NAVARAT.C
|
พระอัฐิเจ้านายระดับพระองค์เจ้าขึ้นไปทางฝ่ายพระบวรราชวัง หรือวังหน้าของรัตนโกสินทร์ทุกรัชกาล ซึ่งได้ถูกจัดเก็บไว้ในจรณัม(ห้องหลังพระประธาน)ในพระอุโบสถวัดชนะสงคราม วัดนี้แต่เดิมสร้างสมัยอยุธยา ครั้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าทรงย้ายราชธานีมาฝั่งพระนคร มีชื่อว่าวัดกลางนา เมื่อโปรดเกล้าให้ชาวมอญมาตั้งบ้านเรือนแถวนั้นแล้วก็โปรดให้เปลี่ยนชื่อเป็นวัดตองปุ มีความหมายในภาษามอญว่าเป็นที่ขุมนุมพลก่อนออกรบ วัดและชุมชนนี้อยู่ในเขตปกครองของวังหน้า ในปลายรัชสมัย การศึกสงครามว่างเว้นลงแล้ว กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาจทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดตองปุใหม่หมดถวายเป็นพุทธบูชา แล้วทรงขนานนามวัดใหม่ว่าวัดชนะสงคราม
ในอดีตก่อนหน้าจรณัมดังกล่าวเคยถูกวัดปล่อยปละละเลย ใช้เป็นห้องเก็บของสารพัดจะสกปรกรกรุงรัง เมื่อบรรดาลูกหลานในราชสกุลต่างๆมาทำบุญคราวใด เห็นเข้าแล้วก็สลดใจ ช่วยกันร้องเรียนทั้งวาจาและหนังสือไปยังที่ไหนๆ ก็ดูเหมือนจะไม่มีการสนองรับ
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 13 ม.ค. 19, 08:58
|
|
จนกระทั่งสองสามปีที่แล้ว สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้เข้าไปดำเนินการปฏิสังขรณ์ห้องนี้ใหม่ ซุ้มปูนปั้นลายกนกอันเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิพระราชโอรสและพระราชธิดาในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล และพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทั้ง 5 ซุ้ม ได้รับการบรูณะ โดยรักษาสภาพเดิมที่มีแผ่นอ่อนจารึกพระนามติดอยู่ไว้เป็นอย่างดี
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 13 ม.ค. 19, 08:59
|
|
หลังจากแล้วเสร็จให้ชื่นใจอยู่ได้เพียงปีเดียว ก็เอาอีกแล้ว (โปรดดูภาพ) คนของวัดคงไม่ได้รับการเรียนรู้เลยว่า ห้องดังกล่าวพึงได้รับการบำรุงรักษาให้สะอาด มีบรรยากาศสมกับเป็นที่เก็บพระบวรราชสรีรางคาร และพระอัฐิเจ้านาย ซึ่งในอดีตคือผู้ปฎิสังขรณ์และผู้บำรุงอุปปัฏฐากวัดและพระภิกษุในวัดมาจวบจนทุกวันนี้
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 13 ม.ค. 19, 09:01
|
|
สิ่งสกปรกที่ก่อเกิดท้ศนียภาพอุจาดฝีมือคนของวัด โดยไม่คำนึงถึงการควรมิควรอันพึงเคารพต่อสถานที่แม้น้อย
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 13 ม.ค. 19, 09:04
|
|
สายราชสกุลวังหน้าที่พระอัฐิขององค์ปฐมวงศ์อยู่ ณ ที่นั้น มีดังนี้ . ราชสกุลในสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ 1 ยังดำรงอยู่ 4 ราชสกุล คือ
นีรสิงห์ – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเณร ปัทมสิงห์ – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบัว สังขทัต – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสังกะทัต กรมขุนนรานุชิต อสุนี – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอสุนี กรมหมื่นเสนีเทพ . ราชสกุลในสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาเสนานุรักษ์ ในรัชกาลที่ 2 ยังดำรงอยู่ 10 ราชสกุล คือ
บรรยงกะเสนา – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประยงค์ กรมขุนธิเบศร์บวร พยัคฆเสนา – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเสือ ภุมรินทร – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภุมริน ยุคันธร – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายุคันธร กรมหมื่นอนันตการฤทธิ์ รองทรง – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารองทรง กรมหมื่นสิทธิสุขุมการ รังสิเสนา – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าใย รัชนิกร – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนิกร สหาวุธ – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมแสง สีสังข์ – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสีสังข์ อิศรเสนา – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพงศ์อิศเรศ กรมหมื่นกษัตริย์ศรีศักดิเดช . ราชสกุลในสมเด็จพระบวรราชเจ้า กรมพระราชวังบวรมหาศักดิ์พลเสพย์ ในรัชกาลที่ 3 ยังดำรงอยู่ 5 ราชสกุล คือ
เกสรา – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเกสรา กรมหมื่นอานุภาพพิศาลศักดิ กำภู – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากำภู นันทิศักดิ์ – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเริงคนอง อนุชะศักดิ์ – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านุช อิศรศักดิ์ – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ เจ้าฟ้าอิศราพงศ์ . ราชสกุลในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 4 ดำรงอยู่ 11 ราชสกุล คือ
สุธารส – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุธารส วรรัตน์ – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิศาลบวรศักดิ ภาณุมาศ – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุมาศ หัสดินทร – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหัสดินทร์ กรมหมื่นบริรักษ์นรินทรฤทธิ์ นวรัตน – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเนาวรัตน์ กรมหมื่นสถิตยธำรงสวัสดิ์ ยุคนธรานนท์ – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ายุคนธร โตษะณีย์ – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโตสินี นันทวัน – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้านันทวัน พรหเมศ – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าพรหเมศ จรูญโรจน์ – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญโรจน์เรืองศรี กรมหมื่นจรัสพรปฏิภาณ สายสนั่น – สืบสายจาก พระเจ้าราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสนั่น . ราชสกุลในกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ในรัชกาลที่ 5 ดำรงอยู่ 9 ราชสกุล คือ
วิไลยวงศ์ – สืบสายจาก พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิไลยวรวิลาส กาญจนะวิชัย – สืบสายจาก พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากาญจโนภาสรัศมี กรมหมื่นชาญไชยบวรยศ สุทัศนีย์ – สืบสายจาก พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสุทัศนนิภาธร วรวุฒิ – สืบสายจาก พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรวุฒิอาภรณ์ รุจจวิชัย – สืบสายจาก พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารุจาวรฉวี วิบูลยพรรณ – สืบสายจาก พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิบูลยพรรณรังษี กัลยาณะวงศ์ – สืบสายจาก พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ากัลยาณประวัติ กรมหมื่นกวีพจน์สุปรีชา รัชนี – สืบสายจาก พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้ารัชนีแจ่มจรัส กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ วิสุทธิ – สืบสายจาก พระราชวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบวรวิสุทธิ์
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 13 ม.ค. 19, 09:05
|
|
.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 13 ม.ค. 19, 09:05
|
|
ส่วนภายในช่องที่ปรากฏป้ายจารึกพระนามพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบวรราชเจ้า 3 พระองค์ และกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญนั้น เนื่องจากพระโกศพระบวรอัฐิของทุกพระองค์ประดิษฐานอยู่บนพระวิมาน ณ หอพระนาค จึงสัณนิฐานว่าที่จรณัม น่าจะเป็นพระบวรราชสรีรางคารที่เคยอัญเชิญมาบรรจุไว้แต่เดิมบนผนังภายในท้ายจรณัมนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 13 ม.ค. 19, 09:07
|
|
.
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 13 ม.ค. 19, 09:08
|
|
พระโกศดังกล่าวเป็นพระโกศทองคำฝีมือช่างโบราณ ขนาดใหญ่กว่ามาตรฐานทั่วไป นอกจากนั้นก็เป็นไปตามธรรมเนียมว่า หากเป็นงานพระศพเจ้านายที่รับราชการจนได้ทรงกรม จะโปรดเกล้าให้จัดเป็นงานหลวง ทางกระทรวงวังก็จะจัดพระโกศทองคำลงยาพระราชทาน สำหรับบรรจุพระอัฐิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 13 ม.ค. 19, 09:11
|
|
ส่วนพระศพของเจ้านายองค์อื่นนอกจากนั้น ทายาทในราชสกุลมีหน้าที่จัดหาจัดสร้างพระโกศบรรจุพระอัฐิเอง จึงปรากฏว่า พวกพระองค์เจ้าชายที่ยังไม่ได้ออกวัง ยังไม่มีทายาท หรือพระองค์เจ้าหญิงซึ่งเป็นพระราชธิดาในพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลก่อนๆที่ยังประทับอยู่ฝ่ายใน หาญาติพี่น้องไม่แล้ว หรือมีฐานะขัดสน ไม่อาจจัดพระโกศทองคำตามพระฐานันดรศักดิ์ถวายได้ เจ้าพนักงานภูษามาลาก็จะนำพระอัฐิห่อไว้ในผ้าขาว จารึกพระนามลงในใบลานผูกไว้ หากเป็นเจ้านายฝ่ายวังหลวง ก็จะเชิญไปใส่พานประดิษฐานไว้รวมกันในหอพระนาก วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือสำหรับเจ้านายฝ่ายวังหน้า ก็จะนำไปที่ท้ายจรณัมในพระอุโบสถวัดชนะสงครามดังกล่าว
เมื่อถึงเทศกาลสงกรานต์ประจำปี เป็นพระราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์จะทรงบำเพ็ญพระราชกุศลอุทิศพระราชทานเจ้านายผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้อัญเชิญพระอัฐิของเจ้านายจากวังต่างๆ มาประกอบพิธีสงฆ์ร่วมกันที่หอพระนาก ทว่าบางครั้งเมื่อเสร็จงานแล้วทายาทก็ไม่ขอรับกลับบ้าง หรือในกรณีย์ที่ทายาทไม่สามารถจะรักษาพระโกศพระอัฐิในที่อันควรแก่พระเกียรติได้ต่อไป ก็จะอัญเชิญมาถวายพระเจ้าอยู่หัว บางรายมีแบบขอรับพระราชทานโกศทองคำไว้ ถวายเฉพาะพระอัฐิก็มี ซึ่งจะทรงรับไว้ทุกรูปแบบ และโปรดให้เก็บรักษาไว้ในหอพระนากเต็มไปหมด
ในรัชกาลที่ 5 ก่อนที่จะฉลองพระนครครบรอบ100ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงโปรดเกล้าให้สร้างพระโกศทองคำลงยาบรรจุพระอัฐิเจ้านายชั้นสูงบางพระองค์ที่ยังไม่มีโกศ และสร้างตู้กระจกไม้สลักลาย ลงรักปิดทองแบ่งเป็นชั้นๆ สำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิในห่อผ้าขาว แต่ด้วยจำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนล่วงมาถึงรัชกาลที่ 7 ใกล้ฉลองพระนครครบ 150 ปี ความทราบฝ่าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงได้เสด็จไปทอดพระเนตรทั้งที่หอพระนากและท้ายจรณัมวัดชนะสงครามด้วยพระเอง เห็นห่อพระอัฐิเจ้านายวางเต็มไปหมดก็ทรงสลดพระทัย จึงมีพระบรมราชโองการให้กระทรวงวังจัดทำโกศของหลวงสำหรับพระอัฐิของเจ้านายทั้งฝ่ายพระบรมมหาราชวัง และฝ่ายพระราชวังบวรให้ครบถ้วนทุกพระองค์
แต่พระโกศที่ต้องทำด้วยทองคำตามขนบประเพณีเกินร้อยโกศนั้นจะสิ้นเปลืองพระราชทรัพย์มหาศาลในภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ กระทรวงวังจึงถวายความเห็นว่า หากใช้ดีบุกปิดทองทำนองเดียวการทำช่อฟ้าใบระกาของหลังคาพระมหาปราสาทราชมณเฑียร ตามกรรมวิธีโบราณ ก็ไม่น่าจะเป็นการเสื่อมเสียพระเกียรติแต่อย่างใด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯทรงเห็นด้วย และพระราชทานพระบรมราชานุญาตตามนั้น
แล้วโปรดให้บูรณะปฏิสังขรณ์หอพระนาก โดยให้สร้างพระวิมานประดิษฐานพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบวรอัฐิสมเด็จพระบวรราชเจ้าทั้งสามพระองค์ ข้างหน้าพระวิมานมีพระเบญจาแบบย่อเก็จด้านหน้า ด้านหลังติดผนัง อยู่ภายใต้พระวิมาน สำหรับเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิพระราชวงศ์ โดยมีพระราชกระแสรับสั่งให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสวัสดิ์วัดนวิศิษฏ์ เป็นพระธุระอำนวยการทั้งการสร้างที่ประดิษฐาน และการเชิญพระบรมอัฐิ พระอัฐิ ขึ้นจัดตั้งบนพระวิมานและพระเบญจาโดยเรียบร้อยทุกประการ
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 13 ม.ค. 19, 09:20
|
|
ที่เห็นในหอพระนาก บนที่ประดิษฐานของพระวิมานทั้ง 4 พระโกศนั้น คือ
1 พระบวรราชเจ้า สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ในรัชกาลที่ 1 2 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ ในรัชกาลที่ 2 3 สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ในรัชกาลที่ 3 4 พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ในรัชกาลที่ 4
ประดิษฐานบนกี๋
1 กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข (เจ้าฟ้าทองอิน) วังหลังในรัชกาลที่ 1 2 กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (พระองค์เจ้าชายยอดยิ่งยศ) วังหน้าในรัชกาลที่ 5 และ พระปฐมวงศ์ รวม 15 พระโกศ
เรียงลงมาตามลำดับชั้นเบญจา
พระมเหสีในรัชกาลที่หก 3 พระโกศ พระราชโอรสธิดาในรัชกาลที่หนึ่ง 23 พระโกศ พระราชโอรสธิดาในรัชกาลที่สอง 43 พระโกศ พระราชโอรสธิดาในรัชกาลที่สาม 36 พระโกศ พระราชโอรสธิดาในรัชกาลที่สี่ 61 พระโกศ พระราชโอสรธิดาในรัชกาลที่ห้า 44 พระโกศ พระสัมพันธวงศ์เธอ 16 พระโกศ พระโกศของชั้นหลานหลวงในวังหลวง วังหน้า วังหลัง อีกจำนวนหนึ่ง
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 13 ม.ค. 19, 09:22
|
|
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้เปิดหอพระนาคในระหว่างเทศกาลสงกรานต์ สำหรับพิธีสงฆ์และให้ลูกหลานในราชสกุลต่างๆ ตลอดจนบุคคลทั่วไปได้เข้าไปสักการะ เป็นประเพณีประจำทุกปีสืบต่อมาจนรัชกาลปัจจุบัน
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 13 ม.ค. 19, 11:35
|
|
เคยไปทำบุญที่วัดชนะสงครามเมื่อหลายปีมาแล้ว เดินอ้อมไปทางด้านหลัง เห็นความรกรุงรังยิ่งกว่าในภาพ 3 อีกค่ะ ตอนนั้นยังไม่ได้บูรณะ ขนาดบูรณะตกแต่งให้งดงามแล้ว ก็เป็นได้เพียงระยะเดียว หลังจากนั้นกลายเป็นสถานที่เก็บของ หรือแก้บนอะไรก็ไม่รู้ น่าเกลียดมาก เจ้าอาวาสท่านน่าจะลงมาดูแลมากกว่านี้ ร้องเรียนไปที่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสรูปใหม่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้ง พระมหาปกรณ์ กิตติวโร ป.ธ. 9 จะได้ผลดีขึ้นไหมคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 13 ม.ค. 19, 16:54
|
|
ขอบคุณครับ
เมื่อวันที่ ๗ มกราคม ปีนี้ พี่น้องต่างราชสกุลได้ไปพบกันในงานพระบวรราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่บริเวณวังหน้าดังเคยเช่นทุกปี ครั้งนี้ มีการพูดคุยกันในเรื่องดังกล่าว ผู้ที่เพิ่งไปเห็นสภาพมาเมื่อไม่กี่วันก่อนบอกว่าสกปรกมาก และได้ขอให้แม่ชีที่ดูแลในพระอุโบสถช่วยแก้ไขแล้ว ครั้นทราบว่าพวกนวรัตนจะไปทำบุญที่นั่นในอันดับต่อไป ก็ฝากให้ผมไปดูว่าสภาพจะเป็นเช่นไร
ผมก็ส่งภาพถ่ายรายงานสภาพที่ได้เห็นให้ ซึ่งผู้ใหญ่ท่านหนึ่งขอรับไปทำหนังสือร้องเรียนในนามราชสกุลทั้งปวงด้วยครับ ท่านเจ้าอาวาสคงจะได้รับฉบับหนึ่งแน่นอน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
นโม ตสฺส
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 14 ม.ค. 19, 22:01
|
|
พระอัฐิเมื่อครั้งอยู่ในพระบวรราชวัง ประดิษฐานรักษาไว้ในสองที่ ที่แรกคือหอพระอัฐิหลังพระที่นั่งสนามจันทร์วังหน้า ข้างพระที่นั่งอิศราวินิจฉัย (เก๋งจีนตรงกลาง หลังพระที่นั่งสนามจันทร์วังหน้า เก๋งจีนด้านขวาคือหอพระเจ้าวังหน้า) เดิมเก็บรักษาพระอัฐิกรมพระราชวังบวรมหาศักดิพลเสพ และเจ้านายทั้งหลาย ต่อมา เมื่อเชิญพระอัฐิเจ้าวังหน้าออกไปแล้ว ก็ได้เชิญพระอัฐิพระชนกสมเด็จพระศรีสุริเยนทร พระอัฐิเจ้าฟ้ากรมหลวงเทพหริรักษ์ เจ้าฟ้ากรมหลวงพิทักษมนตรี เจ้าฟ้ากรมขุนอิศรานุรักษ์ มาประดิษฐานที่หอนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว ก็ได้เชิญพระอัฐิพระชนกสมเด็จพระศรีสุริเยนทรกลับมายังพระบรมหาราชวัง ส่วนพระอัฐิเจ้าฟ้า3พระองค์ ยังคงไว้ที่หอพระอัฐิวังหน้า จนหอชำรุด รื้อในรัชกาลที่5 จึงได้เชิญพระอัฐิมาไว้ในหอพระนาค วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|