เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 10 ต.ค. 19, 13:35
|
|
จากพระราชบันทึกดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงติดใจเอาความในเรื่องที่นักเรียนนายเรือวิวาทกับมหาดเล็กเลย และเมื่อตรวจสอบเรื่องการพระราชทานนามสกุลยังพบอีกว่า นายเรือตรี เจือ กระทรวงทหารเรือ หรือที่ต่อมาได้รับพระราชทานยศบรรดาศักดิ์เป็น นายนาวาตรี หลวงจบเจนสมุท ก็ได้รับพระราชทานนามสกุล “สหนาวิน” เป็นนามสกุลลำดับที่ ๒๓๑ เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๖ ย่อมชวนให้เกิดข้อสงสัยต่อไปว่า หากนักเรียนนายเรือ เจือ สหนาวิน เป็นคู่กรณีวิวาทกับมหาดเล็กในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ดังที่ได้บันทึกไว้จริง นักเรียนนายเรือ เจือ จะกล้าขอพระราชทานนามสกุลและจะได้รับพระราชทานนามสกุลในลำดับต้นๆ เพียงระยะเวลาเดือนเศษๆ นับแต่เริ่มมีการพระราชทานนามสกุลเชียวหรือ?
ส่วนการที่ทรงปลด นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ออกจากราชการเป็นกองหนุนเมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๔๕๔ ทั้งที่เพิ่งจะทรงตั้งพระเจ้าพี่ยาเธอพระองค์นี้ให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีกระทรวงทหารเรือและเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารเรือไปเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๕๓ นั้น ความในพระราชบันทึกก็ปรากฏชัดอยู่แล้วว่า เพราะไม่เสด็จไปทรงงานที่กระทรวงทหารเรือ ทั้งยังทรงเป็นต้นแบบให้นายทหารเรือรุ่นหนุ่มคิดกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา จึงต้องทรงปลดพระเจ้าพี่ยาเธอพระองค์นั้นออกเป็นกองหนุน เพื่อให้ทรงสำนึกผิด แต่ถัดมาวันที่ ๓๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๕๔ หรืออีกเพียง ๓ เดือนเศษ ก็ได้โปรดเกล้าฯ ให้เสด็จเข้ารับราชการในกรมมหาดเล็ก รับพระราชทานยศชั้น “หัวหมื่น” หรือที่ในเวลานั้นเรียกว่า “ชั้นที่ ๒ เอก” ซึ่งเป็นชั้นยศเทียบเท่านายพันเอกทหารบก และคงโปรดให้รับราชการในกรมมหาดเล็กมาจนคราวที่ทรงประกาศสงครามกับเยอรมนีและออสเตรีย-ฮังการี เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๖๐ แล้ว และ นายพลเรือตรี พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ได้กราบบังคมทูลสำนึกผิดและทรงอาสาเข้ารับราชการทหารเรือเพื่อทำหน้าที่ป้องกันพระราชอาณาจักรในสภาวะสงครามอีกครั้ง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เสด็จกลับเข้ารับราชการทหารเรือในตำแหน่งจเรทหารเรือ เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๐
เมื่อได้เสด็จกลับเข้ารับราชการทหารเรือและทรงอุทิศพระองค์ปฏิบัติราชการทหารเรือด้วยพระอุตสาหะวิริยะแล้ว ก็ได้ทรงรับความไว้วางพระราชหฤทัยโปรดเกล้าฯ ให้เป็นที่ปรึกษาแห่ง “คณะที่ปฤกษาสำหรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี” ทั้งยังได้รับพระราชทานฐานันดรเป็น “มหาโยธิน” แห่งเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดี และต่อมายังได้ทรงเป็นผู้แทนราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ออกไปจัดซื้อเรือหลวงพระร่วง และทรงบังคับการเรือนั้นร่วมกับนายทหารเรือไทยนำเรือรบหลวงพระร่วงเดินทางจากประเทศอังกฤษมาถึงประเทศไทยโดยสวัสดิภาพ นับเป็นการเดินเรือข้ามทวีปครั้งแรกโดยคนไทย เป็นอาทิ จึงทำให้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณเลื่อนพระยศเป็นนายพลเรือโท และนายพลเรือเอก ทั้งยังได้โปรดเกล้าฯ เฉลิมพระอิสริยยศเป็น กรมขุนและกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ตามลำดับ กับได้โปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหารเรือซึ่งเป็นตำแหน่งบังคับบัญชากำลังพลเทียบเท่าตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือในปัจจุบัน ก่อนที่จะโปรดเกล้าฯ ให้ทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงทหารเรืออันเป็นตำแหน่งสูงสุดในราชการทหารเรือ
ในบั้นปลายพระชนมชีพ นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ได้กราบถวายบังคมลาออกไปรักษาพระองค์ที่มณฑลสุราษฎร์ซึ่งเดิมเคยชื่อว่า “มณฑลชุมพร” อันพ้องกับพระนามกรม และได้ประชวรสิ้นพระชนม์เสียที่นั้น เมื่อความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชบันทึกไว้ในจดหมายเหตุรายวันส่วนพระองค์ว่า
“มีความสลดใจเปนอันมากที่จำเปนต้องจดลงในรายวันนี้ว่า พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเฃตอุดมศักดิ์ได้สิ้นพระชนม์เสียที่ตำบลหาดรี, ปากน้ำชุมพร, เมื่อเวลา ๑๑ นาฬิกาก่อนเที่ยงวันนี้. ฃ่าวนี้ได้รับในเวลาดึก.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อ 10 ต.ค. 19, 13:36
|
|
เมื่อเดือนเมษายน กรมชุมพรได้ขอลาพักรักษาพระองค์ ๑ เดือน โดยคำแนะนำของหม่อมเจ้าถาวรมงคลวงศ์๑๑, นายแพทย์ใหญ่กระทรวงทหารเรือ, ผู้ที่ได้กล่าวในใบตรวจพระอาการว่า กรมชุมพรประชวรเปนพระโรคเส้นประสาทไม่ปรกติ. ตั้งแต่เมื่อทำบุญอายุเจ้าจอมมารดาโหมดได้สังเกตเห็นกรมชุมพรเดินง่องแง่งไม่ใคร่ถนัดอย่างไรอยู่. เมื่อได้รับอนุญาตแล้วก็ได้ขอยืมเรือพวก ‘ทเล’ ลำ ๑ ลงเดินทางออกไปว่าจะไปประพาศทางมณฑลสุราษฎร์. แรกที่จะได้ฃ่าวว่าประชวรครั้งสุดท้ายนี้ คือเจ้าพระยารามราฆพได้นำโทรเลขของเจ้าจอมมารดาโหมดมีมาถึงเธอนั้นมาให้เราดู, มีความว่ากรมหลวงชุมพรประชวรเป็นไข้พิษ พระอาการหนัก. ครั้นเวลาค่ำได้รับโทรเลขพระองค์เจ้าธานี๑๒ บอกฃ่าวมาว่า กระทรวงทหารเรือได้จัดส่งหม่อมเจ้าถาวรออกไปทางรถไฟยังชุมพร, และส่งเรือ ‘พระร่วง’ ออกไป โดยคำขอร้องของเจ้าจอมมารดาโหมด, เพื่อจะได้รับกรมชุมพรกลับเฃ้าไปกรุงเทพ. ครั้นเวลาดึกจึ่งได้ฃ่าวว่ากรมชุมพรได้สิ้นพระชนม์เสียแล้วที่หาดรี เมื่อ ๑๑ นาฬิกาเช้า. ตำบลหาดรีนี้, ได้ทราบจากพระยาเวียงใน๑๓ (ซึ่งเคยเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร) ว่า เปนที่มีไข้ป่าชุกชุม, และในฤดูเดือน ๖ เดือน ๗ ไม่มีใครอยู่ได้โดยปลอดไข้.
กรมชุมพรประสูติวันที่ ๑๙ ธันวาคม, (ปีมะโรง) พ.ศ. ๒๔๒๓, ฉะนั้นมีพระชนม์ได้ ๔๒ ปี กับ ๕ เดือน; และเพราะได้เปนเพื่อนกันมาแต่เด็กเราจึ่งรู้สึกเสียดายและใจหายมาก”๑๔
ความในพระราชบันทึกที่อัญเชิญมาข้างต้นย่อมเป็นเครื่องแสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มิได้ทรงขัดแย้งกับพระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์เลยแม้แต่น้อย ทั้งยังทรงแสดงให้เห็นถึงความผูกพันกันมาแต่ทรงพระเยาว์ตราบจนพระเจ้าพี่ยาเธอพระองค์นั้นสิ้นพระชนม์ไปเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ แล้ว ก็ยังได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ทหารเรือไว้ทุกข์ด้วยการลดธงครึ่งเสามีกำหนด ๓ วัน นับแต่วันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ซึ่งเป็นวันที่เรือเชิญพระศพกลับถึงกรุงเทพฯ
นอกจากนั้นยังเล่ากันต่อมาว่า เมื่อเวลาที่ นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์สิ้นพระชนม์นั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวกำลังทรงพระอักษรอยู่ที่พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน แล้วก็ทรงเหลียวมามีพระราชดำรัสอะไรสั้นๆ ซึ่งมหาดเล็กเวรที่เฝ้าฯ อยู่ ณ ที่นั้นก็ไม่ทราบว่ามีพระราชประสงค์อะไร ถึงวันรุ่งขึ้นเมื่อพระทายาทของพระเจ้าพี่ยาเธอพระองค์นั้นนำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบถวายบังคมลาสิ้นพระชนม์แทนพระบิดา ก็มีรับสั่งว่า “รู้แล้ว”
เชิงอรรถ
๑ หม่อมเจ้าหญิงทิพยสัมพันธ์ ภาณุพันธุ์ พระชายาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ๒ พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ต่อมาได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็น พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๔ นายพลเรือโท สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ ต่อมาได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็นจอมพล จอมพลเรือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ๕ พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภช ๖ วันที่ ๓ เมษายน ร.ศ. ๑๓๐ (พ.ศ. ๒๔๕๔) ๗ นายพลโท สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพิษณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหารบก ต่อมาได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็น จอมพล สมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ๘ นายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ต่อมาได้เฉลิมพระยศเป็น จอมพล พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ๙ นายนาวาเอก พระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าวุฒิชัยเฉลิมลาภ ต่อมาได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็น นายพลเรือเอก กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร ๑๐ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ เล่ม ๒. น. ๓-๑๐. ๑๑ หม่อมเจ้าถาวรมงคลวงศ์ ไชยันต์ ๑๒ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าธานีนิวัติ ผู้ช่วยราชเลขาธิการ ต่อมาได้รับพระราชทานเฉลิมพระยศเป็น พระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ๑๓ พระยาเวียงในนฤบาล (ชุบ โอสถานนท์) ต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น พระยาประชากิจกรจักร์ ๑๔ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. จดหมายเหตุรายวัน พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ รัตนโกสินทรศก ๑๔๒ เปนปีที่ ๑๔ ในรัชกาล. น. ๕๐-๕๑.
บรรณานุกรม
“แจ้งความกรมมหาดเล็ก”, ราชกิจจานุเบกษา ๒๘ (๖ สิงหาคม ๑๓๐), น. ๙๐๕. “แจ้งความกระทรวงทหารเรือ”, ราชกิจจานุเบกษา ๒๗ (๒๕ ธันวาคม ๑๒๙), น. ๒๒๔๓. “แจ้งความกระทรวงทหารเรือ”, ราชกิจจานุเบกษา ๒๘ (๑๖ เมษายน ๑๓๐), น. ๙๑-๙๒. “แจ้งความกระทรวงทหารเรือ”, ราชกิจจานุเบกษา ๓๔ (๕ สิงหาคม ๒๔๖๐), น. ๑๓๕๖. ปิ่น มาลากุล, หม่อมหลวง. อัตชีวประวัติของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล. (อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ป.จ., ม.ป.ช., ม.ว.ม. ณ เมรุหน้าพลับพลาอิศริยาภรณ์ วัดเทพศิรินทราวาส วันเสาร์ที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๓๙). กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๓๙. มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. จดหมายเหตุรายวัน พระพุทธศักราช ๒๔๖๖ รัตนโกสินทรศก ๑๔๒ เปนปีที่ ๑๔ ในรัชกาล. (สำเนาลายพระราชหัตถ์) ______. ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ เล่ม ๒. (สำเนาลายพระราชหัตถ์) วชิราวุธานุสรณ์สาร. ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๓ (๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๗). วชิราวุธานุสรณ์สาร. ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๑ (๑ มกราคม ๒๕๒๘).
หมายเหตุ: เนื้อหาฉบับออนไลน์ ทีมงานปรับย่อหน้าและเพิ่มเติมหัวข้อย่อย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ninpaat
|
ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อ 10 ต.ค. 19, 15:39
|
|
... ภาษิตของนักรบโบราณ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงแปลจากภาษิตภาษาฝรั่งเศษ โดยเทียบเป็นคำโคลงภาษาไทย ดังนี้
๐ มะโนมอบพระผู้................เสวยสวรรค์ แขนมอบถวายทรงธรรม์.........เทอดหล้า ดวงใจมอบเมียขวัญ...............และแม่ เกียรติศักดิ์รักของข้า.............มอบไว้แก่ตัว ฯ
เมื่อแต่งเป็นโคลงแล้ว พระองค์ได้ทรงให้นายช่างชาวอิตาเลียนในกรมศิลปากรชื่อ ริโกล เขียนภาพขึ้นไว้ ๔ ภาพ เพื่อประกอบโคลงนั้นบาทละภาพ ภาพทั้ง ๔ นี้คณะ "ดุสิตสมิต" ได้ขอพระบรมราชานุญาตจำลองลงพิมพ์ในหนังสือ "ดุสิตสมิต" พร้อมกับโคลงในระหว่างเวลา ที่เสือป่ากองเสนาหลวงรักษาพระองค์กำลังชุมนุมพลอยู่ ที่สนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม เมื่อ เดือนมกราคม พ.ศ. ๒๔๖๑
โคลงภาษิตนักรบโบราณ นายพลเสือป่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายกเสือป่า และผู้บัญชาการกองเสนาหลวงรักษาพระองค์ ทรงพระราชนิพนธ์
๐ "มะโนมอบพระผู้...........เสวยสวรรค์" นักรบต้องรักธรรม์...........เที่ยงแท้ ยามสู่ยุทธภูมิอัน...............ประชิด จิตจึ่งจะมั่นแม้.................เศิกกล้าไป่ขาม ๐ สงครามทำเพื่อป้อง.......ธรรมา นักรบเริงอาสา.................ไป่คร้าม อยู่ในที่ถูกหา...................ความขลาด ได้ฤๅ จิตมั่นขวัญพาข้าม............ปลอดพ้นอันตราย ๐ เป็นชายเชื้อชาติแกล้ว....เพ็ญขวัญ "แขนมอบถวายทรงธรรม์...เทอดหล้า" รับใช้เพื่อป้องกัน.............วรบาท พระเอย เพื่อพระคงคู่ฟ้า...............ครอบเกล้าเราสราญ ๐ ภูบาลจะตรัสใช้.............ไคลคลา เหินห่างจากเคหา.............ห่างห้อง ภักดีและอาสา.................เพราะเชื่อ ว่าพระบารมีป้อง.............ปกเกล้าเราไป ๐ หักใจจรจากห้อง...........หฤหรรษ์ รักราชและรักธรรม์..........เที่ยงแท้ "ดวงใจมอบเมียขวัญ.........และแม่" คงเสน่ห์อยู่แม้.................อยู่ร้างกลางสนาม ๐ ยามไปในถิ่นกว้าง..........ทางไกล พบสิ่งยั่วยวนใจ................อยู่บ้าง ก็จะไม่เหลวไหล...............หลงวุ่น เพราะจิตจอดอยู่ข้าง........หนึ่งแล้วมั่นคง ๐ รณรงค์ยงยุทธแย้ง.........ยิ่งภัย อื่นนอ จำจะต้องทำใจ.................กาจกล้า นักรบจึงควรใฝ่................เตือนสติ ตนเอง "เกียรติศักดิ์รักของข้า.......มอบไว้แก่ตัว" ๐ มัวรอให้พวกพ้อง..........คอยเตือน คงไม่รู้จิตเหมือน..............จิตได้ ใครจะทราบว่าเพื่อน.........นึกหวั่น ขึ้นนอ ตัวสิเตือนตัวไว้................เหมาะแท้ทุกยาม ๐ สรุปความว่าแม้มั่น........ธรรมา ธิปแฮ อีกภักดีอาสา..................ราชไท้ รักเมียรักแม่พา...............ใจแน่ว สงวนศักดิ์จักสละได้...........หมดแม้ชีวี
๐ ศรี ศรีสวัสดิ์พร้อม.......พูนผล สิทธิ์ จัตุพรดล................อย่าแคล้ว ฤทธิ์ เรืองฤทธิ์แรงรณ......อริราช ชัย ชะนะศึกแกล้ว...........เกียรติก้องสากล ๐ ปวง พลเสือป่าผู้...........ภักดี ภัย พิบัติอย่ามี.................พาดพ้อง พิ บูลย์พิริยภีย์.................โยยิ่ง ยิ่งเทอญ นาศ อะมิตร์จิตข้อง...........ขัดน้อยอย่ามี ฯ
...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อ 10 ต.ค. 19, 17:26
|
|
คิดถึง วรชาติ มีชูบท
ช่วงหนึ่งตอนวรชาติอยู่ม.ปลายวรชาติพยายามจะทำให้กฏ ระเบียบของห้องสมุดศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น โดยตั้งกฏว่า.ใครขอยืมหนังสือไปแล้วคืนไม่ตรงกำหนดจะโดนปรับวันละ 10 บาท วรชาติรักษากฏไม่เว้นแม้แต่ครู
ครูขอยืมหนังสือไป 1 เล่ม ครบกำหนดเมื่อวาน วันรุ่งขึ้นครูนำหนังสือมาด้วยแต่ยังไม่ถึงห้องสมุด เพราะติดสอนหนังสืออยู่ ครูกำลังสอน ม. อะไร จำไม่ได้ค่ะ เวลาประมาณ 9.30 น. วรชาติเดินเข้ามาในห้องเรียนและขอปรับ 10 บาท
ครูยอมจ่ายให้ 10 บาท และบอกว่า ครูจะปรับเธอบ้างได้ไม๊ เพราะขณะนี้คือเวลาเรียน แต่เธอไม่เข้าเรียน
วรชาติบอกว่า ครูคิดว่าช่วยผมรักษากฏก็แล้วกันนะครับ ผมจะได้ยกเป็นตัวอย่างว่า กฏนี้จริงจังไม่เว้นแม้แต่ครู ครูสมลักษณ์เป็นพยานได้ วันนั้นไม่รู้ว่าครูจะโกรธ หรือจะแค้นดี .
Somlak Suvanvong
สู่สุคติภพนะคะ ครูอโหสิกรรมให้ทุกประการ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Koratian
|
ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อ 10 ต.ค. 19, 17:40
|
|
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
ประกอบ
|
ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อ 10 ต.ค. 19, 18:20
|
|
ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่อท่านอาจารย์วรชาติเคยสละเวลาเมตตาให้ความรู้ ทั้งที่ผมก็เกรียนไม่น้อยเลย เห็นท่านในเฟสบุ๊คก่อนหน้ายังโพสต์ว่าอาการป่วยดีขึ้นแล้4ว ยังนึกว่าท่านคงไม่เป็นอะไร มาทราบข่าวเมื่อวานก็ใจหาย คงจะต้องหาโอกาสไปขออโหสิกรรมและกราบคารวะท่านอาจารย์้ป็นครั้งสุดท้าย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
วิรุศฑ์ษมาศร์ อัฐน์อังการจณ์
|
|
|
world
อสุรผัด
ตอบ: 1
|
ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อ 10 ต.ค. 19, 22:15
|
|
ขอแสดงความเสียใจด้วยครับ ถือว่าเรื่องเกิดรวดเร็วมาก
ก่อนหน้านี้เมื่อเดือนสิงหาคมผมยังคุยกับเจ้าตัวเรื่องอาการประชวรของรัชกาลที่ 6 ว่าบันทึกของไทยกับฝรั่งต่างกันมาก คุณ V_Mee ก็ยังชี้แนะข้อมูลเพิ่มมาว่าของฝรั่งเองก็น่าจะมีผิดด้วย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อ 11 ต.ค. 19, 06:16
|
|
Boriphat Sangpakorn . · หนังสือเหล่านี้เป็นความเอื้อเฟื้อจากอาจารย์วรชาติ ในส่วนที่ท่านให้ ก็ส่วนให้ ให้เป็นอัธยาศัยไมตรีผมก็รับไว้ด้วยใจ แต่ส่วนซื้อผมก็ซื้อต่างหากไว้ทุกเล่ม ไม่ได้คิดว่าจะรับเปล่าๆ ถ่ายเดียว
อย่างเล่มซ้ายวันที่เปิดตัว ผมก็เอาเล่มที่ซื้อเองไปให้อาจารย์วรชาติเซ็น ท่านเห็นปกนี้เข้าก็บอกได้ไปแล้วไม่ใช่หรอ ซื้ออีกทำไม ผมจำไม่ได้ว่าตอบแก้ไปอย่างไร พอดีว่าพี่สุทธิพงษ์ พื้นแสน ถามถึงหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา ผมก็เลยส่งไปให้
ทีแรกเขาว่าจะใช้ราคา ผมจึงบอกพี่สุทธิพงษ์ว่าหนังสือนี้ได้มาเปล่าๆ ที่ซื้อไว้นี่เป็นส่วนที่คิดจะซื้ออยู่แล้ว ก็ในเมื่อได้รับความเอื้อเฟื้อจากอาจารย์วรชาติ ก็ถือว่าผมส่งต่อความเอื้อเฟื้อต่อไปแล้วกัน ถ้าจะใช้ราคา ต่อไปพี่ซื้อไว้แล้วส่งให้ห้องสมุดสักแห่งแล้วกัน
ส่วนสองเล่มทางขวา ผมให้น้องขิง จริงๆ เดิมจะให้เจ้าเมือง สงขลา ถามที่อยู่เค้าทำอิดออดน่าหมั่นไส้ ก็เลยบอกกับน้องขิงว่าไม่ต้องซื้อ เดี๋ยวส่งไปให้
ผมมาทราบภายหลังจากอาจารย์วรชาติ ว่าท่านส่งหนังสือไปให้เจ้าเมือง สงขลา ไปแล้ว อ่อที่แท้ทำเป็นเล่นตัวเพราะได้รับหนังสือจากอาจารย์วรชาติโดยตรงแล้วนี่เอง
ตอนที่เอาสองเล่มหลังนี้ไปให้อาจารย์วรชาติเซ็น คราวนี้ผมคิดคำตอบเผื่อแล้วว่าจะเอาไปฝากน้องขิง จึงจดชื่อนามสกุลไปด้วย บอกว่าจะเอาไปฝากน้อง พออาจารย์วรชาติเห็นนามสกุล จึงทักขึ้นมาว่าน้องขิงเป็นอะไรกับคุณสิงห์โต ปุกหุต ผอ.ท้องฟ้าจำลอง
หนังสือหนะ ถ้าเป็นของอาจารย์วรชาติ ยังไงผมก็ซื้ออยู่แล้ว ถึงท่านให้ฟรีๆ ผมก็ซื้ออยู่ดี ส่วนที่ให้ก็ส่วนให้ ส่วนที่ซื้อก็ส่วนซื้อ ในเมื่อท่านเอื้อเฟื้อมา ผมก็ส่งต่อความเอื้อเฟื้อต่อไป ความเอื้อเฟื้อเหล่านี้เกิดแต่อาจารย์วรชาติ
ผมจำไม่ได้ว่าอาจารย์เคยให้หนังสืออะไรมาบ้าง แต่ว่าให้มาหลายเล่มมาก แรกสุดเลยผมบอกกับท่านว่าหนังสืออนุมานนวสาร ซึ่งลงเรื่องสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นของท่านหญิงพูน ผมตามหาไม่ได้ ท่านบอกว่าเดี๋ยวจะส่งไปให้ ในตอนนั้นเรารู้จักกันผิวเผิน ผมก็เกรงใจไม่อยากรบกวน เลยไปขอกับพี่โก้แทน
พี่โก้เป็น บก.หนังสืออนุมานนวสาร จะเรียกให้ถูกก็ต้องเรียกอาจารย์โก้ เพราะท่านก็เคยสอนหนังสือผมมา พี่โก้เป็นทั้งครู เป็นทั้งรุ่นพี่ ผมรู้จักกับอาจารย์โก้เพราะที่ปรึกษาภาคนิพนธ์เป็นผู้แนะนำมา
เดิมผมคิดทำภาคนิพนธ์ศึกษาเกี่ยวกับประเด็นปัญหาสิทธิสภาพนอกอาณาเขต แต่ขัดใจกับอาจารย์ที่ปรึกษาคนแรก ผมจึงเปลี่ยนหัวข้อไปทำเรื่องการประเมินประสิทธิภาพการดำเนินงานของธนาคารซีไอเอ็มบีแทนเพื่อตัดรำคาญ จึงมาได้อาจารย์ที่ปรึกษาคนใหม่คืออาจารย์อนันตชัย ซึ่งอาจารย์อนันตชัยคงเห็นใจ ไม่อยากให้เปลี่ยนจึงแนะนำพี่โก้
อย่างนั้นก็ตามที ตอนแรกที่คุยกันกับพี่โก้ คำถามแรกที่พี่โก้ถามคือ รู้จักวีหมีไหม ผมตอบโดยไม่คิดทันทีว่า เหตุผลที่ผมคิดจะทำประเด็นสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ก็เพราะวีหมีนั่นแหละ
เมื่อผมตัดสินใจแล้ว ผมไม่เคยคิดเปลี่ยนกลับไปกลับมา ก็เป็นว่าไม่ทำเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ทีนี้จะมารบกวนพี่โก้ ก็เพราะอยากอ่านเรื่องสิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็นของท่านหญิงพูนเนี่ยแหละ รบกวนพี่โก้ เพราะไม่อยากรบกวนอาจารย์วรชาติ
อีกครั้งหนึ่ง ผมตามหาหนังสือพระราชประวัติ ร.6 ไม่ได้ ซึ่งเป็นเล่มที่ ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์ ให้คำนิยม เป็นหนังสือที่ขายดีมาก ผมไปถามที่ร้านริมขอบฟ้า คนขายบอกหนังสือหมดยังไม่เข้า ขายดีมาก ผมไปบอกอาจารย์วรชาติ ท่านเลยจะส่งมาให้ผมอีก
ตอนนั้นผมกับอาจารย์วรชาติ เรียกได้ว่าไม่รู้จักกันเลย ไม่มีความสนิทสนมแม้แต่น้อย นอกจากชื่อผมแล้ว ท่านไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวผมแม้อย่างเดียว ไม่รู้แม้กระทั่งใจผมมีแต่กรมดำรงเพียงคนเดียว คนที่ ร.6 บอกว่า เป็นคนไม่มีชาติไม่มีศาสนา วันนึงพูดอย่างหนึ่ง อีกวันพูดอีกอย่างหนึ่ง
ความไม่สนิทสนม ไม่รู้จักกัน ผมจึงเกรงใจมาก จึงไม่ตอบอะไรท่าน ขณะเดียวกันผมก็สั่งซื้อหนังสือเล่มดังกล่าวไปยังสำนักพิมพ์สร้างสรรค์บุ๊คส์ พอจ่ายเงินไปแล้วจึงได้เรียนให้อาจารย์วรชาติทราบว่าขอบคุณในความเอื้อเฟื้อของอาจารย์ แต่ผมสั่งซื้อหนังสือจากสำนักพิมพ์ไปแล้ว
รู้สึกหนังสือเล่มแรกที่ผมตั้งใจขอก็คือ จดหมายเหตุบรมราชาภิเษก ร.6 เพราะผมเคยเจอแต่จดหมายเหตุ ร.7 และ ร.9 ส่วน ร.5 ก็หาอ่านได้จากพระนิพนธ์กรมดำรง ของ ร.6 ผมหาไม่ได้จริงๆ หาจากหอสมุดหลายๆ มหาลัยก็หาไม่ได้ จึงได้เรียนถามอาจารย์วรชาติ ท่านจึงส่งมาให้อ่าน
ชีวลิขิต ของคุณชายอาจารย์เสนีย์ อาจารย์วรชาติก็ส่งมาให้เล่มนึง อันที่จริงเมื่อปีที่แล้วสำนักพิมพ์วิญญูชนก็เพิ่งพิมพ์ขาย ผมก็ซื้อไว้เล่มนึง แต่ให้น้องฟร้องไป(สะกดงี้เปล่าไม่รู้ จำไม่ได้) ตัวเองหนะมีแต่หนังสือสำเนาที่อาจารย์วรชาติให้มา แต่เล่มใหม่ๆ สวยๆ ไม่มีหรอก ให้เขาไปแล้ว
เมื่อนึกถึงความเอื้อเฟื้อ ความเมตตา ที่อาจารย์วรชาติได้เคยแบ่งปันให้ ผมรู้สึกว่าผิดมากถ้าหากจะรับความเอื้อเฟื้อเหล่านี้เฉยๆ ราวกับว่ามีอะไรมาดลบันดาลให้เราจะต้องส่งต่อความเอื้อเฟื้อต่อไป
อาจารย์วรชาติในความทรงจำของผมคือ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ที่ไม่มีข้อกีดกั้น เอื้อเฟื้อให้กับทุกๆ คน ไม่เลือก และเอื้อเฟื้อทุกคนเท่ากันไม่มีแบ่งแยก อาจารย์วรชาติเปรียบเสมือนฝน
อาจารย์วรชาติโปรยปรายความเอื้อเฟื้อเมื่อใด ผู้ได้รับความเอื้อเฟื้อก็ชุ่มฉ่ำหัวใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อ 11 ต.ค. 19, 08:25
|
|
ศาลา ๘ วัดเสมียนนารี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อ 11 ต.ค. 19, 08:28
|
|
กำหนดการ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
tita
|
ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อ 11 ต.ค. 19, 09:30
|
|
ขอร่วมแสดงความเสียใจในการจากไปของคุณ V-Mee ค่ะ ข้อมูลความรู้ที่ได้รับจากคุณ V-Mee ช่วยเพิ่มมุมมองที่มีต่อประวัติศาสตร์ยุครัชกาลที่ 6 นับเป็นคุณูปการอย่างยิ่ง
ขอให้กุศลผลบุญที่คุณ V-Mee สั่งสมมา และที่ครอบครัวญาติมิตรบำเพ็ญอุทิศให้ จงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนให้คุณ V-Mee ได้ไปสถิตยังภพภูมิที่ดีงามค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Naris
|
ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อ 11 ต.ค. 19, 09:31
|
|
ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวและญาติของท่านอาจารย์ด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อ 11 ต.ค. 19, 13:34
|
|
แด่ อาจารย์วรชาติ มีชูบท หอสมุดวชิราวุธานุสรณ์เคลื่อนที่ผู้จากลา
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
อาจารย์วรชาติ มีชูบท หรือ V_Mee (วีหมี) อันเป็นนามปากกาในเว็บไซต์ Pantip และเรือนไทย เป็นอาจารย์ นักเขียน และทนายความ ผู้มีความรู้ประวัติศาสตร์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อย่างยอดเยี่ยมและลึกซึ้งมากที่สุด ต้องเรียกว่าอาจารย์วรชาติเป็นเอตทัคคะด้านวชิราวุธศึกษา (King Vajiravudh’s studies) อย่างยิ่งยวด ความรู้ด้านประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของอาจารย์ยังรวมไปถึงรัชกาลอื่น ๆ การได้สนทนากับอาจารย์จึงไม่ต่างกับการสนทนากับ Encyclopedia หรือ Almanac เคลื่อนที่ได้ ผมทราบว่าอาจารย์ชำนาญประวัติศาสตร์นับแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวลงมาทีเดียว
อาจารย์วรชาติเป็น OV หรือ Old Vajiravudh หรือเป็นนักเรียนเก่าวชิราวุธวิทยาลัย รุ่นไหนผมไม่ทราบ แต่สิ่งที่ผมทราบแน่แก่ใจคือ อาจารย์วรชาติ เป็นผู้มีความจงรักภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์และพระมหาจักรีบรมราชวงศ์เป็นที่สุด ผมเห็นอาจารย์เข้าไปตอบกระทู้หรือตอบคอมเมนต์ผู้ที่ใส่ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์และพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงถูกใส่ร้ายด้วยข้อความอันเป็นเท็จอยู่เนือง ๆ จากเกรียนคีย์บอร์ด และลิเบอร่านล้มเจ้า สิ่งที่น่ามหัศจรรย์ก็คืออาจารย์วรชาติเป็นคนใจเย็น ใช้เหตุใช้ผล โต้ตอบด้วยหลักฐานทางประวัติศาสตร์อันหนักแน่น และหักล้างการโจมตีด้วยท่าทีที่อดทน แม้อีกฝั่งจะหยาบคายก้าวร้าวเพียงใดก็ตาม อาจารย์จะพยายามอธิบาย และสอนให้ความรู้ประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองของไทยด้วยจิตวิญญาณของความเป็นครู และความจงรักภักดียิ่ง
ผมเห็นได้ชัดเจนว่าอาจารย์มีความกตัญญูกตเวทิคุณต่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงหรือต่อมาวชิราวุธวิทยาลัยที่อาจารย์เป็นศิษย์เก่า ผมทราบมาว่าอาจารย์นั้นเดิมเป็นทนายความ ต่อมาได้มาเป็นอาจารย์สอนที่วชิราวุธวิทยาลัยด้วย และมาทำงานช่วย ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ประธานมูลนิธิพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่หอวชิราวุธานุสรณ์ หอสมุดแห่งชาติ ถนนสามเสนใน ติดท่าวาสุกรี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 43 เมื่อ 11 ต.ค. 19, 13:35
|
|
ผมได้พบอาจารย์วรชาติ มีชูบทเป็นครั้งแรกที่หอวชิราวุธานุสรณ์และได้ความรู้จากอาจารย์วรชาติ เมื่อผมเป็นนิสิตชั้นปีที่หนึ่ง คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมไปทำหนังสือที่แผนกสาราณียกร องค์การบริหารสโมสรนิสิตจุฬาฯ ที่ตึกจุลจักรพงษ์ และเพราะอาจารย์สวัสดิ์ จงกล ผู้เชี่ยวชาญเอกสารประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แนะนำให้ผมไปรู้จักอาจารย์วรชาติ เพื่อไปขอความรู้ ผมเองไปถึงหอสมุดวชิราวุธานุสรณ์ยังตื่นเต้นที่ได้เห็น หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล นั่งทำงานในห้องอีกฝั่ง ในฐานะนักเรียนเก่าเตรียมอุดมศึกษาแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ย่อมต้องตื่นเต้นที่ได้พบผู้ก่อตั้ง/ผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาคนแรก ตอนนั้นจำได้ว่าอาจารย์วรชาติเล่าประวัติศาสตร์ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ ได้ราวกับสายน้ำไหล ด้วยความแม่นยำในเนื้อหาและการอ้างอิง ผมยังคิดในใจว่า ถ้า ศาสตราจารย์ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ถึงแก่อสัญกรรมเมื่อใด ความรู้เรื่องประวัติศาสตร์ในรัชกาลที่ ๖ ย่อมมีผู้สืบทอดแล้ว อาจารย์วรชาติ เป็นคนขยันเขียนหนังสือมาก ขยันค้นคว้า และขยันเขียนมาก และเขียนเล่าเรื่องได้สนุก อ่านแล้วสนุก ใช้ภาษาไทยง่าย ๆ กระชับ แต่ใช้ราชาศัพท์แม่นยำถูกต้อง โดยเฉพาะเบื้องหลัง เบื้องลึก ในพระราชบันทึกเรื่อง ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ นั้น ต้องไปอ่าน ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ก่อน แม้จะมีการละคำพูดหรือชื่อบุคคลหรือพระนามเจ้านายออกไปบ้าง แต่ก็อ่านแล้วเข้าใจการเมืองการปกครองไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ และ ๖ ได้เป็นอย่างดี ยิ่งมาอ่านหนังสือที่อาจารย์วรชาติแต่งยิ่งทำให้อ่านพระราชนิพนธ์ ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ ได้อย่างเข้าในถึงภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ แรงจูงใจ และความจำเป็น ในเวลานั้นได้อย่างดียิ่ง อาจารย์วรชาตินอกจากเขียนหนังสือเกี่ยวกับล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ เท่าที่ผมเคยอ่านและค้นคว้ามาหกเล่ม (และคงมีมากกว่านั้นอีกที่ผมไม่ทราบ) แล้วยังเขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติวชิราวุธวิทยาลัยที่อาจารย์เป็นนักเรียนเก่า และเขียนหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ล้านนา เชียงใหม่ และเจ้านายฝ่ายเหนือได้ชวนอ่าน และอ่านแล้วสนุกเป็นอย่างยิ่ง วันนี้ผมอ่าน Facebook ของ หม่อมหลวงชัยนิมิตร นวรัตน และได้ทราบข่าวร้ายว่า หอสมุดวชิราวุธานุสรณ์เคลื่อนที่ คือ อาจารย์วรชาติ มีชูบท ได้จากไกลไปเสียแล้วด้วยความตกใจและเสียใจ ผมจึงเขียนบทความนี้เพื่อกราบลาอาจารย์วรชาติ มีชูบท ด้วยความอาลัยว่าจะหาผู้ที่จงรักภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์และทุ่มเทค้นคว้าอย่างไม่ย่อท้อและมีคุณสมบัติของครูและนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ https://mgronline.com/daily/detail/9620000098109
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
kui045
มัจฉานุ
ตอบ: 94
|
ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อ 11 ต.ค. 19, 15:33
|
|
ร่วมแสดงความเสียใจด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|