เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33414
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 45 เมื่อ 28 เม.ย. 20, 10:05
|
|
รมจักรนัคเรศวิเสาทเจ๊ก ต้มตับเหล็กเกาเหลาเหล้าอาหนี
ข้างบนนี้คืออาหารจีนระดับไฮโซในสมัยรัชกาลที่ 3 ในยุคที่อาหารฝรั่งยังไม่เข้ามาในเมืองหลวง ในเรื่องตอนนี้คือเมืองรมจักรก็เกณฑ์เชฟระดับหัวแถวของเมือง คือเชฟชาวจีนมาทำอาหารขึ้นโต๊ะ ชุดแรกในวรรคนี้คือ ต้มตับเหล็ก ตับเหล็กเข้ามาอยู่ในเมนูอาหารอร่อยตั้งแต่ต้นรัตนโกสินทร์ มีอยู่ในกาพย์เห่เรือพระราชนิพนธ์ชมเครื่องคาวหวาน ตอนหนึ่งว่า ตับเหล็กลวกหล่อนต้ม เจือน้ำส้มโรยพริกไทย โอชาจะหาไหน ไม่มีเทียบเปรียบมือนาง.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อ 28 เม.ย. 20, 12:29
|
|
รมจักรนัคเรศวิเสาทเจ๊ก ต้มตับเหล็กเกาเหลาเหล้าอาหนี ตับเหล็ก คือเครื่องในหมู เป็นม้ามไม่ใช่ตับ เคยทานแกงจืดหรือเกาเหลาเครื่องในหมูไหมคะ ตับเหล็กนั้นคือม้าม เรียกออกนามตามที่เห็น เกาเหลาต้มเครื่องเป็น เครื่องในหมูดูโอชาว่ากันด้วยเรื่องเนื้อสัตว์ หากเนื้อแพะ (ผัดน้ำมัน) เป็นเครื่องหมายของอาหารแขก เนื้อปลา (แกงปลาไหล-ปลาดุก แกงเทโพ ผัดปลาช่อนแห้ง) เป็นเครื่องหมายของอาหารไทย เนื้อหมู (ต้มเค็ม ต้มตับเหล็ก) ก็เป็นเครื่องหมายของอาหารจีน 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33414
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 47 เมื่อ 30 เม.ย. 20, 09:19
|
|
เกาเหลา ไม่ต้องอธิบายนะคะ เพราะทุกวันนี้ก็ยังมีให้กินทั่วไปตามร้านก๋วยเตี๋ยว แต่พอมาถึงเหล้าอาหนี อัศจรรย์ใจมากเมื่อเปิดเข้าไปในเว็บท่านรอยอิน แล้วมีคำอธิบายว่า เป็นเหล้าฝรั่ง ทำจากเมล็ดผลไม้ สะกดว่า Anis นึกมาตลอดว่าอาหนีเป็นเหล้าจีน ชื่อเสียงเรียงนามก็ฟังเป็นจีน แล้วยังจัดกลุ่มไว้วรรคเดียวกับอาหารจีนอีกด้วย
ถ้าเป็นเหล้าฝรั่งจริง ก็คงเข้ามาพร้อมกับเรือกำปั่นฝรั่ง เหล้าอาหนีมีหลายสัญชาติ ท้ังฝรั่งเศส โปรตุเกส และสเปน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33414
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 48 เมื่อ 30 เม.ย. 20, 15:31
|
|
เป็ดไก่ถอดทอดม้าอ้วนแต่ล้วนดี
เป็ดไก่ถอด น่าจะหมายถึงเลาะกระดูกออกไปให้หมด ไม่ใช่เป็ดไก่สับทั้งกระดูก เหลือแต่เนื้อก็สับเนื้อเป็ดและไก่ใส่จานเหมือนเรากินไก่ตอนทุกวันนี้ ส่วนคำว่า "ทอด" ไม่แน่ใจว่าเป็นคำกริยาของการปรุงเป็ดไก่ที่ถอดกระดูกไปแล้ว หรือว่าเป็นคำกริยาของการปรุง"ม้าอ้วน"กันแน่ แต่พอไปดูวิธีการทำม้าอ้วน ใช้นึ่งเหมือนนึ่งขนมจีบ ก็เลยเดาว่า ทอดในที่นี้ คือเอาเป็ดและไก่ที่เป็นเนื้อล้วนๆมาทอดให้สุก ก่อนจัดขึ้นโต๊ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33414
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 49 เมื่อ 30 เม.ย. 20, 15:32
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 50 เมื่อ 30 เม.ย. 20, 15:53
|
|
ตับเหล็กนั้นคือม้าม เรียกออกนามตามที่เห็น เกาเหลาต้มเครื่องเป็น เครื่องในหมูดูโอชา เกาเหลา ไม่ต้องอธิบายนะคะ เพราะทุกวันนี้ก็ยังมีให้กินทั่วไปตามร้านก๋วยเตี๋ยว ท่านรอยอินให้ความหมาย เกาเหลา ว่า แกงมีลักษณะอย่างแกงจืด คนปัจจุบันอาจจะนึกถึงอาหารอย่างก๋วยเตี๋ยวแต่ไม่ใส่เส้น แต่ในกลอนวรรคนี้ "ต้มตับเหล็กเกาเหลา" น่าจะหมายถึงอาหารปัจจุบันที่เรียกว่า ต้มเครื่องในหมู หรือ ต้มเลือดหมูเครื่องใน 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33414
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 51 เมื่อ 30 เม.ย. 20, 16:16
|
|
ท่านรอยอินให้ความหมาย เกาเหลา ว่า แกงมีลักษณะอย่างแกงจืด คนปัจจุบันอาจจะนึกถึงอาหารอย่างก๋วยเตี๋ยวแต่ไม่ใส่เส้น แต่ในกลอนวรรคนี้ "ต้มตับเหล็กเกาเหลา" น่าจะหมายถึงอาหารปัจจุบันที่เรียกว่า ต้มเครื่องในหมู หรือ ต้มเลือดหมูเครื่องใน  ทำไมคุณเพ็ญชมพูถึงคิดว่าเกาเหลาในที่นี้คือต้มเครื่องในหมูคะ หรือเอาไปรวมกับคำว่าต้มตับเหล็ก จะแยกเป็น 2 คำได้ไหม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 52 เมื่อ 30 เม.ย. 20, 16:57
|
|
ส.พลายน้อย ได้เขียนอธิบายเรื่องเกาเหลาไว้ใน หนังสือวันก่อนคืนเก่า หัวข้อ จาก "ยองยองเหลา" ก้าวสู่ "ภัตตาคาร" หรู ในสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้มีการแต่งตั้งหลวงราชภัตการ (จีนเอ็ง) เป็น เจ้ากรมเกาเหลาจีน ขึ้นเพื่อปรุงเมนูแกงจืดอย่างจีนโดยเฉพาะ ตำแหน่งเจ้ากรมเกาเหลาจีนนี้เกิดขึ้นเพราะในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีชาวจีนนำหมูเห็ดเป็ดไก่มาถวายในวันตรุษจีนเป็นจำนวนมากจนล้น จึงจัดให้นำของสดเหล่านี้ทำอาหารเลี้ยงพระสงฆ์ในช่วงเทศกาลตรุษจีน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และเท้านางข้างในจัดเรือขนมจีนถวายพระและเลี้ยงข้าราชการ กระทั่งสมัยรัชกาลที่ ๔ ทรงรับสั่งว่า การทำบุญตรุษจีน เลี้ยงพระสงฆ์ด้วยขนมจีนนั้นไม่ถูกต้อง เพราะขนมจีนไม่ใช่ของจีน สักแต่ว่าชื่อเป็นจีนเท่านั้น โปรดให้ทำ ‘เกาเหลา’ เลี้ยงพระแทนขนมจีน แต่เพราะคนไทยไม่ถนัดทำเครื่องในสัตว์ หากทำไม่เป็นจะเหม็นคาวมากจึงต้องอาศัยกุ๊กชาวจีน และแต่งตั้งเจ้ากรมเกาเหลาจีนเพื่อปรุงเมนูเกาเหลาจีนเลี้ยงพระสงฆ์ เกาเหลาแต่เก่าก่อนจึงเป็นชื่อเรียกแกงจืดอย่างจีนที่ปรุงด้วยเครื่องใน ด้วยประการฉะนี้แล 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33414
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 53 เมื่อ 30 เม.ย. 20, 18:46
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 54 เมื่อ 02 พ.ค. 20, 13:10
|
|
แต่พอมาถึงเหล้าอาหนี อัศจรรย์ใจมากเมื่อเปิดเข้าไปในเว็บท่านรอยอิน แล้วมีคำอธิบายว่า เป็นเหล้าฝรั่ง ทำจากเมล็ดผลไม้ สะกดว่า Anis จาก พระอภัยมณี ตอนนางสุวรรณมาลีไปเที่ยวทะเลเรือของท้าวสิลราชเจ้าเมืองผลึกเจอพายุใหญ่จนไม่รู้เหนือรู้ใต้ ต้องตั้งโต๊ะบายศรีพร้อมเครื่องเซ่นเพื่อสื่อสารกับภูตพรายเจ้าที่ฝ่ายต้นหนคนประจำลำที่นั่ง จึงแต่งตั้งโต๊ะใหญ่ใส่บายศรี ทั้งเป็ดไก่กุ้งปลาบรรดามี เหล้าอาหนีล้วนเข้มเต็มประดา แล้วเชือดแพะแกะขว้างลงกลางน้ำ พลีกรรมภูตพรายทั้งซ้ายขวา พลางสมมุติจุดธูปเทียนบูชา รินสุราเซ่นสรวงแล้วบวงบน .............................. ..............................ฝ่ายปู่เจ้าหาวเรอเผยอหน้า นั่งหลับตาเซื่องซึมดื่มอาหนี แล้วว่าปู่เจ้าเขาคีรี ทะเลนี้มิใช่แคว้นแดนมนุษย์ ปรอทแร่แม่เหล็กก็มีมาก ชื่อว่านาควารินทร์สินธุ์สมุทร ฝูงนาคมาอาศัยด้วยไกลครุฑ ถ้ายั้งหยุดอยู่ที่นี่จะมีภัย พรายน้ำเจ้าที่ก็ชอบเหล้าฝรั่งเหมือนกัน 
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33414
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 57 เมื่อ 05 พ.ค. 20, 10:06
|
|
หมูต้มเค็ม เป็นอาหารที่น่ารับประทานมาก ถ้าไม่กลัวโรคอ้วน ตามมาด้วยไขมันอุดเส้นเลือด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 58 เมื่อ 05 พ.ค. 20, 17:09
|
|
แกงร้อน คือต้มวุ้นเส้น ใส่กะทิ มีส่วนประกอบอีกหลายอย่าง เช่นเห็ดหูหนู เต้าหู้ ดอกไม้จีน ปัจจุบันไม่ค่อยจะเห็นกันแล้ว ไม่ได้ขึ้นเมนูร้านอาหาร ท่านรอยอินบอกว่า แกงร้อน คือ ชื่อแกงจืดชนิดหนึ่งใส่วุ้นเส้น ส่วน วุ้นเส้น บางทีก็เรียกว่า เส้นแกงร้อน  แกงร้อน นี้ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมชสันนิษฐานจากส่วนประกอบว่าเหมือนสุกี้ยากี้ของญี่ปุ่น อาจเป็นอาหารที่ญี่ปุ่นสมัยอยุธยานำมาเผยแพร่ก็ได้ หน้าตาคล้ายๆแกงจืดวุ้นเส้น แต่วิธีทำไม่เหมือนกัน “แกงวุ้นเส้นที่พวกเรากินนี่แหละคือแกงร้อน และเป็นแกงญี่ปุ่นแท้ ๆ แต่คนไทยคงจะเลือกใส่เฉพาะเส้นแป้งเป็นหลัก ที่คงจะพยายามทำให้เหมือนของญี่ปุ่นโดยเอาถั่วเขียวมาทำ (สมัยนั้นถั่วเหลืองยังไม่เข้ามา เพราะเข้ามาตอนรัตนโกสินทร์ตอนต้นจากพวกคนจีนอพยพ ที่เอาเต้าเจี้ยวและน้ำซีอิ้วที่ทำจากถั่งเหลืองเข้ามา) กลายเป็นเส้นแข็ง ๆ ใสๆ เรียกว่าวุ้นเส้น ใส่หมูใส่ไก่ก็อร่อยขึ้นมาก และต่อมาคงแปลงของจีนมาร่วมด้วย ใส่หมูบะช่อ ใส่กระเทียมเจียว เป็นแกงวุ้นเส้นที่ภรรยาฝึกหัดจะต้องเตรียมทำให้เป็นเพื่อเอาใจสามี” จาก คึกฤทธิ์วิทยายุทธ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33414
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 59 เมื่อ 05 พ.ค. 20, 19:49
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|