เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 26 ก.ย. 20, 17:43
|
|
ได้ยินแต่พูดกันว่า มันเป็นตะพาบน้ำและไม่คาดคิดว่าจะเป็นเด็ก คุณเพ็ญชมพูและท่านอื่นๆเข้าใจว่าหมายถึงอะไรคะคำให้การของพระองค์เจ้ากาญจนากร มีว่า พระองค์ทรงได้จับท้องของหม่อมย่ิง ๒ คร้ังเห็นว่า ก้อนกระเพื่อมข้ึน แต่ไม่ได้สงสัยว่าหม่อมยิ่งมีครรภ์ และทรงเชื่อถือคำพูดของหม่อมยิ่งว่า เป็นโรคท้องมาน มีโลหิตอยู่ข้างใน และมีตะพาบน้ำสามตัวในท้อง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 26 ก.ย. 20, 19:18
|
|
คุณเพ็ญชมพูไปหาคำให้การมาอ่านได้แล้ว ก็ขอให้เว้นบางตอนไว้ก่อนนะคะ เพราะกระทู้นี้ไม่ได้เน้นเรื่องตั้งครรภ์
จากที่คุณเพ็ญชมพูไปหารายละเอียดมาได้ แสดงว่าพระนาภีของเสด็จพระองค์หญิงที่โตขึ้นๆ ก็เป็นที่รู้กันแพร่หลายในหมู่เจ้านาย เพียงแต่ไม่มีใครกล้าฟันธงลงไปว่าเป็นลักษณะของการตั้งครรภ์ จนกระทั่งคลอดทารกชายออกมา จากนั้นก็คือนำทารกไปซ่อนไว้ แต่ก็ไ่ม่จบแค่นั้น เพราะมีการหาจนกระทั่งเจอว่าซ่อนอยู่ที่ไหน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 27 ก.ย. 20, 09:57
|
|
จนกระทั่งคลอดทารกชายออกมา จากนั้นก็คือนำทารกไปซ่อนไว้ แต่ก็ไ่ม่จบแค่นั้น เพราะมีการหาจนกระทั่งเจอว่าซ่อนอยู่ที่ไหน เรื่องการซ่อนทารกไว้ในกระโถน ไม่ปรากฏในคำให้การของบุคคลต่าง ๆ ในคดีนี้เลย น่าจะเป็น "เรื่องเล่าข่าวกระซิบที่แถวเต๊ง" อย่างที่คุณ Jalito ว่า 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 28 ก.ย. 20, 08:04
|
|
ย้อนไปถึงรัชกาลก่อน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ ทรงผูกดวงพระชะตาของพระราชโอรสธิดาไว้ทุกพระองค์เมื่อประสูติ แล้วพระราชทานพรให้คลาดแคล้วจากข้อเสียในดวงชะตา และเน้นข้อดีในชะตาเอาไว้ให้หนักแน่นยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงทรงทำนายได้ว่าจะเกิดเหตุใดขึ้นกับเจ้านายเหล่านั้นในกาลภายหน้า
จึงมีพระราชกระแสกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ ว่า "...ถ้าเจ้าได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ในกระบวนพี่น้องทั้งหมด จะมีพระองค์หญิงหนึ่งองค์ และพระองค์ชายอีกหนึ่งองค์ ทรงกระทำความผิดเป็นมหันตโทษ ขอให้ไว้ชีวิตพระองค์เจ้าพี่น้องทั้งสองพระองค์ด้วย..."
ในหนังสือกราบบังคมทูลเมื่อชำระความเสร็จแล้ว พิจารณาโทษว่าทั้งคู่ประพฤติการชั่วอย่างอุกฤษฏ์ เป็น "มหันตโทษ" ตามกฎมณเฑียรบาล จึงต้องรับโทษตามนี้ ๑. ให้ริบราชบาตรเป็นของหลวง ๒. ให้ถอดจากยศและบรรดาศักดิ์ ๓. ให้ลงพระราชอาญา ๙๐ ที (เฆี่ยน) แล้วประหารชีวิตเสีย แต่พระราชกระแสในอดีตของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ช่วยชีวิตเสด็จพระองค์หญิงยิ่งเยาวลักษณ์ให้รอดมาได้ ดังที่จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ตรงกับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2429 บอกว่า “๔ ทุ่มเศษ เสด็จออกทรงสั่งเรื่องคลอดลูก ว่าด้วยพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ประพฤติการชั่วอย่างอุกฤษฎ์ อย่างนี้เป็นมหันตโทษ ควรริบราชบาตรเป็นหลวง ถอดจากยศบรรดาศักดิ์ลงพระราชอาญา ๙๐ ที ประหารชีวิต แต่ทรงพระมหากรุณาอยู่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ริบราชบาตรสวิญญาณกทรัพย์อวิญญาณกทรัพย์เป็นของหลวง สำหรับจ่ายซ่อมแปลงพระอารามแลสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าทรงสร้างไว้ แลให้ยกโทษเฆี่ยน ๙๐ ประหารชีวิต ให้ออกจากยศบรรดาศักดิ์ลงเป็นหม่อม เอาท้ายชื่อคือเยาวลักษณ์อรรคราชสุดาออกเสีย เรียกแต่หม่อมยิ่งคำเดียว...” สรุปว่าเสด็จพระองค์หญิงถูกริบทรัพย์ ถอดออกจากเจ้าเป็นสามัญชน เรียกชื่อเพียงว่า "หม่อมยิ่ง" แต่ไม่ได้รับโทษเฆี่ยนและประหาร เพียงแต่ถูก "จำสนม" คือถูกขังไว้ในที่ใดที่หนึ่งในเขตพระราชฐานชั้นใน จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปีต่อมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 28 ก.ย. 20, 08:05
|
|
ในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ตรงกับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2429 เช่นกัน มีข้อความอีกตอนหนึ่งว่า "เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ เสด็จออกรับสั่งเรื่องหม่อมยิ่ง ซึ่งลูกขุนปรึกษาวางบทลงโทษ หม่อมยิ่ง อ้ายโต อีเผือก ผู้ล่วงพระราชอาญามีความผิดเป็นมหันตโทษ ให้ริบราชบาตรสวิญญาณกทรัพย์อวิญญาณกทรัพย์เป็นของหลวง ให้ลงพระอาญา ๓ ยก ๙๐ ที เอาตัวไปประหารชีวิตอย่าให้ผู้ใดดูเยี่ยงอย่างนั้น หม่อมยิ่งแลอีเผือกผู้ชักสื่อ ให้งดโทษประหารชีวิต นอกนั้นให้ทำตามลูกขุนปรับแล้วเสด็จขึ้น"
สรุปคืออีเผือกถูกเฆี่ยน 90 ทีแต่รอดตัวไม่ถูกประหาร แต่ถูกเฆี่ยนด้วยหวายขนาดนี้ ไม่ตายก็สาหัส อาจจะพิการไปตลอดชีวิตก็ได้ ถึงรอดตายมาได้ไม่พิการ อนาคตของอีเผือกก็มืดมนอยู่ดี ไม่มีใครกล้ารับไปเลี้ยงแน่นอน ส่วนอ้ายโตถูกประหาร ว่ากันว่าพูดจาโอหังมากจึงถูกตบปากด้วยกะลาทั้งขน ก่อนนำไปตัดศีรษะที่วัดพลับพลาไชย (ปัจจุบันคือบริเวณข้างธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาพลับพลาไชย)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 20 เมื่อ 28 ก.ย. 20, 15:22
|
|
ย้อนไปถึงรัชกาลก่อน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโหราศาสตร์ ทรงผูกดวงพระชะตาของพระราชโอรสธิดาไว้ทุกพระองค์เมื่อประสูติ แล้วพระราชทานพรให้คลาดแคล้วจากข้อเสียในดวงชะตา และเน้นข้อดีในชะตาเอาไว้ให้หนักแน่นยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ จึงทรงทำนายได้ว่าจะเกิดเหตุใดขึ้นกับเจ้านายเหล่านั้นในกาลภายหน้า
จึงมีพระราชกระแสกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งยังดำรงพระอิสริยยศเป็น กรมขุนพินิตประชานาถ ว่า "...ถ้าเจ้าได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ในกระบวนพี่น้องทั้งหมด จะมีพระองค์หญิงหนึ่งองค์ และพระองค์ชายอีกหนึ่งองค์ ทรงกระทำความผิดเป็นมหันตโทษ ขอให้ไว้ชีวิตพระองค์เจ้าพี่น้องทั้งสองพระองค์ด้วย..."
ในหนังสือกราบบังคมทูลเมื่อชำระความเสร็จแล้ว พิจารณาโทษว่าทั้งคู่ประพฤติการชั่วอย่างอุกฤษฏ์ เป็น "มหันตโทษ" ตามกฎมณเฑียรบาล จึงต้องรับโทษตามนี้ ๑. ให้ริบราชบาตรเป็นของหลวง ๒. ให้ถอดจากยศและบรรดาศักดิ์ ๓. ให้ลงพระราชอาญา ๙๐ ที (เฆี่ยน) แล้วประหารชีวิตเสีย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 21 เมื่อ 28 ก.ย. 20, 15:23
|
|
แต่พระราชกระแสในอดีตของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ช่วยชีวิตเสด็จพระองค์หญิงยิ่งเยาวลักษณ์ให้รอดมาได้ ดังที่จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ตรงกับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2429 บอกว่า “๔ ทุ่มเศษ เสด็จออกทรงสั่งเรื่องคลอดลูก ว่าด้วยพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ประพฤติการชั่วอย่างอุกฤษฎ์ อย่างนี้เป็นมหันตโทษ ควรริบราชบาตรเป็นหลวง ถอดจากยศบรรดาศักดิ์ลงพระราชอาญา ๙๐ ที ประหารชีวิต แต่ทรงพระมหากรุณาอยู่ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ริบราชบาตรสวิญญาณกทรัพย์อวิญญาณกทรัพย์เป็นของหลวง สำหรับจ่ายซ่อมแปลงพระอารามแลสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าทรงสร้างไว้ แลให้ยกโทษเฆี่ยน ๙๐ ประหารชีวิต ให้ออกจากยศบรรดาศักดิ์ลงเป็นหม่อม เอาท้ายชื่อคือเยาวลักษณ์อรรคราชสุดาออกเสีย เรียกแต่หม่อมยิ่งคำเดียว...” สรุปว่าเสด็จพระองค์หญิงถูกริบทรัพย์ ถอดออกจากเจ้าเป็นสามัญชน เรียกชื่อเพียงว่า "หม่อมยิ่ง" แต่ไม่ได้รับโทษเฆี่ยนและประหาร เพียงแต่ถูก "จำสนม" คือถูกขังไว้ในที่ใดที่หนึ่งในเขตพระราชฐานชั้นใน จนกระทั่งสิ้นพระชนม์ในปีต่อมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 22 เมื่อ 28 ก.ย. 20, 19:02
|
|
จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ลงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ จ.ศ. 1245 (พ.ศ. 2429) บันทึกถึงทารกไว้ว่า "เกิดเป็นที่เสื่อมเสียพระเกียรติยศ คือพระองค์เจ้ายิ่งเยาวลักษณ์ซึ่งเดิมว่าเป็นโรคท้องมานนั้น ปวดครรภ์แลคลอดออกมาเป็นลูกชาย ที่เรือนภายในพระบรมมหาราชวัง สมเด็จกรมพระภาณุพันธุ กรมหมื่นนเรศร กรมหมื่นอดิศร กรมหลวงเทวะวงศ์ ได้จัดการที่จะชำระพิจารณาที่ได้เกิดขึ้นต่อไป แต่ลูกนั้นเอาออกไปไว้วังกรมหมื่นอดิศรอุดมเดช" หลังจากนั้น ก็ไม่มีการกล่าวถึงทารกชายผู้นี้อีก ชะตากรรมของนายโตคือถูกประหาร ส่วนหม่อมยิ่งคือถูกถอดและจำสนม จนถึงแก่กรรมในเวลาอีกไม่นาน คือถ้าไม่ใช้ปี 2429 ที่เกิดเหตุ ก็ปีถัดมาคือ 2430 จากนั้นเรื่องของหม่อมยิ่งก็ถูกปิดสนิทจากปากของคนรอบด้าน แม้แต่พระนามก็กลายเป็นของต้องห้าม มิให้ใครเอ่ยถึงต่อมานับร้อยปี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 23 เมื่อ 28 ก.ย. 20, 19:03
|
|
หลังจากนั้นอีกหนึ่งร้อยกว่าปี เมื่อ พ.ศ. 2547 มีหนังสือชื่อ ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เขียนโดยคุณ เทพ สุนทรศารทูล เล่าไว้ตอนหนึ่งว่า “ทั้งพระองค์เจ้าหญิงยอดยิ่งเยาวลักษณ์อรรควรสุดา พระราชธิดาในรัชกาลที่ ๔ และนางเผือก นางข้าหลวงคนสนิทที่ชักนำมหาโตเข้าวัง มิได้ถูกประหารชีวิต มิได้ถูกเฆี่ยนหลัง ๙๐ ทีในคราวนั้น อาจเป็นไปได้ว่าเมื่อท่านถูกปลดลดยศลงเป็นหม่อมยอดแล้วท่านคงออกมาอยู่กับญาติของท่าน (ส่วนโอรสของท่าน)หลวงเทววงศ์วโรประการ(แสน) เจ้ากรมในกรมหลวงเทววงศ์วโรประการ รับเป็นบิดา เมื่อเติบโตจึงได้รับราชการเป็นนายพันตรี หลวงศักดาพลรักษ์(เสข) ตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลทหารบก ต่อมาได้รับพระราชทานนามสกุลในรัชกาลที่ ๖ ว่า"ธรรมสโรช" พ.ศ. ๒๔๕๗ อายุ ๔๘ ปี ต่อเมื่อพระศักดาพลรักษ์(เสข) ได้รับพระราชทานนามสกุลแล้ว ในวงญาติของพระสำราญหฤทัย(อ้าว) บิดาของเจ้าจอมมารดาแพ มารดาของพระองค์เจ้าหญิงยอดยิ่งเยาวลักษณ์อรรควรสุดา จึงใช้นามสกุลพระราชทานร่วมกันต่อมาทั้งตระกูล ตระกูลนี้จึงมีพระศักดาพลรักษ์(เสข) เป็นต้นตระกูล"
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 24 เมื่อ 29 ก.ย. 20, 07:23
|
|
หนังสือของคุณเทพ เม่ืออ่านแล้ว ดิฉันก็เกิดความสงสัยหลายข้อ จึงเรียบเรียงมาให้พิจารณากันตามนี้ ทีละข้อ 1 ทารกชายผู้นี้ แม้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเสด็จพระองค์หญิง แต่อย่าลืมว่าอีกครึ่งหนึ่งคือสายเลือดของนายโต ซึ่งถูกประหารในข้อหาล่วงละเมิดพระราชวงศ์ฝ่ายในอย่างรุนแรง ถ้าคุณหลวงเทววงศ์วโรประการ(เสนหรือพิมเสน) เจ้ากรมในกรมหลวงเทววงศ์วโรประการ (พระยศในขณะนั้น ต่อมาคือสมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ ต้นราชสกุล เทวกุล ) เกิดเมตตารับเป็นบุตรบุญธรรม ก็ต้องแน่ใจว่าเจ้านายของตนเห็นชอบ หรืออาจจะเป็นฝ่ายประทานเด็กมาให้เลี้ยงเสียด้วยซ้ำ ไม่งั้นคุณหลวงเทวะวงศฯ คงไม่เอาหน้าที่การงานมาเสี่ยงกับเรื่องราชภัยร้ายแรงอย่างยิ่งเรื่องนี้
อย่าลืมอีกข้อหนึ่งว่า เจ้านายพระองค์นี้เป็นหนึ่งในสี่พระองค์ที่ต้องทรงเหนื่อยยากจากความเสียหายที่เกิดขึ้น ทรงรู้เห็นรายละเอียด ทรงทราบความวุ่นวายที่เกิดในพระบรมวงศานุวงศ์ และทรงทราบดี่ว่าพระเจ้าอยู่หัวเสียพระราชหฤทัยขนาดไหน เป็นไปได้อย่างไรที่จะทรงสนับสนุนรับเด็กคนนี้มาให้ข้าราชบริพารของพระองค์เลี้ยงดูเป็นบุตรบุญธรรม ให้เติบโตขึ้นมามีการศึกษาดี มีเกียรติ มีบรรดาศักดิ์ โดยไม่นึกถึงที่มาของเด็ก และไม่นึกถึงพระเจ้าแผ่นดินและพระราชวงศ์ด้วยกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 25 เมื่อ 29 ก.ย. 20, 07:25
|
|
2 สังคมคนไทยในยุคนั้น และแม้แต่ในยุคนี้ นับการสืบสายเลือดทางบิดาเป็นหลัก ไม่ใช่ทางมารดา กฎหมายและประเพณีก็ถือหลักนี้เช่นกัน เห็นได้จากเด็กทั่วไปเกิดมาก็ใช้นามสกุลของบิดา ไม่ใช่มารดา เพิ่งมาเลือกได้เมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ดังนั้นทารกชายผู้นี้ สังคมสมัยนั้นจึงนับว่าเป็นลูกของนายโต ไม่ได้นับว่าเป็นพระโอรสเสด็จพระองค์หญิง 3 คุณเทพเล่าว่า เด็กคนนี้เติบโตขึ้นได้บรรดาศักดิ์เป็นพันตรีพระศักดาพลรักษ์ (เสข) ได้ทำเรื่องขอพระราชทานนามสกุลในรัชกาลที่ 6 แต่คุณเทพไม่ได้อ้างหลักฐานรายละเอียดในหนังสือกราบบังคมทูลขอพระราชทานนามสกุล
ข้อเท็จจริงคือหลวงศักดาพลรักษ์(ไม่ใช่พระศักดาพลรักษ์) ได้อธิบายละเอียดถึงเทือกเถาเหล่ากอของตน ว่าท่านเป็นบุตรของหลวงเทวะวงศวโรปการ (เสน หรือพิมเสน) อันเป็นบุตรของจมื่นสรสิทธิราช (จุ้ย) กับท่านไม้จีนบุตรของท่านคล้าย(ข้าหลวงเดิมในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ ๒) ส่วนทางมารดา พระศักดาฯระบุว่าท่านศิลาเป็นบุตรีของท่านทันและเป็นหลานตา ของพระยาอุทัยธรรม (นุด) ผู้เป็นบุตรของเจ้าฟ้าชายนเรนทรราชกุมารหรือพระนเรนทรราชา' (ต้นสกุลรุ่งไพโรจน์) ซึ่งเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๑๘ ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๓ ในกรมบริจาภกดีศรีสุดารักษ์ (เจ้าหญิงฉิม) ซึงเป็นพระราชธิดาของเจ้าพระยานครศรีธรรมราช
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30 ก.ย. 20, 11:10 โดย เทาชมพู »
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 27 เมื่อ 30 ก.ย. 20, 07:40
|
|
ขออนุญาตลบทิ้งข้อความของคุณเพ็ญชมพูนะคะ มันทำให้เรื่องที่ดิฉันค่อยๆลำดับความ เสียขั้นตอนหมดค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 28 เมื่อ 30 ก.ย. 20, 11:06
|
|
ถ้าหากว่าคุณหลวงศักดาฯเป็นบุตรบุญธรรมของหลวงเทวะวงศ และภรรยา ก็ไม่สามารถจะกราบบังคมทูลได้ว่าตนเองเป็นเชื้อสายของจมื่นสรสิทธิราชบิดาคุณหลวงเทวะวงศ และยิ่งไม่่่มีสิทธิ์เข้าไปใหญ่ที่จะอ้างบรรพชนทางสายคุณนายศิลา ภรรยาหลวงเทวะวงศ ที่สามารถสืบเชื้อสายย้อนขึ้นไปได้ถึงเจ้าฟ้านเรนทร พระราชโอรสสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 4 ถ้าหากว่าคุณเทพ ผู้เกิดทีหลังเรื่องนี้หลายสิบปียังสามารถสืบทราบได้ว่า หลวงเทวะวงศฯ รับบุตรของหม่อมยิ่งไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม เรื่องนี้ก็ย่อมไม่ใช่ความลับสำหรับคนสมัยรัชกาลที่ 5 ยิ่งคนในวังเทวะเวสม์ ตลอดจนญาติๆของคุณหลวงเทวะวงศฯ ก็ต้องรู้กันหมด พันตรีหลวงศักดาฯคงไม่สามารถอ้างได้ว่าตนเองเป็นเชื้อสายคุณหลวงเทวะวงศ์และภรรยา จนเขียนหนังสือกราบบังคมทูลแบบนี้ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33416
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 29 เมื่อ 30 ก.ย. 20, 11:08
|
|
ในเมื่อหลวงศักดาพลรักษ์ทำหนังสือกราบบังคมทูล โดยแจกแจงบรรพชนได้โดยละเอียดเช่นนี้ ก็หมายความได้อย่างเดียวว่า พันตรีหลวงศักดาพลรักษ์คือบุตรที่แท้จริงของหลวงเทวะวงศฯ และคุณนายศิลา จึงเขียนไปตามข้อเท็จจริงที่บิดามารดาเล่าให้ฟัง 5 หลักฐานสำคัญที่สุดที่แสดงว่า พันตรีหลวงศักดาพลรักษ์ หรือต่อมาเลื่อนขึ้นเป็นพลตรีพระยาวิบุลอายุรเวท มิใช่บุตรของหม่อมยิ่งและอ้ายโต ก็คือในหนังสืออนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ แสดงประวัติของท่านไว้ว่า พลตรีพระยาวิบุลอายุรเวช (เสข ธรรมสโรช)เกิดเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2426 ส่วนหม่อมยิ่งตั้งครรภ์เมื่อพ.ศ. 2429 สามปีหลังพระยาวิบุลฯ เกิด พูดอีกทีคือตอนบุตรชายหม่อมยิ่งคลอดออกมา หลวงศักดาพลรักษ์หรือพระยาวิบุลอายุรเวท อายุ 3 ขวบแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|