เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
อ่าน: 6794 เมื่อนางนพมาศ เกิดในสมัยอยุธยา
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


 เมื่อ 08 ก.ค. 19, 01:56

  
     ๒๑๕ ๏ อาภาอาภาษเพี้ยง     เพ็ญพักตร์
     อกกํ่ากรมทรวงถอน           ถอดไส้
     ดวงศรีจุฬาลักษณ์          เฉลิมโลก กูเอย
     เดือนใหม่มามาได้          โศกสมร ฯ

         โคลงทวาทศมาส

           ๏ นพมาศนามแม่นี้   เดิมมา
      โปรดเปลี่ยนศรีจุฬา    ลักษณล้ำ
      อุดดมรูปปรีชา            ชาญยิ่ง นแม่
      หญิงภพใดจักก้ำ    กว่านี้ ฤๅมี

         ตำหรับนางนพมาศซึ่งเปนท้าวศรีจุฬาลักษณ์

เร็วๆนี้ เมื่อผมได้มีโอกาศอ่านเรื่องนางนพมาศ
จากหอสมุดวชิรญาณhttps://vajirayana.org
ได้พบข้อมูลที่น่าสนใจ อาจมีประโยชน์ที่นำมาแบ่งปันในที่นี้

ถ้าเราเปลี่ยนให้ "สมเด็จพระร่วงเจ้า" เป็น "สมเด็จพระเจ้าแผ่นดิน" หรือ "สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว" และเปลี่ยน "กรุงพระมหานครศุโขไทยราชธานีบูรีรมย์สถาน" เป็น "กรุงพระมหานครศรีอยุธยาราชธานีบูรีรมย์สถาน" รวมทั้งตัดข้อความส่วนที่ชัดเจนว่ามีผู้แต่งแทรกเข้ามาในสมัยรัตนโกสินทร์

จะเห็นร่องรอยว่า นางนพมาศเกิดในสมัยพระเจ้าปราสาททอง
ดังจะได้อธิบายต่อไป
บันทึกการเข้า
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 08 ก.ค. 19, 02:34


ในคำนำเรื่องนางนพมาศนี้ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายในคำนำของหนังสือว่า

"เมื่อสำนวนหนังสือเห็นได้ว่าเปนหนังสือครั้งกรุงรัตนโกสินทร ด้วยเหตุต่าง ๆ ดังกล่าวมานี้ประการ ๑ ยังซ้ำหนังสือเรื่องนี้ฉบับที่ข้าพเจ้าเคยได้พบมาแต่ก่อน ล้วนเปนฉบับที่ผู้ร้ายในทางหนังสือ ได้แทรกแซงแปลงปลอมเสียจนเลอะเทอะด้วยอิกประการ ๑ ข้าพเจ้าจึงมิได้มีความนิยมต่อหนังสือเรื่องนางนพมาศ จนถึงได้นำความกราบบังคมทูล ฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในที่ชุมนุมโบราณคดีสโมสร ว่าข้าพเจ้าไม่เชื่อหนังสือเรื่องนี้ว่าเปนหนังสือของนางนพมาศจริงดังอ้างไว้ในตัวเรื่อง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราชาธิบายว่า หนังสือ​เรื่องนี้ได้เคยทอดพระเนตรฉบับหลวง แต่ถึงฉบับหลวงก็เปนหนังสือแต่งใหม่ในชั้นกรุงรัตนโกสินทร อย่างข้าพเจ้าคิดเห็นนั้นเปนแน่ไม่มีที่สงไสย แต่ท่านผู้ศึกษาโบราณคดีแต่ก่อนมา มีพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวแลกรมหลวงวงษาธิราชสนิทเปนต้น ทรงนับถือหนังสือเรื่องนี้อยู่ ชะรอยเรื่องเดิมเขาจะมีอยู่บ้าง แต่ฉบับเดิมจะบกพร่องวิปลาศขาดหายไปอย่างไร จึงมีผู้ใดในชั้นกรุงรัตนโกสินทรนี้แต่งใหม่ โดยตั้งใจจะปฏิสังขรณ์ให้เรียบร้อย แต่ผู้แต่งนั้นเผลอไป มิได้พิเคราะห์ความจริงเท็จในทางพงษาวดารอย่างเรานิยมกันทุกวันนี้ แต่งแต่จะให้ไพเราะเพราะพริ้ง เรียงลงไปตามความที่รู้ที่มีอยู่ในเวลาแต่งหนังสือ เรื่องหนังสือจึงวิปลาสไป"

"ข้าพเจ้าจึงเอามาอ่านพิจารณาดูโดยถ้วนถี่เมื่อในรัชกาลปัตยุบันนี้ เมื่ออ่านตลอดเรื่องแล้ว คิดเห็นความจริงงามจะเปนอย่างกระแสพระราชวิจารณ์ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ หนังสือเรื่องนี้ของเดิมเขาจะมีจริง เพราะลักษณพิธีของพราหมณ์ที่กล่าวไว้ในหนังสือเรื่องนี้ โดยมากเปนตำราพิธีจริงแลเปนพิธีอย่างเก่า อาจจะใช้เปนแบบแผนก่อนครั้งกรุงศรีอยุทธยา ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ใดจะมาคิดปลอมขึ้นใหม่ได้ทั้งหมด ดีร้ายหนังสือเรื่องนางนพมาศนี้ของเดิมจะมาในจำพวกหนังสือตำราพราหมณ์ ซึ่งเขียนด้วยตัวหนังสือพราหมณ์เปนภาษาไทย หนังสือจำพวกนี้แม้ในหอพระสมุดวชิรญาณทุกวันนี้ก็มีอยู่บ้าง หนังสือเรื่องนางนพมาศ ถ้ามาโดยทางตำราพราหมณ์ฉบับเดิมจะขาด ๆ วิ่น ๆ อยู่อย่างไร จึงมีผู้มาแต่งขึ้นใหม่ เมื่อรัชกาลที่ ๒ หรือที่ ๓ ในกรุงรัตนโกสินทร์ดังกล่าวมาแล้ว"

ในชั้นนี้ขอเชิญท่านผู้สนใจที่ได้อ่านต้นฉบับจากหอสมุดวชิรญาณ
แล้วพิจารณาดูว่า เรื่องนางนพมาศในปัจจุบัน มีส่วนใดที่เป็น "แบบแผน...ครั้งกรุงศรีอยุทธยา"
ส่วนใดที่เป็น "เรื่องที่ผู้ใดจะมาคิดปลอมขึ้นใหม่"

ในชั้นแรกนี้ผมจะได้เรียนให้พิจารณาว่า นางนพมาศตามท้องเรื่องนี้เกี่ยวพันกับกรุงศรีอยุธยาเป็นอย่างมาก
บันทึกการเข้า
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 08 ก.ค. 19, 02:50


เริ่มจากพิจารณาพระเจ้าแผ่นดิน และ เมืองที่ท่านครองอยู่

   " ๏ แต่นี้จะพึงกล่าวสรรเสริญพระเกรียดิยศสมเด็จพระร่วงเจ้า อันถวัลยราชไอศูรย์สมบัดติ เปนบรมกษัตรอันประเสริฐ ปราบดาภิเศกเสวยราชกรุงพระมหานครศุโขไทยราชธานีบูรีรมย์สถาน เปนปิ่นอาณาประชาราษฎรชาวชนบทนิคมคามสยามประเทศทั้งมวน มีเมืองขึ้นออกเอกโทตรีจัตวาช่วงเมืองกึงเมือง แผ่ผ้านพระราชอาชญาอาณาเขตรขอบขัณฑสีมากว้างขวางนับด้วยโยชน์ยิ่งกว่าร้อย มั่งคั่งไปด้วยสมณชีพราหมณ์ชนประชาชายหญิงอยู่เปนภูมลำเนาติดต่อกันไปโดยระยะย่านบ้านเมือง สร้างสมสวนผลไม้ไร่นาแลที่ทำกินต่าง ๆ เปนผาศุกสบายทั่วทุกหน้า ปราศจากพาลไภยอันตรายมีโจรเปนต้น แล้วก็งามไปด้วยหมู่ลูกค้าพานิชจีนจามแขกฝรั่ง อเนกนานาประเทศภาษาต่าง ๆ ตั้งตึกเตี้ยมบ้านเรือนโรงร้านพ่วงแพเปนถ้องแถวตามวิถีสถลมารค ซื้อขายสรรพสิ่งของเครื่องทองเงินแก้วเก้าเนาวรัตน์อลังกาภรณ์ ทั้งพรรณผ้านุ่งห่มควรแก่บุรุษสัตรีมีหลายอย่าง ผ้าสุพรรณพัตร ผ้าลิขิต​พัสตร์ ผ้าจินะกะพัตร ผ้าตะเลงพัตร ผ้าเทวะครี ผ้ารัตครี ผ้าเจตครี แลพรรณภาชนะเครื่องใช้สอยต่าง ๆ อันควรกับตระกูลทั้งสิบตระกูล ก็มีซื้อขายแก่กันเปนอันมากกว่ามาก บริบูรณ์ไปด้วยโภชนามัจฉะมังษาผลาหารของพึงจะบริโภคโอชารศอันมีมาแต่ประเทศต่าง ๆ ก็ซื้อขายเต็มไปในท้องตลาดพิศาลทุกแห่งทุกตำบล บันดาลูกค้าพานิชในประเทศก็ดี นอกประเทศก็คี ที่ไปมาค้าขายณะจังหวัดแว่นแคว้นกรุงเทพฯพระมหานครศุโขไทยราชธานีนั้น ย่อมบันทุกสินค้าไปมาด้วยสลุปกำปั่นเภตราสัดจอง เกวียนโคเกวียนกระบืออานช้างอานอูฐ ต่างม้าต่างฬ่อต่างฬา เรือถ่อเรือพายเรือแจวเรือกันเชียงเรือแล่นเรือโล้ บ้างก็ไปบ้างก็มาทุกฤดูเดือนมิได้ขาด อันไพร่ฟ้าประชาชาวนิคมคามทั่วแว่นแคว้นเมืองขึ้นออกก็ดี แลในราชธานีก็ดี ย่อมนับกันเปนตระกูลประพฤติตามโปราณาจาริย์สืบ ๆ ต่อมา"

เลือกพิจารณาข้อมูลดังนี้
1. พระเจ้าแผ่นดิน ทรงปราบดาภิเศกเสวยราช
2. ทรงปกครองสยามประเทศ มีเมืองขึ้นออก เอก โท ตรี จัตวา
3. เมืองมั่งคั่ง คนอยู่หนาแน่น มีเรือกสวนไร่นา มีหมู่ลุกค้าวานิช จีน จาม แขก ฝรั่ง
4. ตั้งตึกเตี้ยมบ้านเรือนโรงร้านพ่วงแพเปนถ้องแถวตามวิถีสถลมารค
5. มีการค้าทางบก ทางน้ำ ทางทะเล มีกำปั่น สำเภา เรือพาย เรือแจว เกวียน ช้าง ม้า

บันทึกการเข้า
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 08 ก.ค. 19, 03:06


"หมู่มนุษย์ก็ประกอบไปด้วยสติปัญญาโดยมาก ต่างร่ำเรียนสรรพวิชชาต่าง ๆ ฝ่ายทหารก็เรียนรู้ศิลปะสารทเพลงอาวุธ คือวิชชาช้างม้ากระบี่กระบองโล่ดั้งดาบสั้นดาบยาวกฤชกั้นหยั่นโตมรศรกำทราบปืนไฟใหญ่น้อย มวยปล้ำตำหรับตำราพิไชยยุทธ์เวทมนตร์คงกพันธ์ชำนิชำนาญเปนอันดี บันดาพวกพ่อค้าเรือนก็ต่างเล่าเรียนคำภีร์ไตรเพทไตรวิชชา คือกลบทกลกลอนทำนุกนิ์ทำเนียบอักขะระอักษรครุลหุสูตรกรณฑ์สูตรฉวาง ตำหรับโหราสาตรทักษาพยากรณ์สมผุษอินทพาดบาทจันทร์สารำ อาจรู้จักรราษีดาราฤกษนพเคราะห์สุริยะคราธจันทรคราธโดยพิศดาร บ้างก็เรียนรู้เวชชกรรม คือโอสถแพทย์สำพันธแพทย์เนตรแพทย์วรรณะโรคแพทย์อาคมะ​แพทย์อุรุคะแพทย์ บางพวกก็เรียนวิชชาเปนช่างสุวรรณหิรัญรัตน์ วัฒกีวาคเขียนแกะจำหลักปั้นกลึงหล่อหลอมสรรพวิชชาช่างต่าง ๆ ชำนิชำนาญโดยมาก ฝ่ายสัตรีก็ต่างร่ำเรียนวิชชาช่างสุวรรณลายแล่นเลขาแกะปั้นปักทอร้อยกรองเย็บย้อมเปนที่ทำกิน เกษมศุขทุกทั่วหน้า นรชาติชายหญิงบ้างก็เล่นพนันทายบุตรในครรภ์ว่าจะเปนหญิงหรือชาย เล่นโคชนโคเกวียนคนแล่นรอบแล่นธงคลีช้างคลีม้าคลีคนเปนตามนักขัตตะฤกษ์ บ้างก็เล่นระเบงปี่ระเบงกลองฟ้อนแพนขับพิณดุริยางคบันเลงเพลงร้องหนังรำระบำโคม ทุกวันคืนมิได้ขาด เอิกเกริกไปด้วยสำเนียงนิกรประชา เสสรวลสำรวลเล่นแลซื้อขายจ่ายแจก จนราษราตรีมัชฌิมยามจึงค่อยสงัดเสียง"

6. อาวุธทหารมี ช้างม้า...ปืนไฟใหญ่น้อย
บันทึกการเข้า
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 08 ก.ค. 19, 03:14


"แล้วก็รุ่งเรืองไปด้วยพระบวรพุทธสาสนา รตนัตยาธิคุณอันเปนนิยานิกะธรรม อาจนำสัตว์ให้พ้นจากวัฏทุกข์ ถึงซึ่งสวรรค์นิพพานด้วยเนื้อนาบุญ แลในจังหวัดพระนครก็ดี แขวงเมืองขึ้นออกทั่วนิคมคามก็ดี พื้นภูมิภาคปรถพีย่อมแน่นเนื่องไปด้วยมหาอาวาศสังฆารามใหญ่น้อยนับบมิถ้วน เปนราชอารามก็มี ขัตติยารามก็มี คะหะบดีรามก็มี กูละประชารามก็มี มีวัดหน้าพระธาตุราชบุรณะเปนต้น แลพระราชอารามหลวงแลพระอารามต่าง ๆ ซึ่งไพศาลกว้างใหญ่นั้น ย่อมประดับไปด้วยไม้พระมหาโพธิแลพระวิหารการเปรียญ พระมหาสถูปเจดีย์สูงใหญ่ยิ่งกว่าร้อยศอก แล้วก็ล้อมด้วยพระวิหารยาว มณฑปทิศสถูปรายแวดวงด้วยเสาไต้ไพที่ซุ้มทวาร มีศาลารายเปนระยะตามขอบ​กำแพงชั้นนอก เปนที่ประชุมบรรสัษย์ ซึ่งไปกระทำสักการบูชา ดูเดียรดาษเยียดยัดไปด้วยเสนาศนะกุฎีสงฆ์ กล้วนกระทำด้วยอิฐปูนเปนหมู่เปนแถว มีทั้งที่จงกรมที่สบายกลางคืนกลางวันหอฉันหอปริตหอสัทธรรมมณเฑียรโรงควงโรงกรักโรงน้ำร้อนน้ำเย็นซุ้มน้ำสรงน้ำชำระเท้า ส้วมสระบ่อตระพานข้ามคูคันคะณะปักเสาหงษ์ธงปะฎากปลูกพรรณไม้ดอกผลร่มรื่นพื้นลานลาดด้วยแผ่นศิลาเลี่ยนสอาดตา มีพระอุโบสถสังฆกรรมผูกพัทธสีมาไว้ในระวางบริเวณคณะสงฆ์ กว้างยาวยี่สิบห้าห้องวิจิตรไปด้วยซุ้มทวารบานประตูหน้าต่าง ฝาผนังพิดานดอกอัจกลับวาดเขียนล้วนลายสุวรรณ์ เปนรูปเทพอินทร์พรหมอสุรครุธนาคแลเครื่องพญาศักะมันธาตุราช พญามหาสุทัศน์จักรพรรดิราชาธิราชเปนต้น อันว่าเจดียถานแลเครื่องประดับพระอารามทั้งมวลเปนที่สุดจนศาลาแลตระพาน ก็อร่ามไปด้วยแสงสุวรรณเลขาลวดลายจิตรกรรมลดากรรม ห้อยย้อยพนมพวงแก้วประทีปแก้วแสงประภัศร ควรจะทอดทัศนายิ่งนัก แลเชิงอัฒจันท์บันไดนั้น ก็กระทำด้วยศิลาลายมีรูปไกรสรคชสีห์คชินทรพาชี โตสิงห์อสุรเสี้ยวกางกินนร ล้วนหล่อด้วยทองประสม บ้างก็ทำด้วยศิลาวางไว้เปนคู่ ๆ ทุก ๆ ทวารเข้าออก หนึ่งโสดควรจะอัศจรรย์ด้วยพระพุทธปฏิมากร ซึ่งประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถ แลพระวิหารใหญ่น้อยอันเปนที่สักการะบูชา ทั่วไปทุกพระอารามย่อมหล่อด้วยตามพะโลหะ พระพุทธรูปเปนประธานนั้น หน้าสมาธิกว้างยี่สิบศอกก็มี สิบหกศอกก็มี สิบสองศอกก็มี ยิ่งหย่อนอยู่ในระหว่างนี้ก็มี แลพระพุทธสถารศ​สูงสี่สิบแปดศอกก็มี หย่อนลงมาในระหว่างจนสิบสองศอกก็มี อันพระพุทธปฏิมากรใหญ่ ๆ ดั่งกล่าวนี้มีเปนหลายพระองค์ แลพระพุทธรูปน้อย ๆ กับพระอรหันตรูปนั้น ย่อมมีเปนอันมากกว่ามากเหลือที่จะนับจะประมาณ บางพระองค์ก็หล่อด้วยตามพะโลหะ บางพระองค์ก็กระทำด้วยศิลาทั้งแท่ง ล้วนแต่งามด้วยพระพุทธลักษณะ แล้วก็ย่อมไปด้วยสุวรรณแปดน้ำ รัศมีรุ่งเรืองสถิตย์บัลลังก์ทอง ควรจะเปนที่เลื่อมใสศรัทธาแก่ผู้ได้นมัศการ อนึ่ง อันว่าพระกูลบุตรพุทธชิโนรสสังฆรัตนะ คามวาสีอรัญญวาสีสิ้นทั้งมวน ล้วนแต่ปฏิบัติตามพระวิไนยบัญญัติประเสริฐด้วยศีละคุณ ธุดงคคุณ กิจจะสมณคุณ ต่างเล่าเรียนคันถธุระวิปัศนาธุระ ที่มีพระวรรษาอายุเปนพระมหาเถรท่านรอบรู้ในข้อวัตประฏิบัติก็ได้เปนพระอุปัชฌาย์อำจารย์สั่งสอนภิกษุสามเณร มีอันเตวาสิกสัทธิงวิหาริกนับด้วยสิบด้วยร้อยเปนเจ้าหมู่เจ้าคณะ พระภิกษุบางพระองค์ก็ทรงจำไว้ได้ ซึ่งพระองค์คัมภีร์พระวิไนยปิฎกคัมภีร์หนึ่งบ้าง สองคัมภีร์บ้าง สี่ห้าพระคัมภีร์ก็มีบ้าง บางพระองค์ก็ทรงไว้ซึ่งพระสุตตันตระปิฎกสี่สิบห้าสิบพระสูตร ร้อยพระสูตร ยิ่งกว่าร้อยพระสูตรก็มีบ้าง บ้างก็ทรงไว้ได้ซึ่งพระอภิธรรมปิฎกนับด้วยสิบภาณวารบ้าง ยิ่งกว่าร้อยภาณวารบ้าง บางพระภิกษุก็เปนพระวินัยธร บางพระภิกษุก็เปนพระธรรมกถึก สำแดงพระสัทธรรมเทศนาไพเราะห์ อาจยังน้ำจิตรบรรสัษย์ให้มีประสาทโสมนัศศรัทธา ยิ่งขึ้นไปได้ร้อยเท่าพันทะวี บันดากุลบุตรในตระกูลทั้งปวง ก็ออกบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธสาสนาเปนอันมากทุก​เดือนบีมิได้ขาด"

7. เมืองพุทธศาสนารุ่งเรืองมีวัดวาอารามเป็นจำนวนมาก
8. มีพระพุทธรูปขนาดใหญ่หลายองค์
9. มีสงฆ์ฝ่ายคามวาสี และ อรัญวาสี
บันทึกการเข้า
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 08 ก.ค. 19, 03:26


"อันกรุงพระมหานครศุโขไทยราชธานี บูรีรัตนนั้นกว้างใหญ่ไพศาล มีแม่น้ำรอบเมือง ป้อมกำแพงเชิงเทินซุ้มทวารบานประตู แน่นหนาสูงตระหง่าน อาจกันเสียซึ่งข้าศึกศัตรู มีปืนใหญ่วางประจำช่องสีมา ทหารรักษาอยู่โดยรอบ มีคลองน้ำลำหลอดก็หลายสาย ทำตระพานช้างช่องเรือเดินสามช่องบ้างสี่ช่องบ้าง ตามคลองกว้าง​แลแคบ ประดับด้วยตึกกว้านบ้านเรือนราชบุรุษคะหะบดี แลรั้ววังลูกหลวงหลานหลวงราชตระกูล ติดเนื่องกันไปเต็มทั้งฝ่ายในพระนคร มีโรงช้างโรงม้าโรงรถโรงเรือรบฉางเข้าฉางเกลือ คลังลูก คลังดิน คลังส่วย คลังการเรือนตรุเรือนตะราง เรือนไชยเภรีย์ จวนกลาง จวนประจำกอง จวนทวารเวียง สถานพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง มีศาลหลวงกระทรวงความ ศาลหน้าพระกาล ลานสนามหลวงสำหรับประลองช้างม้า ซ้อมหัดนิกรทวยหาญให้ชำนิชำนาญในการศึกสงคราม อันพระราชนิเวศวังสถานนั้น มีปราการป้อมประตู ชั้นในชั้นนอก ประดับด้วยสิบสองพระคลัง มีพระคลังเงินทองแก้วเก้าเนาวรัตน พระคลังสรรพพรรณผ้า เครืองอุปโภคบริโภคเปนต้น มีจวนสนามมาตยา จวนประจำเวร จวนประจำซอง ทิมแถวทิมท้องฉนวน ทิมองครักษ์ ตึกตำแหน่งพระเครื่องต้น เครื่องพระอภิรมย์ เครื่องราชูปโภค ตึกตำแหน่งช้างต้นม้าต้น ราชยานราเชนท์ โรงปืนใหญ่ปืนยาว มีตำแหน่งชื่อเสียง หนักร้อยหาบ สองร้อยหาบ ห้าร้อยหาบ พันหาบก็มี อันปรางคปราสาทราชมณเฑียรสถานเปนที่สมเด็จพระร่วงเจ้า เสด็จทรงสถิตย์อยู่นั้นมีจตุรมุขสี่ด้าน ๆ หน้านั้นมีพระที่นั่งมุขกระสัน ติดเนื่องกันกับสนามมาตยาหน้ามุขเด็จ ขนานนามเรียกว่าพระที่นั่งอินทราภิเศก มีโรงระบำอยู่กลางฉะลาหน้าพระลาน วงด้วยไพทีบริสุทธิ์ ย้อมน้ำมันทองคู ประดับด้วยของทรงประพาศต่าง ๆ มีไม้ดัดปลูกกะถางทองเปนต้น ฝ่ายขวาพระที่นั่งอินทราภิเศกมีมรฎปปะริตอาคม ฝ่ายซ้ายมรฎปอิศวรอาคม แลหน้ามุขปรางค​ปราสาท ซ้ายขวาสองด้านนั้นเปนที่ข้างในเบื้องขวา มีมณเฑียรปฏิมามรฎป ฝ่ายซ้ายมีมณเฑียรเทพย์ปิตรมรฎป มุขหลังปรางคปราสาทนั้น มีมุขกระสันติดเนื่องกันกับพระราชมณเฑียรทั้งสองสถาน จึ่งขนานนามเรียกว่าพระที่นังอดิเรกภิรมย์ พระที่นังอุดดมราชศักดิ์ เบื้องขวามีหอพระนารายน์ เบื้องซ้ายมีหอพระเทวกรรม์ แล้วก็มีพระปรัสทั้งสองเปนลำดับต่อพระที่นั่งพระปรัสขวา ขนานนามเรียกว่ารัตนนารีมณเฑียร พระปรัสซ้ายเรียกว่าศรีอับษรมณเฑียร มีจวนเครื่องจวนคลังจวนชาวแม่ประจำเวรตึกตำแหน่งพระสนมเอก ลูกหลวงหลานหลวงราชตระกูล นักสนมกำนัลนางบำเรอห์เปนหมู่เปนแถวตามท้องสถลมารคร้อยยี่สิบสาย หน้าตึกมีจวนเย็นสำหรับนั่งร้อยกรองวาดเขียนขับร้องเล่น เปนที่สบายทุกตำแหน่งนางใน มีทิมรายทิมรอบ จ่าชาประจำซองรักษาด้านทางกระท่อมไพรใช้งานขาดการกวาดถนนหนทางเปนต้น มีเรือนจำสำหรับพระสนมกำนัล ต้องพระไอยการมิควรจะส่งราชมัน แลมีทางท้องพระฉนวนอยู่สี่พระฉนวน ๆ หนึ่งออกวัดหน้าพระธาตุ ฉนวนหนึ่งออกพระเทวะสถาน ฉนวนหนึ่งออกพระที่นั่งไชยชุมพล เปนที่ทอดพระเนตรการพระราชพิธีแลแห่แหน ฉนวนหนึ่งลงพระที่นั่งชลพิมาน เปนที่สบายเมื่อเทศกาลฤดูน้ำ"

10. เมืองมีแม่น้ำล้อมรอบ มีกำแพงเมือง ป้อมเชิงเทิน
11. มีคู คลองหลายสาย มีสะพานช้างข้าม มีบ้านเรือนหนาแน่น  
12. พระราชวังมีป้อม กำแพง ประตู  
13. พระเจ้าแผ่นดินประทับปราสาทจตุรมุข
14.  มีสนามหน้าวัง วังติดวัด ติดแม่น้ำ
 
บันทึกการเข้า
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 08 ก.ค. 19, 03:32


"๏ ข้าพระองค์ผู้ชื่อศรีจุฬาลักษณ์ น้อมเศียรศิโรตม์กราบถวายบังคมพระบาทบรมนารถบรมบพิตรสมเด็จพระร่วงเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณแก่ไพร่พ้าข้าแผ่นดินเหลือที่จะบรรยาย พระองค์ย่อมทรงซึ่งทศพิธราชธรรมมีน้ำพระไทยเมตตากรุณา กอบไปด้วยพระปัญญาสอดส่องในราชกิจการบ้านเมือง หยั่งเห็นศุขทุกข์ของอาณาประชาราษฎรทั่วทั้งขอบขัณฑสีมา มิได้เรียกร้องส่วยสาอากรให้เหลือเกิน ชุบเลี้ยงท้าวพระยาข้าเฝ้าฝ่ายทหารพลเรือน แลผู้รั้งเมือง ครองเมืองเอกโทตรีจัตวา บรรดาข้าราชบุรุษทุกกระทรวงพนักงานโดยฝีมือแลความคิด ​ถ้าผู้ใดมีความชอบก็สักการะรางวัลให้ถึงขนาด แม้กระทำความผิดก็ลดหย่อนผ่อนโทษให้เบาลง บำรุงรักษพระราชบุตรพระราชธิดาพระบรมวงษานุวงษ์ให้บริบูรณ์ด้วยศฤงคารบริวารยศ ทั้งพระอรรคมเหสีพระสนมกำนัลก็พระราชทาน เครื่องอลังกาภรณ์ แลเครื่องอุปโภคบริโภคตามยศถาศักดิ์มิให้อนาทร เปนที่สุดจนจ่าชาคนใช้ประจำการ ก็ได้ผ้านุ่งห่มเงินประจำขวบปี ทั่วทุกตัวคนตามสมควร แล้วก็ทรงพระมหากรุณามีพระราชโอวาทสั่งสอน พระบรมวงษาข้าเฝ้าฝ่ายนอกแลฝ่ายใน มิให้ผู้ใดเกียจคร้านกระทำทุจจริตประพฤติน้ำใจพาล สันดานโลภเบียดเบียฬไพร่ฟ้าข้าแผ่นดินให้ได้ความเดือดร้อน หนึ่งโสดสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชศรัทธา ทำนุบำรุงพระบวรพุทธสาสนาให้ถาวรวัฒนารุ่งเรือง ด้วยเอาน้ำพระทัยใส่ในการพระราชกุศลต่างๆ บริจาคพระราชทรัพย์แจกจ่ายสักการะบูชาพระรัตนไตรย เปนอาวาศทาน เปนธรรมทาน เปนนิจจะภัตรทาน เปนสังฆทาน บุคคะลิกทาน เปนนิจจะนิรันตรทุกวันคืนเดือนปีมิได้ขาด ทรงสถาปะนาพระมหาเถรเจ้าผู้รู้ธรรมโดยยิ่ง ขึ้นสู่ที่สมเด็จพระสังฆราชามะหาคะณิศร เปนประธานคามะวาสีอรัญญวาสีอธิบดีสงฆ์ ทั้งเจ้ามหาคณะโดยลำดับ สถาปะนานามบัญญัติเถรมุนี ฝ่ายคันถธุระ วิปัศนาธุระ ถวายจตุปัจจัยเปนไวยาวัจกร แลทรงขอโอกาศเผดียงแก่พระภิกษุสามเณรทั่วไป ให้บอกกล่าวเล่าเรียนธุระทั้งสอง อันเปนอายุพระพุทธสาสนามิให้เสื่อมทราม แล้วก็ชี้ชวนราชบริษัท​ชายหญิงให้ยินดีในศีลทานการกุศล ซึ่งเปนผลประโยชน์ในชั่วนี้ชั่วหน้า อนึ่งพระองค์ทรงสักการะ แก่พราหมณ์ผู้ประพฤติพรหมพรตพิธี ด้วยพระราชทานรางวัลแลการคารวะมิได้ลบหลู่ดูแคลน ย่อมดำรัสไต่ถามซึ่งเหตุแลใช่เหตุ อันจะพึงมีกับบ้านเมืองโดยนิมิตรต่าง ๆ แลมีพระกมลสันดานกอบไปด้วยอนิจจะลักษณ ทรงสงเคราะห์แก่คนชราพยาธิอะนาถาหาญาติมิได้ด้วยพระราชทรัพย์ ให้มีอาหารบริโภคแลผ้านุ่งห่มทั่วทั้งพระราชอาณาเขตร กับโปรดพระราชทานอไภยแก่ชีวิตรสัตว์ ห้ามมิให้ผู้ใดฆ่าช้างม้าโคกระบืออันเปนของมีคุณกับมนุษย์เปนอันขาดทีเดียว เดชะผลอานิสงส์ ซึ่งทรงสร้างสมกองการพระราชกุศลต่าง ๆ เปนทฤษฐธรรมเวทนีย์ บันดาลให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระจำเริญศุขสวัสดิ เสวยศิริสมบัติบริบูรณ ด้วยพระโชคลาภต่าง ๆ มีกุญชรเสวตรแลสุวรรณหิรัญรัตน์ แล้วก็รุ่งเรืองพระเกียรติยศ มีพระเดชเดชานุภาพแผ่ผ่านไปในอเนกนา ๆ ประเทศทั้งปวง มีแต่พระนครเปนมหามิตรไมตรี จะได้มีเมืองเปนข้าศึกศัตรูนั้นหามิได้ กรุงพระมหานครศุโขไทยราชธานีก็มีแต่ความเกษมศุข ประดุจเทพยนครก็ปานกัน อันว่าพระบรมวงษาภิมุขมาตยาข้าทูลธุลีพระบาทฝ่ายหน้าฝ่ายใน แลสมณชีพราหมณ์ลูกค้าพานิชราษฎรประชาชายหญิงไพร่พ้าข้าแผ่นดินสิ้นทั้งมวน ต่างมีกมลจิตรสวามิภักดิ์สร้องสาธุการ สรรเสริญพระเดชพระคุณอวยไชยถวายพร สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้ทรงพระจำเริญศุขสิ้นกาลทุก​เมื่อ แลข้าพระองค์ผู้ชื่อศรีจุฬาลักษณ์ มิได้กล่าวความบรรยายว่าสมเด็จพระร่วงเจ้าจะเปนสมมุติวงษ์แลราชอสัมภินนะวงษ์ดั่งฤๅ พระอรรคมเหษีทั้งสองพระองค์นั้นจะเปนประยูรวงษ์ดั่งฤๅ จะมีพระราชโอรสชายหญิงมากแลน้อยเปนดั่งฤา แลพระบารมีบุญฤทธิศักดาเดชย่อมอัศจรรย์ในโลกย์เปนดั่งฤๅนั้น ด้วยเหตุเห็นว่านักปราชญผู้มีปัญญาท่านกล่าวพิศดารไว้แล้ว ถ้าผู้ใดจะใครรู้ใคร่ฟังจงไปเสาวนาในตำหรับจามเทวีวงษ์โน้นเทอญ ข้าพระองค์พึงใจจะกล่าวแต่ที่เปนความสวัสดิจำเริญ แก่สัตรีภาพทั้งปวงโดยเอกเทศให้พิศดาร ๚ะ"

15. พระเจ้าแผ่นดินมีอัครมเหสีสองพระองค์
บันทึกการเข้า
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 08 ก.ค. 19, 03:42


ต่อไปนี้เป็นใจความสำคัญ


"๏ เบื้องหน้าแต่นี้จะพึงพรรณาโดยอุปนิไสยสมบัติ ซึ่งข้าน้อยได้สร้างสมกองการกุศลมาแต่อดีตชาติ จึงตกแต่งรูปศิริวิลาศให้เปนที่จำเริญตา ทั้งได้กำเนิดในตระกูลวงษ์อันสูงศักดิ์บริบูรณ์ด้วยสมบัติ และศฤงคารบริวารยศกอบไปด้วยสติปัญญา ว่าจะกล่าวคำสุภาสิตตั้งตำหรับ สหายเทวีวงษ์ไว้ในสยามประเทศ ให้จฤฐิติกาลอยู่ในโลกย์ได้ชั่วฟ้าแลดิน อันว่าบิดามารดาข้าน้อยนี้เปนตระกูลพราหมณมหาศาลชาติเวรามเหศร์ ทั้งวงษาคณาญาติก็มีเปนอันมาก นามบิดาชื่อโชตะรัตน์มารดาชื่อเรวะดี สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินชุบย้อมบิดาข้าน้อยนี้เปนพระมหาปะโรหิต ตำแหน่งนามนั้นออกพระศรีมโหสถ ยศกมเลศครรไลยหงษ์ พงษ์มหาพฤฒาจาริย์ มีเกียรติยศยิ่งกว่านักปราชญราชบัณฑิตย์ทั้งปวง ได้บังคับบัญชากิจการตกแต่งพระนคร มีทำการพระราชพิธีสิบสองเดือน เปนต้น ​แลเมื่อข้าน้อยนี้ปฏิสนธิในครรภ์มารดา ๆ นิมิตรฝันว่า ได้เยี่ยมบัญชรพระเจ้าแผ่นดินชมแสงพระจันทร์อยู่จนตื่น บิดาฝันว่าพรรณดอกไม้ต่าง ๆ แย้มบานเกษรใช่ฤดูการ หอมกลิ่นรวยรื่นไปทั่วทั้งจังหวัดพระนคร เหตุนิมิตรดั่งนี้ท่านทั้งสองก็ได้ทำนายไว้ ว่าจะได้บุตรเปนธิดา จะมีบุญพาศนาพร้อมด้วยสติปัญญาแลเกียรติยศเปนที่พึ่งแก่วงษ์ญาติได้เปนแท้ วันข้าคลอดจากครรภ์มารดา พื้นอากาศก็ปราศจากเมฆ พระจันทร์ก็ทรงกลดแสงประภัศร รัศมีขาวเจือสีเหลืองอ่อน เสวยฤกษบุษยะวันเพ็ญเดือนสามปีชวดสัปตศกจันทะวาระดฤถี ซึ่งมีในกำหนดศักราชไว้ในที่นี้ ด้วยปีนั้นยังใช้โบราณศักราช สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินยังหาได้ลบศักราชตั้งตยุลศักราชขึ้นใหม่ไม่ ประการหนึ่งหมู่ญาติสัมพันธมิตรต่างมีน้ำใจเบิกบาน บ้างก็นำมาซึ่งดอกไม้ทอง สนอบเกล้าทอง จุธาทอง ประวิชทอง กุณฑลทอง ธุรำทอง วะไลยทอง ของเจ็ดสิ่งเฉลิมขวัญข้าน้อยนี้โดยมากกว่าของทั้งปวง พระศรีมโหสถผู้บิดาเห็นเปนมงคลนิมิตร ประกอบกับลักษณข้าน้อยอันมีฉวีวรรณเรื่อเหลือง ประดุจฉะโลมลูบด้วยแป้งสารภีทั่วทั้งกะรัชกาย จึ่งให้นามกรข้าน้อยนี้ชื่อนพมาศ แล้วหยิบยกเอาสุวรรณแปดน้ำร้อยตำลึงออกให้เปนของโลมขวัญ ทั้งท่านให้อาราธนาพระมหาเถรานุเถรแปดสิบพระองค์ เชิญพระพุทธปฏิมากรมาประดิษฐานเปนประธาน นิมนต์พระมหาเถรเจ้า จำเริญพระมงคลสูตร พระรัตนสูตร พระมหา​สมัยสูตร ถ้วนคำรบเจ็ดวันเจ็ดครั้ง เพื่อจะให้เปนสวัสดิมงคลแก่ข้าน้อยนี้ แล้วท่านให้อัญเชิญพระครูพรหมพรตพิธีกับหมู่พราหมณาจารย์หกสิบคน ล้วนแต่ชำนาญในไตรเพทมาประชุมกันตั้งพระเทวะรูปประจำทิศทำการพิธีระงับสรรพไภย พิธีไชยมงคลสิ้นสามทิวาราตรีถ้วนสามครั้ง ท่านถวายไทยธรรมแก่พระมหาเถรเจ้าให้บริบูรณ์ด้วยไตรจีวรสมณบริขารกับปิยะการก สิ้นทุก ๆ พระองค์ สักการะหมู่พราหมณ์ด้วยทรัพย์อันเปนแก่นสารก็พอเพียง แล้วท่านอุทิศส่วนกุศลให้อุปถัมภ์บำรุงข้าน้อย ผู้เปนบุตรให้เจริญชนมายุมีความศุขปราศจากโรคันต์อันตรายต่าง ๆ สิ้นกาลทุกเมื่อ อันผู้สำหรับอภิบาลบำเรอเลี้ยงข้าน้อยนี้ บิดามารดาท่านเลือกสรร เอาแต่คนมีศีลาจาระวัต ทั้งฉลาดในการวิชชาช่างต่าง ๆ ให้พิทักษ์รักษาอยู่เปนนิตย์ จนข้าน้อยค่อยจำเริญรู้พูดรู้เล่น หมู่ชนซึ่งเปนผู้เลี้ยง จะได้ให้เล่นสิ่งนั้น ๆ เหมือนเด็กทั้งหลายหามิได้ สอนให้เล่นแต่ร้อยกรองวาดเขียน แลชวนพูดเปนกลบทกลกลอนเจือด้วยคำสุภาสิตทุกวันคืน จนข้าน้อยมีชนมายุศม์ได้เจ็ดขวบ พระศรีมโหสถผู้บิดาก็ให้เล่าเรียนอักษรสยามพากย์ แลอักษรสังสกฤต ได้ชำนิชำนาญ แล้วจึ่งให้เรียนพระพุทธวัจนะพอรู้ศัพท์รู้แปลตามกลประโยคที่ตื้น ๆ แล้วท่านก็ให้เรียนคัมภีร์ไตรเพท ให้รู้ลักษณะเอกโทตรีจัตวากากะบาททัณฑฆาฎไต่คู้ สศษไม้ม้วนไม้มลายประวิสัญชนีฝนทองฟองดันนฤคหิต ทีฆะรัสสะสิถิลธนิตครุละหุอักขระสระพยัญชะนะ เห็นรู้จะแจ้ง​เจนใจเปนอันดี แล้วจึ่งสอนให้แต่งกลบทกลกลอน กาพย์โคลงฉันทลิลิตไว้วางถ้อยคำสำนวนตามคะตินักปราชญ์ ทั้งท่านให้เรียนคัมภีร์ไตรวิชชาตามตำหรับโหราสาตร สอนให้ดูดาวนพเคราะห์นักขัตฤกษ์จนรู้ลักษณะทายร้ายแลดี ๚ะ"

16. นางนพมาศเกิดในตระกูลพราหมณ์ เป็นธิดาของพระศรีมโหสถ ปุโรหิตในพระราชสำนัก
17. นางนพมาศเกิด วันเพ็ญเดือนสามปีชวดสัปตศก
18. นางนพมาศเกิดก่อนที่พระเจ้าแผ่นดินจะลบศักราช
บันทึกการเข้า
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 08 ก.ค. 19, 04:00


"เจ้าอย่ามีความประมาทนะแม่ผู้เปนที่รักของมารดา ประการหนึ่งอันพระมหาราชเทพีก็ควรหมู่พระสนมกำนัลจะฝากตัวกลัวเกรง ด้วยว่าเปนใหญ่อยู่ในพระราชนิเวศวังสถาน ได้บัญชากิจราชการสิ้นเสร็จ เจ้าจงดูถ้าเห็นว่ามากไปด้วยฤษยาพยาบาทเคียดขึ้งหึงหวง มักเก็บถ้อยมาร้อยเปนความแล้ว เจ้าอย่าได้เอาตัวเข้าพัวพัน ให้เกิดกุลียุคขุ่นเคืองเบื้องบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเปนอันขาดทีเดียว ซึ่งมารดาให้โอวาทสั่งสอนแต่สิ่งละอันพันละน้อยนี้ ด้วยเห็นว่าเจ้ามีปัญญาเฉลียวฉลาดรอบคอบรู้ชอบผิดชั่วดีอยู่กับใจเจ้าแล้ว ข้าน้อยได้สดับก็มีความยินดีจึ่งคำนับรับคำสอนจำใส่ใจไว้มั่นคง ครั้นเพลารุ่งเช้าเปนวันสุกรเดือนสิบสองขึ้นสิบค่ำจุลศักราชปกปีมะโรงฉอศกถึงวาระกำหนดข้าน้อยจะจากเคหะสถานไปอยู่ในพระราชนิเวศเปนข้าบาทสมเด็จพระร่วงเจ้า แลข้าน้อยมีอายุสม์นับตามปีได้สิบเจ็ดตามเดือนได้สิบห้าปีกับแปดเดือนยี่สิบสี่วัน ในขณะเพลาเช้าวันนั้นเปนวาระมหาสิทธิโชคฤกษดี จึ่งท่านมารดาแลหมู่ญาติทั้งหลาย​ก็ตกแต่งกรัชกายให้ข้าน้อยตามตระกูลคะหะบดี เจือด้วยเพศพราหมณ์ คือให้ใส่ประวิชสอดสายธุหร่ำสร้อยอ่อนสามสาย ทัดจันทรจุฑามาศ แล้วข้าน้อยก็มาคำนับลาบิดรกับวงศาคะณาญาติโดยสัจเคารพ พระศรีมโหสถผู้เปนบิดาก็อวยไชยให้พรว่า เจ้าจงไปอยู่เปนข้าบาทให้ปราศจากไภยันตราย ทุกข์โศกโรคร้อนสรรพสิ่งมิดี อย่าได้บังเกิดมีแก่เจ้าสักขณะจิตรหนึ่งเลย จงมีความจำเริญศุขทุก ๆ อิริยาบถให้ยิ่งด้วยเกียรติยศไปชั่วกัลปาวสาน"

19. เมื่อเข้าวัง เป็นเดือนสิบสอง ปีมะโรง ฉอศก นางนพมาศอายุได้สิบห้าปีแปดเดือนยี่สิบสี่วัน

จาก 1-19
อาจสรุปได้ว่าเรื่องนางนพมาศอยู่ในสมัยพระเจ้าปราสาททอง กรุงศรีอยุธยา
มีอายุในเกณฑ์ใกล้เคียงกับพระนารายณ์และพระเพทราชา
บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12599



ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 08 ก.ค. 19, 07:59

เอกสารต้นเรื่อง   ยิงฟันยิ้ม

https://vajirayana.org/เรื่องนางนพมาศ-หรือ-ตำหรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์-ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ/คำนำ

https://vajirayana.org/เรื่องนางนพมาศ-หรือ-ตำหรับท้าวศรีจุฬาลักษณ์-ฉบับหอพระสมุดวชิรญาณ/ตำหรับนางนพมาศซึ่งเปนท้าวศรีจุฬาลักษณ์
บันทึกการเข้า
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 08 ก.ค. 19, 11:41


 "ข้าน้อยนพมาศได้ฟังพระราชบริหารแล้วก็ให้สดุ้งจิตรคิดกลัวแต่สังสารวัฏ แม้ชาติหน้าเกลือกจะไปเกิดเปนพระสนมกำนัลพระมหากษัตราธิราชเจ้าในภายภาคหน้า ก็จะต้องใกล้เคียงด้วยคนพาลสันดานลามก จึงอุสาหะสร้างกุศลปราถนาไปเกิดในเทวโลกย์อย่างเดียว ฯ แต่นี้ข้าน้อยจะบรรยายสหายดำนานสืบไป ในเมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าเสวยศิริราชสมบัติโดยยุติธรรม​ตามราชประเพณี ล่วงจุลศักราชไปได้สิบแปดปีโดยกำหนด ทรงสำราญภิรมย์ยินดีสโมสร พร้อมเพรียงด้วยหมู่พระสนมกำนัลและราชบริรักษ์ ทั้งประยูรวงษาฝ่ายหน้าฝ่ายในเปนบรมศุขอาณาประชาราษฎรปราศจากไภยอันตราย ราชสัตรูภายนอกภายในก็มิได้กำเริบให้เดือดร้อน มีแต่การบำเพ็ญพระราชกุศล ทรงศีลจำแนกทานบันเทิงพระกระมลหฤไทยในทางพระโพธิญาณทุกเช้าค่ำคืนวันเดือนปีเปนนิจนิรันดร อันตัวข้าน้อยนี้ก็มีความผาสุกด้วยพระคุณสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระเมตตาชุบเลี้ยง พระราชทานยศถาบันดาศักดิ์ให้งามหน้าบิดามารดา ทั้งใช้สอยกิจราชการใหญ่น้อยสนิทชิดชม เปนที่ไว้วางพระราชหฤไทยในพระราชดำริห์ทุกประการ แม้นจะมีที่เสด็จพระราชดำเนินแห่งดค จะค้างแรมใกล้ไกลกันดารแลมิกันดารก็ดี ข้าน้อยก็ได้โดยเสด็จทุกครั้งประดุจเกือกทอง หนึ่งเล่ายามเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมิสบายพระสกลกายด้วยเหตุกำเริบพระโรค ข้าน้อยก็ได้ถนอมบาทบงกชมาศบำเรอรัก โดยใจสวามิภักดิ์มิได้เปนกินเปนนอนผ่อนสบาย ตั้งใจทำราชกิจจะได้คิดแก่ลำบากยากเหนื่อยแต่สักขณะจิตรหนึ่งก็หามิได้ ใช่ข้าน้อยนพมาศจะแกล้งกล่าวไว้อวดอ้างนรชาติซึ่งเกิดภายหลัง ผู้ใดอย่าพึงสงไสย อันความจงรักภักดีของข้าน้อยนี้ ควรจะเปนแบบอย่างไปได้ในแผ่นดินชั่วกลปาวะสาน ๚ะ"


20. พระเจ้าแผ่นดินทรงประชวร เมื่อล่วงจุลศักราชได้สิบแปดปี
      พระเจ้าปราสาททอง สวรรคต จ.ศ. ๑๐๑๗ ย่างสิบแปดปี หลังจากประกาศตัดศักราช
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 10 ก.ค. 19, 13:31

เรื่องนางนพมาศ ดิฉันเชื่อว่าแต่งสมัยรัตนโกสินทร์   แต่อาจมีเค้าของเดิมอยู่เป็นพื้นฐานอย่างคุณคนโคราชว่า
อย่างไรก็ตาม  สำนวนภาษานั้นไม่เก่าถึงสมัยพระเจ้าปราสาททองค่ะ    เป็นภาษาสมัยต้นรัตนโกสินทร์นี่เอง
บันทึกการเข้า
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 10 ก.ค. 19, 15:14


คำนวณวัดเกิดนางนพมาศ

   “วันข้าคลอดจากครรภ์มารดา พื้นอากาศก็ปราศจากเมฆ พระจันทร์ก็ทรงกลดแสงประภัศร รัศมีขาวเจือสีเหลืองอ่อน เสวยฤกษบุษยะ วันเพ็ญเดือนสาม ปีชวด สัปตศก จันทะวาระดฤถี ซึ่งมีในกำหนดศักราชไว้ในที่นี้ ด้วยปีนั้นยังใช้โบราณศักราช สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินยังหาได้ลบศักราชตั้งตยุลศักราชขึ้นใหม่ไม่ ประการหนึ่งหมู่ญาติสัมพันธมิตรต่างมีน้ำใจเบิกบาน บ้างก็นำมาซึ่งดอกไม้ทอง สนอบเกล้าทอง จุธาทอง ประวิชทอง กุณฑลทอง ธุรำทอง วะไลยทอง ของเจ็ดสิ่งเฉลิมขวัญข้าน้อยนี้โดยมากกว่าของทั้งปวง พระศรีมโหสถผู้บิดาเห็นเปนมงคลนิมิตร ประกอบกับลักษณข้าน้อยอันมีฉวีวรรณเรื่อเหลือง ประดุจฉะโลมลูบด้วยแป้งสารภีทั่วทั้งกะรัชกาย จึ่งให้นามกรข้าน้อยนี้ชื่อนพมาศ
ตำนานนางนพมาศ

นางนพมาศเกิดปีชวด วันเพ็ญ ขึ้นสิบห้าค่ำเดือนสาม คืนวันจันทร์ ก่อนปีลบศักราช
เมื่อเทียบกับพงศาวดาร จัดวางได้ที่เดียวเท่านั้น ในปีชวด จ.ศ. ๙๙๘

A.D.    จุลศักราช   ปีนักษัตร   เหตุการณ์
1630     ๙๙๒   มะเมีย      พระเจ้าปราสาททองปราบดาภิเศก
1631     ๙๙๓   มะแม      แรกสร้างปราสาทนครหลวง
1632     ๙๙๔   วอก      สร้างมหาปราสาทจักรวรรดิไพชยนต์   พระนารายณ์ประสูตร  โสกันต์เจ้าฟ้าชัย
1633     ๙๙๕   ระกา      บูรณะพระปรางค์วัดมหาธาตุ สร้างทาง นมัสการพระพุทธบาท
1635     ๙๙๗   กุน      พระราชทานเพลิงพระเจ้าลูกเธอ
1636     ๙๙๘   ชวด      ขยายกำแพงพระราชวัง ซ่อมพระที่นั่ง พระนารายณ์ ๕ พรรษา   *นางนพมาศเกิด
1637     ๙๙๙   ฉลู      พระอาทิตยวงศ์เป็นกบฏ
1638     ๑๐๐๐   ขาล      ลบศักราช เอากุนเป็นสัมฤทธิ์ศก
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ

คำนวณได้ตรงกับวันจันทร์ที่ 30 มกราคม ค.ศ. 1637  และเป็นวันที่พระจันทร์เต็มดวง จริงครับ
ผู้แต่งเลือกวันได้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง และสอดคล้องกับพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ซึ่งทำได้ยาก 
บันทึกการเข้า
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 10 ก.ค. 19, 15:34


คำนวณวันนางนพมาสเข้าวัง

"ครั้นเพลารุ่งเช้าเปน วันสุกร เดือนสิบสอง ขึ้นสิบค่ำ จุลศักราชปก ปีมะโรง ฉอศก ถึงวาระกำหนดข้าน้อยจะจากเคหะสถานไปอยู่ในพระราชนิเวศเปนข้าบาทสมเด็จพระร่วงเจ้า แลข้าน้อยมีอายุสม์ นับตามปีได้สิบเจ็ด ตามเดือนได้สิบห้าปีกับแปดเดือนยี่สิบสี่วัน ในขณะเพลาเช้าวันนั้นเปนวาระมหาสิทธิโชคฤกษดี"
ตำนานนางนพมาศ

นางนพมาส เกิดปีชวด เข้าวังปีมะโรง นับตามปีได้สิบเจ็ดปีย่างจริง
เกิด ปีชวด สิบสองค่ำเดือนสาม เข้าวังปีมะโรง ขึ้นสิบค่ำ เดือนสิบสอง นับตามเดือนได้สิบห้าปี แปดเดือน ยี่สิบสี่วัน ไม่มีปัญหา
จัดวางปีนางนพมาศเข้าวังได้เป็น ปีมะโรง จ.ศ. ๑๐๑๔

A.D.    จุลศักราช   ปีนักษัตร     เหตุการณ์
1636     ๙๙๘   ชวด         พระนารายณ์ ๕ พรรษา  * นางนพมาศเกิด
1637     ๙๙๙   ฉลู        พระอาทิตยวงศ์เป็นกบฏ
1638     ๑๐๐๐   ขาล        ลบศักราช เอากุนเป็นสัมฤทธิ์ศก
1640   ๑๐๐๒   มะโรง        รับทูตพม่า
1641     ๑๐๐๓   มะเส็ง        ฟ้าผ่าพระที่นั่ง พระนารายณ์ไม่เป็นอันตราย  กำปั่นเข้ามาค้าขาย
1643     ๑๐๐๕   มะแม        พระโหราทำนาย  ซ่อมพระที่นั่งวิหารสมเด็จ
1644     ๑๐๐๖   วอก        ไพร่ฟ้าเป็นสุข
1652     ๑๐๑๔   มะโรง                           * นางนพมาศเข้าวัง
1655     ๑๐๑๗   มะแม        พระเจ้าปราสาททองประชวร สวรรคต
พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพันจันทนุมาศ

คำนวณวันนางนพมาศเข้าวังได้เป็น วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม ค.ศ. 1652 (ขึ้น ๘ ค่ำ ขาดไป ๒ วาร)
ตรงกับ  พุทธศักราช ๒๑๙๖ ฉอศก

เรื่องนี้ปลอมกันได้ยากครับ
บันทึกการเข้า
Koratian
พาลี
****
ตอบ: 329


ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 10 ก.ค. 19, 16:43


จารึกแผ่นทองแดงวัดไชยวัฒนาราม https://db.sac.or.th/inscriptions/inscribe/detail/634

ศุภมัสดุ พุทธศักราช ๒๑๙๒ มหาศักราช (๑)๕๗ วันพุธ เดือน ๔ ขึ้น ๑๕ คํ่า  จอ โทศก  แรกสถาปนา

บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 4
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.051 วินาที กับ 19 คำสั่ง