naitang
|
ความคิดเห็นที่ 30 เมื่อ 08 มี.ค. 19, 19:33
|
|
เห็นภาพใน ค.ห.24 แล้ว นึกย้อนถึงตัวเองเมื่อเข้ามาอยู่ประจำปีแรกๆเลย งานออกแขกครั้งแรกก็ถูกจับไปแต่งตัวเป็นอาหมวย เล่น (แข่งขัน) แย้ลงรูหน้าพลับพลาที่ประทับ เป็นอะไรที่หงุดหงิดหัวใจเหลือเกินที่ถูกจับไปแต่งเป็นเด็กผู้หญิง ก็เราเป็นเด็กผู้ชายนี่หว่า
นึกย้อนไปเมื่อครั้งแรกเข้าโรงเรียนนั้น ตัวเองก็คงจะน่ารักน่าดูอยู่ไม่น้อย ผมคงจะตัวเล็กมาก ขนาดว่าเมื่ออยู่ในแถวเดินไปในพิธีถวายบังคมในวันที่ 23 ตุลาคม นั้น ผมอยู่แถวท้ายสุด โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยเพราะถูกสาวอาวุโสทั้งหลายแกล้งจับตัว ดึงออกไปจากแถว จับแก้ม ไอ้เราก็กลัวว่าจะเดินตามขบวนไม่ทัน แถวท้ายขบวนสองสามแถวนั้นเป็นเรื่องบันเทิงของสาวๆทั้งหลายจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าโตขึ้นมาได้อย่างไร ถึงได้สูงถึง 172 ซม. และมี นน.ร่วม 80 กก.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 31 เมื่อ 08 มี.ค. 19, 21:56
|
|
ขอส่งแผนที่พุทธศักราช 2453 จัดพิมพ์โดยจุฬาลงกรณ์ฯ แสดงตำแหน่งพื้นที่ของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง จึงอยากให้นักเรียนเก่า OV รบกวนแกะร่องรอยตึกเก่าๆ ให้ทีครับ
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 32 เมื่อ 09 มี.ค. 19, 09:21
|
|
หลังการสถาปนาโรงเรียนมหาดเล็กหลวงในวันที่ ๒๙ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ แล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าฯได้พระราชทานที่ดินส่วนพระองค์ เนื้อที่ ๙๙ ไร่ ๑ งาน ๖๘ ตารางวา ที่สวนกระจัง ริมคลองเปรมประชากร ตำบลสวนดุสิต ให้เป็นที่ตั้งถาวรของโรงเรียน แล้วขุดสระเพื่อนำดินมาถมท้องร่องปรับพื้นที่ เพื่อจัดสร้างเรือนไม้ชั่วคราวยกพื้นสูง หลังคามุงจาก สำหรับใช้เป็นหอประชุม อาคารเรียนและเรือนนอน และสนามกีฬาของนักเรียน
ในแผนที่ของคุณหนุ่มสยามระบุว่าจัดทำในปี ๒๔๕๓ เช่นเดียวกันนั้น ถึงสมัยก่อนจะเปลี่ยนศักราชใหม่ในกลางเดือนเมษายน แต่อาคารชั่วคราวของโรงเรียนยังไม่น่าจะสร้างเสร็จ ผังโรงเรียนในแผนที่น่าจะจำลองมาจากแบบร่าง ซึ่งเมื่อสร้างจริงก็มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอีกเล้กน้อย
จมื่นอมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช) และจมื่นมานิตย์นเรศ (เฉลิม เศวตนันทน์) นักเรียนเก่ามหาดเล็กหลวง เขียนเล่าไว้ว่า หมู่เรือนที่เป็นโรงเรียนชั่วคราวหลังคาจากนั้น แบ่งเป็นห้องเรียนอยู่กลุ่มหนึ่งที่สองฝั่งของสนามรูปไข่ทางตอนหน้า ถัดเข้ามาตอนในของสนามรูปไข่เป็นที่ตั้งหอประชุมของโรงเรียนที่มีลักษณะเป็นเรือนไม้ทาสีเขียวตั้งอยู่ระหว่างห้องเรียนทั้งสองฝั่ง ต่อจากหมู่เรือนที่เป็นหอประชุมและห้องเรียนไปทางทิศตะวันตก เป็นเรือนไม้ทาสีขาวสลับชมพูสลับกัน จัดเป็นเรือนนอนนักเรียนพร้อมที่พักครูกำกับเรือน ซึ่งแบ่งเป็น ๕ เรือน คือ เรือน ก. เรือน ข. เรือน ค. เรือน ง. และเรือน จ. กับมีเรือนเด็กเล็กซึ่งมีหม่อมพยอมในพระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิไลยวรวิลาศ เป็นครูแม่บ้านแยกไปเป็นอีกเรือนหนึ่งต่างหาก แต่ละเรือนมีห้องล้างหน้า ตู้เสื้อผ้า เตียงสปริงและที่นอนหมอนมุ้งพร้อมสรรพ ด้านหลังสุดแถวของห้องนอนจัดเป็นห้องน้ำและห้องส้วมแยกออกไปเป็น ๒ หมู่ ด้านหลังสุดของหมู่เรือนจัดเป็นโรงอาหารขนาดใหญ่ต่อเนื่องกับโรงครัว
การก่อสร้างโรงเรียนชั่วคราวที่สวนกระจังนี้สิ้นพระราชทรัพย์ไปในการก่อสร้างอาคารรวมค่าขุดคูและสระน้ำทั้งสิ้น ๒๑๒,๓๑๗ บาท เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จลงในเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๔ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการบำเพ็ญพระราชกุศลขึ้นโรงเรียนใหม่ที่สวนกระจัง เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๔ โดยนิมนต์พระสงฆ์ ๑๐ รูปจากวัดเบญจมบพิตรมาเจริญพระพุทธมนต์และรับพระราชทานฉันเพล เสร็จแล้วจึงได้โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายนักเรียนมหาดเล็กหลวงจากโรงเรียนราชกุมารเก่า) ใกล้หอพิธีพราหมณ์ในพระบรมหาราชวังมาอยู่ที่โรงเรียนใหม่ที่สวนกระจัง และได้เริ่มเปิดการเรียนการสอนที่โรงเรียนใหม่นี้ตั้งแต่วันจันทร์ที่ ๒ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๕๔ เป็นต้นมา
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 33 เมื่อ 09 มี.ค. 19, 09:24
|
|
สำหรับอาคารถาวรนั้น พระยาไพศาลศิลปศาสตร์ (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา ต่อมาคือ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี) กรรมการจัดการโรงเรียนมหาดเล็กหลวงได้หารือกับนายเอดเวิร์ด ฮีลี่ สถาปนิกชาวอังกฤษ ซึ่งเข้ามารับราชการเป็นอาจารย์โรงเรียนเพาะช่าง และได้ร่วมกันวางผังโรงเรียน โดยกำหนดให้มีหอสวดหรือหอประชุมของโรงเรียนไว้ที่กึ่งกลางโรงเรียนเช่นเดียวกับ Church ของ Public School ในอังกฤษ ก่อนหน้าที่จะสร้างอาคารชั่วคราวลงไปไม่ให้เกะกะกัน
เมื่อทรงเห็นด้วยในแบบแล้ว จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้หลวงสิทธินายเวร (น้อย ศิลปี) โยธาวังเป็นแม่กองจัดการก่อสร้างโรงเรียนชั่วคราวขึ้นที่ด้านทิศใต้ของสถานที่ที่กะไว้เป็นที่ก่อสร้างหอประชุม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อ 09 มี.ค. 19, 09:28
|
|
นายฮีลี่ ได้ออกแบบสถาปัตยกรรมตามแบบตะวันตกที่มีเอกลักษณ์ไทยตามพระราชประสงค์โดยร่วมกับพระสมิทธเลขา (ปลั่ง วิภาตศิลปิน) หัวหน้าแผนกออกแบบของกรมศิลปากร แล้วจึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบการก่อสร้างอาคารถาวรทั้งหมดของโรงเรียนมหาดเล็กหลวง โดยเริ่มการก่อสร้างมาตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.๒๔๕๗ จนแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๔๕๙ นับเป็นอาคารที่สร้างด้วยไม้สักทองที่ใหญ่ที่สุดในโลก สำหรับเรือนไม้หลังคาจากที่เป็นโรงเรียนชั่วคราวนั้น ยังใช้เป็นอาคารเรียนของนักเรียนต่อมา จนการก่อสร้างตึกวชิรมงกุฎแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๔๗๕ แล้ว จึงได้รื้อเรือนไม้หลังคาจากซึ่งในเวลานั้นอยู่ในสภาพที่ชำรุดทรุดโทรมลง และย้ายนักเรียนไปเรียนที่ตึกวชิรมงกุฎแทน. เก็บความจากเว็บ จดหมายเหตุวชิราวุธ โดย อ.วรชาติ มีชูบท http://www.vajiravudh.ac.th/VC_Annals/01_20.htm
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 35 เมื่อ 09 มี.ค. 19, 10:06
|
|
ถ้าใครอยากทราบว่าเรือนไม้ใต้ถุนสูง หลังคามุงจากหน้าตาเป็นเช่นไรก็คงประมาณได้จากภาพนี้
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ อังกฤษส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดจากอินเดียมาถล่มโรงไฟฟ้าวัดเลียบและสามเสนราบไปแล้ว ทางการไฟฟ้าได้ขอเข้ามาใช้พื้นที่สนามหลังของโรงเรียน ซึ่งขณะนั้นย้ายนักเรียนไปอยู่ที่พระราชวังบางปะอิน เพื่อนำเครื่องปั่นไฟขนาดย่อมเข้ามาตั้ง ระดมผลิตไฟฟ้าทดแทนสำหรับกรุงเทพ
พอจารชนของอังกฤษชี้พิกัดให้ ฝูงบินของอังกฤษก็ตามเข้ามาถล่ม มีระเบิดลูกหนึ่งพลาดเป้าไปโดนตึกคณะดุสิตทลายราบ เหลือเพียงส่วนที่เป็นเรือนผู้กำกับคณะปีกเดียว แต่ระเบิดหลายลูกก็หลุดไปโดนพระที่นั่งอนันตสมาคม และพระที่นั่งอัมพรสถาน เสียหายไปส่วนหนึ่งด้วย
เพื่อป้องกันไม่ให้อังกฤษมาทิ้งระเบิดแถวนี้อีก รัฐบาลจึงปลูกเรือนไม้ชั่วคราว หลังคาจากขึ้นตามภาพ แล้วย้ายเชลยสัมพันธมิตร(ทั้งหมดเป็นพวกนักธุรกิจที่ทำงานอยู่ในเมืองไทยและถูกชิงจับกุมไว้ก่อนญี่ปุ่น) จากตึกโดม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้มาพำนักอยู่ที่นี่ ฝรั่งก็ชอบเพราะเหมือนได้กลับเป็นเด็กพับบลิก สกูลอีก ใช้เวลาว่างเล่นดนตรีกีฬาไปเรื่อย ไม่ทุกขเทวษเหมือนพวกที่ตกเป็นเชลยของญี่ปุ่นที่เมืองกาญจน์
เมื่อสงครามเลิกแล้ว และตึกคณะดุสิตยังไม่ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ โรงเรียนก็ใช้เรือนจากหลังนี้ต่อมาอีก ๑๘ ปี สำหรับนักเรียนวชิราวุธคณะนี้ ซึ่งผมกับคุณตั้งใช้ชีวิตร่วมกันถึง ๔ ปี ก่อนที่จะตึกใหม่จะสร้างเสร็จ และเราย้ายไปประเดิมในตำแหน่งหัวหน้าคณะ ๒ ใน ๔ คนของคณะดุสิตในปี ๒๕๐๖
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
siamese
|
ความคิดเห็นที่ 36 เมื่อ 09 มี.ค. 19, 11:13
|
|
ผังโรงเรียน พ.ศ. 2495
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 37 เมื่อ 09 มี.ค. 19, 11:21
|
|
^ จากข้างบนจะเป็นว่าคณะดุสิตอยู่ใกล้นิดเดียวจากสนามหลัง อันเป็นที่รัฐบาลมาตั้งโรงไฟฟ้าชั่วคราว ทำให้โรงเรียนต้องประสบความเสียหาย
ตึกคณะดุสิตเมื่อสร้างขึ้นมาใหม่โดยงบที่จำกัดจำเขี่ยที่รัฐบาลชดใช้ให้ ทำให้ไม่อาจสนองความเป็นอยู่ของนักเรียนได้เท่าที่ควร ต่อมาได้รับเงินจากสำนักงานพระคลังข้างที่ผู้จัดการกองมรดกของวชิราวุธวิทยาลัยที่ได้รับพระราชทานจากองค์พระผู้พระราชทานกำเนิดและผู้โดยเสด็จพระราชกุศล จึงมีการปรับปรุงให้ได้มาตรฐานทัดเทียมคณะอื่นๆ อย่างไรก็ดี ในวาระที่โรงเรียนมีอายุ ๑๐๐ ปี คณะกรรมการโรงเรียนได้จัดหางบประมาณมาทำการบูรณะคณะดุสิต ให้กลับคืนสภาพที่สง่างามตามเดิมก่อนที่จะถูกทำลาย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 38 เมื่อ 09 มี.ค. 19, 14:11
|
|
ชนชาติศัตรูที่ถูกนำมาคุมขังที่โรงเรียนนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นผู้ที่รู้จักคุ้นเคยกันดีกับท่านผู้บังคับการ พระยาภะรตราชา รวมทั้งคุณครูหลายท่านอีกที่เป็นนักเรียนเก่าอังกฤษ เมื่อเกิดความขาดแคลนในยามสงคราม เชลยสงครามเหล่านี้จึงได้รับการเลี้ยงดูแบบอดๆ อยากๆ ท่านผู้บังคับการและคุณครูทั้งหลายจึงมักจะนำอาหารใส่หอแล้วปาข้ามรั้วลวดหนามเข้าไปให้ผู้ที่อยู่ในค่ายนั้นอยู่เสมอๆ
หนึ่งในเชลยชาติที่จอมพล ป.ไปประกาศสงครามด้วยนั้น มีมิสเตอร์สจ๊วต มาร์ ผู้จัดการสายการเดินเรือของบริษัท บอเนียว จำกัดรวมอยู่ด้วย มิสเตอร์มาร์ ผู้นี้เป็นชาวสก๊อต และได้นำปี่ของตนติดตัวเข้าไปในค่ายเชลยในวชิราวุธวิทยาลัยด้วย วันดีคืนดีครึ้มอกครึ้มใจขึ้นมาก็นำปี่ออกมาเป่าเสียงก้องไปทั้งโรงเรียน ปีสก๊อตนี้ถ้าใครได้ฟังจะประทับใจในเสียงกระหึ่มจากท่อลม ๓ ท่อที่ทรงพลัง สามารถสะกดคนฟังให้นิ่งได้ พระยาภะรตเคยเป็นผู้ดูแลนักเรียนไทยในอังกฤษอยู่หลายปี คุ้นเคยกับเสียงปี่นี้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ท่านจึงเมตตามิสเตอร์มาร์เป็นพิเศษ
เมื่อสงครามสงบลงแล้วมิสเตอร์มาร์ได้มาขอบพระคุณท่านผู้บังคับการและปวารณาตัวที่จะช่วยเหลือโรงเรียนเป็นการตอบแทน พระยาภะรตจึงเล่าให้ฟังว่า พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯเคยมีพระราชดำริที่จะจัดให้มีวงปี่สก๊อตสำหรับนำแถวเสือป่ารักษาพระองค์แต่ไม่ทันได้ทำ ดังนั้น หากเป็นไปได้ก็อยากให้เขาช่วยจัดตั้งวงปี่นี้ให้กับวชิราวุธวิทยาลัยเพื่อสนองพระราชประสงค์
เมื่อมิสเตอร์ทราบแล้วก็มีความยินดี จึงได้มอบปี่สก๊อตของตนเองให้โรงเรียน ๑ คัน และสั่งซื้อมาให้อีก ๓ คัน รวมกับที่โรงเรียนสั่งซื้อมาอีก ๔ คัน แล้วฝึกสอนนักเรียนจนจัดตั้งวงปี่สก๊อตของวชิราวุธวิทยาลัยขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมิสเตอร์มาร์ได้อุทิศเวลามาต่อเพลงด้วยตนเองอาทิตย์ละครั้ง จนกระทั่งสมัยผมเข้าคณะในแล้วก็ยังทันเห็นท่านอยู่สองสามปี เวลานั้นวงปี่มีร่วม ๔๐ คน มีผู้ที่เก่งพอจะสอนรุ่นน้องต่อๆกันได้แล้ว มิสเตอร์มาร์จึงขอวางมือเพราะภารกิจรัดตัวและอายุมากแล้ว
ปี่สก๊อตของมิสเตอร์มาร์ที่มอบให้โรงเรียนเป็นปี่เก่าแก่ประจำตระกูลที่ท่านได้รับสืบมรดกมา ทำจากไม้ Black African ส่วนที่เป็นโลหะทำด้วยเงินแท้แกะลายอย่างประณีต ปลายปีและปากเป่าทำด้วยงาช้าง เมื่อก่อนผู้ที่เป็นหัวหน้าวงจะได้รับเกียรติให้เป็นผู้ครองปี่นี้ แต่ภายหลังโรงเรียนได้นำไปเก็บไว้ในหอประวัติเพื่อรักษาไว้ไม่ให้เสียหาย
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อ 09 มี.ค. 19, 19:41
|
|
คณะดุสิตเป็นคณะเดียวที่มีช่อฟ้า ตั้งอยู่ที่มุมด้านรัฐสภา คณะจิตรลดา ตั้งอยู่มุมด้านพระราชวังสวนจิตรลดา คณะพญาไท ตั้งอยู่มุมด้านที่ทำการเขตดุสิต และคณะผู้บังคับการ ตั้งอยู่มุมด้านแยกพิชัย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 40 เมื่อ 10 มี.ค. 19, 15:26
|
|
คณะดุสิตเป็นคณะเดียวที่มีช่อฟ้า ตั้งอยู่ที่มุมด้านรัฐสภา คณะจิตรลดา ตั้งอยู่มุมด้านพระราชวังสวนจิตรลดา คณะพญาไท ตั้งอยู่มุมด้านที่ทำการเขตดุสิต และคณะผู้บังคับการ ตั้งอยู่มุมด้านแยกพิชัย
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวแต่ครั้งยังทรงเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือ และได้ทอดพระเนตรเห็นศิลปสถาปัตยกรรมไทยที่เมืองกำแพงเพชร สุโขทัย และสวรรคโลกในสภาพที่สมบูรณ์ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้นายอี. ฮีลี่ ขึ้นไปเที่ยวที่นั่น เพื่อหาความคิดสร้างสรรในการออกแบบอาคารสำหรับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ซึ่งนาย อี. ฮีลี่ได้สถาปนิกไทย พระสมิทธเลขาจากกรมศิลปากรมาประยุกต์สถาปัตยกรรมไทยลงไปในงานออกแบบอาคารทั้ง ๔ คณะ ในแนวคิดตะวันตกซึ่งเป็นสากล
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
naitang
|
ความคิดเห็นที่ 41 เมื่อ 12 มี.ค. 19, 20:28
|
|
ยังรอฟังคุณ NAVARAT.C ขยายความต่ออยู่ครับ เรื่อง หอประชุม ตึกขาว ตึกพยาบาล และหอระฆัง ซึ่งดูจะมีเรื่องราวที่น่าสนใจทางสถาปัตยกรรมอยู่ไม่น้อย อ้อ...เรื่องพระมนู ด้วยครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 42 เมื่อ 12 มี.ค. 19, 21:17
|
|
คุณ NAVARAT.C ว่าไปในเรื่องหลักๆทางโครงสร้างก่อน(Institutional framework) แล้วค่อยมาขยายความในเชิงของกระบวนกิจกรรมที่จะไปช่วยเสริมสร้างศักยภาพให้แต่ละบุคคลให้มี competency ในองค์รวม (Capacity building)
ผมก็ได้เขียนมายืดยาวพอสมควรแล้ว เกรงจะไกลไปจากเรื่องที่คนถามอยากจะทราบไปทุกที ขอเชิญคุณตั้งว่าบ้างก็แล้วกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 43 เมื่อ 14 มี.ค. 19, 15:12
|
|
ขอศิษย์เก่าอีกสองด้วยช่วยขยาย ท่าน Cinephile แย้มให้หายฉงน คุณวีมีร่วมด้วยช่วยอีกคน เล่าเรื่องหนเรียนเน้นเล่นกินนอน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 44 เมื่อ 14 มี.ค. 19, 16:21
|
|
เพิ่งไปเฝ้าท่านมุ้ยตามที่ได้รับโทรศัพท์จากท่านว่าขอให้ไปคุยกันหน่อยได้ไหม ปรากฏว่าบ้านอยู่ใกล้กันนิดเดียว ผมแนะนำตัวว่าเป็นรุ่นนัองที่เข้าสวนกับที่ท่านออกจากวชิราวุธพอดี ท่านมุ้ยเข้าคณะในได้ปีเดียวเท่านั้น เสด็จพ่อก็ทรงส่งท่านไปเรียนต่อที่อเมริกา
ดร.ชัยอนันต์เคยเขียนเล่าว่า ท่านมุ้ยเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน มักจะใช้เวลาในห้องเพรบเขียนการ์ตูนในสมุดแบบฝึกหัดของโรงเรียนเป็นเรื่องๆ แล้วเอามาให้เพื่อนอ่านต่อๆกัน นี่ท่านก็เป็นเด็กอัจฉริยะอีกคนหนึ่ง หากเป็นนักเรียนวชิราวุธในสมัยนี้ ท่านจะได้เรียนวิชาที่ชื่นชอบกับอาจารย์เฉพาะด้าน โดยใช้อุปกรณ์ทันสมัยในการผลิตสื่อวีดิทัศน์ คงจะสนุกกับการเรียนมาก
ผมรู้สึกเป็นห่วงที่สุขภาพท่านไม่สู้จะดีเท่าไหร่ในขณะนี้ เกรงว่าจะไม่ได้เข้ามาอ่านหมายเชิญของคุณหมอเพ็ญ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|