เชิญผี
ถึงเวลา 16.00 น.เศษ ตั้งขบวนเชิญผีที่คุ้มหลวง อาจารย์หลวงถือหางนกยูง โหราหลวงเชิญพานดอกไม้ธูปเทียนสำหรับจุดและย่าที่นั่งคือ แม่มดคนทรง เชิญพานข้าวตอกดอกไม้ ปูอาสนะผ้าขาวแดงเหนือข้าวตอก เดินหน้า ไม่มีเครื่องประโคม ถัดมา แสงเมือง ตาเมือง กับผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหญิงชายเดินตาม แล้วถึงคานหาม 4 ลำคาน ม้าแข้งเหล็กหาม 8 คน ม้าแข้งไฟเชิญสัปทนสีแดงลายทองมีระบายเคียงข้าง หัวหมื่น หัวพัน เดินแซงสองข้าง เจ้าแสนเดินตามคานหาม แล้วพวกหลานชายหญิงของพ่อเมืองและแม่นางเมืองที่แรกรุ่นเป็นหนุ่มเป็นสาวเรียกว่า “หน่อแก้วกวงคำ” เชิญเครื่องยศตาม พวกหน่อแก้ว-หลานชายเชิญปืน หอก ดาบ มีดซุย ไม้เท้า ไม้แส้ เชี่ยนหมาก คนโทน้ำ และกระโถน พวกกวงคำ-หลานหญิงเชิญพานผ้าผ่อนท่อนสไบ เครื่องสำอาง พัด และถุงยา คือ “ย่ามโอสถ” ต่อจากเครื่องยศพวกทนายโรงชั้นแก่หาม “อ่างสลุง” คือขันสาครใส่น้ำอบน้ำหอมและน้ำขมิ้นส้มป่อย สำหรับผีปู่ย่าอาบสรง 4 ขัน แล้วมีม้าแข้งเหล็ก ม้าแข้งไฟถือ “มัดหวาย” เดินคั่น 8 คนเรียงแถวหน้ากระดาน แล้ว “พวกเด็กน้อยทนายโรง” เทียบกับ “มหาดเล็กเด็กชา” เดินตามเป็นขบวนสุดท้าย เคลื่อนออกจากคุ้มหลวงไปยังหอผีเสื้อเมืองอย่างเงียบๆ ไปถึงแล้วคนอื่นๆ พักในปะรำและตามที่ในบริเวณ
คณะผู้เชิญผี คือ แม่มดซึ่งเรียกว่า “ย่าที่นั่ง” เชิญพานข้าวตอกเดินหน้า อาจารย์หลวงถือหางนกยูงเดินขวา โหราหลวงถือพานดอกไม้ธูปเทียนเดินซ้าย แสงเมืองกับตัวเมืองเดินเคียงข้างกันต่ออีกแถวหนึ่ง หน่อแก้วกวงคำเดินเป็นแถวกระดานสลับกันตามแถวหนึ่ง เข้าไปสู่แท่นบูชาหน้าศาล ส่วนคานหามเข้าเทียบเชิงบันไดศาล ขันน้ำอาบสรง ตั้งเรียงกันเบื้องหลังแท่นบูชา คือ ข้างในติดกับหน้าศาล
แม่มดวางพานอาสนะบนแท่นแล้วนั่งพับเพียบหน้าแท่น โหรหลวงจุดธูปเทียนบูชาติดและปักที่แท่น อาจารย์หลวงชูหางนกยูงในท่าพนมมือ กล่าวคำอัญเชิญผีเป็นคำร่ายคล้ายกับคำเชิญกันตามธรรมดา ออกนามกษัตริย์เก่าๆ ที่ถือว่าเป็นประธาน 3 ท่านคือ ปู่เจ้าลาวจก
พรหมราช
และ เจ้าหมวกขาว
จบแล้วแสงเมืองนำหน่อแก้วกวงคำเข้าจุดธูปเทียนบูชาที่แท่นบูชา และเชิญเครื่องยศขึ้นไปตั้งหน้าอาสนะที่ในห้องบนศาล น้ำอบน้ำหอมที่สำหรับอาบสรง ก็ยกขึ้นไปตั้งที่นอกชาน เสร็จแล้วกลับลงมานั่งล้อมแท่นบูชาอยู่เบื้องล่างด้วยกันกับแม่มด แต่แสงเมืองจะไปนั่งพักที่ประจำ
ศาล หรือหอผีเสื้อเมืองนั้น ใหญ่เท่ากับเรือนธรรมดา หันหน้าสู่ทิศใต้ มีฝารอบทั้ง 4 ด้าน เบื้องหน้ามีมุขยื่นออกมาไม่มีฝา มีบันไดพาดข้างตะวันตกมุข ที่หน้ามุขมีตั่งเหนือม้านั่งไว้ตัวหนึ่ง ที่พื้นดินตรงหน้ามุขนี้มีแท่นสำหรับบูชา ตะวันตกศาลเป็นข่วงลูกกุย “สนามมวย” ทางเหนือเป็นเรือนคนเฝ้ารักษา ตะวันออกเป็นโรงช้างโรงม้า “เทียม” ทางใต้เป็นประตูเข้าไปสู่ศาล ปลูกปะรำที่ข้างประตูนี้ข้างละหลังเป็นที่พัก ข้างบนศาลตอนในห้องมีเตียงและตั่ง “อาสนะ” เครื่องยศที่ขนขึ้นไปวางหน้าอาสนะนี้ น้ำอบน้ำหอมตั้งที่นอกชานเบื้องหลัง ในระหว่างที่ขนเครื่องยศขึ้นศาลนั้น ราษฎรเข้าบูชาเครื่องสักการะที่แท่นบูชา แล้วกลับไปคอยดูมวยอยู่ที่ข้างสนามมวย
ขณะนี้ พิณพาทย์กลองผิ้งบรรเลงเพลง “ย่า หรือ ข้านางเหลียว” ตลอดเวลา เบื้องบนศาลจะมีอะไรบ้างไม่เห็น คนก็ลงมาหมด จึงขอสมมุติเรื่องตอนนี้ไว้เป็นกลอนว่า
เบื้องนั้น จอมเจ้าธานี “ผีปู่ย่า”
รับอาสิรพาทราธนา แล้วมาสะสรงอินทรีย์
เอาสลุงจ้วงตักวารินรด ด้วยน้ำดอกไม้สดเกสรศรี
หอมหวนยวลใจเปรมปรีดิ์ ซาบฉวีเฟื่องฟุ้งจรุงองค์
นุ่งเตี่ยวยาวพราวพรายเรียกลายจุด เสื้อจกดิ้นทองส่องศรีหงส์
คาดสายรั้งถักอร่ามงามบรรจง เหน็บมีดซุยคู่ทรงด้ามมณี
แต่งองค์ทรงเพศเป็นชาวป่า ไม่แต่งอย่างกษัตราเรืองศรี
ทัดดวงบุปผามาลี ผ้าจกพันเกศีทิ้งชาย
จับศรีขรรค์ไชยสิทธิ์ฤทธิเรือง คู่เมืองเลื่องเดชฉานฉาย
งามเพียงพรหมพักตร์เพราพราย ผันผายออกมาเวลาเย็น
ย่อยสยิ่งอย่างโอปาติกะ ตามวาทะเก่าแก่แลไม่เห็น
คนสยองพองหัวกลัวทั้งเป็น นึกเห็นนั่งหน้าศาลาทองฯ
บัดนี้ หน่อแก้วกวงคำทั้งผอง
ต่างระยอบนอบตัวขนหัวพอง ค่อยเยื้องย่องน้อมกายถวายกร
เชิดช่อมาลาม่ายฟ้อน โอนอ่อนบำเรออดิสร
ขอพระเดชปกเกศสถาพร ให้นาครเป็นสุขสำราญฯ
แผนที่หอเสื้อเมืองเชียงราย ทำโดย นโม ตสฺส
