เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
อ่าน: 12409 The End of The Nile
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 15  เมื่อ 28 ส.ค. 01, 00:54

โดยส่วนตัวผมเชื่อว่าตำนานเกี่ยวกับหายะต่างๆของคนโบราณบางส่วนอาจเป็นเรื่องจริง

นอกจากนั้นผมเชื่อว่ายังอาจจะอธิบายได้ด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์อีกด้วยครับ



เมื่อไม่นานมานี้ผมจะพึ่งดูสารคดีเกี่ยวกับตำนานในคำภีร์ไบเบิล ฺBook of Genesis ซึ่งพูดถึงอารยธรรมโบราณที่ชื่อ Soldom and Gomarrah ตามไบเบิลว่าไว้ว่า

ชาว Soldom เป็นคนบาปหนักทำผิดกับพระเจ้า พระเจ้าเลยลงโทษซะ ทุ่มก้อนหินลงมาจากฟ้า พระเจ้าบรรดาลให้พื้นดินเต็มไปด้วยควันไฟ ในไบเบิลบันทึกตามคำบอกเล่าของ Abraham ว่า ...

"He looked down toward Sodom and Gomorrah, toward all the land of the plain, and he saw

dense smoke rising from the land, like smoke from a furnace"

ไม่ทราบเหมือนกันว่า Abraham เป็นใครกันแน่ แต่นักธรณีวิทยาปัจจุบันพบหลักฐานหลายอย่าง ที่ทำให้เชื่อว่าเหตุการณ์ทำนองนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ ไม่ใช่จากพระเจ้าแต่อธิบายได้ด้วยวิชาธรณีวิทยาครับ เพราะแถวๆ Dead Seaนั้น มีลักษณะทางธรณีวิทยาที่ไม่เสถียร อยู่ระหว่างแผ่นทวีปเอเชียกับแผ่นทวีปแอฟริกา เป็นไปได้ว่าแผ่นดินใหวใหญ่ๆ สามารถที่จะกวาดเมืองทั้งเมือง ลงทะเลไปได้สบายๆ รวมทั้งควันไฟ ที่ในตำนานกล่าวว่า พุ่งจากพื้นดิน ควันนั้นอาจเกิดจากก็าซมีเทนที่อยูใต้ดิน เมื่อเกิดแผ่นดินใหวอาจทำปฎิกริยาเกิดควันไฟได้ หรืออะไรทำนองนั้น

พอเวลาผ่านไป 2000 ปี คนเขียนไบเบิลก็คงบันทึกเหตุการณ์ลงไป ตามคำบอกเล่า แล้วก็เพิ่มเนื้อเรื่องลงไปก็เป็นได้ครับ



สนใจอ่านได้จากลิงก์นี้ครับ ...

http://www.bbc.co.uk/history/ancient/apocalypse_gomorrah1.shtml' target='_blank'>http://www.bbc.co.uk/history/ancient/apocalypse_gomorrah1.shtml

http://www.christiananswers.net/q-abr/abr-a007.html' target='_blank'>http://www.christiananswers.net/q-abr/abr-a007.html
บันทึกการเข้า
พวงร้อย
สุครีพ
******
ตอบ: 904


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 16  เมื่อ 28 ส.ค. 01, 05:57

Modern day Egyptians are not the same as ancient Egyptian ka.  Even Arabic people today can't understand a lot of ancient Arabic ka.  I have an Egyptian friend I used to aske her to confirm the translation of star names, she told me she can't understand it ka.  I think it's similar to modern day Cambodian can't understand Khmer na ka.



I just got back to work today ka.  Still tired from all the travelling and cleaning then have a pile of work waiting for me, sigh.
บันทึกการเข้า
นักสำรวจน้อย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 17  เมื่อ 28 ส.ค. 01, 08:18

ขอขคุณมากครับคุณนกข ที่อธิบายให้ผมฟังอย่างกระจ่างในครั้งนี้
บันทึกการเข้า
Linmou
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 18  เมื่อ 28 ส.ค. 01, 10:31

แถมตำนานจีนอีกหน่อยค่ะ
ในตำนานจีนบอกว่า ในยุคของหยาว(หยาว ซุ่น อวี่ เจ้าเก่า)ได้เกิดภัยแล้งอย่างหนัก เพราะโอรสสวรรค์ทั้ง ๑๐ ซึ่งต่างก็เป็นพระอาทิตย์ ได้ลอบออกมาเที่ยว และฉายแสงพร้อมกัน หยาวซึ่งบนบานสวรรคืให้ส่งคนมาช่วยยุคเข็น เทพสวรรค์จึงส่งเทพขมังธนูโฮ้วอู(อี้)ลงมายิงพระอาทิตย์ตกไป  ๙ ดวง นายโฮ้วอูก็คือสามีของแม่สาวฉางเอ๋อที่ขโมยกินยาอายุวัฒนของสามี จนต้องลองไปติกแหงกอยู่บนดวงจันทร์ ลงมาไม่ได้ และให้คนได้ไปกราบไหว้ ได้กินขนมไหว้พระจันทร์กันน่ะค่ะ

ยกเรื่องตำนานไว้ก่อน ประเด็นที่น่าสนใจคือ ในยุคของหยาว มีทั้งภัยแล้ง และน้ำท่วมหนักชนิดเป็นประวัติการณ์ทั้งคู่
ภัยแล้งนั้น ไม่ได้ถูกกล่าวถึงมากเท่าอุทกภัย คงเพราะอุทกภัยส่งผลต่อประวัติศาสตร์มากกว่า โดยที่ อุทกภัยได้ดำเนินจากยุคของหยาว ไปจนถึงยุคของซุ่น จึงแก้ไขได้ โดยที่ ผู้ที่สามารถพิชิตปัญหาอุทกภัยได้สำเร็จ คืออวี่เอง ทำให้เขาได้รับเลือกเป็นกษัตริย์สืบต่อจากซุ่น และได้สร้างราชวงศ์เซี่ย ราชวงศ์แรกของจีนขึ้น(ตำนานจีนไม่ยักกะมีใครสร้างเรือมาช่วยพาคนหนีน้ำนะ เขาใช้วิธีขุดคลองระบายน้ำแก้ปัญหา)

อาจเป็นได้ว่า ในยุคต้นของการปกครองของหยาว จะเกิดภัยแล้งครั้งใหญ่(หยาวคงจะปกครองอยู่นานหลายสิบปี) แล้วช่วงกลางถึงช่วงท้าย ก็กลายเป็นน้ำท่วมครั้งใหญ่ ยาวไปจนถึงยุคการปกครองของซุ่นก็ได้ เพราะคงเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดภัยแล้งกับน้ำท่วมในเวลาเดียวกัน
ก็แค่เดาเอาล่ะค่ะ

ส่วนนายโฮ้วอูนั่น ตัวจริงเขาเป็นคนรุ่นลูกหรือหลานของอวี่โน่น ไม่น่าจะเกี่ยวอะไรกับการช่วยภัยแล้งค่ะ
บันทึกการเข้า
คุณพระนาย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 19  เมื่อ 28 ส.ค. 01, 13:07

คำถามครับ เรื่องโมเสส กับ ฟาร์โรห์ รามิเซท นี่เรื่องจริงใช่หรือเปล่าครับ หรือว่าเป็นตำนาน
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 20  เมื่อ 28 ส.ค. 01, 16:02

ยินดีต้อนรับคุณพวงร้อยกลับมาครับ อย่าลืมสแกนรูปถ่ายมาแบ่งกันดูบ้างนะครับ

โมเสสกับฟาโรห์รามเสสเป็นเรื่องในคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเก่า จะว่าเป็นบันทึกประวัติศาสตร์และความเชื่อทางศาสนาในสายตาชาวยิวก็ได้ ถ้าคุณเป็นชาวคริสต์ หรือชาวยิว คุณอาจจะมีแนวโน้มจะเห็นว่าเรื่องต่างๆ ในพระคัมภีร์เป็นความจริง (คนที่เขาเคร่งศาสนามากๆ เขาถือว่าเรื่องในพระคัมภีร์ได้รับการดลบันดาลใจจากองค์พระเจ้าเองด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่ต้องสงสัยละว่าจะจริงหรือไม่)

แต่นักประวัติศาสตร์ที่ศึกษาพระคัมภีร์อย่างเป็นหลักฐานประวัติศาสตร์ชิ้นหนึ่ง เขาก็พยายามจะศึกษาอย่างเป็นกลางนะครับ โดยตัดความรู้สึกทางศาสนาออกไป เขาพบว่าหลายเรื่องในพระคัมภีร์มีหลักฐานอื่นยืนยันสนับสนุนอยู่ แต่ก็เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์อื่นๆ ที่ คน เขียนขึ้น (เว้นแต่คุณจะเชื่อจริงๆ ว่าพระเจ้าเขียนไม่ใช่คนเขียน) คนก็ต้องมีมุมมอง มีความรู้สึกรักพวกพ้อง มีอคติ ตามประสาคน เหมือนเราเปิดประวัติศาสตร์ไทยกับพม่าหรือไทยกับลาว เรื่องเดียวกันจารึกไว้ไม่เหมือนกันเป๊ะ ตามแต่มุมมองของใคร อันนี้เป็นเรื่องธรรมดามากของประวัติศาสตร์  เรื่องในพระคัมภีร์ไบเบิลภาคเก่า พูดได้ง่ายๆ ว่าเป็นการมองโลกจากสายตาคนยิว ยิวจึงเป็นพระเอก หรืออย่างน้อยก็เป็นตัวละครเอก  อย่างเรื่องโมเสสเห็นชัดเลยว่าเป็นพระเอกแหงๆ และฟาโรห์อียิปต์เป็นผู้ร้ายแหงๆ เหมือนกัน อันนี้ยิวบอก (บอกไปถึงขั้นว่าพระเจ้าอยู่ข้างยิวด้วย) ถ้าไปดูบันทึกประวัติศาสตร์ของทางฝ่ายอียิปต์อาจจะบอกไว้ไม่เหมือนกันหรือไม่มีเรื่องนี้เลยก็ได้ หรืออาจมีคำอธิบายอื่นที่ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ และไม่เกี่ยวกับการที่พระเจ้าของยิวลงโทษทำลายพวกอียิปต์ก็ได้ (คุณจ้อหรือใครก็ได้ กรุณาค้นเรื่องของฟาโรห์รามเสสของฝั่งอียิปต์มาให้อ่านหน่อยสิครับ)

ขออภัยท่านผู้เป็นคริสตศาสนิกทุกท่านด้วย แต่เรื่องพระเจ้าเลือกที่รักมักที่ชังกับเผ่าหนึ่งเป็นพิเศษนี่แหละครับที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ กับพระคัมภีร์เก่า ผมว่าผมเลยชอบพระคัมภีร์ใหม่มากกว่าในจุดนี้

ดูเหมือนใน "เทศนาเสือป่า"  ในหลวง ร.6 ท่านทรงตั้งข้อสังเกตไว้เหมือนกันตรงนี้ว่า ตอนที่โมเสสพาพวกอิสราเอลแยกน้ำข้ามทะเลแดงไปนั้น พระเจ้าโปรดให้รอด แต่พอฟาโรห์พาพลพวกอิยิปต์ไล่ตามไปพระเจ้าก็บันดาลให้น้ำทะเลแดงท่วมกองทัพอิยิปต์ตายหมด ท่านทรงถามว่า พระเจ้าสากลน่ะเป็นพระเจ้าของคนยิวเหมือนๆ กับที่เป็นพระเจ้าของคนอียิปต์ใช่ไหม แล้วทำไมปล่อยพวกหนึ่งทำลายพวกหนึ่งล่ะ จำรายละเอียดไม่ได้แล้วครับแต่เป็นทำนองนั้น แต่ก็อีกแหละ นี่ก็เป็นเพียงมุมมองจากคนที่เป็นพุทธ (ทั้งพระองค์ท่านและผม) ซึ่งคนที่เป็นคริสตศาสนิกอาจไม่เห็นด้วยก็ได้

มีบางคนไม่เห็นว่าเรื่องในพระคัมภีร์เก่าตั้งใจจะให้เป็นบันทึกประวัติศาสตร์หรือพงศาวดาร แต่ถือว่ามีคุณค่าทางจิตใจมากกว่า (ในลักษณะนี้ผมว่าอาจจะคล้ายกับนิทานชาดกของทางพุทธ) คือไม่ต้องไปสนใจว่าบุคคลในเรื่องมีจริงหรือไม่ อยู่ในช่วงไหนของประวัติศาสตร์จริง มีเหตุการณ์อย่างนั้นจริงหรือ สำคัญแต่ว่าอ่านแล้วคุณได้สาระอะไรจากเรื่องดังกล่าว อย่างเรื่องโมเสส แก่นของเรื่องตามที่หนังการ์ตูนเรื่องหนึ่งตีความคือการต่อสู้ระหว่างจิตวิญญานเสรีกับการกดขี่ของทรราช และในที่สุดทรราชแพ้ ฝ่ายที่รักเสรีภาพชนะ โดยมีศรัทธาในศาสนาประคับประคองช่วยเหลืออยู่ เป็นเรื่องหรือนิทานที่งดงาม และถ้าคุณรู้สึกอย่างนั้นก็พอแล้ว เหมือนได้เสพวรรณกรรมดีๆ สักเรื่อง (แม้วรรณกรรมนั้นจะเป็นเรื่องแต่งหรือเรื่องจริงก็ไม่สำคัญ)
บันทึกการเข้า
นกข.
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 21  เมื่อ 28 ส.ค. 01, 22:11

กำลังจะติดเรทครับ

เมืองคนบาปโสดอมและกอมมอราห์ที่มัวเมาในบาปจนถูกพระเจ้าลงโทษให้เมืองถล่มไปทั้ง 2 เมืองนั้น ชาวเมืองคงจะทำบาปหลายอย่างหลายชนิด แต่บาปผิดประการหนึ่งที่ถือว่าเป็นเรื่องต่ำช้าลามกที่คนเมืองโสดอมหมกมุ่นอยู่กับมันเสียจนพระเจ้าทนไม่ไหว คือการ .... เอ้อ... การ "เข้าประตูหลัง"  ครับ การมีความสัมพันธ์ทางเพศกันทางก้น ยังเป็นคำติดอยู่ในภาษาอังกฤษจนเดี๋ยวนี้ว่า sodomy sodomize มาจากชื่อเมือง Sodom

เมืองปอมเปอีของโรมันที่ถูกภูเขาไฟวิสุเวียสถล่มไปนั้น ก็ว่าเป็นเมืองบาปที่หมกมุ่นกะเรื่องเพศมากจนพระเจ้าทนไม่ไหวส่งไฟภูเขาไฟมาล้าง (คาว?) เหมือนกัน แต่ปอมเปอีไม่ได้มีชื่ออยู่ในไบเบิล

เรื่องความผิดบาปของชาวเมืองที่ทำให้เทพพิโรธ จนทำให้เมืองทั้งเมืองถล่มหายไปนั้น คงเป็นคำอธิบายที่คนสมัยก่อนพยายามคิดหาเหตุผลให้กับปรากฏการณ์ทางธรณีวิทยาเช่น แผ่นดินถล่ม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด ในทางไทยก็มี ตำนานหนองหานก็ว่า ลูกชายพญานาคแปลงเป็นกระอกเผือกขึ้นมาเที่ยวเมืองมนุษย์ ถูกยิงตายกลายเป็นกระรอกยักษ์ ชาวเมืองตั้งแต่พระราชาลงมาจนถึงประชาชนทั่วไปมากินเนื้อกะรอกเผือกกันทั้งเมือง พญานาคผู้พ่อโกรธเลยถล่มเมืองทั้งเมือง กลายเป็นหนองน้ำไป นี่ก็คล้ายๆ กัน
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 22  เมื่อ 29 ส.ค. 01, 01:41

โหะๆๆ บาปหนักจริงครับ เมืองโสดอมและกอมมอราห์ นี่ โหะๆๆ



เรื่องโมเสสกับฟาร์โรห์รามเสสที่ว่า โมเสสแยกมหาสมุทรข้ามทะเลแดงนี่ผมยังค้นไม่เจอครับ

แต่รู้สึกว่า ฟาร์โรห์รามเสสในตำนานคือคนเดียวกันกับฟาร์โรห์รามเสสที่สอง (Rameses II )

หรือที่เรียกว่า The Great Rameses เป็นฟาร์โรห์ที่มีชื่อเสียงที่สุดองค์หนึ่งของอิยิปต์อยู่ในราชวงค์ที่ 19

รามเสสนั้นยกพลลงไปผนวกดินแดนทางใต้ที่เรียกว่า Nubia ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นประเทศซูดานในปัจจุบัน (อาจรวมไปถึงบางส่วนของประเทศเอธิโอเปีย?)

เท่าที่ค้นเรื่องของโมเสสคร่าวๆ พบว่าใบเบิลบอกว่าโมเสสร่วมรบในสงครามกับพวกเอธิโอเปียไว้ด้วย

ดังนั้นจึงน่าจะเป็นหนึ่งในแม่ทัพของรามเสส



ความจริงน่าจะย้อนกลับไปช่วงที่พวกฮิปบรู หรือ ยิว เริ่มเข้ามาในอียิปต์ก่อนดีกว่าครับ

ตามตำนานว่า จาคอบและครอบครัวพาชาวยิวอพยบจากเอเชียเข้ามาในอียิปต์ และฟาร์โรห์แห่งอียิปต์

ยกดินแดนให้ครอบครองที่เรียกว่า Goshen แปลว่า Best of Land  (หรือบางทีก็เรียกว่า The land of Rameses

ซึ่งก็เป็น Rameses  เดียวกันกับรามเสสที่สองแหละครับ แต่ชื่อนี้ได้มาครั้งหลัง) อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของไคโร

( http://www.christiananswers.net/q-abr/abr-a027.html' target='_blank'>http://www.christiananswers.net/q-abr/abr-a027.html )



ถ้าเทียบตามประวัติศาสตร์ของอียิปต์แล้ว จาคอปและพวกยิวน่าจะเข้ามาในช่วงที่เรียกว่า Second Intermediat Period ซึ่งอยู่ละหว่างปี 1640 ถึง 1540 ก่อน ค.ศ. ช่วง  Second Intermediat Period นี้เกิดหลังจากที่ ราชวงค์ที่ 13 ของอียิปต์ เริ่มเสื่อมอำนาจลง และมีชนอีกเผ่าหนึ่งที่เรียกว่า พวก Hyksos ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากทวีปเอเชียแถวๆปาเลสไตน์

พวก Hyksos ได้ครอบครองดินแดนแถบสามเหลี่ยมปากแม่น้ำไนล์ทั้งหมดไว้ได้ คาดว่าคนอียิปต์คงไม่ค่อยชอบ Hyksos

เท่าไหร่นัก สังเกตุได้จากคำแปลของคำว่า Hyksos ในภาษาอียิปต์ที่แปลว่า The rulers of the foreign countries บอกชัดเจนว่าไม่ใช่พวกเดียวกัน  พวก Hyksos น่าจะชำนาณใจการรบ เพราะมีหลักฐานว่าเป็นพวกแรกที่ใช้รถศึก ที่เรียกว่า  chariot

ในช่วงนี้เองที่พวกยิวเริ่มอพยบเข้ามา ซึ่งคาดว่าฟาร์โรห์ที่ให้ที่กับพวกยิวก็คือ ฟาร์โรห์ Apopi (หรือ Apepi) ซึ่งเป็นฟาร์โรห์ของพวก Hyksos นี่เอง



พอปลายช่วง Second Intermediat Period พวกอียิปต์ก็สามารถขับไล่พวก Hyksos ออกไปได้

แล้วตั้งราชวงค์ที่  18 ขึ้น ( ราชวงค์เดียวกับฟาร์โรห์ดังๆ เช่น ฟาร์โรห์ TUTANKHAMUN  กับ QUEENS NEFERTITI

และฟาร์โรห์ AKHENATEN เป็นต้น ) ระหว่างนี้พวกยิวก็ยังคงอยู่ในดินแดนของอียิปต์ต่อไป แต่เดาว่าคงเริ่มไม่ค่อยสบายใจเท่าใหร่นัก ผมว่าชาวอียิปต์ช่วงนั้นก็คงไม่ค่อยชอบยิวเท่าไหร่นัก เพราะน่าจะมองว่าเป็นพวกเดียวกันกับ พวกHyksos ซึ่งเข้ามายึดดินแดนของอียิปต์ แต่ยิวมาโดนทารุณมากๆ ก็ตอนราชวงคืที่ 19 ตามข้อมูลว่าน่าจะเป็นสมัยฟาร์โรห์ Seti ที่เชื่อว่าเป็นฟาร์โรห์ในตำนานของยิว ที่เป็นคนสั่งสังหารเด็กชายชาวยิวทั้งหมด จนเป็นเหตุให้มีคนจับโมเสสใส่ตระกร้าลอยแม่น้ำ และเริ่มต้นตำนานเกี่ยวกับตัวเขา ชื่อของโมเสสนั้นก็แปลว่า Saved from the water เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ชาวยิว อพยบเข้ามาในอียิปต์แล้วประมาณ 350 ปี



หลังจากที่ Seti  สวรรคตแล้วก็เป็น รามเสสที่สอง ที่ขึ้นเป็นฟาร์โรห์ ตามประวัติศาสตร์น่าจะเป็นยุคที่เกียงไกรที่สุดยุคหนึ่งของอียิปต์ ในไบเบิลนั้นกล่าวว่า โมเสสร่วมรบกับรามเสสด้วย และเป็นนายพลที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งทีเดียว แต่ชาวอียิปต์ก็ยังไม่ลืมว่าโมเสสนั้นมีเชื้อสายยิว ด้วยเหตุนี้โมเสสเลยต้องหนีจากอียิปต์ แล้วก็เริ่มเรื่องราวมหัศจรรย์ในตำนาน



ยังคนไม่เจอเรื่องของโมเสสในเว็ปประวัติศาสตร์อียิปต์โบราณครับ โดยความเห็นส่วนตัวนั้นผมว่าตำนานโมเสสนั้น น่าจะถูกแต่งเติมเข้าไปมาก เป็นไปได้ว่าโมเสสอาจจะเป็นนักรบที่เก่งมาก เพราะถ้าไม่เก่งคงไม่รอดมือรามเสสมาได้ ความเก่งของโมเสสอาจทำให้ลูกหลาน ชื่นชมในวีรกรรม จนยกย่องว่าเป็นความเก่งที่ได้มาจากพระเจ้า แล้วเมื่อเวลาผ่านไปหลายพันปี เลยดูเป็นเรื่องเหลือเชื่อไป อันนี้ผมเดาล้วนๆนะครับ



รูปข้างล่างเป็นรูปรามเสสออกรบ นั่งอยู่บน chariot

ส่วนเรื่องของโมเสสอ่านเพิ่มได้จากเว็ปนี้ครับ http://www.christiananswers.net/dictionary/moses.html' target='_blank'>http://www.christiananswers.net/dictionary/moses.html
http://vcharkarn.com/reurnthai/uploaded_pics/RW745x022.gif'>
บันทึกการเข้า
วรณัย
บุคคลทั่วไป
ความคิดเห็นที่ 23  เมื่อ 29 ส.ค. 01, 13:58

สนุกมากครับ
กระผมเป็นผู้หนึ่งที่ชื่นชอบอารยธรรมโบราณทั่วโลก
โดยเฉพาะที่อียิปต์นี่ ดูจะสนุก ตื่นเต้นและเร้าใจกว่าอารยธรรมอื่น ๆ
......
การเริ่มต้นและล่มสลายของอียิปต์ที่หลาย ๆ คนมักจะมองแต่เงื่อนไขทางการปกครอง สังคมและวัฒนธรรมเป็นหลักสำคัญ
ทำให้เรามองว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่หลาย ๆแห่งสบสูญไป
ในความเห็นของผม เรามักจะมองข้ามปัจจัยที่สำคัญ..นั่นคือสภาพความอุดมสมบูรณ์ในการตั้งถิ่นฐาน หรือที่เรียกกันว่า สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่เอื่อต่อการคงอยู่ของวัฒนธรรมและสังคมของมนุษย์
สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์ในทางมานุษยวิทยาเราอาจจะเรียกกันว่า  "นิเวศวัฒนธรรม"
สภาพที่อียิปต์ในยุคอาณาจักรเก่าเผชิญ ก็คือปัญหาจากสภาพแวดล้อมมากกว่าปัญหาทางการเมืองและสงคราม
สภาพของแม่น้ำไนล์ก็เปลี่ยนแปลงมาโดยตลอดไม่ว่าจะแห้ง - ไหลเปลี่ยนเส้นทาง - หรือสารพิษโรคระบาดปนเปื้อนในน้ำ
สภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่แปรปวน
เช่นฝนตกหนัก หนาวจัดและร้อนจัด
เหตุผลทางนิเวศวัฒนธรรมจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้วัฒนธรรมของมนุษย์ เกิดและล่มสลาย
ตัวอย่างของการเกิด มีอารยธรรมมากมาย สนธิขึ้นตามลุ่มแม่น้ำและสภาพภูมิประเทศและอากาศเอื้ออำนวยต่อการตั้งถิ่นฐาน
ส่วนตัวอย่างการล่มสลายของอารยธรรมกลับมีมากกว่า ดังเช่น
ตำนานน้ำท่วมโลก - เรือโนอา -แอสแลนตีส
แยงซีเกียง - ฮวงโห  - น้ำท่วม - โคลนถล่ม
ภูเขาไฟ - ปอมเปอี - ก๊าซพิษ(กำมะถัน)
แผ่นดินไหว   - แผ่นดินทรุด - แผ่นดินจม - แผ่นดินแยก - แผ่นดินยกตัว
พายุ - ฝน
ความแห้งแล้ง - แม่น้ำเปลี่ยนเส้นทางเดิน
แมลงศัตรูพืช - โรคระบาด
สารพิษ  
สภาวะอากาศ หนาวจัด  ร้อนจัด ชื้นจัด
และอีกมากมาย

อาณาจักรเก่าจึงเป็นตัวอย่างอันดีในการศึกษาเรื่องสภาพแวดล้อมและบทเรียนในอดีตของมนุษยชาติ
เพื่อตอบตัวเองในปัจจุบันว่า เตรียมพร้อมรับมือกับมันอย่างถูกต้อง สมดุลหรือยัง
บันทึกการเข้า
จ้อ
แขกเรือน
สุครีพ
******
ตอบ: 1081

แต่งงานแล้วจ้า ...


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 24  เมื่อ 30 ส.ค. 01, 08:24

ขอบคุณครับคุณวรณัย

อ่านเรื่องตำนานหนองหานที่ว่าเมืองทั้งเมืองกลายเป็นหนองน้ำ
ทำให้นึกถึงปรากฎการณ์ทางธรณีวิทยาที่เรียกว่า Liquefaction ครับ
เป็นปรากฎการณืที่แผ่นดินเปลี่ยนสภาพเป็นของเหลวได้เมื่อเกิดแผ่นดินใหวใหญ่ๆ
ซึ่งจะเกิดขึ้นในที่ๆตั้งอยู่บนพื้นดินที่ค่อนข้างพรุน และมีน้ำขังอยู่ตามรูพรุนนั้นเยอะๆ
พอเกิดแผ่นดินใหวขึ้น ดินที่เคยพรุนๆก็ถูกอัดลงไปข้างล่าง น้ำทีอยู่ในดินก็ทะลักขึ้นมา
ลองนึกภาพถึงทรายตามชายทะเลที่ชุ่มน้ำ พอเรากดเท้าลงไปย่ำบนพื้นทรายมันก็บุ๋มลงไป
เป็นทรายเละๆ คล้ายเจลลี่ แล้วน้ำก็ทะลักขึ้นมา
ปรากฎการณ์Liquefaction พบเห็นบ่อยในแผ่นดินใหวคร้ังใหญ่ๆ 5-6 ริตเตอร์ก็เกิดได้
นักโบราณคดีก็สันนิฐานว่าเมืองคุณตุ๋ย...เอ้ยไม่ใช่ครับ เมืองคนบาปโสดอมและกอมมอราห์
ก็ถล่มลงทะเลสาบโดยปรากฎการณ์นี้เช่นกัน
ดังนั้นที่ว่าเมืองทั้งเมืองกลายเป็นหนองน้ำก็ไม่เหลือเชื่อนักครับ
บันทึกการเข้า
พวงร้อย
สุครีพ
******
ตอบ: 904


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 25  เมื่อ 30 ส.ค. 01, 23:41

ขอเสริมคร่าวๆนะคะ  เพราะโอกาสที่จะพิมพ์ภาษาไทยได้จำกัดมากเลยค่ะ เดี๋ยวนี้

ภูมิภาคแถบนั้นเคยมีความชุ่มชื้นมากมาก่อนแบบเป็นเขต tropical  น่ะค่ะ  ร่วมหมื่นปีก่อนได้มั้ง  แล้วภูมิอากาศของโลกแปรปรวนทำให้มันกลายเป็นทะเลทรายไปประมาณหกเจ็ดพันปีก่อน (ขออภัยตัวเลขอาจไม่ถูกต้องดีนักไม่ได้เช็คค่ะ)  แม้ที่บริเวณนั้นจะเป็นทัเลทราย  แต่ก็มีแหล่งน้ำใต้ดินอยู่  แหล่งอารยธรรมต่างๆที่คนเจริญรุ่งเรืองมาก่อน  ก็ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดของตัวเอง  ต้องขุดน้ำมาใช้  หลายๆเมืองที่มีประวัติว่าถล่มทลายลงไป  ก็มีสาเหตุมาจากการกลายเป็น  sink hole น่ัะค่ะ  ไม่ใช่จากแผ่นดินไหว

การเกิด  sink hole  ก็เพราะเมื่อน้ำบาดาลถูกเอามาใช้มากๆไปนานๆ  ก็เกิดเป็นโพรงว่างๆไป  ไม่มีน้ำมารองรับน้ำหนักจากสิ่งก่อนสร้างเบื้องบน  เมื่อระดับน้ำลดลงไปเรื่อยๆ  นานๆไปเข้า่  แรงดึงดูดของโลกเอาชนะแรงดันจากเปลือกโลก(ซึ่งลดลงไปจากน้ำที่ลดลง)  ก็ทำให้แผ่นดินทรุดยวบตัวลงอย่างฉับพลัน  คล้ายๆอย่างที่บางท่านอาจจะเคยเห็นเค้าระเบิดทำลายตึกเก่าด้วยการเอาไดนาไม้ท์ไปวางตามเสาที่รับน้ำหนัก  แล้วให้แรงดึงดูดของโลกดึงมันลงมาเอง  ชั่วพริบตาก็ทลายลงมาหมด

ตัวอย่างที่มีหลักฐานค้นพบมาแล้วก็คือเมือง  Ubar(อูบาร์) ในประเทศเยเมนปัจจุบัน  ที่เคยรุ่งเรืองมาก่อน  และจู่ๆก็ทลายลงไป  ตามตำนานเก่าๆแถวนั้นก็ว่าถูกพระเจ้าสาบ  เพราะทำบาปกันมาก  นักโบราณคดีบางท่านก็สันนิศฐานว่า  อาจจะเป็นเค้าต้นเรื่องให้ผูกเป็นตานานเมืองโซดอม-กอมมอร่าห์ก็ได้ค่ะ  ประมาณว่า  เมืองอูบาร์ทลายตัวลงไปประมาห้าหกพันปีมาแล้ว  ซึ่งก็เท่ากับอายุของโลกตามคัมภีร์ไบเบิ้ลน่ะค่ะ(ไม่ใช่อายุของโลกตามหลักฐานทางวิทยาศาสตร์นะคะ)
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.059 วินาที กับ 19 คำสั่ง