กระทู้นี้ตั้งขึ้น ด้วยแรงบันดาลใจจากความเห็นของ naitang ในคคห. ที่ 129 ในกระทู้ ไปตลาด
คุณตั้งกล่าวไว้ว่า
ผมเชื่อว่าผู้อาวุโสทั้งหลายล้วนแต่มีประสบการณ์และมีเรื่องราวทั้งในทางภาคปฎิบัติและภาคความคิดเห็นที่สามารถนำมาเล่าแล้วเกิดเป็นประโยชน์อย่างมากมายแก่ผู้คนรุ่นหลังๆที่เขากำลังหาอ่านหรือกำลังทำการค้นหาและค้นคว้า(search & research)เพื่อเลือกเส้นทางในการดำเนินชีวิต ผมจึงเลือกที่จะคายองค์ความรู้ที่ตนมีทั้งหลายมากกว่าที่จะอมพะนำหรือขยักหวงเก็บเอาไว้ ประกอบกับสำนึกได้ว่าชีวิตเราได้มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆมากมายหลายเท่านัก การคายองค์ความรู้ที่พอจะมีในรูปแบบบ้านๆให้แก่สังคมและคนที่มีโอกาสน้อยกว่าหรือจำกัดกว่าก็ดูจะเป็นคุณมากกว่าที่จะขยักเก็บเอาไว้
ทำให้นึกขึ้นได้ว่า ดิฉันน่าจะเป็นคนไทยรุ่นท้ายๆ ที่มีโอกาสเรียนวรรณคดีทั้งในประเทศและในต่างประเทศ มาถึงรุ่นลูก ไม่พบว่ามีใครไปเรียนทางนี้อีกแล้ว หรือว่าถ้ามีก็น้อยมากจนนึกไม่ออกว่่าใครบ้าง
ยิ่งถ้ามาถึงรุ่นหลาน อย่าว่าแต่วรรณคดีเลย แม้แต่ภาษาซึ่งเป็นเครื่องมือนำไปสู่วรรณคดี เดี๋ยวนี้น้อยมากที่เรียนกันอย่างเอาจริงเอาจัง จนเกิดภาษาไทยอย่างใหม่ขึ้น จากภาษาคีบอร์ดในมือถือ คือเอาความง่ายในการจิ้มคีบอร์ดเป็นหลักในการสะกดคำ เช่น โทสับ(โทรศัพท์) ปะ(เปล่า) สัม(สัมภาษณ์)
ส่วนการสะกดคำ ถ้ามีเกินสามพยางค์ติดกันก็สะกดไม่ค่อยจะถูกแล้ว ยิ่งถ้าเป็นคำที่มีรากศัพท์จากบาลี ก็ยิ่งไม่ถูกหนักขึ้นไปอีก
เพราะฉะนั้นก็อย่าหวังว่า คนที่เติบโตขึ้นมาในศตวรรษที่ 21 จะเอาใจใส่อยากเรียนวรรณคดี
แต่เพื่อไม่ให้วิชานี้สูญหายไป เหมือนอะไรๆรอบตัวอีกมากที่ตกรุ่นสูญหายไปอย่างรวดเร็ว ก็จะเล่าอะไรต่อมิอะไรเกี่ยวกับวิชาวรรณคดีเท่าที่นึกออก บันทึกเอาไว้เป็นการอนุรักษ์สิ่งที่ครั้งหนึ่งถือกันว่าดีงาม ถึงกับได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นหนึ่งในสมบัติของชาติ