ดอกไม้ในความเชื่อของคนไทยมีความหมายทั้งเป็นมงคลและอัปมงคล
ตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์ กุหลาบเป็นตัวแทนแห่งความรักเสมอมาในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ กล่าวถึงกุหลาบไว้ว่า
กุหลาบกลิ่นเฟื่องฟุ้ง เนืองนอง
หอมรื่นชื่นชมสอง สังวาส
นึกกระทงใส่พานทอง ก่ำเก้า
หยิบรอจมูกเจ้า บ่ายหน้าเบือนเสีย
เพลงทยอยนอก ๓ ชั้น
กลิ่นกุหลาบซาบนาสาพาระลึก
เมื่อยามดึกเคยชมดมกลิ่นหอม
น้ำอบปรุงจรุงรสต้องอดออม
ถือถนอมบุปผากระสาจน
กลีบกุหลาบทาบกระดาษวาดรูปไว้
จะส่งให้โฉมตรูรู้เหตุผล
ชมดอกไม้แสนเบื่อเหลือจะทน
คิดสุคนธ์เคยรื่นชื่นใจเอยฯ
พระราชนิพนธ์ในพระราชหัตถเลขา พระราชทานมาจาก
เมืองซานเรโมพร้อมกลีบกุหลาบทาบมาบนกระดาษ
ถึงโฉมตรูผู้หนึ่ง คือเจ้าจอมหม่อมราชวงศ์สดับ
เจ้าจอมคนสุดท้ายในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ดอกลั่นทมและซ่อนกลิ่นเคยเป็นดอกไม้ต้องห้ามสำหรับคนไทย แต่ในปัจจุบันอาจจะเบาบางลงไปบ้าง
จาก เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก ตอนไปช่วยงานศพ เขียนโดย คุณทิพย์วาณี สนิทวงศ์ ณ อยุธยา ดอกไม้บางดอกยังดี ๆ อยู่ คุณยายหยิบเอามาเล่น พวกผู้ใหญ่เห็นเข้าก็จะดุว่า
"อย่าเอาดอกไม้งานศพไปเล่น หรือเอาไปบ้านเลยเป็นอันขาด ไม่เป็นมงคล ต้องทิ้งไว้ที่วัดนี่"
คุณยายจำต้องทิ้งดอกไม้ด้วยความเสียดาย พี่สาวของคุณยายชอบดอกลั่นทมและดอกซ่อนกลิ่น เพราะเห็นว่าขาวสวยและหอมดีจึงเอามาปักแจกัน ก็ถูกผู้ใหญ่ห้ามอีกว่า
"ดอกลั่นทมและดอกซ่อนกลิ่นเป็นดอกไม้สำหรับงานศพ จะเอามาใช้ปักแจกันตกแต่งในบ้านไม่ได้"
คุณยายสงสัยจึงไปถามคุณป้าว่าทำไมจึงห้ามใช้ดอกไม้หอมและสวยอย่างนี้ คุณป้าอธิบายว่า
"ดอกซ่อนกลิ่นและดอกลั่นทมกลิ่นหอมแรง กลบกลิ่นศพได้ดี จึงนิยมใช้ดอกไม้นี้ดับกลิ่น"