ในสมัยอยุธยา ทาสเป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศ ผู้ที่มียศถาบรรดาศักดิ์หรือผู้ที่มีความมั่งคั่งเท่านั้นจึงจะมีทาส ทาสมีหน้าที่รับใช้พวกเจ้านายภายในบ้าน และหน้าที่ในการผลิตซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทำงานในภาคเกษตรกรรม อีกทั้งยังมีบทบาทเป็นฐานอำนาจในแง่จำนวนของกำลังคนภายในรัฐ
สำหรับทาสเชลย อันเป็นทาสที่ถูกกวาดต้อนมายังอยุธยาในวาระต่างกัน มีปรากฏในพงศาวดารหลายฉบับ บางส่วนพระมหากษัตริย์เก็บไว้เป็นของส่วนพระองค์ บางส่วนแจกจ่ายเป็นรางวัลแก่ข้าราชการ หรือแม่ทัพนายกอง การจับคนมาเป็นทาสจงมีนัยยะสำคัญทางการเมืองและเศรษฐกิจ ในแง่นามธรรมหมายถึงเกียรติยศ ส่วนรูปธรรมเจ้าของทาสก็ได้แรงงานบริการรับใช้ และหน้าที่ในการผลิตด้านเกษตรกรรม
ในทางกฎหมายเจ้าของทาสต้องเลี้ยงดูทาส การทอดทิ้งทาสจะทำให้เจ้าทาสสิ้นสุดการเป็นเจ้าของในตัวของทาสนั้น นอกจากนี้ กฎหมายก็ยังให้เจ้าของทาสสามารถลงโทษทาสได้ แต่หากกระทำรุนแรงมากไป เจ้าของทาสต้องจ่ายค่าตัวทาส หรือหากทำให้ทาสเสียชีวิต เจ้าของทาสจะต้องรับโทษถึงชีวิต
กิจกรรมการขายตัวเป็นทาสในอยุธยาดูเหมือนว่าจะเป็นกิจกรรมที่แพร่หลาย ซึ่งเรื่องนี้พบในบันทึกของชาวต่างชาติ การแพร่หลายดังกล่าวทำให้รัฐต้องออกมาควบคุมโดยออกกฎหมายพระไอยการทาส มีรายละเอียดอันรอบคอบเพื่อคุ้มครองทาส และควบคุมเกี่ยวกับการซื้อขายทาส พันธะของทาส และบทลงโทษต่าง ๆ
ภาพชีวิตของทาสอยุธยาที่กล่าวมาอาจดูสวยหรู แต่ความเป็นจริงอาจไม่เป็นเช่นนั้น เพราะคงเป็นไปได้ยากที่ทาสจะไม่โดนกดขี่หรือถูกทำร้ายร่างกายเลย
บางคนตั้งข้อสังเกตว่าดูเหมือนว่าเสรีภาพจะเป็นสิ่งที่หน้าเจ็บปวดกว่าการเป็นทาสเสียอีก กล่าวคือ คนที่มีเสรีภาพคือคนที่ไม่ใช่ทาส คนที่ไม่ใช่ทาสส่วนใหญ่เป็นไพร่ “เสรีภาพ” เป็นสิ่งที่เจ็บปวดสำหรับคนที่มีเสรีภาพ เป็นเพราะไพร่ต้องถูกเกณฑ์แรงงาน หรือสิ่งชดเชยให้รัฐหรือกษัตริย์เป็นเวลา ๖ เดือน บันทึกของชาวต่างชาติที่กล่าวถึงทาสในทางบวก และกล่าวถึงไพร่ในทางลบและน่าสงสาร ด้วยระบบไพร่ หรือการเกณฑ์ที่ใช้ในสมัยอยุธยาต่อจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์คือระบบที่ทำให้เสรีภาพ เป็นสิ่งที่น่า “เจ็บปวด”
การเกณฑ์แรงงาน ๖ เดือนต่อปีย่อมส่งผลต่อการผลิต โดยเฉพาะในยุคนั้นที่เป็นเศรษฐกิจแบบยังชีพ ประชากรทำนาเป็นหลัก ยิ่งเมื่อถูกเกณฑ์ไปช่วงฤดูทำนาหรือเก็บเกี่ยวก็ยิ่งส่งผลต่อการผลิต ขณะที่การจ่ายเงินแทนเข้าเวรเกณฑ์แรงงาน ๑๒-๑๕ บาทต่อปี ก็ดูเหมือนเป็นทางเลือกหนึ่ง แต่หากพิจารณาอัตราค่าเงินในเวลานั้น เงิน ๑๒ บาทเป็นจำนวนที่คนหนึ่งใช้ดำรงชีพได้ตลอดปี
เงินที่จะจ่ายแทนการเข้าเวรเกณฑ์แรงงานจำนวน ๑๒-๑๕ บาทต่อปี จึงเป็นอัตราที่สูงมาก จนชาวไร่ชาวนาธรรมดาคงยากที่จะหามาจ่ายได้ ในขณะที่ไพร่ชายมีภาระดังกล่าวนี้ ทาสกลับได้รับการยกเว้นจากการเกณฑ์แรงงาน
นี่เอง "เสรีภาพ" จึงเป็นสิ่งที่ "เจ็บปวด" กว่าเก็บความจากบทความ “ทาสอยุธยาในประมวลกฎหมายรัชกาลที่ ๑" โดย ชาติชาย พณานานนท์ นิตยสารศิลปวัฒนธรรมปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๓๒
https://www.silpa-mag.com/history/article_46652