เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1]
  พิมพ์  
อ่าน: 2351 ขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนค่ะ
ดาวกระจ่าง
มัจฉานุ
**
ตอบ: 89


 เมื่อ 18 ก.พ. 20, 10:59

เนื่องจากดิฉันได้ไปอ่านเกี่ยวกับเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยมาค่ะ แล้วเจอข้อมูลที่ขัดแย้งกันอยู่ตรงฝ่ายหนึ่งว่าคนไทยสมัยอยุธยาไม่ได้มีการรักนวลสงวนตัวแต่เราได้วัฒนธรรมนี้มาจากฝรั่งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนกลาง อีกฝ่ายก็ว่าไทยเรามีวัฒนธรรมการรักนวลสงวนตัวมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้วไม่ได้รับของฝรั่งเข้ามา ซึ่งท่านๆในเว็บนี้ก็คงเคยได้ยินข้อขัดแย้งมาบ้าง ดิฉันเลยอยากจะขออนุญาตเรียนถามถึงเรื่องการรักนวลสงวนตัวของคนไทยสมัยก่อนหน่อยค่ะ

1 คนไทยในสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ตอนกลางมีการรักนวลสงวนตัวกันไหมคะ

2 วัฒนธรรมการรักนวลสงวนตัวของประเทศฝั่งตะวันตกหลักๆมีอะไรบ้างคะ

3 วัฒนธรรมการรักนวลสงวนตัวของคนไทยในสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ตอนกลางมีหลักฐานบ้างไหมคะว่ามีอะไรบ้าง

4 เป็นไปได้ไหมคะที่ว่าวัฒนธรรมการรักนวลสงวนตัวของคนไทยในสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ตอนกลางจะมีแต่เฉพาะชนชั้นสูงไม่นับคนทั่วไป

5 เป็นไปได้ไหมคะที่ว่าวัฒนธรรมการรักนวลสงวนตัวของคนไทยในสมัยอยุธยา-รัตนโกสินทร์ตอนกลางจะเป็นจินตนาการของผู้ชายที่คาดหวังอยากให้ผู้หญิงเป็นแบบนั้น แบบนี้ซึ่งอาจไม่ตรงกับความจริงก็ได้
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 18 ก.พ. 20, 11:44

         มีคนพูดประเด็นนี้มากพอสมควร คุณดาวคงผ่านตาทางเน็ทบ้างแล้ว
 
         นี้คือ ของว่างนำเสิร์พ ก่อนของหนักจากท่านอื่นที่อาจจะตามมา
 
เป็นเรื่อง   นางพิมที่ไร่ฝ้าย จาก ขุนช้าง ขุนแผน, เธอนั้นก็มีความหวงตัวอยู่บ้างพอประมาณ

            ตัวน้องมิใช่ของอันเคยขาย                  จะเรียงรายกลางหนหาควรไม่

พิเคราะห์ให้เหมาะก่อนเป็นไร                           กลับไปเถิดพ่อแก้วผู้แววตา

            อดข้าวดอกนะเจ้าชีวิตวาย                   ไม่ตายดอกเพราะอดเสน่หา

http://www.reurnthai.com/index.php?PHPSESSID=h3cs1d9bibs5rjitnfhbpl6te0&topic=3476.0
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 18 ก.พ. 20, 11:57

แต่แล้ว, ในที่สุด

            มาถึงบ้านนางพิมหาช้าไม่            เสกข้าวสารหว่านไปให้หลับสนิท
สะเดาะกลอนถอนลั่นทุกชั้นชิด                  ที่บานปิดก็เปิดออกทันใด      

             .........................
                                      
             ..........................              เปิดมุ้งเห็นหน้าเจ้าพิมนอน

             สนิทหลับรับขวัญเจ้าทั้งหลับ         ดังยิ้มรับให้พี่รีบมาร่วมหมอน
โฉมแฉล้มแย้มยิ้มพริ้มเพรางอน                   งามเนตรเมื่อเจ้าค้อนพี่ยามชม

ส่วนภาพโดย ครูเหม เวชกร ท่านวาดมาเป็นแบบนี้


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 18 ก.พ. 20, 13:16

   เรื่องนี้ทุกท่านในเรือนไทยมีสิทธิ์แย้งดิฉันได้นะคะ

   ก่อนอื่น คุณดาวกระจ่างต้องทำความเข้าใจเสียก่อนว่า วรรณคดีที่แต่งจากจินตนาการไม่ใช่กระจกเงาสะท้อนความเป็นอยู่ในอดีตออกมาเป๊ะๆ    ไม่ใช่ว่าเรากางวรรณคดีสมัยอยุธยาขึ้นมาแล้วสามารถบอกได้ว่า อ้อ  เขาอยู่กันยังงี้เอง    ผู้ชายอยู่แบบพระลอ  ผู้หญิงอยู่แบบพระเพื่อนพระแพง   ไม่ใช่เลย
   วรรณคดีสะท้อน "ค่านิยม" ในยุคสมัยที่เรื่องนั้นแต่งขึ้น   ไม่ได้สะท้อนภาพทั้งหมด   สะท้อนบางส่วนเท่านั้น เช่นสะท้อนรูปธรรมทั้งหลายประเภทอาหารการกิน  เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย บ้านเรือนเวียงวังที่อยู่อาศัย   แต่นอกเหนือจากนี้ จินตนาการของกวีเข้ามามีบทบาทเต็มๆ
   ถ้าถามว่าค่านิยมรักนวลสงวนตัวมีมาตั้งแต่อยุธยาบ้างไหม  ก็ต้องตอบว่ามีค่ะ    สมัยอยุธยาลูกสาวที่ทำตัวเละเทะ คบชู้สู่ชาย ไม่ได้รอจนแต่งงานตามประเพณี อาจถูกขายเข้าซ่องเป็นโสเภณีได้    ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น  สุภาษิตสอนหญิงก็มีตอนหนึ่ง บอกไว้ชัดเจนถึงการรักนวลสงวนตัว ว่า

   เขารักจริงให้สู่ขอกับพ่อแม่
อย่าวิ่งแร่หลงงามไปตามง่าย
เขาไม่เลี้ยงไล่ขับจะอับอาย
ต้องเป็นม่ายอยู่กับบ้านประจานตน
...ข้างพ่อแม่ก็จะโกรธพิโรธร่ำ
จะจองจำตีโบยออกโหยหน
ด้วยท่านอายขายหน้าประชาชน
ไม่รักตนเราจึงต้องมาหมองมัว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 18 ก.พ. 20, 13:33

   กลอนข้างบนนี้แสดงให้เห็นอะไร?   คำตอบคือแสดงให้เห็นว่าการหนีตามกันของหนุ่มสาวในสมัยนั้นเกิดขึ้นบ่อยมาก   กวีถึงเขียนสุภาษิตสั่งสอนเอาไว้ว่าอย่าทำ     ถ้าการหนีตามกันเป็นเคสที่เกิดขึ้นนานๆครั้ง   แทบจะไม่มีกันเลย ก็ไม่จำเป็นต้องมีใครเขียนขึ้น
   เมื่อเกิดหนีตามกันมาก  ก็แปลได้ว่าการรักนวลสงวนตัวในหญิงสาวชาวไทย ในทางปฏิบัตินั้นไม่ค่อยจะมี  แต่ในค่านิยม มีอยู่    พ่อแม่ไม่นิยมให้ลูกสาวมีเพศสมพันธ์กับใครก่อนแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว
   เนื้อหาสุภาษิตสอนหญิงเป็น "สาร" ส่งถึงชาวบ้านร้านถิ่น คนทำมาหากิน    ไม่ใช่ส่งถึงเจ้านายหรือชนชั้นสูงในรั้วในวัง     สตรีชั้นสูงมีกฎบังคับมากมายอยู่แล้ว เช่นเจ้านายสตรีที่เกิดในวังมีกฎมณเฑียรบาลบังคับกระดิกกระเดี้ยไม่ได้    สตรีลูกขุนนางหรือคนมีหน้ามีตาในสังคมก็ถูกประเพณีตีกรอบไว้เข้มงวด   ไม่ต้องอาศัยกวีเขียนบอกให้รู้    แต่ชาวบ้านร้านถิ่นนั้นไม่มีกรอบแข็งแรงหนาเท่านี้   ลูกสาวชาวบ้านจึงทำตามใจได้มากกว่าทำตามประเพณี

  ฝรั่งมีค่านิยมรักนวลสงวนตัวไหม  มีค่ะ อังกฤษกับอเมริกา มีคำว่า pre-marital relationship คือเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน  ถือเป็นสิ่งต้องห้ามมาจนสิ้นศตวรรษที่ 19     
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 18 ก.พ. 20, 15:24

บันทึกจาก ลา ลูแบร์ อัครราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส ผู้มาเยือนกรุงศรีฯ ช่วงปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
พ.ศ.๒๒๓๐ เล่าว่า

              ประเพณีของประเทศนี้ไม่อนุญาตให้หญิงสาว พูดจาพาทีกับชายหนุ่ม ผู้เป็นแม่จะลงโทษ ถ้าจับได้ว่าลูกสาวของตน
แอบไปพูดจาวิสาสะกับผู้ชายตามใจชอบ แต่พวกลูกสาวก็มักจะหนีตามผู้ชายไปเมื่อสบช่อง

               หญิงชาวสยามมีบุตรได้ตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี บางทีก็ก่อนหน้านั้น บางคนอายุ ๔๐ ปีแล้วยังมีลูกได้ จึงเป็นธรรมเนียมที่
จะให้ลูกสาวแต่งงานแต่อายุยังน้อยกับชายหนุมอายุใกล้เคียงกัน แต่บางคนก็ไม่ยอมแต่งงานตลอดชีวิต

               การอยู่กินกันโดยไม่ได้แต่งงาน เป็นสิ่งที่น่าอัปยศ โดยเฉพาะในหมู่ราษฎรสามัญ เมื่อไม่พอใจต่างก็แยกกันไป มีผลเท่ากับ
การหย่าร้าง หญิงชาวสยาม ไม่อาจทอดตัวให้แก่คนต่างประทศโดยง่าย

               หญิงสาวสยามไม่เล่นการพนัน ไม่ต้อนรับผู้ชายพายเรือ การมหรสพก็มีห่างมากในกรุงสยาม

               ขุนนางสยามหวงลูกสาวเท่ากับหวงภรรยา ถ้าลูกสาวคนใดทำชั่ว ผู้เป็นพ่อก็จะขายลูกสาวให้แก่ชายผู้หนึ่ง ซึ่งมีความชอบธรรม
ที่จะเกณฑ์ให้ผู้หญิงที่ตนซื้อมาเป็นหญิงแพศยา ฯ


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 19 ก.พ. 20, 09:20

การอยู่กินกันโดยไม่ได้แต่งงานเป็นสิ่งที่น่าอัปยศ โดยเฉพาะในหมู่ราษฎรสามัญ เมื่อไม่พอใจต่างก็แยกกันไป มีผลเท่ากับการหย่าร้าง

ข้อความตรงนี้อาจจะคัดลอกมาผิด

ในหนังสือ จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม เขียนโดย มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร ตอนที่ ๒ ว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวสยามโดยทั่ว ๆ ไป  บทที่ ๗ ว่าด้วยการแต่งงานและการหย่าร้างของชาวสยาม  ๑๕. ความสัมพันธ์ทางด้านความรัก กล่าวถึงตอนนี้ไว้ว่า

การสมสู่อยู่กินด้วยกันอย่างเสรีโดยมิได้ประกอบพิธีแต่งงานนั้นไม่เป็นสิ่งที่น่าอัปยศ โดยเฉพาะในหมู่ราษฎรสามัญ เขาถือว่าเมื่อได้สมสู่อยู่กินด้วยกันแล้วก็เสมือนว่าได้แต่งงานกันแล้ว และถ้าเกิดความไม่ปรองดองกันขึ้น ต่างฝ่ายต่างแยกทางกันไป ก็มีผลเท่ากับการหย่าร้างกันไปในตัวนั่นแล.



บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 19 ก.พ. 20, 11:00

ตามนั้นแล;
               ต้นทาง ไม่มี ไม่, ใช้การ coppaste มา ไม่ ไม่น่าหล่นหาย

บันทึกการเข้า
ดาวกระจ่าง
มัจฉานุ
**
ตอบ: 89


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 19 ก.พ. 20, 12:59

ขอบคุณที่มาตอบกันคะ

สรุปว่ามีทั้งที่ยอมมีอะไรก่อนแต่งและไม่ยอมมีอะไรก่อนแต่ง แต่ส่วนใหญ่ไปทางยอมซินะคะ

อีกอย่างที่ว่าถ้า"แต่พวกลูกสาวก็มักจะหนีตามผู้ชาย" "หญิงชาวสยามมีบุตรได้ตั้งแต่อายุ ๑๒ ปี" "การอยู่กินกันโดยไม่ได้แต่งงานไม่เป็นสิ่งที่น่าอัปยศ" การรักนวลสงวนตัวก็ดูเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจำเป็นเท่าไร เป็นได้ไหมไหมคะที่ว่า "ประเพณีของประเทศนี้ไม่อนุญาตให้หญิงสาว พูดจาพาทีกับชายหนุ่ม ผู้เป็นแม่จะลงโทษ ถ้าจับได้ว่าลูกสาวของตนแอบไปพูดจาวิสาสะกับผู้ชายตามใจชอบ" มันคือการคลุมถุงชนให้ลูกสาวเลือกคุยแต่คนที่ตัวเองอยากได้มาเป็นเขยเท่านั้น และที่ว่า"ขุนนางสยามหวงลูกสาวเท่ากับหวงภรรยา" เป็นไปได้ไหมคะว่าวัฒนธรรมการรักนวลสงวนตัวมีในชนชั้นสูง คนมีเงินซะส่วนใหญ่พบในคนทั่วไปน้อย

ขอถามเพิ่มหน่อยค่ะว่า 1 ตัวละครในขุนช้างขุนแผนถือว่าเป็นชนชั้นสูงในสมัยนั้นไหมคะเพราะบ้านก็ร่ำรวย มีคนใช้ มีคนทอง มีงานทำดีๆรับราชการกัน
2 "หญิงสาวสยามไม่เล่นการพนัน ไม่ต้อนรับผู้ชายพายเรือ" ผู้ชายพายเรือคือผู้ชายแบบไหนคะ

ถ้าดิฉันเขาใจผิดไปอย่างไรก็แนะนำได้ค่ะ
บันทึกการเข้า
CrazyHOrse
แขกเรือน
นิลพัท
*******
ตอบ: 1899



เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 19 ก.พ. 20, 14:09

ต้นฉบับภาษาฝรั่งเศสมี 'ไม่' ด้วยครับ

https://archive.org/details/descriptionduro00loubgoog/page/n7/mode/1up


บันทึกการเข้า

"Postel's Law": "be conservative in what you do, be liberal in what you accept from others"
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 21 ก.พ. 20, 09:15


ขอถามเพิ่มหน่อยค่ะว่า 1 ตัวละครในขุนช้างขุนแผนถือว่าเป็นชนชั้นสูงในสมัยนั้นไหมคะเพราะบ้านก็ร่ำรวย มีคนใช้ มีคนทอง มีงานทำดีๆรับราชการกัน
2 "หญิงสาวสยามไม่เล่นการพนัน ไม่ต้อนรับผู้ชายพายเรือ" ผู้ชายพายเรือคือผู้ชายแบบไหนคะ

ขุนช้างและขุนแผนเป็นลูกขุนนางชั้นผู้น้อยในต่างจังหวัด    ถ้าเป็นสมัยนี้ก็เห็นจะเทียบได้กับลูกชายประธานอ.บ.ต. หรือลูกกำนันดังๆ   หรือลูกส.จ.   มีฐานะมีอันจะกิน (well-to-do) ขุนช้างมีเพิ่มขึ้นอีกอย่างคือพ่อแม่รวย เป็นคหบดีต่างจังหวัด    ตัวเองก็ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็ก   ถือว่าเป็นคนระดับสูงในสังคมชนบท
แต่ถ้ามาอยู่เมืองหลวง เทียบกับข้าราชการสำคัญๆอย่างบิดาของแม่พลอย หรือคุณเปรมสามีแม่พลอย ก็ไม่ถือว่าเป็นชนชั้นสูงค่ะ
ผู้ชายพายเรือ เป็นสำนวน หมายถึงผู้ชายทั่วไป ค่ะ   ใช้ในเนื้อความที่ไม่เจาะจงกว่าเป็นผู้ชายระดับสูงหรือต่ำในสังคม  ไม่ว่าอายุเท่าใด   มักจะเอ่ยถึงเมื่อมีการตักเตือนผู้หญิง เช่น เป็นสาวแล้ว ต้องระวังผู้ชายพายเรือ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 21 ก.พ. 20, 09:25

มีคำถามในใจข้อหนึ่งสงสัยมานานแล้ว แต่ไม่เคยได้คำตอบจากวรรณคดีเรื่องไหน   คือค่านิยมเรื่องรักนวลสงวนตัวนี้เกิดจากเหตุผลอะไร    เป็นของไทยแต่ดั้งเดิมหรือว่ารับมาจากอินเดียพร้อมกับพุทธศาสนา 
ทั้งนี้ ตามเหตุผลทางวัฒนธรรม   ไทยเป็นประเทศเกษตรกรรมซึ่งต้องอาศัยแรงงานคนเป็นหลัก   ครอบครัวไทยสมัยก่อนจึงมีลูกกันมากมาย เพื่อช่วยแรงงานในบ้าน  พ่อที่มีลูกเจ็ดแปดคนก็ได้แรงช่วยในการทำนา ทำสวน  ได้เปรียบกว่าพ่อที่มีลูกแค่คนสองคน
นอกจากนี้อัตราการตายของทารกมีสูงมาก   เรียกได้ว่าทุกครอบครัวที่มีลูกมากๆ จะต้องมีลูกบางคนตายไปแต่เล็ก ด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ

ดังนั้น การมีเด็กเพิ่มขึ้นมาในบ้าน  ไม่ว่าจะมีพ่อเด็กให้เห็นหรือไม่ก็ตาม  น่าจะเป็นเรื่องน่ายินดีมากกว่าควรห้ามปราม

หรือจะมองว่า ครอบครัวชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่ได้ร่ำรวย  ถ้าลูกสาวท้องขึ้นมาไม่มีพ่อ ก็เป็นภาระของตายายต้องหาเลี้ยงปากท้องเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง  จึงตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการห้ามคบผู้ชายเสียเลย
เว้นแต่ว่าพ่อแม่จัดการให้ลูกสาวแต่งงานไป  ได้ลูกเขยมาช่วยแรงงานในบ้าน หรือไม่ก็ปล่อยลูกสาวออกจากบ้านไปให้ลูกเขยหาเลี้ยง  อย่างนี้ค่อยบรรเทาภาระของผู้ใหญ่ลงบ้าง
บันทึกการเข้า
ดาวกระจ่าง
มัจฉานุ
**
ตอบ: 89


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 25 ก.พ. 20, 12:17

ขอบคุณสำหรับความรู้เพิ่มเติมค่ะคุณเทาชมพู
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 25 ก.พ. 20, 16:05

    ความจริงค่านิยมเรื่องนี้มีทั้งไทย และตะวันตก   ในอเมริกาเอง จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 2   พ่อแม่ก็ยังอบรมลูกสาวไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ก่อนแต่งงาน     ลูกสาวออกเดทได้ แต่หมายถึงการทำความรู้จักกันให้ดี  เพื่อเรียนรู้นิสัยใจคอ ว่าจะไปกันได้ไหม   มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้างในแต่ละฝ่าย    แต่ไม่มากกว่านั้น
    แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง    หนุ่มสาวมีอิสระเสรีมากขึ้น ยุค 1960 ปลายๆเป็นยุคของบุปผาชน หรือ Flower people  ซึ่งนิยมแหวกกฎเกณฑ์สังคมทุกชนิดรวมทั้งเรื่องความรักและการแต่งงาน    นำไปสู่ free sex  ทั้งหญิงและชาย   
     จากนั้น ทศวรรษ 1970s เป็นยุคของ Feminism หรือ สิทธิสตรี  ขบวนการปลดแอกผู้หญิงจากค่านิยมดั้งเดิม  ให้มีสิทธิและเสรีภาพทางสังคมเท่าผู้ชาย    จึงเกิดค่านิยมใหม่ว่า ผู้หญิงไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่ในกรอบฝ่ายเดียว ขณะที่ฝ่ายชายไม่ยักมีกรอบอย่างที่ว่า     ผู้หญิงสามารถเป็นอิสระจากกรอบได้มากเท่าผู้ชาย
   เพราะฉะนั้น ผู้หญิงก็มีสิทธิ์จะมีความสุขทางเพศได้ไม่จำกัด ก่อนแต่งงาน  หรือไม่อยากแต่งงานแต่มีแค่คู่นอนก็ไม่ผิดอะไร  ในเมื่อสิ่งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องผิดสำหรับผู้ชาย มาแต่ไหนแต่ไร
    มาถึง 2020  กลายเป็นว่า  การรักนวลสงวนตัวไม่ได้เป็นหลักประกันว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นคนดี  หรือประกันว่าจะได้แต่งงานกับท่านชายพจน์และคุณชายกลาง แล้วอยู่กันเป็นสุขตลอดไป   ไม่ได้ประกันว่าเธอจะประสบผลสำเร็จเรื่องการงาน หรือชีวิตครอบครัว    มันมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายเข้ามาเป็นตัวกำหนดเส้นทางชีวิต 
   แต่ที่ประกันได้อีกอย่างสำหรับค่านิยมรักนวลสงวนตัว  ชนิดไม่มีใครค้านได้ คือทำให้ผู้หญิงไม่เสี่ยงกับเอดส์และโรคที่เกิดจากความสัมพันธ์ทางเพศ ชนิดอื่นๆ ก่อนแต่งงานค่ะ   
    ส่วนแต่งไปแล้วจะเสี่ยงจากสามีไหม นั่นเป็นอีกเรื่อง
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.064 วินาที กับ 20 คำสั่ง