เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 ... 48
  พิมพ์  
อ่าน: 62037 เกี่ยวกับโคโรนาไวรัส อู่ฮั่น
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 225  เมื่อ 18 มี.ค. 20, 18:46


คนไทยกำลังเสียขวัญ วิตกกังวลอย่างแรงกล้า จากโรคระบาดที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน    การสวดมนตร์ในหมู่ชาวพุทธเป็นการทำให้ใจสงบลง   เรียกขวัญกำลังใจกลับคืนมาได้ด้วยวิธีหนึ่ง    
ข้อนี้เป็นดำริของสมเด็จพระสังฆราช  ด้วยทรงเมตตาต่อประชาชน     ปกติพระในวัดต่างๆท่านก็สวดมนตร์ทำวัตรเย็นอยู่แล้ว  เมื่อเพิ่มบทสวดเพื่อเป็นกำลังใจให้ประชาชนก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรตรงไหน
การถ่ายทอดทางทีวี ทำให้ประชาชนฟังสวดได้จากในบ้าน  ไม่ต้องออกจากบ้านไปแออัดกันอยู่ในวัด



นี่คืออีกตัวอย่างของการชิงพื้นที่สื่อแบบโง่ ๆ และเอาหน้าของนักการเมือง จนต้องออกมาแก้ข่าวครับ

ตอนแรกข่าวออกมา นักการเมืองเอาหน้า บอกว่าจะจัดให้วัดต่าง ๆ สวดมนต์  มีการถ่ายทอดสด มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นองค์ประธาน  นักการเมืองสื่อสารออกมาเหมือนว่านี่เป็นความคิดของนักการเมืองเอง ตัวเองสั่งการ นี่จะเป็นผลงานสร้างกำลังใจของตัวจัดทำขึ้น มีสมเด็จพระสังฆราชเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่ง โดยไม่ดูว่าหนังหน้าตัวเองว่ามีน้ำหนักในใจคนแค่ไหน สุดท้ายพระดำริของสมเด็จก็มัวหมองไป พอคนออกมาด่ามาก ๆ ถึงกาละเทศะ ถึงค่อยออกมาแก้ตัวว่าที่จริงเป็นพระดำริของสมเด็จพระสังฆราช

ถ้าสื่อสารออกมาแต่แรก ว่าสมเด็จพระสังฆราชทรงห่วงใยและทรงอยากสร้างกำลังใจให้คนไทยแต่แรก  นักการเมืองเห็นว่าดีมากและสมควรสนองพระดำริ จึงจะจัดถ่ายทอดสด และเพื่อป้องกันการระบาดจะไม่อนุญาตให้คนนอกอยู่ในพื้นที่พิธี ให้ดูถ่ายทอดสดเอา  ทุกคนจะรู้สึกดี แต่เมื่ออยากชิงเอาหน้า กระแสจึงเป็นแบบนี้ เวรกรรมไม่ต้องรอจริง ๆ
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12600



ความคิดเห็นที่ 226  เมื่อ 18 มี.ค. 20, 18:48

พระท่านเทศนาไว้ดังนี้แล

https://www.facebook.com/690799674685714/posts/898949137204099/




บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 227  เมื่อ 18 มี.ค. 20, 19:05

ผมติดใจบรรทัดสุดท้ายอักษรขาวพื้นสีน้ำเงินเท่านั้นเองครับ  ยิ้มกว้างๆ
น่าจะเป็นโฆษณา ค่ะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 228  เมื่อ 18 มี.ค. 20, 19:09

จาก Fb ของFuangrabil Narisroj อยู่กับ Pongprom Yamarat และอีก 19 คน
56 นาที ·
ผมรู้ตัวว่าผมเป็นคนรุ่นเก่าครับ เป็นรุ่น Baby Boomer และเป็น พุทธศาสนิกชน ที่ไม่ได้เคร่งหรือปฏิบัติถือศีลกินเพลอะไร

แต่สิ่งที่ผมทำประจำคือพยายามใส่บาตรพระให้ได้ทุกวัน เผอิญที่บ้านมีพระ/เณรเดินผ่านหน้าบ้าน

ตอนผมเล็กๆ พ่อพาไปฝึกนั่งสมาธิกับท่านเจ้าคุณเทพสิทธิญาณมุนี ที่ คณะ 5 วัดมหาธาตุ ช่วงพี่ชายคนกลางบวชที่วัดมหาธาตุ พ่อคงเห็นว่าผมปิดเทอมแทนที่จะไปวิ่งเล่นเสียเวลา ก็เลยจับมาฝึกนั่งสมาธิ ซึ่งก็ได้ผลดีนะ ผมเรียนมีสมาธิ จำได้ดีขึ้น

โตขึ้นมา ผมก็บวชที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ 1 เดือน ก็ได้นั่งสมาธิ ได้สวดมนต์ ซึ่งเป็นอะไรที่ผมชอบมาก และรับรู้ได้เลยว่าการสวดมนต์มีพลัง ช่วงนี้เองที่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่นอกเหนือวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่วันแรกที่บวช ไว้มีโอกาสจะเล่าสู่กันฟังต่อไป

โตขึ้นมารับราชการเป็นนักการทูต ครั้งที่ได้ออกไปประจำการที่ลาว ก็ได้มีโอกาสมาทำบุญ สวดมนต์นั่งสมาธิ ที่วัดป่าแถวอีสานหลายวัด ซึ่งวัดที่ผมได้ทำบุญมากก็วัดป่าบ้านตาด ของหลวงตามหาบัว ได้พบกับสิ่งที่”มหัศจรรย์” ซึ่งอธิบายทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้หลายเรื่อง

อีกวัดที่ผมชอบไปทำบุญใส่บาตร นั่งสมาธิและร่วมสวดมนต์ทำวัตรเย็นเป็นประจำ ซึ่งปัจจุบันก็ยังทำอยู่คือที่วัดบ้านจิก ของหลวงปู่ถิร และวัดถ้ำสหาย ของหลวงปู่จันเรียน

ของบางอย่าง เรื่องบางเรื่อง อธิบายให้คนต่าง generation ฟังคงไม่เข้าใจ แถมบางคนออกอาการดูถูกเสียอีก

เคราะห์ดีที่ผมได้คุณพ่อซึ่งท่านจบทางด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จาก Durham University ประเทศอังกฤษ และท่านเคยไปดูงานอบรมเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์ที่ฝรั่งเศส ท่านเป็นคนแรกๆที่ได้เขียนเรื่องความเหมือนความพ้องกันในสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ เทียบกับทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ท่านก็ได้เล่าได้สอนให้ผมฟังถึงเรื่องราวทางพุทธศาสนากับวิทยาศาสตร์ว่าเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร

ท่านได้เขียนบทความนี้ให้ชื่อว่า “ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ” ลงพิมพ์ครั้งแรกในหนังสือนาวิกศาสตร์ของกองทัพเรือ เมื่อปี 2509 ท่านได้เทียบเคียงโดยละเอียดว่าสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ กับสิ่งที่ไอน์สไตน์ค้นพบนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ที่พ้องกันมากที่สุด

คุณพ่อได้อธิบายเรื่องความต่างทางมิติและเวลา เรื่องของมวลและพลังงาน เรื่องของวิญญาณและนามรูป โดยท่านไดถอดทฤษฎี ถอดสมการต่างๆให้ดูอย่างละเอียดว่าตรงกันอย่างไร

เป็นที่น่าภูมิใจของพ่อคือ มีท่านผู้ใหญ่ใน ทร.นำบทความที่พ่อเขียนไปให้ในหลวง ร.๙ ทอดพระเนตร และพระองค์ท่านได้ทรงชมเชยบทความของคุณพ่อผมว่าเป็นการเปรียบเทียบที่ดีมาก (ถ้าจำไม่ผิด พ่อน่าจะเป็นคนแรกๆที่เทียบเรื่องนี้ระหว่างหลักคำสอนของพระพุทธองค์และทฤษฎีของไอน์สไตน์)

ถ้าท่านผู้ใดสนใจยังค้นหาได้จากกูเกิ้ล โดยพิมพ์คำว่า “ความมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ” โดย สนิท เฟื่องระบิล (ชื่อคุณพ่อผม) ซึ่งท่านยกบทความนี้เป็นวิทยาทานให้กับสำนักเผยแพร่พระพุทธศาสนา พร รัตนสุวรรณ ครับ

(หมายเหตุในบทความที่ค้นได้ทางกูเกิ้ลมีพิมพ์ผิดหลายที่ เช่น เรื่อง พศ. และตัวเลข ใครสงสัยคุยกันได้หลังไมค์)

ที่เล่ามาทั้งหมดก็เพื่อบอกว่าในโลกใบนี้ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่นอกเหนือการพิสูจน์

และขอสรุปง่ายๆตรงนี้ว่าการสวดมนต์ไม่ใช่เรื่องงมงาย ไม่ใช่ไสยศาสตร์ แต่เป็นวิธีฝึกสมาธิจิตแบบหนึ่ง และเมื่อจิตเราเป็นสมาธิ เราก็มีสติ และเมื่อเรามีสติ ปัญญาก็จะตามมา หรือที่คำพังเพยบอกว่า “สติมาปัญญาเกิด”

และเมื่อเรามีปัญญาเราก็เอาชนะปัญหาและอุปสรรคต่างๆได้โดยไม่ตื่นตระหนกหรือวิตกจริตจนเกินเหตุครับ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 229  เมื่อ 18 มี.ค. 20, 20:31

ดูจะมีคำทางวิชาการอยู่สองสามคำที่เกี่ยวขัองกับการบริหารจัดการกับวิกฤตการณ์ทางด้านสาธารณสุขและสุขอนามัยของไทยที่เกี่ยวกับเรื่องการระบาดของไวรสโควิด-19    ผมเชื่อว่าผู้ที่มีการศึกษาและได้จบมาอย่างมีความรู้ที่มีคุณภาพ คือรู้และเข้าใจถึงแก่น มิใช่รู้เพียงแต่เปลือก โดยเฉพาะผู้ที่มีการศึกษาในระดับ Postgraduate ทั้งหลาย เขาเหล่านั้นจะต้องผ่านกระบวนการคิดและการตัดสินใจที่จัดอยู่ในระบบที่เรียกว่า Delphi methodology, Forsight Medthodology, และ Paradigm ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะได้เรียนรู้วิชาเหล่านี้โดยตรงหรือไม่ก็ตาม    

สามกระบวนการที่กล่าวถึงนี้ เป็นเรื่องที่หลายประเทศที่มีความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจทั่วโลกเขาดำเนินการกัน บางประเทศก็ทำทุกๆ 3 ปี บ้างก็ 5 ปี  รอบบ้านเราเขาก็เรียนรู้ที่จะทำกัน ซึ่งอย่างน้อยเขาก็รู้สภาพและสถานะของ Comparative advantage ของเขา

ผมได้เห็นภาพท่านนายกฯนั่งหัวโต๊ะการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง การประชุมในวงแคบ และการประชุมแพทย์เฉพาะผู้เชี่ยวชาญในระดับปรมาจารย์  มันบ่งชี้ได้ว่าท่านนายกฯได้เข้าถึงการตัดสินใจบนพื้นฐานของเทคนิคทั้งสามที่ได้กล่าวถึงนี้  จึงมั่นได้ว่าการตัดสินใจต่างๆตั้งอยู่บนเหตุและผลที่สมควรและเหมาะสมกับสภาพการณ์ ณ กาลเวลาต่างๆ  

สำหรับในเรื่องมาตรการของรัฐ(ไทย)ต่างๆที่มีการถกเถียงกันแพร่หลายอยู่นั้น  ผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องของ Paradigm ที่ต่างคนต่างก็มีความเห็นบนพื้นฐานของข้อมูล ซึ่ง(ดูจะ)ล้วนประมวลมาจากข้อมูลต่างๆซึ่ง(จะว่าไป)ก็ดูจะเป็นข้อมูลทุติยภูมิ และ/หรือที่ไม่มีหลักฐานอ้างอิงทั้งนั้น

ขออภัยที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษสำหรับคำทางเทคนิค
บันทึกการเข้า
ninpaat
ชมพูพาน
***
ตอบ: 167


ความคิดเห็นที่ 230  เมื่อ 19 มี.ค. 20, 08:16

ข้อมูลภาพรวมทั้งโลกครับ กราฟฟิคดูเข้าใจง่าย สื่อความหมายได้ดี

https://www.washingtonpost.com/graphics/2020/world/mapping-spread-new-coronavirus/

หมายเหตุ : ณ เวลานี้ 2563/03/19 0800 เพื่อนบ้านเราสองประเทศคือ ลาวและเมียนมาร์ ดูเหมือนจะยังไม่มีตัวเลขผู้ติดเชื้อเลย ผมดีใจด้วยจริงๆและหวังว่าจะเป็นเช่นนี้ไปตลอดเหตุการณ์นี้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 231  เมื่อ 19 มี.ค. 20, 09:22

โป๊บฟรานซิส ภาวนา ให้ "กรุงโรม" พ้นจากโรคระบาด

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรงภาวนาหน้าพระรูป พระผู้ปกป้องชาวโรม (Salus Populi Romani) และทรงเดินไปภาวนาหน้าไม้กางเขนที่เชื่อว่าช่วยปกป้องกรุงโรมจากโรคระบาด

นอกจากนั้น แล้วสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสยังทรงออกมาอวยพรเหนือจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ที่มีแต่ความว่างเปล่าเนื่องจากประชาชนต่างกักตัวอยู่ในบ้านเรือนทั้งที่ก่อนหน้านี้ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ จะเต็มไปด้วยผู้นับหมื่นเพื่อฟังพรของพระองค์ในทุกวันอาทิตย์

สำหรับสถานการณ์ในอิตาลี ล่าสุด กระทรวงสาธารณสุขของอิตาลี ออกแถลงการณ์ (16มี.ค.)  ว่ามีผู้เสียชีวิตช่วง 24 ชั่วโมงเพิ่มขึ้น 368 ราย คิดเป็น 25% ถือเป็นการเสียชีวิตจากโรคโควิด-19 มากที่สุดในวันเดียวของอิตาลี ทำให้สถิติผู้เสียชีวิตสะสมอยู่ที่ 1,809 ราย

https://www.pptvhd36.com/news/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%99/121448


บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 232  เมื่อ 20 มี.ค. 20, 07:02

ต้องขัดใจคุณ Naris อีกแล้ว กับการจัดการของภาครัฐ

ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย เรื่อง แนวปฏิบัติสำหรับผู้ดำเนินการเดินอากาศที่ทำการบินมายังประเทศไทย ในส่วนของการที่ต้องแสดงเอกสารทั้งใบรับรองแพทย์ว่าไม่มีเชื้อ COVID-19 และประกันสุขภาพสำหรับชาวต่างชาติ และใบรับรองแพทย์แสดงความเหมาะสมต่อการเดินทางทางอากาศและหนังสือรับรองการเดินทางกลับประเทศไทยที่ออกให้โดยสถานเอกอัคราชทูตไทย สถานกงสุลใหญ่ หรือกระทรวงการต่างประเทศ

ที่หนักหนาสาหัสคือ คนไทยจากทุกประเทศทั่วโลกต้องมีใบรับรองแพทย์ และหนังสือรับรองการเดินทางกลับประเทศไทย ที่อันหลังไม่รู้ว่าจะมีทำไม passport ไทยไม่พอหรือที่จะรับรองความเป็นคนไทยและนี่เป็นการเพิ่มงานให้สถานทูตโดยไม่จำเป็น เพิ่มความเสี่ยงให้ จนท สถานทูตไปอีก

ดูข่าวจากในลอนดอนมีคนแตกตื่นไปสถารทูตกันเยอะ  ปรากฎว่าทางกระทรวงต่างประเทศก็ไม่รู้ถึงประกาศนี้มาก่อน จู่ ๆ สำนักงานการบินพลเรือนจะประกาศก็ประกาศเอง  แสดงให้เห็นว่าภาครัฐไม่มีการประสานงานคุยกันอีกแล้ว คือถ้าจะปิดประเทศก็ปิดไปเลย แต่ไม่ควรปิดโดยการออกกฎที่ทำให้คนปฏิบัติตามไม่ได้แบบนี้


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ

คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12600



ความคิดเห็นที่ 233  เมื่อ 20 มี.ค. 20, 07:41

คนไทยในอังกฤษอธิบายสถานการณ์และปัญหาไว้ดังนี้

https://www.facebook.com/639499124/posts/10157380370909125/





บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 234  เมื่อ 20 มี.ค. 20, 09:29

ถ้านำไปลงไทยโพสต์ได้ น่าจะถึงมือนายกฯได้เร็วค่ะ   
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 235  เมื่อ 20 มี.ค. 20, 10:07

Arunee Kittisan Sriruksa
41 นาที ·
เราจะต้องผ่านมันไปได้แน่ ๆ ค่ะ ช่วยกัน ๆ

แชร์โพสต์จาก FB คุณหมอ Kanokwan Sriruksa...
"the best outcome of this pandemic would be being accused of having overprepared."
คุณหมอคนที่เขียนบทความนี้ จบข้อเขียนของเธอด้วยประโยคนี้
เป็นบทความที่เศร้าและท้าทายอารมณ์ที่สุด แต่ก็ตัดสินใจว่าเราต้องเขียนเพื่อสื่อสารบางอย่างก่อนจะสายไป

บทความนี้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอิตาลีจากคำบอกเล่า (ที่บางครั้งคนเล่าก็ไม่อยากจะพูด) ของแพทย์ที่ทำงานต่อสู้กับโรคโควิด ณ เวลานี้ในอิตาลี

เริ่มจากหมอวัยกลางคนท่านหนึ่ง เป็นระดับหัวหน้าหน่วยโรคหัวใจ คุณหมอเริ่มรู้สึกว่าตัวเองป่วย และได้ขอตรวจเพื่อยืนยันว่าเป็น covid19 หรือไม่ เขาได้ถูกปฏิเสธไม่ให้ตรวจ เพราะตอนนี้ชุดตรวจไม่เพียงพอแล้ว หากรู้สึกว่าตนเองป่วยก็ให้ลางานและกลับไปพักผ่อนดูแลตัวเองที่บ้านซะ

คุณหมอท่านนี้กลับไปขังตัวเองที่ห้องใต้ดินที่บ้าน เพราะไม่อยากให้คนในบ้านติดเชื้อไปด้วย โชคดีที่หาย และได้เอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง

อิตาลีมีจำนวนเตียงที่สามารถดูแลผู้ป่วยได้ประมาณ 3.2 เตียงต่อ 1000 คน (ถือว่าเยอะเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก) อเมริกา 2.8 ส่วนประเทศไทยเรา 2.6 (ไม่ได้แย่นะ ถ้าเทียบกัน)....แต่ ในสภาวะที่มีคนเจ็บป่วยพร้อม ๆ กันวันละหลายร้อยคน จำนวนเตียงเท่าไหร่ก็ไม่พอ เครื่องมือเท่าไหร่ก็ไม่พอ

ทุกวันนี้ก็อย่างที่เราได้อ่านตามพาดหัวข่าว ว่าหมอต้องตัดสินใจช่วยคนที่มีความหวังก่อน นี่มันราวกับในสนามรบเลยทีเดียว แต่จริง ๆ จะว่าไปแล้ว นี่ก็คือสนามรบนั่นแหละ เพียงแต่ศัตรูไม่ใช่อาวุธ ศัตรูของเราคือสิ่งมีชิวิตที่เรามองไม่เห็น แต่รู้ว่ามันมีอยู่

หมอที่นั่นอยู่ในสภาพกลืนไม่เข้า คายไม่ออก การที่ต้องเลือกว่าจะช่วยใคร ระหว่างคุณลุงวัย 65 ปี กับแม่ลูกหนึ่งอายุ 30 ปีที่กำลังรักษามะเร็งเต้านม คุณเอาอะไรมาตัดสินว่าคนแก่ที่ไม่มีโรคประจำตัวจะมีโอกาสรอดมากกว่าคนอายุน้อยที่เป็นมะเร็ง เราจะเอาเครื่องช่วยหายใจจากคุณยายวัย 70 ที่ก่อนหน้านี้ก็แข็งแรงดี ที่รักษามา 10 วันแล้วยังไม่ไดีขึ้น เพื่อเอามาช่วยชายวัย 40 ปีที่เพิ่งเข้ามาดีไหม???

เมื่อคืนเราได้เห็นภาพที่น่าเศร้าที่สุด ที่ไม่นึกว่าจะได้เห็นในศตวรรษที่ 21 ที่เทคโนโลยีทางการแพทย์ก้าวหน้าขนาดนี้
ภาพโลงศพนับสิบ ๆ ที่วางเรียงรายรอการเคลื่อนย้ายในอิตาลี

สถานการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่ไหน ๆ ก็ได้ในโลกนี้

แต่สถานการณ์นี้อาจไม่เกิดขึ้นที่เมืองไทยหากเราทุกคนช่วยกัน
รัฐบาลชาติไหน ๆ ก็ช่วยไม่ได้ หากออกข้อกำหนด คำแนะนำสาระพัด แล้วไม่มีคนทำตาม
อย่าถึงกับต้องให้เอาทหารตำรวจถือปืนมาขู่บังคับเลย
เรารียกร้องความเป็นประชาธิปไตยกันใช่หรือไม่

ประชาธิปไตย ไม่ใช่ประชาชนเป็นใหญ่ จะทำอะไรก็ได้ตามที่คนส่วนใหญ่ต้องการ
ประชาธิปไตยที่งดงาม ควรเป็นประชาธิปไตย "เพื่อ" ประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ต้องเรียกร้องเอาจากใคร แต่สร้างได้จากพวกเราทุกคน

ถามว่าอ่านบทความนี้แล้วกลัวไหม ในฐานะที่เป็นหมอคนหนึ่ง
ตอบเลยว่า "กลัว"
ไม่ใช่แค่กลัวตาย แต่กลัวว่าจะเอาโรคไปติดคนที่บ้านไหม กลัวว่าถ้าเราตายใครจะดูแลพ่อแม่

แต่ถามว่าจะถอยไหม
ตอบว่า ไม่ พร้อมที่จะสู้
แต่ไม่อยากสู้คนเดียวค่ะ

อยากขอร้องให้ใครก็ตามที่มีโอกาสอ่านเรื่องนี้สู้ไปด้วยกัน
สู้ด้วยการดูแลตัวเองอย่างที่ควรจะเป็น ดูแลสังคม รับผิดชอบต่อส่วนรวม
ถ้าเราจะไม่ได้ดูหนังในโรงภาพยนตร์ ไม่ได้ไปสังสรรค์ ไปดื่มกับเพื่อนสัก 1-2 เดือน แต่เราจะมีโอกาสได้ใช้ชีวิตกับคนที่เรารักเหล่านั้นได้นานกว่านั้นอีก
ยอมเถอะค่ะ

#หยุดCOVIDที่ตัวเรา
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12600



ความคิดเห็นที่ 236  เมื่อ 20 มี.ค. 20, 11:02

ฟังผู้นำบ้านเขาแถลงข่าวทางโทรทัศน์กับประชาชน เปรียบเทียบกับผู้นำบ้านเราสื่อสารกับประชาชนแล้ว แสนละเหี่ยใจ  เศร้า



ประชาชนที่รัก...........

อังเกลา แมร์เคิล สมุหนายกแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี แถลงข่าวทางโทรทัศน์ต่อสาธารณชนเยอรมัน ๑๙ มีนาคม ๒๐๒๐

ธีรภัทร เจริญสุข แปล

https://www.facebook.com/684336808/posts/10156738587066809/
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 237  เมื่อ 20 มี.ค. 20, 11:18

ในเมื่อเรายังย้ายไปเป็นพลเมืองเยอรมันไม่ได้     ก็ควรดูแลตัวเองตามนี้ไปก่อนนะคะ    จะเบาแรงทั้งประเทศชาติและนายกฯได้มากเลย

จาก FB รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์
อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์
1 ชม. ·
สรุปเรื่อง "โรคโควิด-19 จากเชื้อโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่" ที่ไปให้สัมภาษณ์ในรายการ #แฉ ของคุณมดดำ เมื่อคืนนี้ ช่อง GMM 25 ครับ

- ขอเสนอคำขวัญสำหรับการระบาดเฟส 3 ว่า "กินร้อน ช้อนกู ถูสบู่ อยู่ห่างกัน"

- เชื้อไวรัสตัวนี้ไม่ได้ร้ายแรงขนาดติดปุ๊บตายปั๊บ คนส่วนใหญ่คนที่คิดเชื้อสามารถรักษาหายได้ ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันสู้ได้

- แต่มีคนบางส่วนที่จะมีอาการร้ายแรง ซึ่งที่ต้องระวังมากคือ คนสูงอายุ คนมีโรคประจำตัว เช่น โรคทางเดินหายใจ โรคเบาหวาน ฯลฯ ต้องระวังติดเชื้อมากกว่าคนอื่น

- ไทยเราโชคดี ที่ผ่านมาอากาศร้อน เลยช่วยชะลอการระบาดได้ เพื่อเชื้อนี้ระบาดง่ายสุดที่อากาศเย็นประมาณ 9 องศา ทำให้จีนและยุโรประบาดเยอะ

- สิ่งที่ควรทำมากที่สุดตอนนี้ คือ social distancing อยู่ให้ห่างจากสังคม ลดการชุมนุม ลดการเคลื่อนย้ายของคน เพราะคนคือพาหะ ถ้าอยู่บ้านเป็นหลักก็ได้จะดี

- หน้ากากอนามัย ถ้าคนป่วย ต้องใส่ เพื่อป้องกันไม่ให้ไปแพร่เชื้อใส่คนอื่น ส่วนคนไม่ป่วย ไม่จำเป็นต้องใส่ เพราะแบบที่ใส่กันอยู่นั้นแทบป้องกันอะไรไม่ได้ ต้องใช้หน้ากากแบบ N95 เท่านั้นน

- จริงๆ แล้ว เชื้อส่วนมากไม่ได้ลอยไปมาอยู่ในอากาศ แต่การติดต่อส่วนใหญ่ จะเกิดจากน้ำลายที่ไอจามนั้นกระเด็นมา แล้วหายใจเข้าไป อีกส่วนคือคือมือไปโดนเชื้อแล้วมาสัมผัสปากหน้าตา

- สบู่ คือสิ่งที่ดีที่สุดในการล้างฆ่าเชื้อ เพราะการล้างด้วยสบู่จะบังคับให้เราต้องล้างมือนานๆ ขณะที่เอทิลแอลกอฮอล์นั้น แม้จะฆ่าเชื้อได้ แต่หลายคนชอบถูมือแค่แป๊บเดียว ซึ่งทำให้ไปได้ไม่ทั่วมือ

- การออกกำลังกายอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยป้องกันโรคได้ เพราะมีตัวอย่างนักกีฬานักบอลก็ติดโรคได้ ดังนั้น การ "กินร้อน ช้อนกู ถูสบู่ อยู่ห่างกัน" นั้นดีที่สุด

- เรื่องปิดประเทศ ฟังดูดี ถ้ามีปัญหาในด้านการปฏิบัติ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องติดนานแค่ไหน 1 สัปดาห์ 1 เดือน 1 ปี ... จริงๆ จึงควร "ปิดตัวเอง" ให้ได้ ก่อนที่จะปิดเมืองปิดประเทศ

- ทิ้งท้ายว่า ถึงแม้จะรักษาได้ ไม่ได้จะตายง่ายๆ แต่ไม่ติดเชื้อไวรัสได้นั้นดีสุด ดังนั้น อย่าพยายามหาเรื่องเสี่ยงเอาเชื้อเข้าตัวเอง เราน่าจะยังต้องอยู่กับสาขาการเฝ้าระวังแบบนี้ไปอีกนาน

ดูคลิปรายการ (ตั้งแต่นาทีที่ 24 เป็นต้นไป) ได้ที่
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 238  เมื่อ 20 มี.ค. 20, 12:14

ข่าวดี


บันทึกการเข้า
ประกอบ
สุครีพ
******
ตอบ: 1342


ความคิดเห็นที่ 239  เมื่อ 20 มี.ค. 20, 13:55

ข่าวดี

แต่ไม่รู้ว่าแสนแปดหมื่นเม็ดนี่ เพียงพอสำหรับคนป่วยเท่าไหร่
บันทึกการเข้า

วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 ... 48
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.088 วินาที กับ 20 คำสั่ง