เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10
  พิมพ์  
อ่าน: 15901 วชิราวุธวิทยาลัย โรงเรียนที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้นแทนวัดประจำรัชกาลที่ ๖
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 60  เมื่อ 16 มี.ค. 19, 19:22

อาบน้ำเสร็จก็มาแต่งตัวชุดนอนสีขาว ซึ่งจะเป็นกางเกงแบบชาวเรือประมง เรียกกันว่ากางเกงจีน รัดเอวด้วยการขมวดเป็นปมเช่นเดียวกับการนุ่งผ้าขาวม้า เสื่้อก็จะเป็นเสื้อทรงเสื้อหม้อฮ่อม เรียกกันว่าเส้อกุยเฮง   ตั้งแต่ 5 โมงเย็น ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องของการอาบน้ำตอนเย็น รวมไปถึงการเก็บเสื้อผ้าใช้แล้วและการจัดตู้เสื้อผ้าก็จะจบลงภายในเวลาสั้นๆไม่ถึงชั่งโมง เพราะว่าหากเสร็จเร็วมากเพียงใดก็จะมีเวลาว่างที่จะเดินเล่น นั่งเล่น หรือเล่นอะไรกันที่สนุกๆก่อนอาหารเย็น (เช่น ดีดลูกหิน หยอดหลุม ฯลฯ)   

เรื่องการจัดตู้เสื้อผ้านั้น ก็จะมีการเปิดตู้ตรวจเป็นระยะๆโดยคุณครูแบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ทุกคนจะต้องไปยืนประจำอยู่หน้าตู้ของตน หากไม่มีการจัดหรือมีความรกรุงรัง หรือมีของเถื่อนแอบซ่อนอยู่ คุณครูก็จะว่ากล่าวต่อหน้า ทุกคนก็จะได้ยิน คนที่ทำผิดก็จะรู้สึกอาย ไม่อยากทำอีกต่อไป    ของเถื่อนที่ว่านี้ก็คือพวกขนมขบเคี้ยวซึ่งผู้ปกครองมักจะเป็นฝ่ายคะยั้นคะยอให้เอาไปเก็บซ่อนไว้ เด็กก็ไม่อยากทำหรอกเพราะจะถูกตรวจและเมื่อถูกจับได้ก็จะรู้สึกอับอาย รู้กระฉ่อนกันไปทั้งบาง

6 โมงเย็นก็เข้าแถวเพื่อเดินเข้าห้องอาหาร สำหรับเด็กใหม่ เรื่องแรกที่ต้องเรียนรู้เป็นเรื่องของ etiquette ในโต๊ะอาหาร  ก็มีเรื่องการนั่งเรียงกันสองฝั่งโต๊ะยาว แต่แยกการจัดอาหารออกเป็นสำรับ แต่ละสำรับจะมี 5 คน เป็นสำรับของแต่ละกลุ่ม จะไม่มีการตักหรือแย่งอาหารข้ามสำรับกัน หากใครคนใดในสำรับเอื้อมไปตักอาหารไม่ถึงก็ให้ใช้วิธีเคาะที่โต๊ะแล้วชี้ไปที่อาหารจานนั้น เพื่อนก็จะช่วยเลื่อนจานนั้นมาให้ 
ก็คงไม่ต้องห่วงว่ากับข้าวเหล่านั้นจะถูกรุมแย่งกันตักไปกิน  ดังที่คุณ NAVARAT.C ได้เกริ่นไว้ เห็นกับข้าวก็พอเป็นงงแล้วว่า อะไรหว่า จะแย่งตักแต่เนื้อหรือ ? มันก็มีอยู่น้อยนิดพอให้ได้รู้ว่าเป็นอะไรเท่านั้น จัดเป็นอาหารจานสุขภาพที่เข้าใกล้อาหารมังสวิรัติจริงๆ เมื่อหน้าตา รสชาติ เป็นดังว่า การแย่งตักก็จึงเกือบจะไม่ปรากฎให้เห็นเลย  เครื่องปรุงรสบนโต๊อาหารก็มีแต่เพียงน้ำปลาซึ่งก็ไม่ได้ช่วยทำให้อะไรๆอร่อยขึ้นไปมากมาย ก็คงเป็นส่วนหนึ่งที่เสมือนกับการฝึกให้อยู่ง่ายและกินง่ายที่กลาบติดเป็นนิสัยติดตัวตลอดไป 
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 61  เมื่อ 16 มี.ค. 19, 20:25

นั่งในโต๊ะอาหารแล้ว เด็กใหม่ทุกคนจะได้รับการบอกกล่าวจากคุณครูว่า ช้อนของแต่ละคนจะวางอยู่ด้านขวามือ ส้อมของทุกคนจะวางอยู่ทางด้านซ้ายมือของจานข้าว แก้วน้ำของแต่ละคนจะวางอยู่ที่มุมด้านขวามือเหนือจานข้าว  แล้วก็จะบอกวิธีการจับช้อนและส้อม  บอกว่าอย่าคุยกันหรือส่งเสียงดัง อย่าพูดกันและอ้าปากในขณะที่กำลังเคี้ยวข้าว

อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดจากสภาพสิ่งแวดล้อมบังคับจนเป็นความเคยชิน คือด้วยการนั่งชิดกันในโต๊ะอาหารขณะทานข้าว ทำให้ไม่มีที่ว่างสำหรับการกางข้อศอกหรือเอาข้อศอกวางบนโต๊ะอาหาร รวมถึงไม่สามารถจะนั่งยกแข้งยกขาได้ อันเป็นความสุภาพที่ยอมรับกันทั่วไปในระหว่างการมื้ออาหารของผู้คนทั่วๆไปในสังคมโลก 
บันทึกการเข้า
choo
มัจฉานุ
**
ตอบ: 95


ความคิดเห็นที่ 62  เมื่อ 16 มี.ค. 19, 20:51

เวลานำเด็กไปมอบตัว ต่างก็มักจะเลือกเป็นเวลาหลังอาหารกลางวัน คล้ายกับการเลี้ยงส่ง ก็คงกินกันไม่ค่อยลงหรอกครับ  วันแรกที่มอบตัว ก็จะเป็นวันแรกที่พ่อแม่จะได้เห็นสภาพความเป็นจริงที่ลูกของตนจะต้องเผชิญ ก็คงจะต้องห่วงกันเป็นธรรมดา ในระหว่างที่ช่วยเอาเสื้อผ้าออกจัดเก็บในตู้เสื้อผ้า (ขนาดประมาณ 1 x 1 x 0.40 ม.) มีสองชั้น ปากก็จะพร่ำบอกลูกเท่าที่นึกอยากจะบอกว่าจะต้องทำอย่างไรในเรื่องอะไรบ้าง เช่น แยกเสื้อผ้าใช้แล้ว การใช้ขันอาบน้ำฟอกสบู่ ฯลฯ  สำหรับผมนั้น จำได้แม่นในเรื่องที่แม่บอกว่า เวลานอนอย่าลืมเอาผ้าทับหน้าอกไว้

ผมคิดว่าในช่วงเวลาดังกล่าวนี้ เป็นช่วงเวลาที่สำคัญเป็นอย่างยิ่งในเรื่องของการปลูกฝังสิ่งที่มีคุณค่าลงไปในจิตสำนึกของเด็กในเรื่องที่พ่อแม่อยากจะเห็นลูกของตนเป็นคนเช่นใด  ผมเชื่อว่าพ่อแม่ทุกคนจะต้องบอกลูกว่า เป็นเด็กดีนะ เชื่อฟังครู อย่าเกเร ตั้งใจเรียน ขยันและอดทน   เด็ก 8 ขวบ คิดถึงพ่อแม่แล้วจะไม่นึกถึงคำที่พ่อแม่บอกไว้หรือไร เมื่อพ่อแม่มาเยี่ยมเอาขนมมาให้กินในวันพฤหัสบดีพร้อมเก็บถุงผ้าใช้แล้วเพื่อเอาไปซัก เอากลับมาคืนให้พร้อมกับการเยี่ยมในวันเสาร์หรืออาทิตย์ ก็ยังได้ยินคำพูดเช่นนั้นอีก แต่มักจะต่อท้ายด้วยวลีว่า...หรือเปล่า? ตอกย้ำฝังลึกลงไปอีกหลายปีก่อนจะเข้าคณะใน    ก่อนจากกันก็ยังต่อท้ายด้วยว่า พ่อแม่รักลูกนะ พูดออกมาพร้องสิ่งที่แสดงออก (น้ำเสียง ตา การโอบกอด ฯลฯ)   ผมเห็นว่า เรื่องเช่นนี้เองเป็นพื้นฐานที่ยังผลให้ต่อมาเด็กวชิราวุธฯเกือบทุกคนมีลักษณะเฉพาะที่ซับซ้อนบางประการ


การมีลักษณะเฉพาะที่ซับซ้อนบางประการนั้น สำหรับคนที่ไม่เคยเรียนในโรงเรียนกินนอนจินตนาการไม่ถูกว่าเป็นอย่างไรเช่นมีความคิดฝังใจว่าพ่อแม่ไม่รักไม่ต้องการเราหรืออย่างไร ช่วยกรุณาขยายความเท่าที่จะเล่าได้เพื่อความเข้าใจด้วยครับ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 63  เมื่อ 25 มี.ค. 19, 18:59

กลับจาก ตจว. แล้วครับ

ในประเด็นที่คุณ Choo ขอให้ขยายความนั้น แท้จริงแล้วมิได้ประสงค์จะให้เกิดความเคลือบแคลงใดๆ เป็นเรื่องที่จะขยายความอยู่แล้ว แต่บังเอิญเป็นช่วงเวลาที่ต้องเดินทางไป ตจว. ครับ

ความซับซ้อนที่ว่านั้นก็คือ เรื่องของกลไกส่วนตนในการปฎิบัติตนให้เหมาะสมและเข้าได้ดีกับสภาวะแวดล้อมต่างๆ ทั้งในสภาวะที่เป็นเชิงรุกและเชิงรับ (ในกรอบของสิ่งที่พ่อแม่ได้พร่ำพูดไว้ก่อนจากกัน)  กลไกที่ว่านั้นมีทั้งในด้านที่เป็นภาคของแนวคิด จิตใจ และการกระทำ  ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นผลที่ยังมาจากพื้นฐานของครอบครัว (สถานะ อาชีพ การงาน ฯลฯ) และการเลี้ยงดู 

อ่านแล้วก็คงจะเป็นงงพอๆกัน  เอาเป็นว่า แต่ละคนต่างก็มีเรื่องส่วนตนที่อยากจะปกปิด เปิดเผย ลดละ หรือเพิ่มเติมในด้านแนวคิด จิตใจ และการกระทำเมื่อต้องอยู่ร่วมกัน     
บันทึกการเข้า
choo
มัจฉานุ
**
ตอบ: 95


ความคิดเห็นที่ 64  เมื่อ 25 มี.ค. 19, 20:30

ขอบคุณครับ พอเข้าใจได้เรื่องทำนองนี้ในโรงเรียนทั่วไปก็มีแต่คงไม่เข้มข้นเท่าเด็กที่อยู่ประจำซึ่งไกลจากผู้ปกครอง
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 65  เมื่อ 26 มี.ค. 19, 18:28

ใช่ครับ เรื่องในทำนองนี้มีอยู่เป็นปกติโดยทั่วๆไป   แต่ด้วยสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน โดยเฉพาะในด้านของการอยู่รวมกันในลักษณะที่เป็นกลุ่มแบบเกือบจะ 24 ชั่วโมงทั้งในรูปของกลุ่มเพื่อนสนิทกลุ่มเล็กๆ กลุ่มชั้นเรียน กลุ่มกินนอน กลุ่มคณะ กลุ่มกีฬา ฯลฯ ทั้งหลายเหล่านี้นั้น ผมเห็นว่ามันได้ยังผลให้เกิดการสร้างทัศนคติแบบอะลุ่มอล่วย ไม่มีการแสดงออก(ของบุคคล)แบบสุดขั้วทั้งในเชิงรุกและเชิงรับ (ก้าวร้าว ข่มขู่...) หากแต่จะช่วยกันหาทางออกหรือหาข้อยุติร่วมกันบนพื้นฐานของข้อเท็จจริงหรือตรรกะต่างๆ (จุดเริ่มต้นของพฤติกรรมที่เรียกว่าสุภาพบุรุษ ?) 

คงจะเป็นเบ้าหลอมในเบื้องแรกของช่วงอายุประมาณ 8-11 ปี ก่อนที่จะข้ามไปอยู่ในคณะใน(เด็กโต) ซึ่งเป็นเบ้าหลอมอีกเบ้าหนึ่งที่มีการใส่เครื่องปรุงแต่งต่างๆเพิ่มเติมลงไป ซึ่งสอดคล้องไปกับการเปลี่ยนแปลงของจิตใจและร่างกายในระยะแรกเริ่มของช่วงวัยเจริญพันธุ์ จาก ด.ช. เป็นนาย จาก ด.ญ. เป็น นางสาว   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 66  เมื่อ 26 มี.ค. 19, 19:09

จะขอต่อไปเรื่องอาหารของคณะเด็กเล็กเมื่อครั้งกระโน้น (2498-2501)

คิดว่าวันพฤหัสแรกที่โรงเรียนเปิดโอกาสให้พ่อแม่มาเยี่ยมลูกได้นั้น น่าจะได้รับฟังเรื่องราวที่เหมือนๆกันคือ อาหารไม่อร่อย กินไม่ได้  พ่อแม่ก็คงจะถามว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งเด็กก็คงจะตอบไม่ได้เพราะเด็กไม่เคยเห็น พ่อแม่ก็คงจะขอให้บอกว่าหน้าตาเป็นอย่างไร เด็กก็ยังบอกไม่ได้อยู่ดีว่าอาหารเหล่านั้นมันมีองค์ประกอบอะไรบ้าง   

วันเสาร์หรืออาทิตย์ที่มาเยี่ยมครั้งต่อไปก็เลยจะมีการนำอาหารพวกก๋วยเตี๋ยวบะหมี่มาด้วย  พอนานวันเข้าเด็กก็มักจะอายที่นั่งกินอย่างมีความสุขอยู่แต่เพียงตนเอง คิดถึงเพื่อนที่มีพ่อแม่อยู่ห่างไกลจนเกือบจะไม่ได้มาเยี่ยมเลย ก็จะขอให้พ่อแม่ซื้อมาฝากเพื่อนด้วย แล้วก็เรียกเพื่อนมานั่งด้วย ซึ่งเพื่อนก็เกรงใจไม่อยากมาร่วมวงกินเสร็จก็รีบหลีกออกไป สุดท้ายเพื่อนก็ขอไม่มาร่วมวงด้วย ท้ายที่สุดเด็กก็จะมาพบพ่อแม่เพียงระยะเวลาสั้นๆและไม่เอาของกินอะไร หากจะมีก็ขอเพียงของกินเล่นแห้งๆที่พอจะนำไปฝากเพื่อนได้บ้าง ทำแบบแอบๆ เพราะครูห้ามไม่ให้ทำ ก็เลยมีคำว่า ของเถื่อน ที่เด็กมักจะเอาไปซุกซ่อนเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 67  เมื่อ 27 มี.ค. 19, 18:14

กับข้าวบนโต๊ะอาหาร เท่าที่จำได้ก็จะออกไปทางหนักผักเนื้อน้อย เด็กก็จะรู้ไปเองว่ามีอะไรที่ต้องแบ่งปันกัน มิใช่โกยเอาเป็นของตัวเองเสียหมด   ในส่วนตัวของผม อาหารที่จำได้แม่นก็คือข้าวต้มดังที่คุณ NAVARAT.C ได้กล่าวไว้ ซึ่งมีลักษณะออกไปทางโจ๊กข้นๆเกือบจะหาเนื้อไม่เจอ มีเป็นอาหารเช้าทุกวัน  มีแกงเทโพผักบุ้งกับหมูสามชั้น ซึ่งมีบ่อยมากจนต่อมาเกือบจะไม่ทานอีกเลย มีหัวผักกาดขาวหั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมผัดกับหมูที่หั่นแบบเดียวกันแล้วใส่แป้งแบบอาหารจีน แกงจืดก็จะมีต้มจับฉ่ายหรือต้มจืดผักกาดขาวเป็นหลัก  สำหรับผักต้มจืดผักกาดขาวนี้ได้กินตลอดระยะเวลา 10 ปีที่อยู่ประจำ   สำหรับอาหารจานอื่นๆนั้นจำไม่ได้แล้ว ซึ่งคิดว่าที่จำไม่ได้ก็เพราะความรู้สึกได้ก้าวไปถึงระดับกินเพื่ออยู่  ไม่เคยเห็นมีผู้ใดบ่นหรือออกอาการอย่างหัวเสียกับเรื่องอาหารอย่างเป็นจริงเป็นจังสักราย 

เรื่องเหล่านี้คงจะยังผลให้กลายเป็นคนที่อยู่ง่ายกินง่ายต่อไป   
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 68  เมื่อ 27 มี.ค. 19, 19:05

แล้วเติบโตแข็งแรงกันมาได้อย่างไร

สำหรับเด็กเล็กวัยปานนั้น ก็เป็นปกติที่ผู้ใหญ่และคุณครูทั้งหลายจะรู้สึกเอ็นดูและทำหน้าที่ทั้งในเชิงของครู พี่เลี้ยง และเสมือนพ่อแม่ จึงอะลุ่มอล่วยในบางเรื่อง เช่น อนุญาตให้แม่บ้านช่วยจัดการในเรื่องการต้มหรือลวกใข่(ที่พ่อแม่ฝากไว้)ให้กับเด็กในอาหารมื้อเช้า อนุญาตให้เด็กเอาเครื่องปรุงอาหารบางอย่างฝากไว้ที่ครัว(ห้องอาหาร)  ซึ่งเครื่องปรุงที่สำคัญในสมัยนั้นก็คือ ซอสแม็กกี้ น้ำพริกเผา และซอสพริกศรีราชา

ยังนึกถึงรสและความอร่อยเหลือหลายกับไข่ต้มที่ใช้ช้อนตัดเป็นชิ้นๆในถ้วยแล้วใส่ซอสพริกและแม็กกี้ลงไปคลุก   สำหรับน้ำพริกเผานั้นเอามาคลุกข้าวและอาจเหยาะแม็กกี้ลงไปด้วย ทำให้กินข้าวได้อร่อยมากขึ้นกับกับข้าวที่ว่าไม่อร่อยเหล่านั้น

เกือบลืมไปว่า ในยุคนั้นเริ่มมีนมโฟร์โมสแจกให้เด็กตามโรงเรียนได้ดื่มกันด้วย
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 69  เมื่อ 27 มี.ค. 19, 19:13

ลืมไปอีกอย่างหนึ่ง ผัดพริกขิงกากหมูใส่ขวดฝากไว้ที่ครัวก็มีเช่นกัน เอามาคลุกข้าวก็อร่อยดีไม่เลว   อยู่มาระยะหนึ่ง เริ่มกินของเผ็ดได้ ก็มีพริกป่นเพิ่มขึ้นมา เอามาคลุกข้าวเหยาะน้ำปลาลงไปก็เพิ่มรสและความอร่อยได้มาก
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 70  เมื่อ 27 มี.ค. 19, 19:27

ของเถื่อนของเด็กโตในคณะเด็กเล็กที่ทุกคนรู้จักกันดีคือ ข้าวตัง   ข้าวที่ทานกันนั้นหุงด้วยกระทะใบบัว ก็เลยมีข้าวตังติดที่ก้นกระทะ เมื่อมีโอกาสก็จะแอบขอจากแม่ครัว เอามาแบ่งกันเป็นของกินเล่น  เรื่องนี้เป็นเรื่องของความสนุกของเด็กในการแสดงความสามารถในการแอบเอาของเถื่อนจากฝั่งคณะใน ข้ามถนนมาฝั่งคณะเด็กเล็ก มาแบ่งกันกินด้วยความนุกสนาน  ก็เป็นเรื่องที่ยังเอามาเล่ากันเมื่อยามแก่ แล้วก็หัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง
บันทึกการเข้า
V_Mee
สุครีพ
******
ตอบ: 1436


ความคิดเห็นที่ 71  เมื่อ 28 มี.ค. 19, 07:10

"สำหรับเด็กเล็กวัยปานนั้น ก็เป็นปกติที่ผู้ใหญ่และคุณครูทั้งหลายจะรู้สึกเอ็นดูและทำหน้าที่ทั้งในเชิงของครู พี่เลี้ยง และเสมือนพ่อแม่ จึงอะลุ่มอล่วยในบางเรื่อง เช่น อนุญาตให้แม่บ้านช่วยจัดการในเรื่องการต้มหรือลวกใข่(ที่พ่อแม่ฝากไว้)ให้กับเด็กในอาหารมื้อเช้า อนุญาตให้เด็กเอาเครื่องปรุงอาหารบางอย่างฝากไว้ที่ครัว(ห้องอาหาร)  ซึ่งเครื่องปรุงที่สำคัญในสมัยนั้นก็คือ ซอสแม็กกี้ น้ำพริกเผา และซอสพริกศรีราชา"

ภาพเก่าตอนรับประทานข้าวต้มอผ่นผุดขึ้นมาทันทีเลยครับ  เวลารับประทานข้าวต้มอผ่นนิยมหยดแม๊กกี้แล้วปรุงรรสด้วยซอยพริกศรีราชา  คคนให้เข้ากันก่อนรับประทานให้รสซอสพริกศรีราชานำ  ช่างโแชารสได้เหลือเกินครับ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 72  เมื่อ 28 มี.ค. 19, 08:27

จะขอต่อไปเรื่องอาหารของคณะเด็กเล็กเมื่อครั้งกระโน้น (2498-2501)

วันเสาร์หรืออาทิตย์ที่มาเยี่ยมครั้งต่อไปก็เลยจะมีการนำอาหารพวกก๋วยเตี๋ยวบะหมี่มาด้วย  พอนานวันเข้าเด็กก็มักจะอายที่นั่งกินอย่างมีความสุขอยู่แต่เพียงตนเอง คิดถึงเพื่อนที่มีพ่อแม่อยู่ห่างไกลจนเกือบจะไม่ได้มาเยี่ยมเลย ก็จะขอให้พ่อแม่ซื้อมาฝากเพื่อนด้วย แล้วก็เรียกเพื่อนมานั่งด้วย ซึ่งเพื่อนก็เกรงใจไม่อยากมาร่วมวงกินเสร็จก็รีบหลีกออกไป สุดท้ายเพื่อนก็ขอไม่มาร่วมวงด้วย ท้ายที่สุดเด็กก็จะมาพบพ่อแม่เพียงระยะเวลาสั้นๆและไม่เอาของกินอะไร หากจะมีก็ขอเพียงของกินเล่นแห้งๆที่พอจะนำไปฝากเพื่อนได้บ้าง ทำแบบแอบๆ เพราะครูห้ามไม่ให้ทำ ก็เลยมีคำว่า ของเถื่อน ที่เด็กมักจะเอาไปซุกซ่อนเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้า   

ผมอยู่เด็กเล็กคนละคณะกับคุณตั้ง จึงไม่เข้าใจเรื่องที่เล่าว่าการเอาของที่พ่อแม่มาเยี่ยมไปกินกับเพื่อนๆนั้น ครูห้ามไม่ให้ทำ

คณะเด็กเล็กจะอนุญาตให้ผู้ปกครองมาเยี่ยมลูกได้สัปดาห์ละ ๒ ครั้ง คือวันพฤหัส บ่ายสามถึงบ่ายสี่ กับวันอาทิตย์ตั้งแต่สิบโมงเช้า จนถึงบ่ายสี่เช่นกัน คณะเด็กเล็ก ๓ ของผมอนุญาตให้ตลอดช่วงเวลานั้นเด็กจะนั่งทานของที่พ่อแม่หอบหิ้วมาเยี่ยมด้วยกันกับครอบครัวก็ได้ หรือจะเอาอาหารนั้นมานั่งล้อมวงทานกับเพื่อนๆ ครูไม่ห้าม
กรณีย์ของผม หลังจากผ่านพ้นช่วงแรกๆที่กินอะไรไม่ลง แม่มาก็จะอ้อนกลับบ้านท่าเดียวไปแล้ว หลังแม่กลับก็จะนำอาหารมาล้อมวงกับเพื่อนๆที่มีของเยี่ยม โดยไม่ลืมร้องเรียกเพื่อนที่เป็นเด็กต่างจังหวัดไม่มีใครมาเยี่ยมให้เข้ามาร่วมวงด้วยทุกครั้ง ซึ่งก็ไม่เคยเห็นมีใครอิดออด ของกินแต่ละวงก็จะหมดลงในเวลารวดเร็วก่อนกำหนดที่ครูห้ามไว้ว่าหลังจากนั้นก็ห้ามนำอาหารมาทานอีก

ส่วนของที่เก็บได้ เช่น แม๊กกี้หรือน้ำพริกเผาอะไรนั้่น หลังวันเยี่ยมเห็นมีวางไว้ทุกสำรับ ไม่กี่วันก็เหลือแต่ขวดเปล่า ทุเรียนกวนก็เช่นกัน แรกๆก็ถ้อยทีถ้อยแบ่งกันกับเพื่อนใกล้ตัว แต่เมื่อเวลาผ่านไปจนสนิทกันทั่วแล้ว เวลาแกะห่อก็ต้องคอยกันมือที่พุ่งเข้ามาจากสาระพัดทิศ อย่างน้อยตัวเองต้องกัดให้ได้หนึ่งคำจึงจะสมศักดิ์ศรีเจ้าของ

ส่วนพวกที่แอบซ่อนขนมไว้ในตู้เสื้อผ้า ไม่เคยเห็นว่าครูจะจับได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วเพื่อนๆจะจับได้เสียก่อน มีผลต่างกันเล็กน้อย คือถ้าถูกครูจับได้ก็คงถูกริบไป ถ้าเพื่อนจับได้ ตนเองก็อาจจะได้กินสักชิ้นสองชิ้น เป็นที่เฮฮากันไป

บันทึกการเข้า
azante
อสุรผัด
*
ตอบ: 31


ความคิดเห็นที่ 73  เมื่อ 28 มี.ค. 19, 10:34

  ขออนุญาตเสริมหน่อยนะครับ ตอนผมเรียนเด็กเล็กสมัย 2518 ผู้ปกครองเยี่ยมได้เฉพาะวันอาทิตย์   กลับบ้าน 1 ครั้ง  ตอนสิ้นเดือน ช่วงเสาร์ อาทิตย์
นักเรียนคนใดที่ผู้ปกครองไม่สามารถมาเยี่ยมได้ ซึ่งส่วนมาก คุณพ่อคุณแม่อยู่ต่างจังหวัด เพื่อนๆก็จะชวนไปทานข้าวด้วย ซึ่งผู้ปกครองก็จะเตรียมอาหารมาเผื่อเพื่อนลูกด้วย

  วันเยี่ยมลูก คือ การปิคนิคของครอบครัว คณะเด็กเล็กจะมีศาลา ตั้งโต๊ะไม้ยาวไว้ เพื่อให้มานั่งทานข้าวกัน  แรกๆ ผู้ปกครองก็เตรียมอาหารกลางวันกันมาพอรับประทานกันเองในครอบครัว ตามจำนวน พ่อ แม่ ลูก ทานเสร็จแล้วก็กลับ ไม่ได้นั่งแช่กัน

  หลังๆก็ชักจะมากขึ้น ผู้ปกครอง สองสามครอบครัว รู้จักกัน ก็จะมารวมโต๊ะกัน ผู้ปกครองบางคนจะมาแต่เช้า ราว แปดโมง เอาผ้ามาปูโต๊ะจองเอาไว้ เป็นขาประจำว่าชั้นจะนั่งโต๊ะนี้ สักพัก ก็จะมีครอบครัวอื่นตามกันมาร่วมวง หิ้วตะกร้าอาหารการกินมาเต็มพิกัดเผื่อครอบครัวอื่นอีกด้วย เนื่องจากให้เข้าเยี่ยมได้ ตั้งแต่ หลังจากสวดมนต์ รับโอวาทที่หอประชุม ประมาณ เก้าโมงครึ่ง  จน ถึง บ่ายสาม เลยนั่งไป กินไป คุยไป ตั้งแต่เช้าจรดบ่าย จะเป็นอย่างนี้ประจำ สังเกตุได้เลยมุมไหนโต๊ะไหน เป็นของผู้ปกครองใครบ้าง  ที่ข้าใคร อย่า แตะ

  แรกๆก็อาหารสำเร็จ รับประทานกันได้เลย หลังๆ พอเด็กรุ่นใหม่ๆมา คุณพ่อคุณแม่ กลัวลูกจะไม่ได้ทานอาหารสดใหม่ ถึงขนาดเอาเตาปิ๊คนิคมาปิ้งย่าง ประกอบอาหาร หรือบางทียกมาเป็นหม้อดินเลยก็มี บางท่านนำเมี่ยงลาวมา ถึงขนาดต้องมาล้างใบผักกาดดอง หั่น ปั้นไส้ ห่อใส่กันตรงนั้นเลย

  ไปๆมาก็เริ่มทะเลาะกัน เรื่องแย่งโต๊ะ แย่งที่นั่ง อาหารการกิน อลังการราว ภัตตาคาร เลยต้องยกเลิกการเยี่ยมในวันอาทิตย์ไป ทำให้ต้องกลับบ้าน เดือนละ 2 ครั้ง เสาร์ เว้นเสาร์  เดือดร้อนผู้ปกครองที่อยู่ต่างจังหวัด ละทีนี้
ด้วยความรักลูก มากไป เลย ต้อง วุ่นวายกันด้วยประการฉะนี้
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33584

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 74  เมื่อ 28 มี.ค. 19, 15:04



ภาพเก่าตอนรับประทานข้าวต้มอผ่นผุดขึ้นมาทันทีเลยครับ  เวลารับประทานข้าวต้มอผ่นนิยมหยดแม๊กกี้แล้วปรุงรรสด้วยซอยพริกศรีราชา  คคนให้เข้ากันก่อนรับประทานให้รสซอสพริกศรีราชานำ  ช่างโแชารสได้เหลือเกินครับ

สงสัยมานานแล้วว่าฟ้อนท์ในคอมของคุณ V_Mee น่าจะตัวเล็กมาก  หรือไม่คีย์บอร์ดก็เล็กจนเป็นสาเหตุให้พิมพ์จิ้มพลาดได้บางครั้ง
ปกติถ้าเดาได้ว่าคำจริงๆคืออะไร ดิฉันจะมาแก้ไขให้     แต่คราวนี้จนปัญญา  ใครทราบบ้างว่า ข้าวต้ม"อผ่น"ข้างบนนี้คืออะไรคะ   จะว่าเป็นข้าวต้มแผ่นก็ไม่น่าใช่
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 10
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.061 วินาที กับ 20 คำสั่ง