เรือนไทย
ยินดีต้อนรับ ท่านผู้มาเยือน
กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
ส่งอีเมล์ยืนยันการใช้งาน?
ข่าว: การแนบไฟล์ กรุณาใช้ชื่อไฟล์ภาษาอังกฤษเท่านั้นครับ
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 19
  พิมพ์  
อ่าน: 45205 บ้านเมืองเมื่อ 50+ ปีก่อน
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 60  เมื่อ 17 ก.พ. 19, 19:36

    โรงเรียนนี้ก่อตั้งโดยคุณแม่ มารี เบอร์นาร์ด มังแซล ผู้เป็นแม่ชีนิกายโรมันคาทอลิค    สังกัดคณะอุร์สุลิน  ท่านเดินทางจากอินโดนีเซียมาเผยแพร่ศาสนาในสยามตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 6   ท่านซื้อที่ดินผืนหนึ่งที่ถนนเพลินจิตซึ่งตอนนั้นยังเป็นชานเมืองไกลอยู่มาก แล้วตั้งร.ร.ขึ้นสำหรับเด็กผู้หญิง   ชื่อว่า Mater Dei  เป็นภาษาลาติน   ถ้าแปลเป็นอังกฤษก็คือ Mother of God   หมายถึงพระแม่มารี มารดาของพระเยซูคริสต์
     สมัย 50+ ปีก่อน  นักเรียนเรียกแม่ชีเหล่านี้ว่า มาแมร์ (Ma Mere) เป็นภาษาฝรั่งเศสตรงกับคำว่า my mother ในภาษาอังกฤษ  ส่วนมาเซอร์ (Ma Sour) หมายถึงชีฝึกหัดซึ่งยังเป็นนักเรียนอยู่   มาเรียนพร้อมกับพวกเราในเครื่องแต่งกายสีขาวล้วน    แต่เดี๋ยวนี้คำว่ามาแมร์ถูกยกเลิกไปแล้ว  นักเรียนเรียกท่านว่า"คุณแม่"แทน

   แต่เดิมมาแมร์นิกายนี้ เมื่ออยู่ต่างประเทศโดยเฉพาะในยุโรปอันเป็นแหล่งกำเนิด  สวมชุดที่เรียกว่า habit เป็นเสื้อแขนยาวและกระโปรงสีดำยาว  ผ้าคลุมศีรษะก็สีดำ  มีเพียงกระบังหน้าและแผ่นรองคอ เป็นผ้าลงแป้งแข็งเท่านั้นที่สีขาว   แต่อากาศเมืองไทยคงจะร้อน  สวมสีดำแล้วยิ่งร้อนใหญ่    ชุดของท่านก็เลยเปลี่ยนเป็นสีขาวแทน   
   แต่ตอนหลัง ชุดของแม่ชีก็เปลี่ยนไปอีก เป็นเสื้อกระโปรงที่สั้นและรัดกุมขึ้น คล้ายกับเสื้อผ้าของคนทั่วไป  ผ้าคลุมศีรษะก็สั้นลง 


บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 61  เมื่อ 17 ก.พ. 19, 20:46

เครื่องแต่งกายของแม่ชีคณะอุร์สุลิน  ที่ยังแต่งกายด้วยชุดดำ มีผ้าคลุมศีรษะมิดชิด มีกรองคอเป็นแผ่นลงแป้งแข็ง แบบเดียวกับที่แต่งในยุโรป น่าจะก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง

ภาพจาก http://www.reurnthai.com/index.php?topic=1476.msg24846#msg24846


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18 ก.พ. 19, 19:08 โดย เทาชมพู » บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 62  เมื่อ 17 ก.พ. 19, 20:57

ในภาพข้างล่างนี้ ถ่ายประมาณ พ.ศ.2474   แม่ชียังสวมชุดดำอยู่    แต่พอถึงพ.ศ. 2500 กว่าๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวแล้วค่ะ
จำเจ้านายพระองค์น้อยในภาพได้ไหมคะ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 63  เมื่อ 18 ก.พ. 19, 20:12

 ซอยหลังสวนเมื่อ 50+ ปีก่อน แคบกว่าเดี๋ยวนี้เพราะมีคูน้ำริมทางกินเนื้อที่อยู่ด้วย    เป็นคูกว้างๆที่เจ้าของบ้านต้องสร้างสะพานให้รถแล่นข้ามเข้าออกบ้าน    คูนี้แล่นตลอดไปจนถึงปลายซอย จากนั้นไปเชื่อมกับทางน้ำที่ไหนนึกไม่ออกแล้วค่ะ     
  ในยุค 50+ ปีก่อน   เพลินจิตยังมีร่องรอยของทางน้ำที่เคยใช้เป็นทางสัญจรก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2   ก่อนถนนเข้ามาแทนที่   นอกจากเป็นทางสัญจรยังเป็นทางระบายน้ำอีกด้วย 
   บ้านบางหลังในซอยขุดสระน้ำข้างตัวบ้าน ตักน้ำขึ้นมาใช้ซักล้างบนบ้าน    น้ำในสระพวกนี้ไม่เน่าเหม็นสกปรก  ตักขึ้นมาแกว่งสารส้มก็สะอาดพอสมควร เพราะมีน้ำไหลเข้าออกจากคูน้ำในซอยได้   
   แต่เมื่อถนนเข้ามาแทนที่ คูคลองถูกถม  น้ำที่เหลือในสระหรือคูพวกนี้ก็เริ่มสกปรกจนต้องถมทิ้ง เอาเนื้อที่มาใช้      จำได้ว่าน้ำในคูริมถนนของซอยหลังสวน เป็นสีเขียวเข้มข้นคลั่กราวกับขนมเปียกปูนใบเตยขนาดยักษ์   จากนั้นอีกไม่นาน เมื่อทางการขยายพื้นที่ซอย  คูน้ำพวกนี้ก็หายไปตามระเบียบ
  มองลงมาจากตึกเรียน เห็นบ้านสวยมากในซอยหลังสวนหลังหนึ่งเป็นตึกหลังกะทัดรัด ปลูกตามแบบบ้านสมัยใหม่ของยุคกึ่งพุทธกาล  คือเป็นตึกสองชั้นรูปทรงสี่เหลี่ยม มีส่วนกว้างมากกว่าลึก  หลังคาลาดแบน   ทาสีเขียวก้านมะลิอ่อนๆ  มีสนามหญ้าอยู่ด้านหน้า    บ้านนี้ปลูกอยู่หลังปั๊มน้ำมันซึ่งอยู่ตรงปากทางเข้าซอยหลังสวน   
  แม่เล่าให้ฟังว่ารู้จักเจ้าของบ้านหลังนี้  เป็นเพื่อนนักเรียนเก่ากันมา เธอชื่อคุณเอมิลี่ พวง  สามีเป็นคุณหลวงชื่ออะไรจำไม่ได้แล้วค่ะ  เป็นอดีตประธานกรรมการของบริษัทอาคเนย์ประกันภัย     คุณเอมิลี่เป็นคนไทยชื่อพวง นับถือคริสตศาสนา   เธอก็เลยมีชื่อรองเป็นชื่อฝรั่ง คือชื่อจากพระคัมภีร์  เคยเจอคุณเอมิลี่ พวงหนหนึ่งเมื่อเธอมามีตติ้งกับเพื่อนนักเรียนเก่า    เธอถึงแก่กรรมไปหลายสิบปีแล้ว
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 64  เมื่อ 19 ก.พ. 19, 15:47

    ขอย้อนกลับมาเล่าถึงแม่ชีที่สอนหนังสืออีกครั้ง     ไม่เคยเจอหนังสือที่เล่าถึงพวกท่านอย่างละเอียด เจอแต่ประวัติสั้นๆเกี่ยวกับโรงเรียนเท่านั้น
    แม่ชีที่สอนเมื่อ 50+ ปีก่อนเป็นฝรั่ง   ( หรือภาษาสมัยนั้นเรียกผู้หญิงฝรั่งว่า "แหม่ม" คำว่า "ฝรั่ง" ใช้ในความหมายว่า่ผู้ชายผิวขาวชาวอเมริกัน ยุโรปและออสเตรเลีย)     แม่ชีที่เป็นแหม่มนี้มาจากหลายชาติ   มีทั้งยุโรปและอเมริกา  อายุอานามก็มีหลายวัยด้วยกัน ตั้งแต่สาวไปจนสูงวัย
    มาแมร์สาวๆบางท่านสวยมาก    ในสายตาของเด็กนักเรียน สวยราวกับนางเอกในหนังสือนิยายฝรั่ง  ทั้งๆสวมชุดขาวรุ่มร่ามปกปิดมิดชิดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า  ไม่เห็นแม้แต่เส้นผม   เห็นแต่ดวงหน้าซึ่งไม่มีการตกแต่งใดๆ แม้แต่ผัดหน้า    ก็ยังสวยมากๆ 
   ส่วนแม่ชีไทยมีคนเดียว  ชื่อมาแมร์บุญประจักษ์ ทรรทรานนท์    แต่งกายอย่างแม่ชีอื่นๆ   ท่านทำหน้าที่อาจารย์ใหญ๋ที่เรียกว่าคุณแม่อธิการิณีด้วย  ท่านจบการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬา มีชีวิตยืนยาวมากจน 100 ปีจึงจากไป
    แม่ชีคือสตรีที่อุทิศชีวิตให้พระเจ้าและคริสตศาสนาอย่างสมบูรณ์    ไม่ใช้ชีวิตของผู้ครองเรือน แต่เข้าไปอยู่ในวัดเพื่อบำเพ็ญกิจทางศาสนา รวมทั้งการอุทิศตนพยาบาลดูแลผู้ยากไร้   ให้การศึกษาแก่เด็กๆ   และเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์เป็นหลัก
     มาแมร์มีชื่อเดิมว่าอะไรก็ตาม แต่เมื่อบวชแล้วจะได้รับชื่อใหม่เป็นชื่อของนักบุญหญิงท่านใดท่านหนึ่ง  แล้วก็ใช้ชื่อนั้นตลอดไป    พวกนักเรียนไม่มีใครรู้ชื่อและสกุลเดิมของมาแมร์   รู้แต่ชื่อทางศาสนา   ทั้งนี้ยกเว้นแม่ชีที่เป็นคนไทย  ยังคงใช้ชื่อและนามสกุลเดิม   พิมพ์มาถึงตรงนี้เพิ่งนึกแปลกใจว่าทำไมพวกเราจึงไม่เคยรู้ชื่อทางศาสนาของท่านเลย   
     มาแมร์ที่อยู่ในโรงเรียนมีทั้งอยู่ประจำและหมุนเวียนกันไป    เพราะโรงเรียนในเครือเดียวกันในประเทศไทยมีหลายแห่ง เชียงใหม่ก็แห่งหนึ่ง และในกรุงเทพอีก 2 แห่ง      บางท่านก็ย้ายไปทำงานที่โรงเรียนอื่น   บางท่านก็อยู่ที่เดียวที่นี่จนถึงแก่กรรม
     มาแมร์ที่เป็นฝรั่ง พูดไทยได้  และรู้ภาษาอังกฤษทุกท่าน แม้ว่าเดิมท่านไม่ใช่คนอังกฤษหรืออเมริกัน   แต่เวลาสื่อสารกันท่านพูดภาษาฝรั่งเศส    อาจประสงค์ไม่ให้นักเรียนมาเงี่ยหูฟังเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเตัวเองก็เป็นได้    จำได้ว่ามีมาแมร์ท่านหนึ่งเป็นชาวยูโกสลาเวีย    และอีกท่านหนึ่งเป็นอเมริกัน   
     น่าจะมีบางท่านมาจากไอร์แลนด์ และสก๊อตแลนด์      เพราะในเวลาสอนร้องเพลง  ท่านสอนให้ร้องเพลง Killarney  และ Skye Boat Song  ชื่อเพลงแรกเป็นชื่อเมืองในไอร์แลนด์   ส่วนเพลงหลังเป็นเพลงตำนานของสก๊อตแลนด์  หมายถึง Bonnie Prince Charlie  ซึ่งเคยเล่าไว้แล้วในกระทู้ประวัติศาสตร์ 
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 65  เมื่อ 19 ก.พ. 19, 15:52

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 66  เมื่อ 19 ก.พ. 19, 15:56

บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 67  เมื่อ 20 ก.พ. 19, 18:10

    จบเรื่องโรงเรียนแล้วค่ะ   
    เม่ือ 50+ ปีก่อน  ถ้าอยากกินขนมเค้กต้องรอโอกาสพิเศษตอนปีใหม่  ช่วยปลายเดือนธันวาคม  ร้านขายของชำจึงจะผลิตขนมเค้กอันกลมๆเหมือนเขียง  ราดหน้าด้วยครีมสีขาวหรือสีนวล  มีตัวอักษรสวัสดีปีใหม่อยู่บนหน้าเค้ก และมีดอกกุหลาบสีแดง ขาว ชมพูทำด้วยน้ำตาลอย่างแข็ง วางประดับอยู่ด้วย
     แต่เค้กพวกนี้ไม่ค่อยอร่อย    ส่วนใหญ่เนื้อเค้กหยาบร่วน   ครีมก็มันๆเลี่ยนๆ  ไม่มีรสกลมกล่อมอย่างเค้กยุคหลัง       ถึงกระนั้นก็เป็นของขวัญปีใหม่ยอดนิยมอยู่ดี  เหมือนกันเป็นธรรมเนียมว่า ปีใหม่ต้องมอบเค้กให้กัน   ส่วนจะกินอร่อยหรือไม่ก็อีกเรื่อง

      เบเกอรี่ไม่ได้มีมากมายทุกถนนอย่างยุคนี้    ร้านขึ้นชื่อที่สุดคือ Little Home Bakery  มีร้านอยู่ที่สะพานดำ 
    ใครอยากกินขนมเค้ก เอแคลร์ ขนมปังนุ่มๆหอมๆ ต้องออกจากบ้านไปหาถึงที่นี่      ต่อมาเมื่อถนนเกษร หรือสมัยนั้นเรียกว่าซอยเกษรเปิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์    ลิตเติ้ลโฮมก็ไปเปิดสาขาที่นั่น มีทั้งขนมเค้กและไอศกรีมแบบหรูหรากว่าธรรมดา เรียกว่าไอศกรีมซันเดย์    จำได้ว่าถ้วยละ 26 บาท ถือว่าแพงมาก  เพราะข้าวแกงและก๋วยเตี๋ยวราคาแค่จานละ 1 บาทเท่านั้น
    ส่วนขนมไทยและของว่างไทยๆ มีอยู่ทุกตลาดก็ว่าได้     อยากกินอะไรมีหมด ขนมยอดฮิทคือพวกทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมชั้น  ขนมเปียกปูนซึ่งยังเป็นสีดำโรยหน้าด้วยมะพร้าวขูด   ยังไม่มีเปียกปูนใบเตย     ของว่างอย่างข้าวเกรียบปากหม้อและสาคูไส้หมูหาซื้อได้ง่ายมาก    ไส้กรอกปลาแนมก็มีให้กินเช่นกัน 
    ขนมเบื้องในสมัยนั้นไม่มีครีมขาวฟูบีบลงไปเป็นไส้ขนม    ถ้าเป็นขนมเบื้องอย่างหวานก็หวานน้ำตาลทาๆเอาไว้บางๆบนเนื้อแป้ง  แล้วโรยฝอยทอง มีมะพร้าวขูดเสริมด้วย     ถ้าอย่างเค็มก็มีกุ้งบดละเอียดเป็นไส้   กลิ่นและรสเป็นกุ้งแท้
    ที่อร่อยอีกอย่างคือขนมเบื้องญวน  มีเจ้าหนึ่งขายที่ตลาดวัดมหรรณพ์ แป้งสีเหลืองสดเหมือนไข่  กรอบและบางเฉียบเนื้อโปร่งดูเผินๆ เหมือนผ้าลูกไม้  ไส้กุ้งสีแสดสด พร้อมกับถัวงอกและเต้าหู้  รสชาติอร่อยมาก     พิมพ์ไปคิดถึงไปค่ะ

บันทึกการเข้า
เพ็ญชมพู
หนุมาน
********
ตอบ: 12601



ความคิดเห็นที่ 68  เมื่อ 20 ก.พ. 19, 19:57

หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่าเกี่ยวกับเรื่องขนมเค้กไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ ว่า

ปีใหม่นี้ที่ผู้เขียนได้สังเกตเห็นอะไรหนาตากว่าแต่ก่อนอยู่อย่างหนึ่ง สิ่งนั้นคือการให้ของขวัญปีใหม่ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนมีแต่คนเดินถนนหรือขึ้นรถไปในทิศทางต่าง ๆ ในมือถือห่อกระดาษหรือหีบกระดาษมีริบบิ้นสีต่าง ๆ ผูกไว้อย่างสวยงาม หรือมิฉะนั้นก็มีกระเช้าดอกไม้กระเช้าโต ๆ ทั้งหมดนี้แสดงว่าต่างคนต่างก็ออกให้ของขวัญวันปีใหม่กัน ของขวัญปีใหม่ที่ให้กันมากที่สุด นอกจากกระเช้าดอกไม้ก็เห็นจะได้แก่ขนมของฝรั่งที่เรียกว่า “ขนมเค้ก” แต่ก่อนนี้เคยเห็นคนจีนเที่ยวนำไปให้ใครต่อใครในเทศกาลตรุษจีนหรือปีใหม่ทางจันทรคติของจีน แต่เดี๋ยวนี้คนไทยเราอุปโลกน์เอาพิธีแจกขนมเค้กมาเป็นของไทย และสั่งทำมาเที่ยวให้กันมากมายในเทศกาลปีใหม่ ผู้เขียนกล้ายืนยันได้ว่าตามบ้านผู้มีบุญวาสนาทุกบ้านในปีใหม่คราวนี้ จะต้องมีขนมเค้กตกค้างบ้านหนึ่ง ๆ ไม่ต่ำกว่าสามสิบหรือสี่สิบ ดูออกจะเหลือกินเหลือทำบุญให้ทาน ขนมเค้กเหล่านี้ราคาตั้งแต่ ๔๐ บาทไปถึงร้อยหรือสองร้อย คิดดูที่ให้ปันกันทั้งหมดในระยะ ๒-๓ วันนี้ ก็เห็นจะเป็นเงินร่วมล้านกระมัง คนที่ได้รับผลประโยชน์ร่ำรวยที่สุดก็คงจะได้แก่ผู้ทำขนมเค้กนั้นเอง ซึ่งในขณะนี้ก็มีอยู่ไม่กี่เจ้า เห็นรายใหญ่ ๆ มีชื่อก็แต่ร้านกวนเซี่ยงเฮียง กับร้านท่านหญิงเป้า แต่ใครก็ไม่รู้ดอดเข้าไปยิงนายห้างกวนเซี่ยงเฮียงตายเมื่อก่อนปีใหม่ไม่กี่วัน เห็นจะไม่ใช่ท่านหญิงเป้าเป็นแน่

การทั้งหมดนี้จะว่าดีก็ดีอยู่ เพราะเป็นการช่วยอาชีพทำขนมและปลูกดอกไม้ แต่ถ้ามองในแง่หมดเปลืองไม่เป็นประโยชน์ก็จะเห็นได้ว่าเปลืองเต็มที เพราะทั้งดอกไม้และขนมเป็นของน่ารับน่ายินดี ถ้าหากว่าได้รับในปริมาณอันน้อย แต่ถ้าหากว่าประดับประดาเข้ามาพักเดียวจนเต็มบ้าน ทั้งสองอย่างก็ดูจะน่าระอิดระอาอยู่


จาก https://siamrath.co.th/n/28915
บันทึกการเข้า
superboy
พาลี
****
ตอบ: 222


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 69  เมื่อ 20 ก.พ. 19, 19:59

อูยยย.....ขนมเบื้องญวนแบบนี้ผมเคยกินสมัยเด็กน้อย กุ้งสีแสดจริงๆ ด้วย กินตอนร้อนๆ ทั้งลำบากทั้งอร่อยเป็นที่สุด เดี๋ยวนี้มองซ้ายมองขวามีแต่ของทอดที่อมน้ำมัน ผมเลยกินแต่ขนมปังเป็นฝรั่งบักสีดาไปเลย
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 70  เมื่อ 20 ก.พ. 19, 21:30

ไส้กรอกปลาแนม เป็นของว่างที่แม่ค้าหาบมาขาย   แถวหน้าพระลานเมื่อยี่สิบปีก่อนยังพอหาซื้อได้   เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแล้วค่ะ


บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 71  เมื่อ 20 ก.พ. 19, 21:38

ของว่างอีกอย่างหนึ่งที่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเจอกันแล้ว  ผิดกับครึ่งศตวรรษก่อนที่มีทุกตลาดก็ว่าได้ คือ ปั้นสิบ     แม่เรียกว่า "แป้งสิบ"
เดี๋ยวนี้เรียกเพี้ยนไปเป็น ปั้นขลิบ 

ปั้นสิบทำจากแป้งพับครึ่ง ขอบเป็นเกลียว นำไปนึ่งจนสุก   ไส้เป็นหมูก็มี ปลาก็มี  ค่ะ 


บันทึกการเข้า
Jalito
องคต
*****
ตอบ: 478


ความคิดเห็นที่ 72  เมื่อ 20 ก.พ. 19, 22:04

ไส้กรอกปลาแนม เป็นของว่างที่แม่ค้าหาบมาขาย   แถวหน้าพระลานเมื่อยี่สิบปีก่อนยังพอหาซื้อได้   เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแล้วค่ะ
ที่ตลาดปากน้ำสมุทรปราการแถวใกล้ท่าเรือข้ามฟากไปพระสมุทรเจดีย์มีป้ามาต้ังขาย ผักแนมเป็นใบชะพลูกับผักกาดหอม ขายคู่กับหมี่กระทิ มีโอกาสผ่านไปก็อุดหนุนทุกครั้ง สอบถามได้ความว่าขายทุกวัน เว้นวันหมอนัด (ประมาณว่าเช็คน้ำตาล)
บันทึกการเข้า
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
*****
ตอบ: 33585

ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม


เว็บไซต์
ความคิดเห็นที่ 73  เมื่อ 21 ก.พ. 19, 13:26

ผ่านไปเมื่อไหร่ เห็นจะต้องไปตามลายแทงที่คุณ Jalito ให้มาค่ะ  ขอบคุณค่ะ
ถามเชฟกู๊กดู  ได้คำตอบว่าในกรุงเทพ ถ้าอยากกินไส้กรอกปลาแนมต้องไปตลาดนางเลิ้ง    

ของว่างหรือที่โบราณเรียกว่า "ของกินเล่น" อีกอย่างที่หาได้ยากคือขนมจีบไทย     เดี๋ยวนี้พอพูดถึงขนมจีบ มักจะมีภาพติ่มซำลอยขึ้นมาแทน    
ขนมจีบไทยมักจะถูกจัดกลุ่มเดียวกับสาคูไส้หมู และข้าวเกรียบปากหม้อ  เพราะเป็นของกินเล่นห่อด้วยแป้งแผ่นบาง   มีไส้ข้างในเหมือนกัน
การปั้นขนมจีบถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของสาวชาววัง   ต้องแผ่แป้งที่ต้มแล้วให้บาง คลึงในมือ หมุนไปเหมือนปั้นหม้อ จนแป้งห่อตัวเป็นรูปหม้อ แล้วค่อยใส่ไส้อีกทีค่ะ  เป็นหมูหรือปลาก็ได้    


บันทึกการเข้า
NAVARAT.C
หนุมาน
********
ตอบ: 11307


ความคิดเห็นที่ 74  เมื่อ 21 ก.พ. 19, 14:04

ใครมีสูตรทำข้าวต้มนกกระทาบ้างครับ เอาแบบที่เสิร์ฟในเหลานะ ไม่ใช่ร้านข้าวต้ม
บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 19
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2006, Simple Machines
Simple Audio Video Embedder

XHTML | CSS | Aero79 design by Bloc หน้านี้ถูกสร้างขึ้นภายในเวลา 0.109 วินาที กับ 19 คำสั่ง