ต่อท่อนสุดท้าย
ฝ่ายกรุงอังวะนั้น พระเจ้ามังระ เชงพยูชิน (พระเจ้าช้างเผือก) เสด็จสวรรคตเมื่อวันจันทร์ แรม ๑๐ ค่ำ เดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๓๑๙ พระเจ้าเซ่งกูผู้เป็นพระโอรสจึงทรงขึ้นครองราชย์สืบต่อ และมีรับสั่งให้กองทัพทั้งหมด เช่น ทัพของพระมหาสิงหะสูระ (ฉบับพระราชหัตถเลขาเรียกว่า อะแซหวุ่นกี้) จากระแหงหนึ่งทัพ ทัพของพระเนมโยสิงหะปกติให้ไปตั้งอยู่ที่จันทบุรีหนึ่งทัพ และทัพของผู้ว่าเมืองเชียงใหม่ที่พระบิดามีรับสั่งให้ไปตีกรุงบางกอกธนบุรีอีกหนึ่งทัพ เดินทัพกลับเข้ากรุงอังวะทั้งหมด
พงศาวดารตรงนี้ มีประเด็นให้คิดเล็กน้อย ทัพของเนเมียวสีหบดีที่จันทรบุรี (ใช้ชื่อที่คุ้นหูดีกว่า เดี๋ยวเป็นภาระให้ท่านอาจารย์ต้องอธิบาย)
ไมต้องขยายความ นักเรียนนิสิตที่เข้าลงทะเบียนห้องเรียนนี้ รู้กันหมดแล้ว นามนี้ คือ บรรดาศักดิ์ ไม่ใช่ชื่อบุคคล แต่มีปัญหาให้คิด 2 เรื่อง
1. เนเมียวสีหบดีคนนี้มีที่มายังไงปรากฎตัวมาตอนไหน แต่ที่แน่นอนคือ เขาต้องเป็นนายทหารคนละคนกับ เนเมียวสีหบดีผู้มีมารดาเป็นลาวและตีอยุธยาแตก ซึ่งในทีนี้ขอกำหนดว่า เนเมียวสีหบดี ก.
ถ้านับตามไทม์ไลน์ เนเมียวสีหบดี ก.คนนี้หลังจากพ่ายศึกเชียงใหม่ ก็ได้หลบหนีพระราชอาญาของมังระไปซ่อนอยู่ละแวกตองอู และ ไม่ได้เข้าร่วมในสงครามนี้ ฉนั้น เนเมียวฯรายนี้น่าจะเป็นคนอื่นที่ตั้งตำแหน่งมาใหม่ผมเอาความท่อนจบนี้ไปอยู่ในบทนำตั้งแต่แรก ซึ่งตอนนั้นได้วงเล็บชื่อเมืองที่พม่าเรียกว่าจันทบุรีไว้ ซึ่งคนละเมืองกับที่พระยาตากเคยหนีพม่าไปตั้งหลักที่นั่นนะครับ ตอนแรกที่อ่านของมิคกี้ผมก็สับสนอยู่ยกใหญ่
ส่วนเนเมียวสิงหะบดีในพงศาวดารไทย กับพเนมโยสิงหะปติในความข้างบนจะเป็นคนเดียวกันหรือไม่ ยังไม่ได้ไปค้นหาครับ ขณะนี้ไม่อยากเดา
พิจารณาจากหลักฐานของทั้งไทยและพม่าพบว่าเป็นคนเดียวกกันตลอดครับ
แม่ทัพใหญ่พม่าที่ยกทัพจากเชียงใหม่ลงมาตีกรุงศรีอยุทธยา ตามหลักฐานพม่ามีชื่อว่า
เนมฺโยสีหปเต๊ะ (နေမျိုးသီဟပတေ့) แต่พงศาวดารไทยฉบับที่เก่าๆ เช่น ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ฉบับบริติชมิวเซียม รวมถึงฉบับหมอบรัดเลจะเรียกว่า
โปสุพลา โปสุบพลา หรือ
โปซบพลาใกล้เคียงกับสำเนาท้องตราปีมะเมีย พ.ศ. ๒๓๑๗ เรียกว่า
โปชุกพลาส่วนหลักฐานของล้านนา มีตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่เรียกว่า
โป่ซุกซุกปะสิหะ โป่ซุกขบปะสิหะพะเท โป่ซุกขบปะสิงหะพะเท หรือเรียกสั้นๆ ว่า
โป่เจียก ส่วนตำนานสิบห้าราชวงศ์เรียกว่า
โป่เจียกชุปปสีหพะเท โป่ม่านชุปปสีหพะเท โป่ซุกขุมสิงหะส่วนคำให้การชาวอังวะในสมัยรัชกาลที่ ๑ เรียกว่า
เนมะโยมหาเสนาบดี หรือ
เนเมียวมหาเสนาบดี สันนิษฐานว่าเป็นด้วยเหตุนี้ทำให้พงศาวดารที่ชำระสมัยหลังได้แก่ ฉบับสมเด็จพระพนรัตน์วัดพระเชตุพน ซึ่งสมเด็จฯ กรมพระปรมานุชิตชิโนรสทรงชำระ กับฉบับพระราชหัตถเลขาที่ชำระในสมัยรัชกาลที่ ๔ เปลี่ยนไปเรียกชื่อแม่ทัพผู้นี้ว่า
เนเมียวมหาเสนาบดี ตามคำให้การชาวอังวะ
ส่วนชื่อ "เนเมียวสีหบดี" ที่นิยมเรียกกันในปัจจุบันนั้น ไม่พบในหลักฐานใดเลย แต่ปรากฏอยู่ในพระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพเท่านั้น เข้าใจว่าจะทรงถอดพระนามมาจากพงศาวดารพม่าฉบับแปลภาษาอังกฤษของหลวงไพรสณฑ์สาลารักษฺ์ ที่สะกดว่า Nemyo Thihapate ซึ่งกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงแปลเป็น สีหปตี อาจจะเพราะทรงเข้าใจว่า ปตี กับ บดีเป็นคำเดียวกันเรียกสะกดตามนั้น แต่ความจริงแล้วต้นฉบับภาษาพม่าสะกดว่า ปเตฺ (ပတေ့) ออกเสียงว่า ปะเต๊ะ เป็นคนละคำกับ ปตี/บดี ครับ
หลังจากพิชิตกรุงศรีอยุทธยาได้ เนมฺโยสีหปเต๊ะขึ้นไปทำศึกในแถบล้านนาและล้านช้าง และเตรียมการจะยกทัพมาตีกรุงธนบุรีพร้อมกับ โปมะยุง่วน (ဗိုလ်မျို့ဝန်) หรือ สะโตมังถาง (သတိုးမင်းထင် Thado Mindin) เจ้าเมืองเชียงใหม่ที่ล้านนาเรียกว่า "โป่หัวขาว" แต่เนื่องจากพระยาจ่าบ้านและเจ้ากาวิละแปรพักตร์ไปเข้ากับไทย ทำให้พระเจ้ากรุงธนบุรีตีเมืองเชียงใหม่ได้ แม่ทัพพม่าทั้งสองจึงต้องหลบหนีไป พงศาวดารพม่าระบุว่าเนมฺโยสีหปเต๊ะถอยหนีไปอยู่ที่เมืองแหง แล้วไปเมืองหน่าย ส่วนคำให้การชาวอังวะระบุว่า
"ฝ่ายภรรยาโปสุพลาซึ่งอยู่ณเมืองอังวะนั้นเจ้าอังวะจำไว้ ภรรยาโปสุพลาให้คนมาบอกโปสุพลาว่า อย่าให้ไปเมืองอังวะเปนอันขาดทีเดียว โปสุพลาจึงหลบหลีกอยู่ณบ้านซุยเกียน ใกล้กันกับเมืองตองอูทางห้าวัน"คงเป็นด้วยเหตุนี้ที่คุณราชปักษาสันนิษฐานว่า เนมฺโยสีหปเต๊ะที่จะยกไปตีในศึกธนบุรีพร้อมอะแซหวุ่นกี้ (มหาสีหสูระ) นั้นอาจจะเปลี่ยนคน อย่างไรก็ตามพงศาวดารพม่าหรือคำให้การชาวอังวะเองก็ไม่มีบันทึกว่าเนมฺโยสีหปเต๊ะผู้นี้ถูกถอดจากตำแหน่งแต่อย่างใด จึงคงสรุปอย่างชัดเจนไม่ได้ว่าเป็นคนละคนกันครับ
นอกจากนี้ใน พงศาวดารไทยก็ยังกล่าวถึง "โปสุพลา" อยู่ในช่วงสงครามอะแซหวุ่นกี้ โดยโปสุพลา โปมะยุง่วนได้ยกทัพจากเชียงแสนลงมาตีเมืองเชียงใหม่ พระเจ้ากรุงธนบุรีจึงโปรดให้เจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ยกทัพขึ้นไปช่วย โดยถ้าตีพม่าแตกไปได้ก็ให้ยกไปตีเชียงแสนต่อ พอทัพไทยไปถึงพม่าถอยไปแล้ว จึงจะยกไปตีเชียงแสนต่อ แต่ได้ข่าวว่าอะแซหวุ่นกี้ยกทัพมาถึงเมืองตากแล้ว จึงถอยทัพกลับ
"ครั้นถึงณเดือนสิบในปีมะแมสัปตศก มีหนังสือบอกเมืองเชียง ใหม่ลงมาว่า โปสุพลา โปมะยุง่วน ไปอยู่ณเมืองเชียงแสน บัดนี้ได้ ว่า จะยกกองทัพกลับมาตีเมืองเชียงใหม่อีก จึงดำรัสให้เจ้าพระยา สุรสีห์เป็นแม่ทัพ คุมทัพหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งปวงยกขึ้นไปช่วยราช การเมืองเชียงใหม่ โปรดให้เจ้าพระยาจักรียกกองทัพขึ้นไปช่วยด้วย ถ้าตีทัพพะม่าแตกไปแล้ว ให้ยกตามไปตีเมืองเชียงแสนทีเดียว เจ้า พระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ และท้าวพระยาพระหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้ง ปวงก็กราบถวายบังคมลารีบยกกองทัพขึ้นไปตามพระราชกำหนด
...ฝ่ายกองทัพโปสุพลา โปมะยุง่วน ยกมาตีเมืองเชียงแสน เข้าติดเมืองเชียงใหม่ พอกองทัพเจ้าพระยาจักรี เจ้าพระยาสุรสีห์ ยกไปถึง ทัพพะม่าก็เลิกถอยไป เจ้าพระยาทั้งสองก็ยกกองทัพติด ตามไป จะตีเมืองเชียงแสน พอหนังสือบอกขึ้นไปว่า พะม่ายก ทัพใหญ่มาทางเมืองตาก เจ้าพระยาทั้งสองก็ถอยทัพกลับมาถึงกลาง ทางใต้เมืองสุโขทัย หยุดทัพอยู่ณวัดปากน้ำ"หลังจากพระเจ้ามังระสวรรคต จึงปรากฏในพงศาวดารพม่าว่า พระเจ้าจิงกูจาโปรดให้เนมฺโยสีหปเต๊ะซึ่งยกทัพไปทางจันทบุรีและเชียงใหม่ถอยกลับ และมีการบรรยายด้วยว่าทัพนี้พ่ายแพ้ยับเยินจนต้องถอยไปอยู่ที่เมืองนาย ซึ่งก็หมายความว่าเนมฺโยสีหปเต๊ะคนนี้ก็คือคนเดิมที่ยกทัพไปทำปฏิบัติการทางทหารจันทบุรีแลเชียงใหม่ระยะยาวตั้งแต่ช่วงเสียกรุงไม่นาน แต่ประจำอยู่ที่เมืองนายโดยไม่ได้กลับไปที่อังวะเลย และพงศาวดารยังระบุตำแหน่งของเนมฺโยสีหปเต๊ะคนนี้ว่า เมียนหวุ่น (မြင်းဝန် Myin Wun) หรือแม่ทัพทหารม้า ซึ่งก็เป็นตำแหน่งเดียวกับเนมฺโยสีหปเต๊ะใช้มาตั้งแต่ก่อนรบแพ้ที่เชียงใหม่ พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีข้อบ่งชี้ที่เนมฺโยสีหปเต๊ะสองคนนี้เป็นคนละคนครับ
หลังจากนี้ ปรากฏในหลักฐานฝั่งพม่าว่า พระเจ้าจิงกูจาทรงเลื่อนบรรดาศักดิ์เนมฺโยสีหปเต๊ะเป็น
เนมฺโยเสนาปติ (နေမျိုးသေနာပတိ Ne Myo Thenapati) และทรงแต่งตั้งเป็น "หวุ่นญี (ဝန်ကြီး Wungyi)" หรือมหาเสนาบดี ใน ค.ศ. ๒๓๑๙ คงเป็นด้วยเหตุนี้ทีคำให้การชาวอังวะสมัยรัชกาลที่ ๑ เรียกขุนนางผู้นี้ว่า เนมะโยมหาเสนาบดี ตามทินนามที่ได้รับมาภายหลังครับ