NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 15 เมื่อ 01 พ.ค. 20, 10:27
|
|
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1283/2522
โจทก์ – หม่อมหลวง ธ. (นามสกุลราชสกุล) ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมของ โจทก์ – เด็กหญิง น. (นามสกุลสามัญ) โจทก์ – และเด็กหญิง ศ. (นามสกุลสามัญ) โจทก์ – โดยนายบ. ผู้รับมอบอำนาจ จำเลย - กรุงเทพมหานคร ฯ กับพวก
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1561 ให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2519 ม. 3 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142 (5), 182, 183
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561 ซึ่งให้ใช้บังคับโดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่ พ.ศ.2519 นั้น เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่บุตร กล่าวคือให้บุตร มีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา และในกรณีที่ไม่ปรากฏว่าใครเป็นบิดา บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดาได้ มิได้บังคับว่าบุตรจะต้องใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือมารดา เมื่อกฎหมายมิได้บังคับไว้ บุตรก็ชอบที่จะใช้ชื่อสกุลอื่นได้ แม้จะปรากฏว่ามีบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก็ตาม การที่ ศ. ผู้เป็นบิดาและโจทก์ผู้เป็นมารดายินยอมพร้อมใจกันให้บุตรใช้ชื่อสกุลของมารดา หาเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561 วรรค 2 ไม่
เมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน สละประเด็นข้ออื่นทั้งสิ้น ขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้วพ.ศ.2519 มาตรา 1561 บุตรจะใช้ชื่อสกุลของมารดาได้หรือไม่ เมื่อบิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายยินยอมให้ใช้ชื่อสกุลของมารดาเช่นนี้ จึงไม่มีปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่าบุตรไม่ต้องการใช้ชื่อสกุลของบิดา หรือต้องการใช้ชื่อสกุลของมารดาหรือไม่ อันจะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์ ไม่ชอบที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัยและอ้างเป็นเหตุยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลและเป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นหัวหน้าที่ว่าการเขตพระโขนง โจทก์ได้จดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมายกับนาย ภ. มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ เด็กหญิง น. กับเด็กหญิง ศ. ต่อมาเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2518 โจทก์และนาย ภ.ได้ตกลงหย่ากันโดยความสมัครใจ โดยโจทก์เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูและใช้อำนาจปกครองบุตรทั้งสอง ต่อมาโจทก์และนาย ภ.ได้ตกลงกันเปลี่ยนชื่อสกุลบุตรทั้งสองโดยเปลี่ยนจาก(นามสกุลสามัญ) เป็น (ราชสกุลของมารดา พ่วงด้วย ณ อบุธยา) ตามชื่อสกุลโจทก์ เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม 2520 โจทก์และนาย ภ. ได้ร่วมกันยื่นคำร้องต่อจำเลยที่ 2 ขอแก้ไขรายการในทะเบียนบ้านโดยขอเปลี่ยนชื่อสกุล(นามสกุลสามัญ) เป็น (ราชสกุลของมารดา พ่วงด้วย ณ อบุธยา) จำเลยที่ 2 ไม่ยอมจัดการดำเนินการให้โดยอ้างว่าเป็นกรณีต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561 วรรคสอง ไม่อาจเปลี่ยนชื่อสกุลบุตรทั้งสองให้ได้ โจทก์และนาย ภ. ชี้แจงแล้ว จำเลยที่ 2 ก็ไม่ยอมจัดการแก้ไขให้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกัน และแทนกันจดทะเบียนแก้ไขรายการในทะเบียนบ้านรายการในช่องชื่อสกุล จาก เด็กหญิง น.และเด็กหญิง ศ. (นามสกุลบิดา) เป็นเด็กหญิง น.และเด็กหญิง ศ. (ราชสกุลของมารดา พ่วงด้วย ณ อบุธยา) หากจำเลยทั้งสองไม่ยอมจัดการให้ ให้ศาลมีคำสั่งให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กหญิง น.และเด็กหญิง ศ. ไม่มีอำนาจฟ้อง ภายหลังการจดทะเบียนหย่าขาดจากกัน โจทก์และนาย ภ. มิได้ตกลงกันให้โจทก์เป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูและใช้อำนาจปกครองเด็กหญิงทั้งสอง โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้เปลี่ยนชื่อสกุลของเด็กหญิงทั้งสองนั้น และไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 2 ไม่ยอมเปลี่ยนชื่อสกุลเพราะเห็นว่าไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561 วรรคสอง การวินิจฉัยของจำเลยที่ 2 ชอบด้วยเหตุผลทั้งข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย
ต่อมาทนายจำเลยทั้งสองแถลงรับว่า โจทก์ได้จดทะเบียนหย่ากับนาย ภ. และได้ทำหนังสือตกลงให้โจทก์เป็นผู้อุปการะและใช้อำนาจปกครองเด็กหญิง น. และเด็กหญิง ศ.จริง มีอำนาจฟ้อง และทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน สละประเด็นข้อนี้ทั้งสิ้น ขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ฉบับที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว พ.ศ. 2519 มาตรา 1561 บุตรจะใช้นามสกุลของมารดาได้หรือไม่ แม้บิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายยินยอมให้ใช้นามสกุลของมารดา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันและแทนกัน แก้ทะเบียนบ้านในรายการชื่อสกุลของ เด็กหญิง น.และเด็กหญิง ศ. จาก(นามสกุลบิดา) เป็น (ราชสกุลของมารดา พ่วงด้วย ณ อบุธยา) ตามที่โจทก์ยื่นคำร้องไว้
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 มาตรา 1561 ซึ่งให้ใช้บังคับโดยพระราชบัญญัติให้ใช้บทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่พ.ศ. 2519 มีความว่า "บุตรมีสิทธิ - ใช้ชื่อสกุลของบิดา" (วรรคหนึ่ง) " ในกรณีที่บิดาไม่ปรากฏ บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดา " (วรรคสอง)” เห็นได้ว่ามาตรานี้เป็นบทบัญญัติให้สิทธิแก่บุตร กล่าวคือให้บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา และในกรณีที่ไม่ปรากฏว่าใครเป็นบิดา บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดาได้ มิได้บังคับว่าบุตรจะต้องใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือมารดา เมื่อกฎหมายมิได้บังคับไว้ บุตรก็ชอบที่จะใช้ชื่อสกุลอื่นได้แม้จะปรากฏว่ามีบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก็ตาม การที่นาย ภ. ผู้เป็นบิดาและโจทก์ผู้เป็นมารดายินยอมพร้อมใจกันให้บุตรทั้งสองใช้ชื่อสกุลของมารดา หาเป็นการต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1561 วรรคสองไม่
ข้อต่อมาจำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าบุตรมีความประสงค์จะไม่ใช้นามสกุลของบิดา หรือต้องการใช้นามสกุลของมารดา โจทก์กระทำไปโดยไม่มีอำนาจ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ข้อที่จำเลยยกขึ้นฎีกานี้ จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ ศาลชั้นต้นยกขึ้นวินิจฉัยโดยเห็นว่าเป็นปัญหาเรื่องอำนาจอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าไม่สมควรที่ศาลจะยกขึ้นวินิจฉัย จำเลยจึงได้ฎีกาขึ้นมา
ศาลฎีกาเห็นว่าคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ติดใจสืบพยาน สละประเด็นข้ออื่นทั้งสิ้น ขอให้ศาลวินิจฉัยเพียงประเด็นเดียวดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงไม่มีปัญหาข้อเท็จจริงที่ว่าบุตรทั้งสองไม่ต้องการใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือต้องการใช้ชื่อสกุลของมารดาหรือไม่ อันจะนำไปสู่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจฟ้อง ไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะยกขึ้นวินิจฉัย และอ้างเป็นเหตุยกฟ้อง
พิพากษายืน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อ 01 พ.ค. 20, 10:37
|
|
คดีจึงจบลง เป็นอันว่าในตอนนั้นเขตพระโขนงได้จดทะเบียนให้ เด็กหญิง น.และเด็กหญิง ศ. เปลียนจาก(นามสกุลบิดา) เป็น(ราชสกุลของมารดา พ่วงด้วย ณ อบุธยา) ตามคำพิพากษาดังกล่าว
แต่ความตลกอยู่ที่ว่า คู่คดีไม่ได้ต่อสู้กันเรื่องสิทธิ์ ว่าบุตรจะมีสิทธิ์ใช้ ณ อยุธยาพ่วงท้ายราชสกุลของมารดาหรือไม่ กล่าวคือ เมื่อคุณหม่อมหลวงหญิงผู้นั้นไปขอเปลี่ยนนามสกุลให้บุตรทั้งสอง โดยเขียนชื่อนามสกุลที่ต้องการจะเปลี่ยนลงไปในคำร้อง อาจจะเพราะเป็นนักเรียนนอกและใช้ชีวิตอยู่เมืองนอกตลอด จึงไม่ทราบข้อห้าม แล้วใส่นามสกุลของบุตร เป็นราชสกุล ที่พ่วงท้ายด้วย ณ อยุธยา
เขตไม่ทำให้ แต่ด้วยเหตุผลว่า บุตรจะใช้นามสกุลของมารดาไม่ได้ แม้บิดามารดาที่ชอบด้วยกฎหมายยินยอมให้ใช้นามสกุลของมารดาก็ตาม
เธอจึงฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษา ยกฟ้องโจทก์
เธออุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้เขตเปลี่ยนชื่อและนามสกุลของเด็กให้ตามที่เธอขอ
จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า กฏหมายให้สิทธิแก่บุตร กล่าวคือให้บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของบิดา และในกรณีที่ไม่ปรากฏว่าใครเป็นบิดา บุตรมีสิทธิใช้ชื่อสกุลของมารดาได้ แต่มิได้บังคับว่าบุตรจะต้องใช้ชื่อสกุลของบิดาหรือมารดา เมื่อกฎหมายมิได้บังคับไว้ บุตรก็ชอบที่จะใช้ชื่อสกุลอื่นได้ แม้จะปรากฏว่ามีบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่ก็ตาม
พิพากษายืน .
และยังตลกต่อไปอีกว่า คำพิพากษาศาลฎีกานี้ มีผู้นำไปอ้างต่อเขต แล้วเขตยอมเปลี่ยนให้ ได้ ณ อยุธยามาพ่วงท้ายหลายคน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 17 เมื่อ 01 พ.ค. 20, 10:43
|
|
ผมใช้อินทรเนตรตรวจสอบสถานภาพปัจจุบันพบว่า ผู้ที่ใช้นามสกุลของมารดาแล้วเคยมี ณ อยุธยาพ่วงท้ายนั้น บัดนี้ พวกที่ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุลไปตามสามี หรือเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนกลับ จะไม่ปรากฏ ณ อยุธยาพ่วงท้ายเช่นที่เคยแล้ว โดยไม่ทราบสาเหตุ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 18 เมื่อ 01 พ.ค. 20, 13:46
|
|
ขอบคุณค่ะ อ่านแล้วก็มึนพอใช้ ถ้าไม่ได้คุณ NAVARAT.C อธิบายไว้ตอนต้นเรื่องก็คงยังมึนไปอีกนาน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 19 เมื่อ 02 พ.ค. 20, 15:07
|
|
เป็นได้ว่า ทางอำเภอต่างๆได้รับคำชี้แจงอย่างเป็นทางการแล้ว ถึงระเบียบการใช้ ณ อยุธยาต่อท้ายนามสกุล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|