เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
อ่าน: 7173 สงครามเย็น ในยุค 1950s และหลังจากนั้น
superboy
พาลี
****
ตอบ: 222


เว็บไซต์
 เมื่อ 06 ธ.ค. 19, 14:28

เด็กๆ ยุคนี้ช่วงปลายปี 195x ถึงต้นปี 196x ต้องเผชิญวิกฤตสงครามนิวเคลียร์ด้วยครับ โดยเฉพาะปี 1962 ที่โซเวียตนำขีปนาวุธหัวรบนิวเคลียร์มาติดตั้งที่คิวบา ไปโรงเรียนก็มีสอนการหลบภัยในหลุมอะไรพวกนี้ด้วย


ยุคนี้ทางทหารถือว่าเป็นรุ่นตื่นนิวเคลียร์ครับ ถึงขนาดมีระเบิดน้ำลึกหัวรบนิวเคลียร์ จรวดต่อสู้อากาศยานหัวรบนิวเคลียร์ หรือระเบิดครกหัวรบนิวเคลียร์ใช้ทหารพกพาไป 2 นาย (ตอนนั้นยังไม่สนใจเรื่องรังสีสะสม มีทหารตายไปเยอะเหมือนกัน)  เป็นเงามืดๆ ปกคลุมอเมริกาไว้แบบรางเลือน กระทั่งมาชัดเจนเกือบเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ในปี 1962 ผมขอใส่เข้ามานิดหน่อยนะครับเพราะอยู่ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกัน
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 06 ธ.ค. 19, 14:55

        ชอบ Far from Heaven มาก, โดยเฉพาะ การแสดงของ Julianne Moore ผู้รับบทแม่บ้านที่มีชีวิต
ในฝัน (white) American Dream จนกระทั่งคืนหนึ่งความฝันกลายเป็น 'American Nightmare',
งานสร้างที่นำพาคนดูย้อนกลับไปในยุคนั้นเหมือนที่เคยเห็นในหนังทีวีและหนังโรงยุคก่อน และงานกำกับภาพ
ที่สวยงามจนภาพสุดท้าย


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 06 ธ.ค. 19, 14:56

กรุณาเล่าเรื่องปี 1962 ที่ว่าเกือบเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหมคะ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 06 ธ.ค. 19, 15:26

       ชอบ Far from Heaven มาก, โดยเฉพาะ การแสดงของ Julianne Moore ผู้รับบทแม่บ้านที่มีชีวิต
ในฝัน (white) American Dream จนกระทั่งคืนหนึ่งความฝันกลายเป็น 'American Nightmare',
งานสร้างที่นำพาคนดูย้อนกลับไปในยุคนั้นเหมือนที่เคยเห็นในหนังทีวีและหนังโรงยุคก่อน และงานกำกับภาพ
ที่สวยงามจนภาพสุดท้าย


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 06 ธ.ค. 19, 16:00

 ขอส่งไมค์เชิญคุณหมอ SILA บรรยายเรื่องสงครามเย็นค่ะ
บันทึกการเข้า
superboy
พาลี
****
ตอบ: 222


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 06 ธ.ค. 19, 19:45

     พอดีผมมาเฝ้าคนป่วยที่โรงพยาบาล ขอพูดถึงสั้นๆ ก่อนนะครับ ยังงงๆ ว่าจะเขียนยังไงดี  ฮืม


      หลังสงครามโลกครั้งที่สอง หลังการล้มสลายของฝ่ายอักษะ สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือระบบคอมมิวนิสต์กับระเบิดนิวเคลียร์ ถ้าเราพูดถึงระเบิดนิวเคลียร์ทุกคนจะนึกถึงจุดจบสงครามโลกครั้งที่สอง หรือสงครามล้างโลกที่จุดจบคือพังด้วยกันทั้งสองฝ่าย


     หมายความว่าระเบิดนิวเคลียร์คืออาวุธทางยุทธศาสตร์ตัดสินผลแพ้ชนะทันที แต่ทว่า...ทหารไม่ได้คิดแบบนั้นทุกคนครับ นิวเคลียร์เป็นอาวุธทางยุทธวิธีทำให้เราชนะในสงครามพื้นที่จำกัดก็ได้เช่นกัน อาทิเช่น เรือดำน้ำยิงตอร์ปิโดหัวรบนิวเคลียร์ทำลายกองเรือข้าศึก เครื่องบินขับไล่ยิงจรวดหัวรบนิวเคลียร์ทำลายฝูงบินข้าศึก แม้กระทั่งปืนใหญ่ยิงกระสุนหัวรบนิวเคลียร์ทำลายกองทัพข้าศึก แนวคิดนี้ทำกันอย่างจริงจังในช่วงแรกของสงครามเย็น


      เมื่อเข้าสู่ยุค baby boomer ก็เกิดการเผชิญหน้าระหว่างโลกเสรีกับค่ายสังคมนิยมทันที สงครามตัวแทนเกิดขึ้นที่เกาหลี และระเบิดนิวเคลียร์ก็เกือบถูกใช้งานทางยุทธวิธีเช่นกัน เมื่อกองทัพอเมริกาเจอคลื่นมนุษย์กองทัพจีนโจมตี จนต้องหนีหัวซุกหัวซุนกลับมาเขตแดนตัวเอง นายพลแมคอาเธอร์เสนอให้ใช้ระเบิดนิวเคลียร์จัดการกองทัพจีน เพราะอีกฝ่ายมาเยอะเกินลูกน้องตัวเองสู้ไม่ไหว ไม่ได้หวังขนาดชนะศึกเด็ดขาดหรอกครับ แต่โชคดีไม่มีคนเอาด้วย ไม่อย่างนั้นเกาหลียับเยินกว่านี้แน่
บันทึกการเข้า
superboy
พาลี
****
ตอบ: 222


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 06 ธ.ค. 19, 19:51

      ยุค baby boomer อเมริกามีขีปนาวุธหัวรบนิวเคลียร์มากกว่าโซเวียต เพราะกำลังทางบกในยุโรปของนาโต้มีน้อยกว่าฝั่งวอซอร์เช่นกัน อเมริกานำมาติดในหลายๆ ประเทศล้อมรอบโซเวียตเอาไว้ ส่วนตัวผมคิดว่าติดไว้ก่อนไม่ได้คิดเรื่องยุทธศาสตร์หรือยุทธวิธีสักเท่าไร เพราะขีปนาวุธที่ติดมีอายุการใช้งานสั้นมาก ใช้ได้บ้างใช้ไม่ได้บ้าง อายุ 10 ปีต้องปลดประจำการแล้วก็มี ช่วงนั้นมันเป็นช่วงลองผิดลองถูก อาศัยว่าติดไว้ก่อนข่มไว้ก่อนทำนองนี้

       โซเวียตในตอนนั้นทำอะไรอเมริกาด้วยนิวเคลียร์ไม่ได้ เพราะพี่แกอยู่คนละทวีปยิงยังไงก็ยิงไม่ถึง แต่โซเวียตมีอาวุธสำคัญอีกอย่างก็คือระบบคอมมิวนิสต์ จึงใช้อาวุธชิ้นนี้เจาะเข้ามาในละตินอเมริกา ทำไปทำมาก็สามารถเข้าถึงฟรีเดล คาสโตรผู้นำประเทศคิวบา ซึ่งอยู่ใกล้อเมริกาแค่ปลายจมูก

      คาสโตรสมัยก่อนก็เป็นเด็กปั้นของอเมริกานี่แหละครับ พอเจ้าตัวเปลี่ยนไปอเมริกาจึงต้องการโค่นล้ม ให้ซีไอเอเข้าไปจัดเตรียมคนในประเทศจำนวนหนึ่ง แล้วส่งกองกำลังตัวเองเข้าบุกที่อ่าวหมูหรือ bay of pigs ปรากฏว่าผิดแผนพ่ายแพ้ยับเยิน สร้างความอับอายให้กับกองทัพอเมริกามาก ต่อมาไม่นานในปีเดียวกัน 1961 คาสโตรขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์คิวบา เปลี่ยนมาเป็นรัฐสังคมนิยมมหามิตรของโซเวียตและหอกข้างแคร่ของอเมริกา

      ผมเกริ่นไว้เท่านี้ก่อนนะครับ กลับบ้านวันไหนแล้วจะมาต่อ
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 06 ธ.ค. 19, 20:36

คุณ  superboy เขียนเล่าเรื่องนิวเคลียร์ฉาดฉานราวกับเป็นคอลัมนิสต์เก่า
ขอให้คนป่วยหายเร็วๆนะคะ 

ในยุคสงครามเย็นระหว่างค่ายเสรีนิยมของอเมริกา กับค่ายสังคมนิยมคอมมิวนิสม์ของโซเวียตและจีน    ไทยเราก็ได้รับอิทธิพลมาเต็มๆ   จำได้ว่ารัฐบาลไทยสนับสนุนฝ่ายอเมริกาเต็มตัว   คอมมิวนิสต์จึงกลายเป็นคำที่น่าเกรงกลัวมากสำหรับประชาชน
ใครเป็นผู้นำทางฝายตรงข้าม ไม่ว่าอยู่ประเทศไหน จะมีภาพลักษณ์น่าเกลียดน่ากลัวมาก     ฟิเดล คาสโตรก็ถูกระบายสีเป็นผีร้ายฉกาจฉกรรจ์ตัวหนึ่ง   เชกูวาราก็น่ากลัวพอกัน
ทั้งๆคนไทยไม่ได้รู้จักที่มาที่ไปของสองคนนี้เลย
บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 07 ธ.ค. 19, 10:37

โล่งใจ,คุณ superboy รับไม้แทนไปแล้ว
        
ระหว่างรอ,เนื่องจากเวลาไม่อำนวย, ขอแปะตัดดัด บางส่วนจากข้อเขียนของ คุณสุรชาติ บำรุงสุข ในมติชนสุดสัปดาห์
และเพิ่มเติมเล็กน้อย

โลกใหม่หลังสงคราม

             7 พฤษภาคม 1945… เยอรมนีประกาศยอมแพ้,สิ้นสุดสงครามโลก ตามมาด้วยเรื่องใหญ่ที่สุดในเวที
การเมืองโลกคือ การแข่งขันระหว่างรัฐมหาอำนาจใหญ่ และการต่อสู้ภายใต้เงื่อนไขที่คู่แข่งขันมีสถานะเป็น
“รัฐมหาอำนาจนิวเคลียร์”  ทำให้รัฐมหาอำนาจทั้งสองไม่สามารถขยายความขัดแย้งให้กลายเป็นสงครามแบบเดิม,
ไม่ยกระดับความขัดแย้งให้เป็น “สงครามร้อน” (hot war) เพราะต่างฝ่ายก็มีอาวุธนิวเคลียร์

                      สงครามจึงมีสภาพ “เย็น” ไม่ใช่ “ร้อน” ในแบบสงครามทั่วไป  

             “สงครามเย็น” (The Cold War) คือ สงครามที่รัฐมหาอำนาจรบไม่ได้ มิฉะนั้น จะกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์
หรือในทางทฤษฎีคือจะไม่เกิดสิ่งที่เป็น “open armed conflict”

              การต่อสู้กลับมีความเข้มข้นในมิติอื่น โดยเฉพาะการต่อสู้ทางการเมืองผ่านการโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อชักจูง
ให้ผู้คนในอีกฝ่ายหนึ่งคล้อยตามและตัดสินใจที่จะเข้าร่วมกับฝ่ายตน
              การต่อสู้อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของการใช้ “สายลับ” เพื่อดำเนินภารกิจลับในการแสวงข้อมูลด้านข่าวกรอง
ของฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายตะวันตกหรือฝ่ายตะวันออก
              อีกด้านการแข่งขันปรากฏในรูปของการสร้างความเหนือกว่าทางเศรษฐกิจ
              รวมถึงการแข่งขันในทางสังคมจิตวิทยา (เช่น ค่ายตะวันตกหรือตะวันออกจะได้เหรียญทองมากกว่ากัน
ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก)
              และ การแข่งขันด้านอวกาศ


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 07 ธ.ค. 19, 10:41

            ทั้งหมดนี้เกิดจากความแตกต่างทางอุดมการณ์ของแต่ละฝ่าย ที่ความต่างนี้มีความชัดเจนในตัวเอง เช่น ใน
ทางการเมืองคือการต่อสู้ระหว่าง “เสรีนิยม vs สังคมนิยม”
            ในทางเศรษฐกิจคือการแข่งขันระหว่างเศรษฐกิจแบบ “ทุนนิยม vs วางแผนจากส่วนกลาง”
            ความแตกต่างนี้นำไปสู่ปัญหาความมั่นคงที่สำคัญคือ ต่างฝ่ายต่างมองอีกฝ่ายเป็นภัยคุกคาม แต่ ภัยนี้ก็ไม่
สามารถทำลายลงได้ด้วยเงื่อนไขสงคราม

             การต่อสู้ที่เกิดขึ้นจึงมีพื้นฐานของทัศนะ (perception) ในเรื่องของความกลัว ความหวาดระแวง การแข่งขัน
ความต้องการเอาชนะเพื่อความเหนือกว่า การมองฝ่ายตรงข้ามเป็นศัตรูที่ไม่อาจประนีประนอมได้,เป็นภัยคุกคาม และ
ความเชื่อว่าอีกฝ่ายต้องการทำลายวิถีชีวิตและค่านิยมของฝ่ายตน
             ทัศนะเช่นนี้แยกโลกออกเป็น “สองค่าย” อย่างชัดเจนระหว่างฝ่ายตะวันตกและตะวันออก รัฐมหาอำนาจสร้าง
และขยายเขตอิทธิพลในเวทีโลก ทั้งด้วยการสร้างแรงจูงใจให้เข้าร่วมกับฝ่ายตน ด้วยการให้ความช่วยเหลือทั้งในทาง
เศรษฐกิจและการทหาร และถ้าจำเป็นก็อาจมีการใช้กำลังบังคับรัฐเป้าหมาย

             มีการจัดตั้ง The North Atlantic Treaty Organization ในปี 1949 
             ค.ศ. 1955 สหภาพโซเวียตก็ได้ตั้งองค์การ Warsaw Pact  เป็นการตอบโต้โดยรวมกลุ่มพันธมิตรทางทหาร
ประเทศสมาชิกอยู่ในยุโรปตะวันออก
             NATO และ WARSAW PACTทำให้ยุโรปกลับสู่การแบ่งแยกเป็นสองกลุ่มเช่นเดียวกับก่อนสงครามโลกอีกครั้ง
     
              การเผชิญหน้าและการแข่งขันอย่างเข้มข้น ก่อตัวเป็น “ระเบียบใหม่ระหว่างประเทศ” ในยุคหลังสงคราม หรือ
เรียกว่า “ระเบียบยุคสงครามเย็น” ที่มีการแข่งขันระหว่างโลกตะวันตกและตะวันออกเป็นพื้นฐาน และมีการต่อสู้ระหว่าง
อุดมการณ์ทุนนิยมและสังคมนิยมเป็นแกนกลางของปัญหา


บันทึกการเข้า
SILA
หนุมาน
********
ตอบ: 6362


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 07 ธ.ค. 19, 10:44

             ในเอเชีย จากเหตุสงครามเกาหลี(1950 –  1953) ที่สหภาพโซเวียตสนับสนุนเกาหลีเหนือโจมตีเกาหลีใต้
สหรัฐกังวลต่อภัยคุกคาม จึงเพิ่มความร่วมมือทางทหารกับประเทศพันธมิตรในภูมิภาคต่าง ๆ เกิดเป็น SEATO ซึ่งไทยก็
เป็นสมาชิกด้วย

             ต่อมาที่ยุโรป กำแพงเบอร์ลินอุบัติขี้นในปี 1955  
             และ ข้ามสมุทรมาเกิด วิกฤตคิวบา ที่เริ่มจากปี 1959 เมื่อ Fidel Castro ผู้นำฝ่ายซ้ายโค่นล้มรัฐบาลซึ่งอเมริกา
หนุนหลัง ประธานาธิบดีเคเนดี ได้อนุมัติแผนลับยกพลขึ้นบุกคิวบาแต่ไม่ประสบความสำเร็จ  สหภาพโซเวียตผู้สนับสนุนคิวบา
จึงตอบโต้โดยวางแผนจะติดตั้งขีปนาวุธในคิวบา
            ในปี 1962 อเมริกาพบเรือขีปนาวุธของสหภาพโซเวียตเข้าไปใกล้คิวบา จึงประกาศจะใช้กำลังทหารหากโซเวียต
ไม่ถอนกำลัง  แต่ในที่สุดทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้โดยโซเวียตยอมถอนขีปนาวุธกลับไป แลกกับการที่สหรัฐ ฯ สัญญา
จะไม่บุกคิวบา

วิกฤตคิวบานี้ ฮอลลีวู้ดได้นำมาเป็นพล็อตเหตุให้เกิดเรื่อง Blast from the Past(1999)


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 07 ธ.ค. 19, 17:12

คุณ SILA

ขอพูดถึงอีกประเด็น(เย็น) นั่นคือ
           
           สงครามเย็น ที่อุณหภูมิลดลงเย็นจัดในช่วงนั้น มีการรณรงค์ต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ เกิดการล่าแม่มด,กล่าวหา
ว่าคนนั้น คนนี้ฝักใฝ่หรือเป็นคอมมิวนิสต์
           ที่โดดเด่นที่สุดเป็นตำนาน คือ นักแสดงในตำนาน Charlie Chaplin ซึ่งติดแบล็คลิสต์เป็นคอมมิวนิสต์โดย
senator Joseph McCarthy

(McCarthyism is the practice of making accusations of subversion or treason without proper regard
for evidence. The term refers to U.S. senator Joseph McCarthy (R-Wisconsin) and has its origins in
the period in the United States known as the Second Red Scare, lasting from the late 1940s through the 1950s.)

           ในปี 1952 ขณะที่ Chaplin ล่องเรือข้ามสมุทรไปลอนดอนเพื่อร่วมงานเปิดหนังเรื่อง Limelight เขาก็ได้
รับทราบว่า จะโดนจับหากกลับไปอเมริกา
           คุณทวดจึงตัดสินใจอาศัยอยู่ในยุโรป, ลงรากที่สวิตเซอร์แลนด์และอาศัยอยู่ที่นั่นจนกระทั่งเสียชีวิต

20 ปีต่อมา,คุณทวดจึงกลับมาเมกา เพื่อร่วมงานออสการ์และขึ้นรับรางวัลพิเศษ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 07 ธ.ค. 19, 17:49

ด้วยความผิดพลาดในการแยกกระทู้  ค.ห.ข้างบนนี้ของคุณ SILA จึงพลัดมาอยู่ข้างล่าง
ความจริงเป็นค.ห.แรกค่ะ
ขออภัยอย่างสูง
บันทึกการเข้า
superboy
พาลี
****
ตอบ: 222


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 08 ธ.ค. 19, 13:01

ทีแรกผมยังเอ๋อๆ ว่าจะเขียนในนี้อย่างไรดีนะครับ แต่ตอนหลังนึกได้ว่าจะเขียนอะไรก็เขียนไปเถอะ อะไรไม่เหมาะสมเดี๋ยวอาจารย์ใหญ่กับอาจารย์ใหญ่กว่าเอาไม้เรียวมาตีก้นเอง แฮ่!


        ผมขอเริ่มจากระเบิดนิวเคลียร์แล้วกันนะครับ ทุกคนคงรู้จักกันดีฉะนั้นขอข้ามรายละเอียดเพื่อให้เนื้อหากระชับ ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองหลายประเทศเริ่มพัฒนาอาวุธร้ายแรงชนิดนี้ และอเมริกาทำสำเร็จรายแรกในปี 1945 ก่อนนำไปทดสอบของจริงที่ฮิโรชิม่ากับนางาซากิ เป็นการบังคับตรงๆ ให้ทางญี่ปุ่นยอมจำนนแต่โดยดี ผลก็คือประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ระเบิดทั้ง 2 ลูกทำงานได้ดีตามคาดหมายไม่มีเสียฟอร์ม รวมทั้งเกิดผลร้ายแรงที่ผู้ผลิตเองคาดคิดไม่ถึงมาก่อน สิ่งนั้นก็คือภัยร้ายจากสารกัมมันตรังสีที่ใหญ่โตและบานปลายมาก

   แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นมีคนรู้ข้อเท็จจริงแค่เพียงจำกัด แน่นอนที่สุดว่าคนอเมริกาในยุค American Dream ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง รู้แค่ว่าเราชนะสงครามโลกและมีระเบิดนิวเคลียร์เป็นไม้ตาย จนกระทั่งปี 1949 โซเวียตทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ลูกแรกสำเร็จ อาจไม่น่ากลัวอะไรมากมายแต่ถือว่าสำเร็จ เป็นประเทศที่มีการครอบครองระเบิดนิวเคลียร์อย่างเป็นทางการ เท่านั้นเองรัฐบาลอเมริกาก็อยู่เฉยไม่ไหว

   ปรกติในทุกรัฐบาลทุกประเทศทุกระบอบการปกครอง จะมีเจ้าหน้าที่ทั้งสายเหยี่ยวรักความรุนแรงเฉียดขาดและสายนกพิราบรักความสงบสุขรวมอยู่ด้วยกัน รัฐบาลอเมริกาเองก็เช่นกัน...มีข้อเสนอในการรับภัยแตกเป็นแม่น้ำสองสาย เจ้าหน้าที่ทั้งสายเหยี่ยวบอกว่าเราต้องเพิ่มงบประมาณกลาโหมเข้าไป 4 เท่าเพื่อตั้งรับและจัดการโซเวียตให้เด็ดขาด เรื่องนี้ได้รับการตอบรับจากประธาธิบดีและคณะรัฐมนตรีพอสมควร กระทั่งกลายเป็นสงครามเย็นที่มีการสะสมอาวุธร้ายใช้ประหัตประหารกัน

   ส่วนเจ้าหน้าที่สายนกพิราบบอกให้หาวิธีป้องกันคนของเรา ต้องทำไอ้โน่นไอ้นั่นไอ้นี่เตรียมความพร้อมไว้ก่อน แต่คณะรัฐมนตรีไม่ค่อยให้ความสำคัญเท่าไหร่ น่าจะเป็นเพราะได้รับข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนจากคนในกองทัพอีกที มองว่าโซเวียตผลิตระเบิดนิวเคลียร์ได้ไม่มากและได้ไม่ดี การป้องกันคนในชาติจึงเป็นไปอย่างจำกัดจำเขี่ย แค่ให้ความรู้เรื่องการป้องกันตนเองเมื่อโดนโจมตี อยู่นอกอาคารให้ก้มตัวลงมุดหัวแนบพื้น ถ้าอยู่ในห้องให้คลานไปอยู่ใต้เก้าอี้อะไรทำนองนี้ ซึ่งว่ากันตรงๆ อาจช่วยให้รอดตายจากผลการระเบิดได้ก็จริง (บาดเจ็บหนักแทน) แต่ต้องทุกข์ทรมานเพราะสารกัมตรังสีตกค้างซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงยิ่งกว่า

     

      มีการสร้างที่หลบภัยขึ้นมากลางเมืองสำหรับยามฉุกเฉิน ภาพจากปี 1951 ครับ

   
     
      เด็กๆ ในปี 1955 กับการซ้อมเมื่อโดนโจมตีด้วยระเบิดนิวเคลียร์ หมายความว่าเด็กในยุคนี้ทุกคนไม่ได้มีชีวิตสวยงามดั่งนิยายแต่อย่างใด พวกเขาต้องเรียนรู้ความจริงว่าเผชิญภัยร้ายขนาดใหญ่เช่นกัน เพียงแต่ตอนนั้นภัยร้ายอยูู่ไกลคนละทวีป ทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่จึงไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก

    ปี 1951 หรือช่วงต้นของยุค American Dream และ Baby Boomer ในอเมริกามีการเผยแพร่ภาพยนตร์สั้นวิธีการป้องกันตนเองจากระเบิดนิวเคลียร์ ทุกคนรู้จักในชื่อ 'Duck and Cover' มาในสไตล์อเมริกันทีแท้จริงคือมีความน่ารักสดใส โลกสวย เพลงเพราะ และมาในรูปแบบการ์ตูนเพื่อดึงดูดความสนใจเยาวชน นี่คือการเตือนภัยอย่างเป็นทางการว่า โลกที่แสนสุขสันต์ของอเมริกาไม่เป็นจริงอีกต่อไปแล้วนะ เพียงแต่มันยังเลือนรางมองอะไรไม่ชัดเจน

   ชมคลิปวีดีโอก่อนเลยครับ ไม่ทราบว่าจะโพสสำเร็จไหม ผมยังงงๆ ว่าต้องครอบด้วยอะไรคลิปถึงจะขึ้น ถ้าทำไม่ถูกวานสอนเด็กน้อยคนนี้ทีครับ  ลังเล






บันทึกการเข้า
superboy
พาลี
****
ตอบ: 222


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 08 ธ.ค. 19, 13:28

รู้สึกว่าคลิปจะขึ้น รู้สึกว่าผมจะรอดจากไม้เรียวแล้ว ฉะนั้นแล้วไปต่อกันเลยดีกว่า  ยิ้มกว้างๆ


     จากคลิปจะเห็นการแต่งกายและขนบธรรมเนียมต่างๆ จากยุค  American Dream ของจริง ในยุคนั้นนอกจากความสุขในครอบครัวผ่านหน้าจอโทรทัศน์แล้ว คนอเมริกาบางส่วนยังชอบไปเที่ยวทะเลทรายในรัฐเนวาด้ากันด้วย ไปทำไมเหรอครับ...ไปชมการทดลองระเบิดนิวเคลียร์ด้วยตาตัวเอง

การทดลองระเบิดนิวเคลียร์โดยทั่วไปจะมีอยู่ทั้งสิ้น 4 แบบ
   1 ทดลองใต้ดิน
   2 ทดลองใต้น้ำ
   3 ทดลองบนชั้นบรรยากาศเหนือโลก
   4 ทดลองบนพื้นดินธรรมดาๆ นี่แหละ



   อเมริกามีการทดสอบนิวเคลียร์มากสุดคือ 1,054 ครั้งด้วยระเบิด 1,149 ลูก (รองลงไปคือโซเวียต 715 ครั้ง) ที่ระเบิดมีมากกว่าการทดสอบเพราะบางครั้งใช้วิธียิงแบบซัลโว โดยเป็นการทดสอบที่ Nevada Test Site มากถึง 904 ครั้งตั้งแต่ปี 1951 ถึง 1992 ช่วงแรกๆ ยังมีแค่เพียงทหารในพื้นที่เท่านั้น แต่ช่วงหลังประชาชนทั่วไปขับรถมาดูกันได้ แต่ต้องอยู่ในระยะปลอดภัยและสวมแว่นป้องกันสายตา ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าป้องกันได้จริงมากน้อยแค่ไหน ผมเป็นคนไม่ชอบเสี่ยงจะด้วยนิสัยและหรืออาชีพก็ตาม อะไรที่ส่งผลร้ายกับตัวเองนิดเดียวก็ถอยแล้ว แต่ถึงไม่มาดูผมก็ยังสามารถมองเห็นอยู่ดี เพราะการทดสอบเห็นได้ด้วยตาเปล่าไกลถึง 65 ไมล์ คนแถวนั้นคงเห็นกันชนชาชินเสียแล้ว

     
   
      อเมริกันจ๋ากันเลยภาพถ่ายใบนี้ แต่ดูเหมือนส่วนใหญ่จะเป็นตากล้องกับช่างภาพ Live from Nevada คุณนริสถ่ายภาพ รายงานโดยsuperboy

     

    ว่ายน้ำอยู่ที่ลาส เวกัสห่างออกไป 65 ไมล์ก็ยังมองเห็นเห็ดชิตาเกะ แต่ไม่ชัดเจนสวยงามเท่าระยะ 10 ไมล์

     

   
     ในภาพคือการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ขนาดเล็กทางยุทธวิธี เอาไว้ทำลายข้าศึกในพื้นที่จำกัดไม่ใช่ทำลายทั้งเมือง Operation Sunbeam ทดสอบในปี 1962 พื้นที่ Area 18 ซึ่งเป็นยุคที่เริ่มนำนิวเคลียร์มาใช้งานมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่แค่เพียงขีปนาวุธข้ามทวีประยะไกลราคาแพงระยับแต่อย่างใด ช่างไม่กลัวกันเลยหนอ


   การทดสอบมีการถ่ายทำภาพยนตร์เช่นกัน โดยในบางครั้งจะมีการสร้างเมืองจำลองขึ้นมา มีหุ่นมนุษย์ตั้งอยู่ในบ้านเพื่อจำลองความเสียหาย รวมทั้งมีการทิ้งอาหารกระป๋องเอาไว้จำนวนหนึ่ง ผลการทดสอบอาหารที่มีแนวโน้มว่าจะมีสารปนเปื้อนน้อยที่สุด ก็คือเนื้อกระป๋องแต่เพราะเหตุอันใดลืมไปนานแล้ว นี้คนกินเนื้อไม่ได้อย่างผมต้องคิดหนัก ว่าจะกินอาหารเพื่อความอยู่รอดแต่ท้องเสีย หรืออดตายตั้งแต่ตอนนี้ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย





   เมืองจำลอง Nevada Test Site โผล่ในฮอลีวูดเช่นกัน ในภาพยนตร์ดังของแฮริสัน ฟอร์ด เรื่อง Indiana Jones and the Kingdom of the Crystal Skull พระเอกของเราต่อสู้กับคนร้ายในเมืองจำลองแล้วหลบหนีไม่ทัน จึงเข้าไปซ่อนตัวในตู้เย็นจากนั้นก็บินข้ามเมืองออกมาตกกลางทะเลทราย อยู่เมืองไทยคงมีคนเข้าไปถามว่าห้อยหลวงพ่อเค็มรุ่นไหนจะได้ไปบูชาบ้าง






บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.094 วินาที กับ 19 คำสั่ง