รพินทร์ ไพรวัลย์ คือ พนมเทียนฉัตรชัยหรือพนมเทียนนิยมการท่องเที่ยวผจญภัยในป่าตั้งแต่เด็กและมีความเชี่ยวชาญเรื่องปืนอย่างมากเช่นเดียวกับพรานรพินทร์ ตัวละครเอกของเขา ฉัตรชัยยังเป็นคอลัมนิสต์ให้นิตยสารเกี่ยวกับอาวุธปืนและเขียนตำราเรื่องปืนโดยใช้ชื่อและนามสกุลจริง
ถึงแม้จะเป็นพรานที่เก่งกาจ แต่จุดอ่อนของรพินทร์คือโรคไข้จับสั่นหรือมาลาเรีย เมื่อใดที่อาการกำเริบ เมื่อนั้นรพินทร์หมดสภาพที่จะปกป้องใครได้ และในภาค ๒ ของ เพชรพระอุมา เขามีอาการโรคหัวใจเข้ามาแทรกซ้อนอีกซึ่งทั้ง ๒ โรคและอาการที่รพินทร์เป็นในเรื่องล้วนเป็นโรคที่ฉัตรชัยเผชิญในชีวิตจริง ถึงแม้ผู้เขียนจะหายจากโรคมาลาเรียซึ่งทำให้เขาเกือบตายในป่าหลายครั้งแต่โรคหัวใจต้องรักษาจนวาระสุดท้ายของชีวิต และเพราะโรคหัวใจนี่เองทำให้ฉัตรชัยเลิกการล่าสัตว์อย่างเด็ดขาดด้วยตระหนักถึงเรื่องบาปบุญคุณโทษและกฎแห่งกรรม
หมู่บ้านหนองน้ำแห้ง ที่รพินทร์ ไพรวัลย์ บุกเบิกและสร้างปางพักมีจริงหรือไม่ฉัตรชัยเคยกล่าวไว้ว่า หมู่บ้านหนองน้ำแห้งมีอยู่จริง แต่ชื่อจริง ๆ คือ “หมู่บ้านหนองแห้ง” และเขาเติมคำว่า “น้ำ” ลงไปในนวนิยาย หมู่บ้านหนองแห้งเป็นหมู่บ้านกลางป่าลึกในจังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งเป็นที่อยู่ของพรานใหญ่พื้นเมืองนาม “หนานไพร” และฉัตรชัยก็ได้นำชื่อครูพรานคนนี้ซึ่งมีตัวตนอยู่จริงมาใส่ในนิยายให้เป็นครูพรานของรพินทร์ ตัวเอกของเรื่อง
ที่มาของชื่อ รพินทร์ ไพรวัลย์ฉัตรชัยต้องการชื่อตัวเอกที่ฟังแล้วไม่เหี้ยมหาญดุดันเกินไป แถมยังต้องแฝงความอ่อนโยน ซึ่งค่อนข้างขัดกับบุคลิกภายนอกที่ห้าวหาญ และเฉียบขาด ดังนั้นชื่อของท่าน รพินทรนาถ ฐากูร นักปราชญ์ชาวอินเดีย จึงเป็นชื่อที่เขาคิดว่าอ่อนโยนเสนาะหู จึงนำคำว่า รพินทร์ (มาจาก ระพี แปลว่า พระอาทิตย์) มาเป็นชื่อตัวเอก เพราะชื่อเมื่อออกเสียงไม่แข็งกร้าว ทั้งความหมายยังแฝงด้วยความแข็งแกร่ง ส่วนนามสกุล ไพรวัลย์ เพื่อสื่อให้เห็นถึงอาชีพพรานและป่าดงพงไพรซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการผจญภัยครั้งนี้
ลายแทงขุมทรัพย์ เพชรพระอุมา มีที่มาอย่างไรในเรื่อง เพชรพระอุมา ฉัตรชัยเขียนถึงลายแทงขุมสมบัติที่ มังมหานรธา แม่ทัพพม่าเมื่อ ๔๐๐ กว่าปีเขียนไว้และได้ตกไปอยู่ในมือของ รพินทร์ ไพรวัลย์ และ รพินทร์ ก็ได้ใช้ลายแทงนี้เป็นเครื่องมือนำทางรับจ้างคณะของ ม.ร.ว. เชษฐา และ ม.ร.ว ดาริน วราฤทธิ์ ในการออกติดตามหา ม.ร.ว.อนุชา (พรานชด ประชากร) ที่หายสาบสูญ โดยกำหนดให้เนินพระจันทร์เป็นตำแหน่งสุดท้ายที่จะนำไปสู่เทือกเขาพระศิวะซึ่งเป็นที่เก็บสมบัติ
การจะเข้าถึงตำแหน่งตามลายแทงกำหนดว่าต้องรอให้ถึงเวลาขึ้น ๕ ค่ำ เดือน ๑๒ และจะต้องเห็น “ปิ่นพระศิวะฉายแสงเรืองรองขึ้น” อันจะทำให้เกิดปรากฎการณ์สะท้อนให้เห็นเต้าพระถันทั้งสองข้างของพระอุมาเทวี และหากไต่เขาไปตามร่องถันโดยแยกไปทางถันซีกซ้ายจะทำให้บรรลุถึงถนนของพระศิวะนำไปสู่มหาปราสาทของพระอุมาเทวีที่เก็บ
ถึงแม้ฉัตรชัยไม่ได้กล่าวถึงแรงบันดาลใจเรื่องดินแดนลี้ลับมรกตนคร แต่ในนิตยสารสารคดี ฉบับเดือนธันวาคม ๒๕๔๗ ในบทความเรื่อง “ตามรอยลายแทงเพชรพระอุมา เพมาโค ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งทิเบต” โดย สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ ได้เขียนถึงเพมาโค (แปลว่า สถานที่แห่งดอกบัว หรือ สถานที่แห่งพุทธะ) ที่ล้อมรอบด้วยเทือกเขาหิมะสลับซับซ้อนและหุบเขาแม่น้ำแซงโป ซึ่งตามลายแทงมองเห็นเป็นร่างของนางวัชรโยคีนี (พระแม่เจ้าสามตาแห่งปัญญาของพุทธนิกายวัชรยานของทิเบต หรือ พระแม่อุมาของศาสนาฮินดู) ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับลายแทงมรกตนครในเรื่อง เพชรพระอุมา
ตำนานเพมาโคเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ชนชาวทิเบต ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๓-๑๔ ว่ากันว่าโยคีสายตันตระผู้บรรลุธรรมจากแคว้นสวัสดิ์ หรือ ปากีสถาน ในปัจจุบัน เป็นพระพุทธเจ้าที่รู้จักกันในนาม ปัทมาสัมภาวะ ได้เดินทางไปทั่วทิเบตและค้นพบหุบเขาศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากเหมาะแก่การลี้ภัยและปฏิบัติธรรมเรียกว่า เบยุล หรือ แดนลับแล พร้อมกับเขียนลายแทงกำกับไว้ก่อนนำไปซ่อน จนในพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ริคซิน โกเดม ได้ค้นพบลายแทงส่วนหนึ่งในถ้ำ
ลายแทงจะระบุทางเข้าแดนลับแลจากทั้ง ๔ ทิศ โดยกำหนดเวลาตายตัวที่จะทางเข้าจะเปิดได้ และบอกสัญญาณไว้ให้สังเกต จึงยังมีแดนลับแลอยู่อีกในทิเบตที่ยังไม่ถึงเวลาเปิด สำหรับลายแทงสู่เพมาโคนั้นว่ากันว่าถูกค้นพบโดย ดอเจทองเม ผู้เปิดหุบเขานี้ในพุทธศตวรรษที่ ๒๓ และเฮียน เบเกอร์ นักสำรวจชาวอเมริกัน ได้รับลายแทงจากลามะองค์หนึ่งและได้เริ่มสำรวจกับ ฮามิด ซัดดาร์ เพื่อนชาวอิหร่าน เพมาโคนอกจากจะเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในเทือกเขาหิมาลัยที่นักแสวงบุญปรารถนาไปเยือน สำหรับนักภูมิศาสตร์แล้วสถานที่ลี้ลับนี้ยังเป็นแหล่งรวมพันธุ์ไม้
https://www.sarakadeelite.com/lite/phet-pra-uma-thai-novel/