เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: [1] 2 3 ... 10
  พิมพ์  
อ่าน: 15778 วชิราวุธวิทยาลัย โรงเรียนที่พระเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้นแทนวัดประจำรัชกาลที่ ๖
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


 เมื่อ 05 มี.ค. 19, 10:26

ได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับโรงเรียนของอาจารย์เทาชมพูเมื่อ 50 + ปีก่อนแล้วอยากอ่านเรื่องโรงเรียนของคุณตั้งหรือคุณ NAVARAT.C ที่เป็นโรงเรียนซึ่งสมัยก่อนชาวบ้านเรียกว่าโรงเรียนกินนอนบ้าง รู้สึกเหมือนเป็นแดนสนธยา ไม่ทราบจะมีโอกาสไหมครับ

 ระหว่างรออ่านชีวิตในโรงเรียนกินนอน   มาดูรถในอดีตกัน ฆ่าเวลาไปพลางๆนะคะ
  คุณตั้งหรือคุณนวรัตนมาเมื่อไหร่ค่อยหยุดเรื่องรถ


เพื่อจะได้ไม่ต้องหยุดเรื่องโน้นที่กำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน ผมจึงขออนุญาตแยกกระทู้ออกมาใหม่นะครับ


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 1  เมื่อ 05 มี.ค. 19, 10:27

ก่อนอื่น ขอให้สละเวลาอ่านเรื่องนี้ก่อน ถึงยาวหน่อยแต่ก็เป็นประโยชน์แก่ทุกคนนะครับ

https://thaipublica.org/2019/03/prasarn-vajiravudh-college-28-2-2562/?fbclid=IwAR0575TZw-HN_t_MSQkG8M3HRxaVK-tYuE0fqd2CHnWUl2jRn-8treaF0hA
บันทึกการเข้า
choo
มัจฉานุ
**
ตอบ: 95


ความคิดเห็นที่ 2  เมื่อ 05 มี.ค. 19, 15:53

ขอบคุณคุณ NAVARAT.C เป็นอย่างมากนะครับที่จะนำเรื่องโรงเรียนของท่านสมัยที่ท่านเรียนอยู่มาให้อ่าน ท่านนำปัจฉิมโอวาทของ ดร.ประสารฯที่ให้แก่นักเรียนวชิราวุธที่กำลังจะจบในปีนี้มาให้อ่านด้วยสมควรแล้วที่เชิญท่านมาเป็นผู้ให้โอวาทท่านเป็นคนเก่งมากคนหนึ่งท่านสรุปสิ่งที่ ร.6 ทรงปรารถนาไว้ได้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่ผ่านหรือจบจากโรงเรียนนี้ต้องมี Competence และ Character เมื่ออ่านจบผมเห็นว่าโอวาทนี้ควรเผยแพร่ให้ผู้กำลังจบมหาวิทยาลัยทราบด้วยจะเป็นประโยขน์มาก ผมมีเพื่อนที่เคยเล่นกีฬาและทำงานด้วยกันทั้งรุ่นเดียวกันและรุุ่นน้องหลายคนจบจากโรงเรียนนี้พบว่าท่านเหล่านั้นมี ทั้ง competence character และ ความเป็นสุภาพบุรุษ -Gentlemanship ครบถ้วน ผมเคยถามพวกเขาว่าโรงเรียนของคุณเป็นยังไงถึงมีคนเก่งๆเช่นนักกีฬา(รักบี้)ออกมาได้เรื่อยๆไม่มีใครยอมบอกผมเลยแซวว่าพวกคุณมาจากแดนสนธยาหรือไงและที่ได้พบนอกเหนือจากนั้คือพวกเขามีน้ำใจนักกีฬาดีกว่าคนทั่วๆไป มันคงเกิดจากการหล่อหลอมที่ดีจากโรงเรียนนี่เป็นที่มาของความอยากรู้เรื่องของโรงเรียนแห่งนี้
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 3  เมื่อ 06 มี.ค. 19, 06:15

ของคุณที่สนใจโรงเรียนของผมนะครับ ผมจะพยายามเล่าให้ผู้อ่านเข้าใจให้มากที่สุดในเรื่องที่อยากทราบ  หากตรงไหนผู้ใดมีข้อสงสัย โปรดอย่าลังเลที่จะถามเข้ามาโดยพลันนะครับ ไม่ต้องเกรงว่าผมจะสะดุด


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 4  เมื่อ 06 มี.ค. 19, 06:32

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๒๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๕๓ ซึ่ง ณ เวลานั้นมิได้ทรงมีสิ่งอื่นใดที่สำคัญไปกว่าการจัดการพระบรมศพของพระราชบิดา แต่ในพระทัยคงจะทรงครุ่นคิดอะไรอยู่  ดังจะเห็นได้จากพระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่งอันดับแรกที่ทรงประกอบขึ้นในเวลาเพียงสองเดือนต่อมาก็คือ  การพระราชทานกำเนิดโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้นเสมือนพระอารามหลวงประจำรัชกาลตามพระราชประเพณี เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๕๓  ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยมีขนบธรรมเนียมที่พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดจะทรงปฏิบัติมาก่อน

และโรงเรียนที่โปรดเกล้าฯให้สถาปนาขึ้นนี้นั้น ก็มีแนวคิดที่แตกต่างกับโรงเรียนทั่วไปที่ทางราชการได้จัดสร้างขึ้นโดยสิ้นเชิง  ดังจะเห็นได้จากพระราชหัตถเลขาที่ทรงมีไปถึงเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี  อดีตพระอภิบาลในสมัยที่พระองค์เสด็จไปทรงศึกษายังประเทศอังกฤษ ซึ่งบัดนั้นได้กลับมารับราชการในตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงธรรมการ

เนื่องจากทรงคุ้นเคยที่จะใช้ภาษาอังกฤษกับพระอภิบาลอันเป็นภาคบังคับสมัยทรงพระเยาว์  ดังนั้นจึงทรงเลือกที่จะทรงพระอักษรเป็นภาษาอังกฤษที่สามารถทำให้พระองค์เลือกใช้ศัพท์ได้ตรงกับพระทัยมากกว่า  คำแปลภาษาไทยที่ผมนำมาให้อ่านด้วยนี้ หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ผู้ซึ่งเป็นบุตรชายของเจ้าพระยาพระเสด็จเป็นผู้ถอดความให้ดูสละสลวยดังที่ผมจะนำมาเทียบกันหน้าต่อหน้าดังนี้

(ในภาพ คือมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี  ในชุดครุยกรรมการโรงเรียนมหาดเล็กหลวง(ที่มีมาก่อนครุยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในมือถือหนังสือชื่อ “สมบัติของผู้ดี” ที่ท่านเป็นผู้แต่ง)


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 5  เมื่อ 06 มี.ค. 19, 06:33

                                                                                                         บันทึก


          ข้าส่งข้อความนี้มาเพื่อให้เสนาบดีและปลัดทูลฉลองกระทรวงธรรมการอ่าน ข้าได้ขีดเส้นแดงใต้ข้อความบางตอน คือ ตอนที่ถูกใจข้าและตอนที่แสดงให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งในเรื่องที่ข้ารู้สึกตลอดมา

          ระบบการศึกษาและกฎเกณฑ์ทั้งหลาย ตลอดจนหลักสูตรแท้จริงทำให้เปลืองกระดาษไปเปล่าๆ ยิ่งกว่านั้นคือเปลืองเวลาด้วย ถ้าไม่ทำให้ประชาชนเป็นอย่างที่เราต้องการสำหรับประเทศของเราได้เป็นผลสำเร็จ ข้าไม่หมายความว่าอะไรดีสำหรับเมืองอังกฤษจะต้องดีสำหรับเมืองไทยด้วย ตรงกันข้าม ถ้าจะเอาวิธีการของคนอังกฤษมาใช้ทั้งดุ้นโดยไม่มีการดัดแปลง ก็จะเป็นการผิดพลาดอย่างมหันต์ แต่บันทึกนี้อาจทำให้ผู้อ่านเกิดความคิดอะไรบ้าง


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 6  เมื่อ 06 มี.ค. 19, 06:36

สำหรับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ข้าไม่เป็นห่วงการปั้นนักเรียน “ชั้นมัธยม” ให้เป็นเทวดาเหมือน กันหมดทุกคน ได้คะแนนกันคนละหลายพันคะแนนเท่าการสร้างเด็กหนุ่มที่ขยันขันแข็ง และสะอาดทั้งทางร่างกายและจิตใจ เตรียมพร้อมที่จะรับภาระต่างๆ ซึ่งจะมีมาในอนาคต ข้าไม่ต้องการนักเรียนตัวอย่างที่สอบไล่ได้คะแนนขั้นเกียรตินิยมทุกๆ ครั้ง ข้าไม่ต้องการตำราเรียนที่เดินได้ ที่ข้าอยากได้นั้นคือ เยาวชนที่เป็นสุภาพบุรุษ ซื่อสัตย์สุจริต มีอุปนิสัยใจคอดี และข้าจะไม่โศกเศร้าเลย


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 7  เมื่อ 06 มี.ค. 19, 06:36

ถ้าเจ้ามารายงานว่า เด็กคนหนึ่งเขียนหนังสือไม่คล่อง คิดเลขเศษซ้อนไม่เป็น และไมรู้วิชาเรขาคณิตเลย ถ้าข้ารู้ว่าเด็กคนนั้นได้ศึกษาพอที่จะรู้ว่าความเป็นลูกผู้ชายคืออะไร และขี้แยคืออะไร ข้าไม่อยากได้ยิน “คนฉลาด” บ่นอีกว่าปัญญาท่วมหัวเอาตัวไม่รอด สิ่งที่ข้าต้องการในโรงเรียนมหาดเล็กหลวงคือ ให้การศึกษาเป็นเครื่องทำให้เด็กเป็นเยาวชนที่น่ารัก และเป็นพลเมืองดี ไม่ใช่ทำลายบุคลิกภาพเสียหมด โดยบรรทุกหลักสูตรและระบบการต่างๆ ลงไป ข้าต้องการให้การศึกษาเป็นสิ่งที่งดงาม จนทำให้เด็กที่ออกไปแล้วหวนกลับมาคิดถึงในวันข้างหน้า


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 8  เมื่อ 06 มี.ค. 19, 06:37

ด้วยความภาคภูมิใจ ขออย่าเอาโรงเรียนของข้าไปเปรียบกับโรงเรียนอื่น เพราะมีจุดหมายต่างกัน ถ้าข้าอยากจะได้โรงเรียนธรรมดาเพียงหลังหนึ่ง สร้างเป็นโรงเรียนไปมาจะไม่ดีกว่าหรือ จะสร้างโรงเรียนกินนอนขึ้นมาทำไม

          ที่ข้ากล่าวมานี้จะเข้ากันได้กับระบบการศึกษาของเจ้าหรือไม่ก็ตาม ถ้าเข้ากันได้ข้าก็ดีใจ แต่ถ้าเข้ากันไม่ได้ ก็ขอให้วิธีการของข้าได้รับการพิจารณาดำเนินการโดยยุติธรรมด้วย อย่าพยายามบังคับให้ครูของข้าทำตามข้อไขของเจ้า ให้ทำตามข้อไขของข้าเถิด เพราะกีฬาประเภทนี้ข้าคิดให้เขาเล่น และตัวข้าเองจะเป็นผู้ให้ถ้วยรางวัล



                                                                                                          พระปรมามาภิไธย


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 9  เมื่อ 06 มี.ค. 19, 06:47

เอาละนะครับ ดังนั้นผู้ปกครองที่วิจารณ์ว่าเด็กวชิราวุธเอาแต่เล่น ทำให้เรียนไม่เก่ง คะแนนสู้โรงเรียนนั้นโรงเรียนนี้ไม่ได้ ก็คงจะต้องนำลูกชายของท่านไปเข้าโรงเรียนอย่างที่ท่านว่าจริงๆตั้งแต่ต้นเลย
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 10  เมื่อ 06 มี.ค. 19, 10:04

ขอนำเสนออีกข้อมูลหนึ่งที่แสดงถึงความห่วงใยของพระองค์ท่านที่ได้ทรงเป็นห่วงในเรื่องของการพัฒนาคน

จะขออนุญาตลดการใช้คำราชาศัพท์ลงพอสมควรนะครับ

ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ ขออนุญาตคัดลอกจากหนังสืออ่านของ “โครงการเลือกสรรหนังสือ” ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช “เรื่องหลักราชการ” ซึ่งจัดพิมพ์เผยแพร่เพื่อประโยชน์ทางการศึกษา พิมพ์ครั้งที่ 51 จำนวน 1000 เล่ม เมื่อ พ.ศ. 2541

หนังสือเล่มนี้ได้นำพระราชนิพนธ์ ของล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ที่ได้พระราชทานแจกข้าราชการในการพระราชพิธีตรุษสงกรานต์ พ.ศ. 2457 ซึ่งได้ทรงพระนิพนธ์ไว้เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2457
พระองค์ท่านได้กล่าวไว้ในปฐมบทว่า

   ในสมัยปัตยุบันนี้ ใครๆก็ย่อมทราบกันอยู่แล้วว่า การศึกษาจำเริญขึ้นมากกว่าในเวลาก่อนๆนี้เป็นอันมาก และมีตำรับตำราสำหรับสอนศิลปและวิทยาแทบทุกอย่าง เหตุฉะนี้จึงทำให้คนบางจำพวกหลงไปว่า “รู้อะไรไม่สู้รู้วิชา” และด้วยความหลงอันนี้จึงเลยทำให้หลงเลยนึกไปว่า ไม่ว่าจะทำการในหน้าที่ใดๆ ข้อสำคัญมีอยู่อย่างเดียวแต่เพียงจะพยายามให้ได้คะแนนมากๆทุกคราวที่สอบไล่ในโรงเรียนและให้ได้ประกาศนียบัตรหลายๆใบ แล้วพอออกจากโรงเรียนก็เป็นอันจะไม่ต้องพยายามทำอะไรอีกต่อไป ทั้งลาภ ทั้งยศ ทั้งทรัพย์ จำจะต้องหลั่งมาไหลมาทีเดียว 
บันทึกการเข้า
choo
มัจฉานุ
**
ตอบ: 95


ความคิดเห็นที่ 11  เมื่อ 06 มี.ค. 19, 10:13

อ่านพระราชปณิธานในการก่อตั้งโรงเรียนแล้วยังคงทันสมัยและมีคุณค่ามาถึงปัจจุบัน ถ้าโรงเรียนรัฐบาลอื่นๆนำไปใช้ด้วยตั้งแต่ยุคนั้นเราคงได้เห็นประเทศไทยที่ดีกว่าในวันนี้ เมือก่อนชาวบ้านทั่วไปมักพูดกันว่า"โรงเรียนมหาดเล็ก"เป็นโรงเรียนของลูกเจ้าใหญ่นายโตหรือพวกเศรษฐีเอาแต่เล่นกีฬาและเข้าสังคม วิชาการก็ธรรมดา ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงผมเห็นว่าเด็กๆพวกนี้ถ้าไม่อยู่ในโรเรียนนี้ที่มีความมุ่งหมายในในการสร้างคนดีมีคุณธรรมควบคู่ไปกับความรู้ทางวิชาการแล้วพวกเขาจะเป็นภัยต่อสังคมและประเทศชาติได้มากเพราะพื้นฐานทางครอบครัวจะช่วยให้พวกเขาเข้าไปสู่ระบบราชการหรือธุรกิจใหญ่ๆและเติบโตเป็นใหญ่ได้ง่ายกว่าเด็กอื่นๆ จริงอยู่โรงเรียนจะดีเพียงใดก็ไม่สามาถทำให้เด็กทุกคนเป็นคนดีได้ การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมตั้งแต่เด็กจนโตทุกวันๆควบคู่กับการเรียนปกติจึงเป็นโอกาสกล่อมเกลาให้เป็นคนดีมีความละอายต่อความไม่ถูกต้องได้มากขึ้น ขอเชิญคุณ NAVARAT.C ว่าต่อไปครับ
บันทึกการเข้า
naitang
หนุมาน
********
ตอบ: 5823


ความคิดเห็นที่ 12  เมื่อ 06 มี.ค. 19, 10:22

   บุคคลจำพวกที่คิดเห็นว่าวิชาเป็นแก้วสารพัดนึกเช่นนี้ เมื่อเข้าทำการแล้ว ถ้าแม้นไม่ได้รับตำแหน่งอันสูงเพียงพอแก่ที่ตนตีราคาของตนไว้ และลาภยศทรัพย์หลั่งไหลมาไม่ทันใจก็บังเกิดความหลากใจ แล้วก็บังเกิดความไม่พอใจ เมื่อไม่พอใจแล้วก็บังเกิดความริษยา เมื่อเกิดความริษยาขึ้นแล้วก็หมดความสุข
   แท้จริงบุคคลจำพวกนี้ลืมนึก หรือไม่เคยนึกทีเดียวว่ามีสุภาษิตโบราณท่านได้กล่าวไว้แล้วว่า “วิชาท่วมหัวเอาตัวไม่รอด”  คำที่ท่านกล่าวไว้เช่นนี้ควรที่จะหวนคำนึงดูบ้างว่าท่านมุ่งความว่ากระไร?  ท่านย่อมมุ่งความว่า วิชานั้นเปรียบเหมือนเครื่องแต่งตัว ซึ่งใครมีทุนแล้วก็อาจจะหาแต่งได้เท่ากัน แต่ถึงแม้ว่าจะนุ่งหางหงส์ผัดหน้าใส่ชฎาทอง ถ้าแม้ว่ารำไม่งามเขาก็ไม่เลือกเอาเป็นตัวอิเหนาเป็นแน่ละ ถ้าคนเราต้องการแต่วิชาการอย่างเดีย เป็นเครื่องนำไปสู่ความเป็นใหญ่ ป่านนี้พวกครูบาอาจารย์ทุกคนคงต้องเป็นใหญ่คนโตไปด้วยกันหมดแล้ว แต่แท้จริงศิษย์ที่ดีกว่าครูมีถมไป ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วไม่ควรที่จะเป็นไปได้ เพราะครูเป็นผู้สอนวิชาให้แก่ศิษย์ เหตุใดศิษย์จึงจะวิ่งไปดีกว่าครูเล่า ถ้าลองไตร่ตรองดูข้อนี้ให้ดีหน่อย จะเห็นได้ว่าไม่ใช่เพราะวิชาอย่างเดียวเสียแล้ว ต้องมีคุณวิเศษอื่นประกอบด้วยอีก คุณวิเศษเหล่านี้จะขอพรรณนาแต่พอเป็นสังเขปดังต่อไปนี้    
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 13  เมื่อ 06 มี.ค. 19, 13:12

วชิราวุธวิทยาลัยมีผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดคือ ผู้บังคับการ  เรียกตามหน่วยงานในกรมมหาดเล็กหลวง เมื่อผมเข้าเรียนในปี ๒๕๐๐ นั้น คุณตั้งเข้ามาก่อนผมแล้ว ๒ ปี คือเข้าตั้งแต่ ป ๓ ผมมาเข้าทีหลังในชั้น ม.๑ (สมัยนั้นชั้นประถมมี ป.๑ ถึง ป.๔ แล้วจึงขึ้นมัธยม ม.๑ ถึง ม.๘) เรายังอยู่ในคณะเด็กเล็กที่มีเด็กในชั้น ป.๓ ถึง ม.๒

ท่านผู้บังคับการชื่อพระยาภะรตราชา  ตอนนั้นท่านอายุเจ็ดสิบแล้ว ยังแข็งแรง  เมื่อเข้ามาเป็นนักเรียนวชิราวุธ ก็จะได้ยินท่านผู้บังคับการพร่ำสอนอบรมบนหอประชุมเสมอๆว่า โรงเรียนนี้สอนให้
๑ เป็นคนมีความรู้  
๒ เป็นคนมีศาสนา  
และ ๓ สอนให้เป็นผู้ดี

๑ และ ๒ ไม่ต้องอธิบายมาก ทุกคนคงเข้าใจ
แต่คำว่าเป็นผู้ดีนั้น ท่านขยายความว่า  ผู้ดีต้องเป็นผู้กล้าหาญ  มีระเบียบ และมีความกตัญญูกตเวที รักเกียรติชื่อเสียงวงศ์ตระกูลของตัว  รักหมู่รักคณะ คนจะเป็นผู้ดีได้ต้องผ่านการฝึกให้รู้จักการตรากตรำ ไม่สำรวยหยิบโหย่ง  กล้าเสียสละเพื่อประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม  ใครอยู่ที่บ้านจะเป็นอย่างไรไม่สนใจ แต่เมื่อมาอยู่โรงเรียนแล้ว จะทำตนเป็นคนถือยศศักดิ์เหยียดหยามผู้อื่นไม่ได้  เด็กทุกคนจะต้องถูกฝึกให้อ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่  เป็นผู้รับใช้ที่ดีก่อนที่วันหน้าจะเป็นผู้ใช้คนเป็น

ข้อ ๓ นี่เป็นตัวสำคัญ ที่ท่านเห็นนักเรียนวชิราวุธสุภาพอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ เล่นกิฬาหนักในเกม ไม่เอาเปรียบคู่แข่งขัน รู้แพ้รู้ชนะรู้อภัย รักเพื่อนฝูงพี่น้องร่วมสถาบัน เพราะโรงเรียนใช้ทุกวิถีทางในการหล่อหลอมทุกคนให้ออกมาอย่างนั้น ทุกยุคทุกสมัย

ในภาพคือท่านผู้บังคับการและเด็กเล็ก


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 14  เมื่อ 06 มี.ค. 19, 13:43

หอพัก ที่เราเรียกว่าคณะ
ในภาพคือคณะเด็กเล็กในสมัยของผม คณะเด็กเล็กนี้อยู่นอกกำแพงโรงเรียนในฝั่งคณะใน มีถนนพิชัยกั้น  ครูประจำคณะเด็กเล็กมีหลายคนเพื่อคอยดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด ไม่เหมือนเด็กคณะในที่รุ่นพี่ดูแลรุ่นน้อง กว่าเด็กๆที่เข้าไปอยู่ที่นี่ใหม่ๆจะหยุดร้องไห้คิดถึงบ้านก็หลายเดือน แต่ต้องแอบร้องนะ อายเพื่อน ทั้งๆที่ไม่มีใครล้อเพราะทุกคนมีอาการเดียวกัน

ช่วงนี้เป็นช่วงเปราะบางของทั้งเด็กและคุณแม่ คุณครูต้องคอยมาเดินขอร้องคุณแม่ที่มายืนกระซิกๆอยู่ข้างรั้วให้กลับบ้านไปเสียทีบ่อยๆ
แม่ผมนั้นมาเฉพาะวันเยี่ยม คือวันพฤหัสครั้งหนึ่งและวันอาทิตย์อีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่จะงดไม่มาวันพฤหัส เด็กทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอวันที่โรงเรียนให้กลับบ้านในบ่ายวันเสาร์ปลายเดือนๆละครั้ง ได้นอนบ้าน ๒ คืน เช้าวันจันทร์ต้องเข้าโรงเรียนอีกแล้ว 


คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 10
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.05 วินาที กับ 20 คำสั่ง