เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 60 เมื่อ 17 ก.พ. 19, 19:36
|
|
โรงเรียนนี้ก่อตั้งโดยคุณแม่ มารี เบอร์นาร์ด มังแซล ผู้เป็นแม่ชีนิกายโรมันคาทอลิค สังกัดคณะอุร์สุลิน ท่านเดินทางจากอินโดนีเซียมาเผยแพร่ศาสนาในสยามตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 6 ท่านซื้อที่ดินผืนหนึ่งที่ถนนเพลินจิตซึ่งตอนนั้นยังเป็นชานเมืองไกลอยู่มาก แล้วตั้งร.ร.ขึ้นสำหรับเด็กผู้หญิง ชื่อว่า Mater Dei เป็นภาษาลาติน ถ้าแปลเป็นอังกฤษก็คือ Mother of God หมายถึงพระแม่มารี มารดาของพระเยซูคริสต์ สมัย 50+ ปีก่อน นักเรียนเรียกแม่ชีเหล่านี้ว่า มาแมร์ (Ma Mere) เป็นภาษาฝรั่งเศสตรงกับคำว่า my mother ในภาษาอังกฤษ ส่วนมาเซอร์ (Ma Sour) หมายถึงชีฝึกหัดซึ่งยังเป็นนักเรียนอยู่ มาเรียนพร้อมกับพวกเราในเครื่องแต่งกายสีขาวล้วน แต่เดี๋ยวนี้คำว่ามาแมร์ถูกยกเลิกไปแล้ว นักเรียนเรียกท่านว่า"คุณแม่"แทน
แต่เดิมมาแมร์นิกายนี้ เมื่ออยู่ต่างประเทศโดยเฉพาะในยุโรปอันเป็นแหล่งกำเนิด สวมชุดที่เรียกว่า habit เป็นเสื้อแขนยาวและกระโปรงสีดำยาว ผ้าคลุมศีรษะก็สีดำ มีเพียงกระบังหน้าและแผ่นรองคอ เป็นผ้าลงแป้งแข็งเท่านั้นที่สีขาว แต่อากาศเมืองไทยคงจะร้อน สวมสีดำแล้วยิ่งร้อนใหญ่ ชุดของท่านก็เลยเปลี่ยนเป็นสีขาวแทน แต่ตอนหลัง ชุดของแม่ชีก็เปลี่ยนไปอีก เป็นเสื้อกระโปรงที่สั้นและรัดกุมขึ้น คล้ายกับเสื้อผ้าของคนทั่วไป ผ้าคลุมศีรษะก็สั้นลง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 62 เมื่อ 17 ก.พ. 19, 20:57
|
|
ในภาพข้างล่างนี้ ถ่ายประมาณ พ.ศ.2474 แม่ชียังสวมชุดดำอยู่ แต่พอถึงพ.ศ. 2500 กว่าๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวแล้วค่ะ จำเจ้านายพระองค์น้อยในภาพได้ไหมคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 63 เมื่อ 18 ก.พ. 19, 20:12
|
|
ซอยหลังสวนเมื่อ 50+ ปีก่อน แคบกว่าเดี๋ยวนี้เพราะมีคูน้ำริมทางกินเนื้อที่อยู่ด้วย เป็นคูกว้างๆที่เจ้าของบ้านต้องสร้างสะพานให้รถแล่นข้ามเข้าออกบ้าน คูนี้แล่นตลอดไปจนถึงปลายซอย จากนั้นไปเชื่อมกับทางน้ำที่ไหนนึกไม่ออกแล้วค่ะ ในยุค 50+ ปีก่อน เพลินจิตยังมีร่องรอยของทางน้ำที่เคยใช้เป็นทางสัญจรก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนถนนเข้ามาแทนที่ นอกจากเป็นทางสัญจรยังเป็นทางระบายน้ำอีกด้วย บ้านบางหลังในซอยขุดสระน้ำข้างตัวบ้าน ตักน้ำขึ้นมาใช้ซักล้างบนบ้าน น้ำในสระพวกนี้ไม่เน่าเหม็นสกปรก ตักขึ้นมาแกว่งสารส้มก็สะอาดพอสมควร เพราะมีน้ำไหลเข้าออกจากคูน้ำในซอยได้ แต่เมื่อถนนเข้ามาแทนที่ คูคลองถูกถม น้ำที่เหลือในสระหรือคูพวกนี้ก็เริ่มสกปรกจนต้องถมทิ้ง เอาเนื้อที่มาใช้ จำได้ว่าน้ำในคูริมถนนของซอยหลังสวน เป็นสีเขียวเข้มข้นคลั่กราวกับขนมเปียกปูนใบเตยขนาดยักษ์ จากนั้นอีกไม่นาน เมื่อทางการขยายพื้นที่ซอย คูน้ำพวกนี้ก็หายไปตามระเบียบ มองลงมาจากตึกเรียน เห็นบ้านสวยมากในซอยหลังสวนหลังหนึ่งเป็นตึกหลังกะทัดรัด ปลูกตามแบบบ้านสมัยใหม่ของยุคกึ่งพุทธกาล คือเป็นตึกสองชั้นรูปทรงสี่เหลี่ยม มีส่วนกว้างมากกว่าลึก หลังคาลาดแบน ทาสีเขียวก้านมะลิอ่อนๆ มีสนามหญ้าอยู่ด้านหน้า บ้านนี้ปลูกอยู่หลังปั๊มน้ำมันซึ่งอยู่ตรงปากทางเข้าซอยหลังสวน แม่เล่าให้ฟังว่ารู้จักเจ้าของบ้านหลังนี้ เป็นเพื่อนนักเรียนเก่ากันมา เธอชื่อคุณเอมิลี่ พวง สามีเป็นคุณหลวงชื่ออะไรจำไม่ได้แล้วค่ะ เป็นอดีตประธานกรรมการของบริษัทอาคเนย์ประกันภัย คุณเอมิลี่เป็นคนไทยชื่อพวง นับถือคริสตศาสนา เธอก็เลยมีชื่อรองเป็นชื่อฝรั่ง คือชื่อจากพระคัมภีร์ เคยเจอคุณเอมิลี่ พวงหนหนึ่งเมื่อเธอมามีตติ้งกับเพื่อนนักเรียนเก่า เธอถึงแก่กรรมไปหลายสิบปีแล้ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 64 เมื่อ 19 ก.พ. 19, 15:47
|
|
ขอย้อนกลับมาเล่าถึงแม่ชีที่สอนหนังสืออีกครั้ง ไม่เคยเจอหนังสือที่เล่าถึงพวกท่านอย่างละเอียด เจอแต่ประวัติสั้นๆเกี่ยวกับโรงเรียนเท่านั้น แม่ชีที่สอนเมื่อ 50+ ปีก่อนเป็นฝรั่ง ( หรือภาษาสมัยนั้นเรียกผู้หญิงฝรั่งว่า "แหม่ม" คำว่า "ฝรั่ง" ใช้ในความหมายว่า่ผู้ชายผิวขาวชาวอเมริกัน ยุโรปและออสเตรเลีย) แม่ชีที่เป็นแหม่มนี้มาจากหลายชาติ มีทั้งยุโรปและอเมริกา อายุอานามก็มีหลายวัยด้วยกัน ตั้งแต่สาวไปจนสูงวัย มาแมร์สาวๆบางท่านสวยมาก ในสายตาของเด็กนักเรียน สวยราวกับนางเอกในหนังสือนิยายฝรั่ง ทั้งๆสวมชุดขาวรุ่มร่ามปกปิดมิดชิดตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่เห็นแม้แต่เส้นผม เห็นแต่ดวงหน้าซึ่งไม่มีการตกแต่งใดๆ แม้แต่ผัดหน้า ก็ยังสวยมากๆ ส่วนแม่ชีไทยมีคนเดียว ชื่อมาแมร์บุญประจักษ์ ทรรทรานนท์ แต่งกายอย่างแม่ชีอื่นๆ ท่านทำหน้าที่อาจารย์ใหญ๋ที่เรียกว่าคุณแม่อธิการิณีด้วย ท่านจบการศึกษาจากคณะอักษรศาสตร์ จุฬา มีชีวิตยืนยาวมากจน 100 ปีจึงจากไป แม่ชีคือสตรีที่อุทิศชีวิตให้พระเจ้าและคริสตศาสนาอย่างสมบูรณ์ ไม่ใช้ชีวิตของผู้ครองเรือน แต่เข้าไปอยู่ในวัดเพื่อบำเพ็ญกิจทางศาสนา รวมทั้งการอุทิศตนพยาบาลดูแลผู้ยากไร้ ให้การศึกษาแก่เด็กๆ และเผยแพร่พระธรรมคำสั่งสอนของพระเยซูคริสต์เป็นหลัก มาแมร์มีชื่อเดิมว่าอะไรก็ตาม แต่เมื่อบวชแล้วจะได้รับชื่อใหม่เป็นชื่อของนักบุญหญิงท่านใดท่านหนึ่ง แล้วก็ใช้ชื่อนั้นตลอดไป พวกนักเรียนไม่มีใครรู้ชื่อและสกุลเดิมของมาแมร์ รู้แต่ชื่อทางศาสนา ทั้งนี้ยกเว้นแม่ชีที่เป็นคนไทย ยังคงใช้ชื่อและนามสกุลเดิม พิมพ์มาถึงตรงนี้เพิ่งนึกแปลกใจว่าทำไมพวกเราจึงไม่เคยรู้ชื่อทางศาสนาของท่านเลย มาแมร์ที่อยู่ในโรงเรียนมีทั้งอยู่ประจำและหมุนเวียนกันไป เพราะโรงเรียนในเครือเดียวกันในประเทศไทยมีหลายแห่ง เชียงใหม่ก็แห่งหนึ่ง และในกรุงเทพอีก 2 แห่ง บางท่านก็ย้ายไปทำงานที่โรงเรียนอื่น บางท่านก็อยู่ที่เดียวที่นี่จนถึงแก่กรรม มาแมร์ที่เป็นฝรั่ง พูดไทยได้ และรู้ภาษาอังกฤษทุกท่าน แม้ว่าเดิมท่านไม่ใช่คนอังกฤษหรืออเมริกัน แต่เวลาสื่อสารกันท่านพูดภาษาฝรั่งเศส อาจประสงค์ไม่ให้นักเรียนมาเงี่ยหูฟังเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเตัวเองก็เป็นได้ จำได้ว่ามีมาแมร์ท่านหนึ่งเป็นชาวยูโกสลาเวีย และอีกท่านหนึ่งเป็นอเมริกัน น่าจะมีบางท่านมาจากไอร์แลนด์ และสก๊อตแลนด์ เพราะในเวลาสอนร้องเพลง ท่านสอนให้ร้องเพลง Killarney และ Skye Boat Song ชื่อเพลงแรกเป็นชื่อเมืองในไอร์แลนด์ ส่วนเพลงหลังเป็นเพลงตำนานของสก๊อตแลนด์ หมายถึง Bonnie Prince Charlie ซึ่งเคยเล่าไว้แล้วในกระทู้ประวัติศาสตร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 65 เมื่อ 19 ก.พ. 19, 15:52
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 66 เมื่อ 19 ก.พ. 19, 15:56
|
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 67 เมื่อ 20 ก.พ. 19, 18:10
|
|
จบเรื่องโรงเรียนแล้วค่ะ เม่ือ 50+ ปีก่อน ถ้าอยากกินขนมเค้กต้องรอโอกาสพิเศษตอนปีใหม่ ช่วยปลายเดือนธันวาคม ร้านขายของชำจึงจะผลิตขนมเค้กอันกลมๆเหมือนเขียง ราดหน้าด้วยครีมสีขาวหรือสีนวล มีตัวอักษรสวัสดีปีใหม่อยู่บนหน้าเค้ก และมีดอกกุหลาบสีแดง ขาว ชมพูทำด้วยน้ำตาลอย่างแข็ง วางประดับอยู่ด้วย แต่เค้กพวกนี้ไม่ค่อยอร่อย ส่วนใหญ่เนื้อเค้กหยาบร่วน ครีมก็มันๆเลี่ยนๆ ไม่มีรสกลมกล่อมอย่างเค้กยุคหลัง ถึงกระนั้นก็เป็นของขวัญปีใหม่ยอดนิยมอยู่ดี เหมือนกันเป็นธรรมเนียมว่า ปีใหม่ต้องมอบเค้กให้กัน ส่วนจะกินอร่อยหรือไม่ก็อีกเรื่อง
เบเกอรี่ไม่ได้มีมากมายทุกถนนอย่างยุคนี้ ร้านขึ้นชื่อที่สุดคือ Little Home Bakery มีร้านอยู่ที่สะพานดำ ใครอยากกินขนมเค้ก เอแคลร์ ขนมปังนุ่มๆหอมๆ ต้องออกจากบ้านไปหาถึงที่นี่ ต่อมาเมื่อถนนเกษร หรือสมัยนั้นเรียกว่าซอยเกษรเปิดขึ้นที่สี่แยกราชประสงค์ ลิตเติ้ลโฮมก็ไปเปิดสาขาที่นั่น มีทั้งขนมเค้กและไอศกรีมแบบหรูหรากว่าธรรมดา เรียกว่าไอศกรีมซันเดย์ จำได้ว่าถ้วยละ 26 บาท ถือว่าแพงมาก เพราะข้าวแกงและก๋วยเตี๋ยวราคาแค่จานละ 1 บาทเท่านั้น ส่วนขนมไทยและของว่างไทยๆ มีอยู่ทุกตลาดก็ว่าได้ อยากกินอะไรมีหมด ขนมยอดฮิทคือพวกทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ขนมชั้น ขนมเปียกปูนซึ่งยังเป็นสีดำโรยหน้าด้วยมะพร้าวขูด ยังไม่มีเปียกปูนใบเตย ของว่างอย่างข้าวเกรียบปากหม้อและสาคูไส้หมูหาซื้อได้ง่ายมาก ไส้กรอกปลาแนมก็มีให้กินเช่นกัน ขนมเบื้องในสมัยนั้นไม่มีครีมขาวฟูบีบลงไปเป็นไส้ขนม ถ้าเป็นขนมเบื้องอย่างหวานก็หวานน้ำตาลทาๆเอาไว้บางๆบนเนื้อแป้ง แล้วโรยฝอยทอง มีมะพร้าวขูดเสริมด้วย ถ้าอย่างเค็มก็มีกุ้งบดละเอียดเป็นไส้ กลิ่นและรสเป็นกุ้งแท้ ที่อร่อยอีกอย่างคือขนมเบื้องญวน มีเจ้าหนึ่งขายที่ตลาดวัดมหรรณพ์ แป้งสีเหลืองสดเหมือนไข่ กรอบและบางเฉียบเนื้อโปร่งดูเผินๆ เหมือนผ้าลูกไม้ ไส้กุ้งสีแสดสด พร้อมกับถัวงอกและเต้าหู้ รสชาติอร่อยมาก พิมพ์ไปคิดถึงไปค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เพ็ญชมพู
|
ความคิดเห็นที่ 68 เมื่อ 20 ก.พ. 19, 19:57
|
|
หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เล่าเกี่ยวกับเรื่องขนมเค้กไว้เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ ว่า ปีใหม่นี้ที่ผู้เขียนได้สังเกตเห็นอะไรหนาตากว่าแต่ก่อนอยู่อย่างหนึ่ง สิ่งนั้นคือการให้ของขวัญปีใหม่ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนมีแต่คนเดินถนนหรือขึ้นรถไปในทิศทางต่าง ๆ ในมือถือห่อกระดาษหรือหีบกระดาษมีริบบิ้นสีต่าง ๆ ผูกไว้อย่างสวยงาม หรือมิฉะนั้นก็มีกระเช้าดอกไม้กระเช้าโต ๆ ทั้งหมดนี้แสดงว่าต่างคนต่างก็ออกให้ของขวัญวันปีใหม่กัน ของขวัญปีใหม่ที่ให้กันมากที่สุด นอกจากกระเช้าดอกไม้ก็เห็นจะได้แก่ขนมของฝรั่งที่เรียกว่า “ขนมเค้ก” แต่ก่อนนี้เคยเห็นคนจีนเที่ยวนำไปให้ใครต่อใครในเทศกาลตรุษจีนหรือปีใหม่ทางจันทรคติของจีน แต่เดี๋ยวนี้คนไทยเราอุปโลกน์เอาพิธีแจกขนมเค้กมาเป็นของไทย และสั่งทำมาเที่ยวให้กันมากมายในเทศกาลปีใหม่ ผู้เขียนกล้ายืนยันได้ว่าตามบ้านผู้มีบุญวาสนาทุกบ้านในปีใหม่คราวนี้ จะต้องมีขนมเค้กตกค้างบ้านหนึ่ง ๆ ไม่ต่ำกว่าสามสิบหรือสี่สิบ ดูออกจะเหลือกินเหลือทำบุญให้ทาน ขนมเค้กเหล่านี้ราคาตั้งแต่ ๔๐ บาทไปถึงร้อยหรือสองร้อย คิดดูที่ให้ปันกันทั้งหมดในระยะ ๒-๓ วันนี้ ก็เห็นจะเป็นเงินร่วมล้านกระมัง คนที่ได้รับผลประโยชน์ร่ำรวยที่สุดก็คงจะได้แก่ผู้ทำขนมเค้กนั้นเอง ซึ่งในขณะนี้ก็มีอยู่ไม่กี่เจ้า เห็นรายใหญ่ ๆ มีชื่อก็แต่ร้านกวนเซี่ยงเฮียง กับร้านท่านหญิงเป้า แต่ใครก็ไม่รู้ดอดเข้าไปยิงนายห้างกวนเซี่ยงเฮียงตายเมื่อก่อนปีใหม่ไม่กี่วัน เห็นจะไม่ใช่ท่านหญิงเป้าเป็นแน่
การทั้งหมดนี้จะว่าดีก็ดีอยู่ เพราะเป็นการช่วยอาชีพทำขนมและปลูกดอกไม้ แต่ถ้ามองในแง่หมดเปลืองไม่เป็นประโยชน์ก็จะเห็นได้ว่าเปลืองเต็มที เพราะทั้งดอกไม้และขนมเป็นของน่ารับน่ายินดี ถ้าหากว่าได้รับในปริมาณอันน้อย แต่ถ้าหากว่าประดับประดาเข้ามาพักเดียวจนเต็มบ้าน ทั้งสองอย่างก็ดูจะน่าระอิดระอาอยู่จาก https://siamrath.co.th/n/28915
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
superboy
|
ความคิดเห็นที่ 69 เมื่อ 20 ก.พ. 19, 19:59
|
|
อูยยย.....ขนมเบื้องญวนแบบนี้ผมเคยกินสมัยเด็กน้อย กุ้งสีแสดจริงๆ ด้วย กินตอนร้อนๆ ทั้งลำบากทั้งอร่อยเป็นที่สุด เดี๋ยวนี้มองซ้ายมองขวามีแต่ของทอดที่อมน้ำมัน ผมเลยกินแต่ขนมปังเป็นฝรั่งบักสีดาไปเลย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 70 เมื่อ 20 ก.พ. 19, 21:30
|
|
ไส้กรอกปลาแนม เป็นของว่างที่แม่ค้าหาบมาขาย แถวหน้าพระลานเมื่อยี่สิบปีก่อนยังพอหาซื้อได้ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแล้วค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 71 เมื่อ 20 ก.พ. 19, 21:38
|
|
ของว่างอีกอย่างหนึ่งที่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเจอกันแล้ว ผิดกับครึ่งศตวรรษก่อนที่มีทุกตลาดก็ว่าได้ คือ ปั้นสิบ แม่เรียกว่า "แป้งสิบ" เดี๋ยวนี้เรียกเพี้ยนไปเป็น ปั้นขลิบ
ปั้นสิบทำจากแป้งพับครึ่ง ขอบเป็นเกลียว นำไปนึ่งจนสุก ไส้เป็นหมูก็มี ปลาก็มี ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Jalito
|
ความคิดเห็นที่ 72 เมื่อ 20 ก.พ. 19, 22:04
|
|
ไส้กรอกปลาแนม เป็นของว่างที่แม่ค้าหาบมาขาย แถวหน้าพระลานเมื่อยี่สิบปีก่อนยังพอหาซื้อได้ เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแล้วค่ะ
ที่ตลาดปากน้ำสมุทรปราการแถวใกล้ท่าเรือข้ามฟากไปพระสมุทรเจดีย์มีป้ามาต้ังขาย ผักแนมเป็นใบชะพลูกับผักกาดหอม ขายคู่กับหมี่กระทิ มีโอกาสผ่านไปก็อุดหนุนทุกครั้ง สอบถามได้ความว่าขายทุกวัน เว้นวันหมอนัด (ประมาณว่าเช็คน้ำตาล)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
ตอบ: 33585
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 73 เมื่อ 21 ก.พ. 19, 13:26
|
|
ผ่านไปเมื่อไหร่ เห็นจะต้องไปตามลายแทงที่คุณ Jalito ให้มาค่ะ ขอบคุณค่ะ ถามเชฟกู๊กดู ได้คำตอบว่าในกรุงเทพ ถ้าอยากกินไส้กรอกปลาแนมต้องไปตลาดนางเลิ้ง
ของว่างหรือที่โบราณเรียกว่า "ของกินเล่น" อีกอย่างที่หาได้ยากคือขนมจีบไทย เดี๋ยวนี้พอพูดถึงขนมจีบ มักจะมีภาพติ่มซำลอยขึ้นมาแทน ขนมจีบไทยมักจะถูกจัดกลุ่มเดียวกับสาคูไส้หมู และข้าวเกรียบปากหม้อ เพราะเป็นของกินเล่นห่อด้วยแป้งแผ่นบาง มีไส้ข้างในเหมือนกัน การปั้นขนมจีบถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งของสาวชาววัง ต้องแผ่แป้งที่ต้มแล้วให้บาง คลึงในมือ หมุนไปเหมือนปั้นหม้อ จนแป้งห่อตัวเป็นรูปหม้อ แล้วค่อยใส่ไส้อีกทีค่ะ เป็นหมูหรือปลาก็ได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 74 เมื่อ 21 ก.พ. 19, 14:04
|
|
ใครมีสูตรทำข้าวต้มนกกระทาบ้างครับ เอาแบบที่เสิร์ฟในเหลานะ ไม่ใช่ร้านข้าวต้ม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|