การบวงสรวงผีนาค ณ เมืองเชียงรายนั้น ทำเป็นครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ. 2460 ก่อนแต่นี้ก็ได้ว่างเว้นมาหลายปี คือได้เลิกไม่ได้ทำพิธีมาตั้งแต่ พ.ศ. 2456 อันเป็นปีที่เริ่มประกอบพิธีวิสาขบูชา เหตุที่กลับมาบวงสรวงผีนาคขึ้นอีกครั้งใน พ. ศ. 2460 นั้นเนื่องมาแต่เกิด “ฮ่า” (โรคห่า) ลงเมือง โรคนี้เรียกตามภาษาชาวล้านนาว่า “ขี้ฮากสองกอง” คือ “อหิวาตกโรค” เริ่มเกิดขึ้นในสหรัฐไทใหญ่ก่อนแล้วลุกลามลงมา แทบทั่วกันหมดทุกเมือง ประชาชนตื่นเต้นวิตกกันมาก สมัยนี้เมืองเชียงรายเลิกวิธีการปกครองเมืองอย่างเก่าแล้ว ตั้งศาลากลางจังหวัดที่เมืองเชียงราย เมืองต่างๆที่มีศักดิ์เสมอกับเมืองเชียงรายมาแต่ก่อนคือ เมืองฝาง เชียงแสน เชียงของ เชียงคำ เมืองเทิง และเมืองพะเยา ล้วนเป็นอำเภอขึ้นจังหวัดเชียงราย พระยารัตนาณาเขต( เมืองไชย ณ ลำพูน) เป็นที่นายอำเภอเมือง คณะผู้ครองเมืองชุดเก่าที่ยังมีตัวอยู่ก็ได้เป็นกรมการพิเศษสำหรับเมือง
พ. ศ. 2460 อันเป็นปีที่ห่าลงเมืองนั้น พระราชโยธา(เจิม ปันยารชุน ต่อมาเป็นพระยาตรังฯ สมุหเทศาภิบาลมณฑลอุดร) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ท่านได้ทราบว่า ทางเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ได้บัตรพลีบูชาอินต๊ะและผู้เสื้อเมือง ขับไล่โรคห่า จึงคิดจะสะเดาะเคราะห์เมืองอย่างนั้นบ้าง ได้ปรึกษากับพระยารัตนาณาเขตตกลงกันจะบวงสรวงผีนาค ด้วยขณะนั้นใกล้กับวันวิสาขบูชา พระยารัตนาฯ พร้อมด้วยกรมการพิเศษกะการที่จะประกอบส่งไปให้พระราชโยธา ผู้เรียบเรียงเรื่องนี้ยังเป็น “บ่าวแถ่ว” คือ “รุ่นหนุ่ม” มีหน้าที่รับใช้พระยารัตนาฯ ท่านใช้ให้จดหมายบันทึกรายการนั้น พอจำรายการไว้ได้บ้าง จะนำเอามาเล่าในที่นี้เพื่อให้เป็นปรากฏกับอยู่ลัทธิผีนาค
งานบวงสรวงผีหน้าคราวนี้ พระครูเมธังกรญาน (ราชครูเมือง) เจ้าคณะจังหวัด 1 พญามโนวิทูร อาจารย์หลวง 1 แสนสนิทลือไทย อาจารย์รอง 1 พระยาไชยฤกษ์วังสา โหราหลวงเก่าเรียกกันว่า “ปู่เจ้า” 1 พญาไชยเมืองชื่น โหราหลวงใหม่ 1 มาประชุมพร้อมกันที่หอขวางคุ้มหลวง ต่อหน้าพระยารัตนาณาเขต ปรึกษาตกลงกันจะจัดทำตามแบบอย่างครั้งตั้งเมือง กำหนดงาน 5 วัน เริ่มแต่วันขึ้น 12 ค่ำ จนถึงวันแรมค่ำ 1 เดือน 8 (6) มีขบวนแห่นาคและเครื่องไทยทานทุกวัน ในสมัยนั้นการพนันจำพวกโป ซีเหงาลัก และไพ่ป๊อก ไพ่ตอง เหล่านี้ยังผูกเล่นได้ในเทศกาล จึงกะให้มีการพนันตลอดงานกลางวันกลางคืน จำนวนพระสงฆ์ที่จะเข้าพิธี “ภาวนานับประคำ” (นั่งปรก) 108 รูป รับบิณฑบาตสังฆทาน 1000 รูป
ครั้นส่งรายการไปยังพระราชโยธา ท่านขอให้จัดแต่เพียงพอสมควรด้วยเป็นเวลาห่าลงเมืองเมือง เกรงจะไม่มีคนพอแก่การใหญ่ๆ จึงลดลงคงเหลือวันงาน 3 วัน และงดการเล่นพนัน กับทั้งลดจำนวนพระสงฆ์รับบิณฑบาตสังฆทานเหลือเพียง 250 รูป การกีฬาต่างๆปล่อยไว้ให้ตามใจคนที่มีศรัทธา ขบวนแห่นาค ฝ่ายทหารซึ่งอยู่ประจำเมืองในเวลานั้นรับช่วยจัด และปล่อยให้เจ้าของควายนำควายเข้ามาขบวนตามใจสมัคร เพราะควายก็ล้มตายด้วยโรคห่ามาก แต่ในส่วนพระสงฆ์นั่ง 108 รูปนั้นว่าเป็นฤกษ์แรกตั้งเมือง คงมีให้จำนวนฤกษ์ ขณะเรียงหนังสือนี้ พ.ศ. 2485 ได้ค้นดูจดหมายเหตุรัชกาลที่ 3 ที่มีอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ พบสำเนาตราพระราชสีห์ใหญ่กับทั้งคำแปลใบบอกเมืองเชียงใหม่ เรื่องแบ่งพลเมืองเชียงใหม่ ลำพูนอพยพขึ้นไปตั้งเมืองเชียงรายเมื่อ พ.ศ 2386 ในใบบอกมีความตอนหนึ่งว่า
“ข้าฯ ทั้งปวงพร้อมกันนิมนต์พระสงฆ์ 108 รูป เป็นขบวนแห่พระพุทธรูปนำขบวนครัว เข้าตั้งเมืองเชียงราย ได้ทำบุญเป็นการใหญ่ 3 วัน 3 คืนและได้สักการบูชาอารักษ์เสื้อเมือง ขอเอาพระเดชพระคุณสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพมหานครปกเกล้าปกกระหม่อมเป็นที่พึ่ง”
ดังนี้ ที่ว่าพระสงฆ์ 108 รูปเป็นฤกษ์ตั้งเมืองนั้น คงจะเป็นฤกษ์นี้เอง
ภาพบน พระยารัตนาณาเขต (เจ้าน้อยเมืองไชย เชื้อเจ็ดตน) เจ้าหลวงเชียงรายตนสุดท้าย และนายอำเภอเมืองเชียงรายคนแรก
ภาพล่าง พระครูเมธังกรญาณ (ป๊อก นันตะรัตน์) อดีตเจ้าอาวาสวัดพระสิงห์ ราชครูเมืองเชียงราย และเจ้าคณะจังหวัดเชียงรายรูปแรก

