากฏการณ์ตรวจเองพบว่าติดเชื้อ แต่ไม่แจ้ง ไม่รักษา ไม่แยกกักตัว อาจเพิ่มขึ้น เพราะระบบช่วยเหลือสนับสนุนทางสังคมไม่มีหรือระบบมีแต่เป็นแบบ Risks beyond benefits ก็ย่อมมีโอกาสที่จะเกิดปัญหาการระบาดที่แพร่กระจายต่อเนื่องในสังคมได้
๔. หลังปรับมาให้มารับบริการเจอแจกจบ การเดินทางมาสถานพยาบาลของผู้ติดเชื้อย่อมมีโอกาสเกิดผลกระทบตั้งแต่การแพร่เชื้อระหว่างการเดินทางในขนส่งสาธารณะ และโอกาสแพร่เชื้อติดเชื้อกันมากขึ้นในสถานพยาบาล เพราะจำนวนผู้รับบริการในสถานพยาบาลที่แออัดอยู่เดิมจากโรคต่าง ๆ ที่ไม่ใช่โควิด-๑๙
ภาพรวมจะเห็นได้ว่า จะเป็นลักษณะที่คนในสังคมจะตามสถานการณ์ได้ยาก ความเสี่ยงในสังคมระหว่างการใช้ชีวิตจะสูง และต้องพึ่งพาตนเอง
รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย