NAVARAT.C
|
เมื่อ ๒ ตุลาคม ๒๔๕๒ หรือเมืองแปดปีครึ่งที่ผ่านมา ผมได้เริ่มใช้เวลาว่างหลังปลดภาระการงานออกไปทีละอย่างสองอย่าง เอาเวลาตรงนั้นมาใช้ในการเขียนลงพันทิปดอทคอม ประเดิมโดยเรื่องราวในอดีตของพม่าก่อนเสียเมืองให้อังกฤษ เกิดเป็นซีรีย์ถึง ๕ ตอนที่ทำให้คนรู้จัก NAVARAT.C แล้วยัดเยียดให้ผมเป็นอาจารย์ แม้ผมจะพยายามบอกว่าผมเป็นสถาปนิก ยอมให้เฉพาะผู้รับเหมาเท่านั้นที่จะมาเรียกผมดังว่า สำหรับในเรื่องประวัติศาสตร์แล้วผมเป็นเพียงผู้อ่าน ชอบเรื่องที่ผ่านตาเรื่องใด ก็เอามาเล่าต่อเท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริงจะผิดถูกอย่างไรผมไม่มีญาณทัศนะจะหยั่งถึง เอาเป็นว่า ผมได้พยายามตรวจสอบเต็มที่โดยอ่านเล่มอื่นๆประกอบด้วยจนถึงที่สุดแล้ว แม้จะไม่มีเชิงอรรถเพราะมันไม่ใช่บทวิชาการ แต่ผมรับรองว่าไม่มีตรงไหนที่ผมมโนเขียนขึ้นเอง และ(ขณะที่เขียนนั้น)ผมเชื่อในสิ่งที่ผมเขียนนั้นว่าเป็นเรื่องจริงก็แล้วกัน
แม้กระนั้น ผมก็ยังสนใจในข้อเท็จจริงต่างๆที่เคยนำมาเขียนเล่าสู่กันฟังเสมอ ถ้ามีข้อมูลใหม่ที่สำคัญพอ ผมก็พยายามจะเอามาปรับเปลี่ยน อย่างเช่นเรื่องนี้เป็นต้น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 1 เมื่อ 05 พ.ค. 18, 11:04
|
|
.
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 2 เมื่อ 05 พ.ค. 18, 11:05
|
|
.
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 3 เมื่อ 05 พ.ค. 18, 11:06
|
|
.
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 4 เมื่อ 05 พ.ค. 18, 11:18
|
|
ผมเคยไปมัณฑะเลย์มาแล้วเพียงครั้งเดียวเมือประมาณสี่สิบปีมาแล้ว ตอนนั้นพระราชวังเลียนแบบของเดิมยังไม่ได้สร้าง จะมีก็เพียงกำแพงเมือง แล้วผมก็ยังไม่เคยทราบเรื่องราวของการบูชายัญด้วยมนุษย์เป็นๆของเมืองนี้ จึงไม่สนใจจะมองหา ต่อมาเมื่อรู้แล้วพยายามจะใช้อินทรเนตรก็หาได้พบไม่ แต่ด้วยตาเนื้อของมนุษย์ตัวเป็นๆ คราวนี้ผมเจอหลักเมืองที่เคยคิดว่ารัฐบาลพม่าย้ายไปซ่อน ยังอยู่ในตำแหน่งเดิมที่ฝรั่งผู้เขียนในสมัยโน้นนำมาประกอบภาพ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อ 07 พ.ค. 18, 08:34
|
|
ก่อนจะไปย้อนอดีตตามล่าหาความจริงกันต่อ ผมอยากให้ดูแผนที่ของมัณฑะเลย์ยุคที่อังกฤษเข้ายึดครองใหม่ๆ ซึ่งตรงกับต้นๆรัชกาลที่ ๕ ของสยาม สมัยนั้น กำแพงเมืองมัณฑะเลย์ก็เหมือนกับกำแพงเมืองเดิมของกรุงเทพ เพียงแต่มันสูงหนากว่าของเราสักเท่าหนึ่ง แถมด้านหลังกำแพงยังถมดินหน้ากว้างประมาณถนนขึ้นไปยันถึงด้านบนเพื่อให้ม้าวิ่งได้สบายๆอีก พม่าเตรียมกำแพงไว้รบกับมหาอำนาจ ไม่อังกฤษก็จีน แต่ก็อย่างที่รู้ๆกัน ถึงเวลาเข้าทหารอังกฤษได้เดินสวนสนามผ่านประตูกำแพงเมืองนี้ไปเฉยๆ
ภายในกำแพงเมือง พระเจ้าแผ่นดินพระราชทานที่ให้พวกเจ้านายและขุนนาง ข้าราชการ สร้างวังสร้างบ้านพักอาศัย ราษฎรที่เป็นคนในสังกัดของบุคคลชั้นสูงดังกล่าวก็ได้เข้าไปพำนักใกล้ๆเพื่อรับใช้ เช่นเดียวกับกองทหาร พวกที่มีหน้าที่ป้องกันเมือง และป้องกันวังถวายความปลอดภัยให้พระเจ้าแผ่นดิน ไม่ให้ใครรุกล้ำเขตพระราชฐาน(กรอบสีน้ำเงิน)เข้าไปได้ ภายในเขตนี้ ทหารรักษาพระองค์และชาววังเท่านั้นที่จะได้พำนักอยู่ ส่วนเขตพระราชฐานชั้นในที่ประทับจริงๆของพระเจ้าแผ่นดินกับบรรดามเหษีและเจ้าจอมทั้งหลาย(กรอบสีเขียว) มีกำแพงล้อมรอบ แต่ทั้งกำแพงวังและกำแพงพระราชฐานไม่ได้สูงใหญ่เหมือนกำแพงเมือง อังกฤษเข้าครอบครองเขตภายในกำแพงเมืองมัณฑเลย์หมด เปลี่ยนชื่อเป็น Fort Dufferin เป็นเกียรติแก่ Frederick Temple อุปราชแห่งอินเดียผู้ส่งกองทัพอังกฤษมาพิชิตพม่า ผู้ซึ่งสุดท้ายมีตำแหน่ง Marquess of Dufferin and Ava
ครั้นอังกฤษคืนพม่าให้เจ้าของประเทศแล้ว ฟอร์ต ดัฟเฟอรินได้กลายเป็นที่ตั้งกองทหารของเมียนมาร์ ซึ่งกันพื้นที่ในเขตพระราชทานให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวภายใต้กฏเกณฑ์ที่เคร่งครัด นักท่องเที่ยวจะเที่ยวไปเดินๆล้ำเข้าเขตทหารไม่ได้
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 6 เมื่อ 07 พ.ค. 18, 08:46
|
|
เขตพระราชฐานชั้นใน ซึ่งพม่าต้องการสร้างให้เป็นศูนย์กลางของจักรวาลนี้ไม่ได้ใหญ่โตมโหฬารมากนัก เปรียบเทียบกับเขตพระราชฐาของพระบรมมหาราชวังมิได้เลย ภาพนี้เป็นผลิตผลของโดรน รัฐบาลเมียนมาร์เพิ่งจะนำออกเผยแพร่ไม่นานนักในยูทูป
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Pat
อสุรผัด

ตอบ: 7
|
ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อ 07 พ.ค. 18, 09:00
|
|
ลงชื่อเข้าคลาสค่ะ ☺️
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อ 07 พ.ค. 18, 11:23
|
|
ดีใจจัง มีคนเข้ามาตามดูแล้ว รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้หายากหาเย็น ไปกระจุกตัวที่fbกันหมด . . ก่อนจะผ่านกำแพงเมืองเข้าไปตามหาข้อมูล เพื่อยืนยันว่าผมไปจริงๆ ไม่ได้อ่านข้อความคนอื่นแล้วนำมาเขียน หรือยกเมฆขึ้นเองเพื่อความมัน ผมจึงนำภาพนี้มาให้ดู v ถ้าเอาตามข้อมูลที่พลตรีฟลิตชย์ (Fytche) ผู้เขียน Burma, Past and Present กล่าวไว้ แต่ละเสาหลักเมืองข้างกำแพง จะฝังคนลงไปทั้งเป็น ๓ คน ทั้งหมด ๑๒ เสา ก็ ๓๖ คน เรื่องนี้มีผู้เขียนความเห็นในหน้าเฟซของผมว่า ตอนซ่อมพระราชวังมัณฑเลย์ นักโบราณคดีพม่าได้ขุดพิสูจน์ใต้ที่ตั้งพระราชบัลังก์สีหาสนะ ซึ่งพลตรีฟลิตชย์กล่าวว่าตรงนั้นฝังไว้รวมกัน ๔ คน ปรากฏว่าไม่พบอะไรนอกจากไหทำด้วยหินขนาดไม่ใหญ่นัก สันนิษฐานว่าเป็นภาชนะบรรจุน้ำมันหอมในพิธีกรรม อันนี้ผมตามหาข้อมูลเพิ่มแต่ในอินเทอเน็ตไม่มี ค้นหาชื่อผู้เขียนคคห.นี้ก็ไม่เจอเสียแล้ว จึงไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้
ดังนั้น แถวๆโคนเสาอาจจะมีราษฎรพม่า ๓ คน ถูกบังคับให้พลีชีพเเป็นนัตเฝ้าอยู่ไม่มีผุดมีเกิด แต่ที่เห็นยืนอยู่กับเสาเป็นคนครับ ไม่ใช่นัต นั่นและพ้ม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
unicorn9u
มัจฉานุ
 
ตอบ: 65
|
ความคิดเห็นที่ 9 เมื่อ 07 พ.ค. 18, 14:24
|
|
ลงชื่อเข้าคลาสบ่ายครับอาจารย์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Naris
|
ความคิดเห็นที่ 10 เมื่อ 07 พ.ค. 18, 15:23
|
|
ผมก็สนใจครับ ยังอยู่ครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
เทาชมพู
เจ้าเรือน
หนุมาน
    
ตอบ: 33424
ดูแลเรือนไทย วิชาการ.คอม
|
ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 07 พ.ค. 18, 16:28
|
|
นั่งอยู่แถวหลังค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 12 เมื่อ 07 พ.ค. 18, 17:08
|
|
ยินดีต้อนรับครับ ตอนนี้เรตติ้งเริ่มดีขึ้นแล้ว ค่อยยังชั่วหน่อย . . นอกจาก ๓ คนที่เสาหลักเมืองข้างกำแพงทั้ง ๔ ทิศ รวม ๑๒ เสา แล้ว ยังมี ๑ คนที่แต่ละมุมเมือง ๔ คนที่แต่ละหัวมุมของพลับพลาหอรบหน้าประตูหลักของเมือง ๑ คนที่แต่ละประตูพระราชวังทั้ง ๔ ทิศ กับอีก ๔ คนใต้สีหาสนะบัลลังก์
นายพลอังกฤษคนเดียวกันบันทึกตามที่เขาค้นคว้ามาว่า มีคนถูกจับมาทำพิธีทารุณกรรมทั้งหมดในคืนอุบาทว์นั้น ๕๒ คน ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและเด็ก ถ้าเป็นหญิงกำลังท้องยิ่งให้ลำดับสำคัญ เพราะลงทุนฆ่าคนๆเดียวแต่ได้ถึง ๒ วิญญาณอย่างน้อย
เหยื่อบูชายันต์แต่ละคนจะถูกนำไปมัดในก้นหลุมที่เตรียมไว้ พอได้ฤกษ์ก็ทุ่มด้วยหินให้ตาย เอาดินกลบ หลังจากนั้นก็ผลักโอ่งน้ำมันหอมที่เตรียมไว้ลงไปก่อนแล้วโกยดินลงไปทับ รุ่งขึ้นจึงทำพิธีเอาเสาเอกลงหลุมให้เหมือนกับว่าไม่มีการเอาคนลงฝังไว้ล่วงหน้าแล้ว
ผมไปคราวนี้จึงทราบว่าพม่าบ้าหวยพอๆกับคนไทย มีหวยรัฐบาลออกทุกวันเป็นหวยเล็ก ส่วนหวยใหญ่เงินรางวัลแยะจะออกตามวันของไทย นี่เป็นความฉลาดของรัฐบาลพม่าที่ไม่ต้องลงทุนในกรรมวิธีออกสลาก รอชุบมือเปิบดีกว่าไม่เสียสตางค์ ดังนั้นถึงเวลาหวยใหญ่ออก คนพม่าจะลุ้นหน้าจอทีวีพร้อมๆกับคนไทย ซึ่งพวกได้เฮมีนิดเดียว ส่วนใหญ่เห็นแต่โฮกับโห่ อย่างไรก็ดี ผมไม่เห็นคนพม่ามาขูดเสาพวกนี้ขอหวย แสดงว่าแผนการลับบของสมุนพระเจ้ามินดงได้ผล คนมัณฑเลย์จึงไม่รู้เรื่องพิธีบูชายัญนี้ นอกจากไอ้คนที่คาบความไปบอกฝรั่ง
ดังนั้นจึงมีผู้เขียนความเห็นในหน้าเฟซของผมว่า ตอนซ่อมพระราชวังมัณฑเลย์ นักโบราณคดีพม่าได้ขุดพิสูจน์ใต้ฐานที่ตั้งพระราชบัลังก์สีหาสนะ ซึ่งพลตรีฟลิตชย์กล่าวว่าตรงนั้นฝังไว้รวมกัน ๔ คน ปรากฏว่าไม่พบอะไรนอกจากไหทำด้วยหินขนาดไม่ใหญ่นัก สันนิษฐานว่าเป็นภาชนะบรรจุน้ำมันหอมในพิธีกรรม ส่วนที่เสาหลักเมืองไม่ได้กล่าวถึง อันนี้ผมพยายามตามหาข้อมูลเพิ่มแต่ในอินเทอเน็ตไม่มี ค้นหาชื่อผู้เขียนคคห.นี้ก็ไม่เจอเสียแล้ว(ถ้าท่านเข้ามาเห็นก็ทักมาหน่อยนะครับ) จึงไม่สามารถยืนยันข้อเท็จจริงได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 13 เมื่อ 07 พ.ค. 18, 17:24
|
|
ก็ไม่ทราบว่าไหหินที่ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ทำไมแค่เอาไปใส่น้ำมันหอมจึงต้องออกแรงซะขนาดนั้น ความสงสัยของผมยิ่งทวีขึ้นเมื่อเจอรูปนี้ในเน็ต ใต้ภาพบรรยายว่าทหารอังกฤษค้นโกดังหลวงแล้วไปเจอเอาภาชนะทำด้วยเงินนี้เข้า สันนิษฐานว่าเป็นภาชนะบรรจุอาหารให้ช้างเผือก
ถ้าช้างต้องเอางวงลงไปควานหาอะไรขึ้นมาใส่ปากจากโอ่งปากแคบอย่างนั้น พี่ทั่นอาจไม่พอใจถีบให้ล้มเพื่อจะอำนวยความสะดวกแก่ตนมากกว่า แล้วภาชนะที่ทำมาเผื่อแยอะแยะใช้ไม่หมดนี้เอาไว้งานอะไรเล่า ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
NAVARAT.C
|
ความคิดเห็นที่ 14 เมื่อ 07 พ.ค. 18, 17:32
|
|
พลันก็ย้อนกลับมาดูภาพนี้ ผมเอามาให้ดูหลายทีแล้ว แต่สำหรับท่านที่ยังไม่เคยเห็น ผมจะทิ้งไว้ให้พิจารณาเป็นการบ้านสักคืนนึงก่อนที่เราจะไปกันต่อ
|
 คลิกที่รูปเพื่อขยาย/ย่อ
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|