naitang
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 06 พ.ค. 20, 20:17
|
|
ในกระบวนการทำงานของผม จะใช้ภาพถ่ายทางอากาศมาตราส่วน 1:50,000 (ซึ่งปูพรมถ่ายครอบคลุมพื้นที่ในภูมิภาคบ้านเราเมื่อ คศ.1953 (พ.ศ.2496) เพื่อเอาไปทำเป็นแผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน 1:50,000 ที่เรายังใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีการปรับปรุงไปตามกาลเวลา เอาไปทำแผนที่ภูมิประเทศมาตราส่วน 1:250,000 เพื่อใช้ในการวางแผนต่างๆและใช้ในการบินในระยะต่ำ และเอาไปทำแผนที่มาตราส่วน 1:500,000 เพื่อใช้ในการบินในระยะสูง) เพื่อแปลความหมายชนิดหิน(บางชนิดที่ทำได้) แปลความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มหินต่างๆ เพื่อเอามายกร่างแผนที่ทางธรณีฯ วางแผนการเดินสำรวจต่างๆและการเอาชีวิตรอด เอาเป็นว่า ได้เห็นภาพแบบ 3 มิติในแง่มุมต่างๆ
ประเด็นก็คือว่า สภาพป่าในภาพถ่ายทางอากาศเมื่อครั้งแรกถ่าย เมื่อเปรียบเทียบกับที่ผมได้เดินสำรวจอยู่ในพื้นที่และได้เห็นจริงกับตา เกือบจะไม่มีความแตกต่างกันเลย ทำให้พอประมวลได้ว่าภาพป่าที่พนมเทียนเห็นเมื่อครั้งยังเดินป่าอยู่นั้นเกือบจะไม่แตกต่างไปจากที่ผมได้เห็นและได้สัมผัสเลย รวมทั้งในเชิงของสัตว์ป่าด้วย
ผมอ่านเพชรพระอุมาแบบกระท่อนกระแท่น แต่ในบางพื้นที่ บางครั้งก็ทำให้เกิดจินตนาการไปในทำนองเดียวกันกับคำบรรยายในนวนิยาย
แล้วค่อยว่ากันต่อไปครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ninpaat
|
ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อ 07 พ.ค. 20, 07:21
|
|
เข้ามาติดตามท่านอาจารย์ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อ 07 พ.ค. 20, 19:09
|
|
ในช่วงทศวรรษแรกของ พ.ศ.2500 นั้น ได้มีหลายสิ่งหลายอย่างในทางเศรษกิจและสังคมเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ทั้งในรูปที่เป็นของอะไรใหม่ๆและที่เป็นพัฒนาการต่างๆ ซึ่งจะขอหยิบมาเพียง 2 เรื่องที่เกี่ยวข้อง เรื่องแรกคือ การขยายตัวในด้านของการนำทรัพยากรธรรมชาติออกมาใช้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเหมืองแร่ ป่าไม้ และพลังงาน อีกเรื่องหนึ่งก็คือ การเพิ่มการเชื่อมต่อด้านการสื่อสารและการคมนาคมกับชนบทห่างไกล
ประเด็นจาก 2 เรื่องที่ได้กล่าวถึงนี้ เฉพาะในที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะขยายความก็คือ ก็คือ เส้นทางเข้าป่าและชุมชนในพื้นที่ทุรกันดารหลายเส้นทางได้ถูกเปิดขึ้น โดยเฉพาะเส้นทางที่พุ่งไปทางทิศตะวันตกสู่ป่าเขาและชายแดน อีกเรื่องหนึ่งคือ การค้าขายนำเข้า-ส่งออกมีการขยายตัว ทำให้มีสินค้าใหม่ๆเข้ามามากขึ้นสำหรับกลุ่มคนที่มีความสนใจเฉพาะทาง
ซึ่งนักนิยมไพรก็มีสองเรื่องที่ชอบและทำกัน คือ ซื้อหรือสะสมปืนรุ่นใหม่ๆ และการออกไปเข้าป่าผจญกับความยากลำบากและลองยิงทดสอบปืนที่ได้มาใหม่ ซึ่งการจะกระทำเช่นนี้ได้ก็จะต้องเป็นกลุ่มคนที่มีรายได้ค่อนข้างดี จะต้องไปเป็นคณะ ด้วยที่ค่าใช้จ่ายในการเดินทางค่อนข้างจะสูงมาก นอกจากนั้นแล้วก็จะต้องนัดกันในช่วงที่มีวันหยุดหรือตนเองสามารถหยุดงานได้ประมาณสัปดาห์หนึ่ง
ด้วยสภาพดังกล่าวนี้ พื้นที่ป่าที่จะไปเข้ากัน ก็ควรจะต้องไม่ไกลจากกรุงเทพฯ การเดินทางก็ไม่ควรจะต้องมีการค้างแรมในเมืองก่อนที่จะเข้าถึงชายป่า มิฉะนั้นก็อาจจะมีปัญหาในเรื่องของการขนพาอาวุธและเครื้องกระสุนต่างๆ ผืนป่าที่มีน้ำ มีสัตว์ และห่างไกลจากชุมชน ที่จะเข้าถึงได้ตามข้อจำกัดดังกล่าวก็เลยดูจะมีอยู่ไม่กี่พื้นที่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อ 08 พ.ค. 20, 18:43
|
|
ก็จะมีป่าที่เป็นไปได้ ผนวกกับข้อมูลที่พอจะมีของผมที่ได้จากการบอกเล่าและการสอบถามชาวบ้านที่เราจ้างทำงานนำทางและแบกหาม ซึ่งเราไม่ทราบว่าคณะบุคคลเหล่านั้นใครเป็นใครนะครับ เป็นเพียงแต่รู้ข้อมูลและใช้การประเมินเอาจากองค์ประกอบต่างๆเช่น จำนวนคน รถที่ใช้ ปืนที่พกพากันมา ลักษณะของบุคคลและลักษณะทางกายภาพของเขา อุปกรณ์ครื่องใช้ต่างๆ ฯลฯ อีกส่วนหนึ่งก็ได้จากการได้พบคณะบุคคลเหล่านั้นในพื้นที่จริงๆ
ผืนป่าที่ดูจะเป็นที่สนใจของนักนิยมไพรในสมัยนั้นก็ดูจะมี ป่าดงพญาเย็น-เขาใหญ่, ป่าแม่วงก์ จ.กำแพงเพชร, ป่าทับเสลา-ซับฟ้าผ่า จ.อุทัยธานี, ป่าห้วยขาแข้งตอนบน (เข้าทางห้วยทับเสลาและ อ.บ้านไร่), ป่าเขาอึมครึม-เขาโจด-ห้วยแม่พลู (เข้าทาง อ.หนองปรือ หรือ บ.หนองรี จ.กาญจนบุรี), ป่าทุ่งนานางหรอก-สลักพระ และพื้นที่ชายเขาฝั่งตะวันตกของลำตะเพิน ช่วง อ.หนองปรือ ถึง บ.ลาดหญ้า จ.กาญจนบุรี), ป่าศรีสวัสดิ์ (อ.ศรีสวัสดิ์และ อ.ทองผาภูมิ) ตามเส้นทางเข้าสู่แหล่งแร่ตะกั่ว หนันยะ บ่อน้อย เนินสวรรค์ สองท่อ ทุ่งนางครวญ ลำเขางู บ่อใหญ่), ป่าบ้องตี้ล่าง ใช้เส้นทางข้ามแควน้อยที่แก่งระเบิดเข้าเหมืองเต่าดำ, ป่าโป่งกระทิง-สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ใช้เส้นทางเข้าเหมืองตะโกปิดทองและเจิงเจ้ย, ป่าหนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี
ในความเห็นของผมนะครับ ผืนป่าหลักที่เป็น governing image สำหรับ content ของนวนิยายนั้น ดูจะอยู่ในพื้นที่ของป่าศรีสวัสดิ์เสียเป็นส่วนใหญ่
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อ 08 พ.ค. 20, 20:25
|
|
ในช่วงทศวรรษ พ.ศ.2500+นั้น วงการปืนมีการนำเข้าปืนรุ่นต่างๆหลายๆขนากและหลายยี่ห้อ ถนนอุณากรรณซึ่งอยู่ด้านหลังของวังบูรพานั้นเป็นแหล่งค้าขายปืนที่สำคัญ ก็จะขอรวบรัดเอาว่าผมมีความสนใจและรู้จักปืนต่างๆอยู่พอสมควร (ในด้านรู้น้อย) เอาเป็นว่า ในช่วงสองทศวรรษต่อมานั้น ปืนที่ขายดีเป็นที่ต้องการของชาวบ้านก็คือ ปืนลูกซองเดี่ยว และเป็นแบบ full choke ส่วนนักนิยมไพรและนักสะสมก็จะเลือกซื้อปืนลูกซองแบบแฝดคู่ขนาน แถมยังเลือกผู้ผลิตปืนและผู้ผลิตลูกกระสุนอีกด้วย ปืนลูกซองนี้ใช้เป็นปืนหากินและป้องกันตัว ใช้ยิงไก่ป่า เก้ง กวาง งู ฯลฯ สำหรับปืนลูกเดี่ยวของนักนิยมไพรที่จะเลือกใช้ก็จะมีที่ใช้กระสุนขนาด 30-06 springfield ขนาดพอคว่ำช้างได้ แต่ก็ยังอยากได้ขนาดใหญ่กว่านั้นอีกเป็นขนาด .375 magnum ประเภทนัดเดียว ช้างหรือกระทิงอยู่หมัดเลย ทั้งสองขนาดนี้เลือกไว้ใช้เป็นปืนป้องกันตัว ปืนอีกขนาดก็คือลูกกรดเอาไว้ใช้หากิน ใช้ยิงนก กระรอก ฯลฯ นอกจากปืนยาวก็คือปืนพก ที่พยายามหันไปหาปืนขนาดเล็กกว่า .45 ของทหารที่ใช้ในสงครามโลก และเปลี่ยนจากแบบกึ่งออโตเมติกเป็นแบบลูกโม่ ขยายความเรื่องปืนมาเพียงเพื่อจะกล่าวว่า หากไม่เข้าป่าแล้วจะมีที่ใหนที่จะสามารถทดสอบการยิงปืนยาวได้ สนามยิงปืนสั้นในยุคนั้นมีอยู่แล้วที่เรียกว่าสนามยิงปืนของ รด. ซึ่งอยูในพื้นที่ของวังสราญรมบ์ ก็เลยกล้อมแกล้มเอาว่า ก็จะต้องไปหาที่ทดสอบการยิงและการใช้ปืนกับเครื่องกระสุนที่ออกแบบมาให้มีความเหมาะสมในการใช้งานที่มีความแตกต่างกัน พื้นที่ป่าที่จะใช้ในการทดสอบเรื่องเกี่ยวกับปืนจึงไม่น่าจะไกลนักจาก กทม. แล้วค่อยว่ากันต่อไปในเรื่อง governing image ว่าแล้วก็ชักจะเสียวใส้ว่าจะถูกยำจนเละเสียก่อน 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อ 09 พ.ค. 20, 18:32
|
|
ไปเจอวิกิ รวบรวมปืนชนิดต่างๆในเพชรพระอุมาค่ะ เลยนำมาลงให้คุณตั้งและท่านอื่นๆได้อ่านกัน
ขอบคุณมากครับ เป็นข้อมูลที่น่าสนใจ ทำให้ได้เห็นภาพอะไรหลายอย่างมากขึ้นครับ ปืนยาวขนาด .375 นั้น ผมเคยเอาปืนของพ่อเข้าป่าและเคยยิงเป้าเล่นโดยใช้กระสุนเก่าเก็บ ในครั้งกระนั้นเป็นการเดินสำรวจเส้นทางผ่านป่าลึก โดยเดินตัดป่าจากห้วยขาแข้งไปทางทิศตะวันตกเข้าหาแม่น้ำแควใหญ่ในพื้นที่เหนือจากปากลำขาแข้งขึ้นไป ในพื้นที่ย่านนั้นมีช้างป่าและหมีควายอยู่มากมาย ซึ่งเป็นสัตว์ป่าประเภท charge คนได้ ก็เลยเอาปืนขนาดใหญ่หน่อยไปด้วยเพื่อป้องกันตัว ทำให้มีความรู้สึกปลอดภัยและมีความมั่นใจมากขึ้น ปืนยาวขนาด .375 Magnum นั้น มีขนาดค่อนข้างใหญ่และน้ำหนักค่อนข้างมาก ไม่เหมาะที่จะใช้พกพาเข้าป่าด้วยการสะพายหรือแบกเมื่อเป็นการการเดินป่าแบบยาวต่อเนื่อง ไม่เหมาะที่จะใช้ในลักษณะของการตั้งรับ(ด้วยความเทอะทะของมัน) แต่เหมาะที่จะใช้ในลักษณะของการเฝ้าและซุ่มยิงในเวลากลางวัน ในระยะไกล และในพื้นที่โล่ง เพราะจะต้องประทับให้แน่นให้ดีๆมิฉะนั้นจะถูกพานท้ายตบแก้มและปืนหลุดมือ ด้วยที่แรงถึบของมันสูงมาก ปืนขนาดนี้จึงไม่เหมาะที่จะใช้ในการนั่งห้างและส่องสัตว์ อาจทำให้พลัดตกจากห้างส่องสัตว์หรือห้างพังก็ได้ แรงถีบจะมากมายเพียงได ? ก็ขนาดตัวผมน้ำหนักใกล้ 70 กก. ประทับใหล่ยืนยิงยังต้องถอยหลังเป็นก้าว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อ 09 พ.ค. 20, 19:06
|
|
ปืนยาวขนาด .30-06 นั้น เป็นปืนลูกเดี่ยวอเนกประสงค์จริงๆ ถูกต้องแล้วที่พนมเทียนจัดให้เป็นปืนประจำตัวของรพินทร์ ไพรวัลย์ ปืนนี้มีน้ำหนักไม่มาก กระสุนหาได้ง่ายเพราะว่าใช้ขนาดและชนิดเดียวเดียวกันกับปืนของทางราชการทหารที่นักศึกษาวิชาทหารใช้ในการฝึก (ปลยบ. 88) ใช้ยิงได้ทั้งระยะใกล้และไกล แรงปะทะดีพอได้กับสัตว์ขนาดใหญ่ หัวกระสุนทะลุเป้า ไม่ตีแกว่งจนเป้าเละ จึงใช้ได้ในทั้งสถานการณ์ไล่ล่าหากินหรือตั้งรับ และใช้ได้กับสัตว์หลายขนาดตั้งแต่นกจนถึงช้าง ก็เป็นปืนที่ผมพกพาเข้าป่าใหญ่ตลอด ซึ่งก็จะแบกสะพายเองเมื่อต้องเดินสำรวจแยกเดี่ยว(นำหน้าหรือรั้งท้ายในพื้นที่ๆมีช้างป่า) เสียอย่างเดียวที่มันเป็นปืนลูกเดี่ยวเลยใช้ป้องกันอย่างอื่นได้ยากหน่อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อ 09 พ.ค. 20, 19:11
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อ 09 พ.ค. 20, 20:05
|
|
สำหรับปืนลูกซองนั้น คงจะไม่ไปกล่าวถึง เรื่องของมันมีค่อนข้างจะมาก มันเป็นปืนอเนกประสงค์ที่ดีมากๆสำหรับชาวบ้านและคนทั่วๆไป มันครอบคลุมการใช้งานทั้งในเชิงตั้งรับ ขับไล่ และในเชิงรุก ส่วนปืนยาวลูกเดี่ยวขนาดอื่นๆนั้น ดูจะนิยมใช้กันในต่างประเทศและในซาฟารี จัดเป็นพวก Collection ของนักสะสมปืนและนักท่องไพรซาฟารี
ที่ดูจะแปลกใจอยู่นิดนึงก็คือ ปืนสั้นขนาด .44 Magnum, .45 Long Colt, และ .357 Magnum ซึ่งทั้งหมดจะเป็นปืนแบบลูกโม่ 6 นัด ขนาด .357นั้น เป็นแบบ double action มีการใช้โดยทั่วๆไป แต่ขนาด .44 Magnum และ .45 Long Colt ที่กล่าวถึงนั้น เป็นปืนพกพวก single action เป็นปืนแบบคาวบอย ดูจะไม่เหมาะเลยที่จะใช้พกพาเป็นปืนประจำตัวเข้าป่าดง มือมีเหงื่อชื้นๆที่มือก็ทำให้จับด้ามปืนลื่น ยิงแล้วปืนอาจจะสะบัดหลุดออกจากมือหรือทำให้ง่ามมือฉีกได้ง่ายๆ การคัดปลอกกระสุนก็ไม่รวดเร็ว
ก็ว่าไปตามความเห็นส่วนตัวนะครับ มิได้มีวัตถุประสงค์จะลบหลู่ด้วยประการใดๆทั้งสิ้น นวนิยายก็คือนวนิยาย ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อ 10 พ.ค. 20, 19:19
|
|
กลับไปเรื่องของผืนป่าอีกเล็กน้อยครับ พนมเทียนเป็นคนใต้ ซี่งเมื่อยิ่งชอบเข้าป่าดงด้วย ก็จึงได้สัมผัสกับป่าดิบชื้นมากมายในพื้นที่ภาคใต้ที่รองรับด้วยดินอันอุมดมสมบูรณ์จากการผุพังย่อยสลายของหินปูน ซึ่งทำให้ได้ผืนป่าที่เขียวชอุ่มและทึบแน่นไปด้วยไม้ทั้งประเภทเรือนยอดสูง กลาง และไม้คลุมดิน
ผืนป่าในพื้นที่ๆกล่าวถึงทั้งในฝั่งตะวันตกของภาคกลางและในพื้นที่ภาคใต้นี้ ล้วนแต่มีเอกลักษณ์ของตนบางประการ ทั้งในเชิงของ landscape, vitality, legend, reaching และ adventure challenge ผมก็เลยมีความเห็นว่า ลักษณะจำเพาะของผืนป่าแต่ละป่าจึงน่าจะถูกนำมาใช้เป็นแรงดลใจในการเขียนเรื่องของแต่ละตอนหรือแต่ละช่วงของเหตุการณ์ของเรื่องราวในนวนิยายของพนมเทียนนี้
สภาพป่าเหล่านี้ในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว บ้างก็กลายเป็นชุมชน บ้างก็กลายเป็นไร่เป็นสวน บ้างก็ได้กลายเป็นอุทธยาน กลายเป็นวนอุทธยาน หรือเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าก็มี การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่เกิดขึ้นในผืนป่าเหล่านี้ดูจะเริ่มต้นเมื่อประมาณปี 2514 เมื่อได้เกิดการขัดแย้งและต่อสู้ทางอุดมการณ์ทางการเมือง ทำให้นักนิยมไพรต้องหยุดกิจกรรม เลิกราไป และไม่ย่างกายเข้าป่าในเกือบจะทุกพื้นที่ (โดยเฉพาะในด้านตะวันตกของภาคกลาง) คงเหลือแต่ข้าราชการกลุ่มเดียวที่เป็นนักสำรวจเช่นพวกอาชีพผมที่ยังคงเดินทำงานอยู่ในป่าดงพงไพร กลุ่มหนึ่งเป็นพวกที่สำรวจหาและเจาะน้ำบาดาลช่วยแก้ไขการขาดแคลนน้ำและช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของชาวบ้านให้รอดพ้นจากความลำบากยากเข็น อีกลุ่มหนึ่งก็พวกสำรวจทำแผนที่ทางธรณีฯและทรัพยากร เพื่อนำไปสู่การค้นพบแหล่งทรัพยากรเพื่อความมั่นคงของประเทศทั้งแหล่งแร่และปิโตรเลียม และเป็นสายใยเชื่อมต่อความอาทรระหว่างรัฐและชาวบ้านในพื้นที่ห่างไกล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33477
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อ 10 พ.ค. 20, 19:44
|
|
เคยไปอุทัยธานีนานมาแล้ว ผ่านต.พุเตยด้วยค่ะ ยังนึกถึงกะเหรี่ยงพุเตยในเพชรพระอุมาอยู่เลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อ 10 พ.ค. 20, 20:21
|
|
สรุปความ
คิดว่าหลายท่านได้เคยอ่านเรื่องเพชรพระอุมา หลายท่านอาจจะกำลังเริ่มต้นอ่าน หลายท่านได้อ่านแบบกระท่อนกระแท่น เอาเป็นว่า หากท่านทั้งหลายได้มีโอกาสไปท่องเที่ยวในพื้นที่ป่าที่เป็นอุทธยานแห่งชาติต่างๆในพื้นที่ๆผมได้กล่าวครอบคลุมถึง รวมทั้งหมู่บ้านหรือชุมชนที่อยู่ใกล้หรืออยู่ชายขอบอุทธยานเหล่านั้น ก็อยากจะให้ลองนึกถึงความเป็นป่าของพื้นที่เหล่านั้นเมื่อสมัยทศวรรษ 2500 +/- ดูทิวทัศน์ไกลๆ ดูไปให้รอบๆ คุยกับชาวบ้านดั้งเดิมถึงประวัติความเป็นมาของหมู่บ้าน เรื่องเล่า นิยายที่เกี่ยวข้องและความเชื่อมโยงกับ geomorphology ต่างๆที่ปรากฎอยู่ในพื้นที่ บวกกับจินตนาการเข้าไปอีกหน่อย ก็อาจจะทำให้เห็นภาพมโนของเรื่องราวของนวนิยาย ซึ่งอาจจะทำให้เห็นความลึกซึ้งในกระบวนถ้อยความคำบรรยายต่างๆ และ in ไปกับเรื่องราว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 43 เมื่อ 11 พ.ค. 20, 18:23
|
|
เคยไปอุทัยธานีนานมาแล้ว ผ่านต.พุเตยด้วยค่ะ ยังนึกถึงกะเหรี่ยงพุเตยในเพชรพระอุมาอยู่เลย
พุเตย เป็นชื่อเรียกสถานที่ๆค่อนข้างจะใช้กันมาก ปรากฎอยู่ในหลายๆพื้นที่ ลักษณะประจำตัวของชื่อนี้คือเป็นสถานที่ๆมีน้ำผุดออกมาจากใต้ดินกลายเป็นแอ่งน้ำขังขนาดไม่ใหญ่นัก จะมีเนินหรือโหนกหินปูนโผล่ให้เห็นอยู่ใกล้ๆและมีต้นเตยป่าขึ้นอยู่ แต่หากมีน้ำไม่มาก มีแต่เพียงทำให้พื้นดินฉ่ำแฉะก็จะไปใช้คำว่า ซับ ซึ่งลักษณะประจำตัวของซับต่างๆก็คือ จะมีพวกพืชมีหัวปกคลุมอยู่ค่อนข้างแน่น (พวกต้นบอนและอื่นๆที่มีลักษณะคล้ายกัน) ก็มีข้อสังเกตอยู่หน่อยนึงว่า พุ มักจะอยู่ในพื้นที่ป่าเขา ส่วน ซับ มักจะอยู่ในพื้นที่ราบลอนคลื่น เมื่อป่าไม้ถูกทำลายไปมากเข้า ผืนดินแห้ง ระดับน้ำผิวดินลดระดับลงไปอยู่ลึกมากขึ้น น้ำที่จะเข้ามาหล่อเลี้ยงความเป็น พุ และ ซับ ก็หายไป หายไปพร้อมๆกับการขยายตัวของชุมชนที่เข้ามาทำกินในพื้นที่ๆเหล่านี้เมื่อครั้งยังมีความชุ่มชื้น ก็เลยตั้งชื่อกันใหม่ด้วยความไม่เข้าใจในธรรมชาติ เปลี่ยนจาก พุ ไปเป็น ภู ที่ให้ความหมายที่ไม่ตรงกับสภาพทางภูมิประเทศหรือภูมืสัณฐาณอันเป็นธรรมชาติดั้งเดิมของเขา ภู หลายๆแห่งในภาคเหนือที่มีการตั้งชื่อกันอย่างเพราะพริ้งก็เช่นกัน จาก พุ เป็น ภู จาก ดอย ก็เป็น ภู และจาก ม่อน ก็เป็น ภู เช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อ 11 พ.ค. 20, 18:59
|
|
นึกถึงอีก 2 คำ คือคำว่า หนอง กับ บึง หนอง เป็นคำที่ใช้กันในภาษาไทย-ลาว มีลักษณะเป็นแอ่งน้ำตลอดปีที่พบได้ในทุกระดับความสูง ก็คือ sink hole (หลุมยุบ) ส่วนมากจะเกิดจากยุบตัวของโพรงหินใต้ดิน บึง เป็นคำที่ใช้ในพื้นที่ๆเป็นแอ่งน้ำขังในพื้นที่ราบ ก็ยังมีอึกคำหนึ่งที่เป็นคำเก่าแก่แต่โบราณที่ใช้ก้นเฉพาะในคนในพื้นที่ลุ่มภาคกลาง คือคำว่า ตะลุก ก็คือแอ่งน้าที่เกิดมาจากการขังตกค้างอยู่ในส่วนที่คดเคี้ยวของลำน้ำสายใหญ่
แล้วก็นึกเลยเถิดไปถึงคำว่า หนาน กับ ทิด หนาน เป็นภาษาไทย-ลาวที่ใช้เรียกคนที่ผ่านการบวชเรียนมาแล้ว ทิด เป็นภาษาไทยภาคกลางที่เรียกคนที่บวชเรียนมาแล้วเช่นกัน
แล้วใง ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|